วันนั้นมีคนมาไหว้ขอพรมากพอควร ธูปเกือบถูกใบหน้าของเหอเยว่ซินแล้ว หากไม่เพราะเซียงเยว่ซินยื่นมือไปกันไว้ได้ทัน มิเช่นนั้นใบหน้างดงามคงเป็นแผล นางเองก็ไม่รู้ว่าทำไมยอมเจ็บแทนผู้อื่น หรือเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายใบหน้างดงามน่ารัก หากต้องเป็นแผลคงน่าเสียดาย ส่วนนางนั้นผิวหนาหยาบกร้าน เรื่องแค่นี้ไม่นับว่าเรื่องใหญ่อันใด แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ทั้งสองได้พบกันบ่อยๆ และนับเป็นสหาย
ถูกแล้ว นางไม่ใช่ ‘เหอเยว่ซิน’หญิงคณิกาอันดับหนึ่งของเมืองหลวง นางคือหัวขโมยสาวที่ใครๆ รู้จักในนาม ‘เยว่ซิน’ และน้อยคนนักที่จะรู้แซ่ของนาง
มุมปากของหญิงสาวยกยิ้มจนกลายเป็นรอยยิ้มกว้าง
แม้เหอเยว่ซินเป็นหญิงคณิกา แต่เป็นอี้จี้ที่ขายศิลปะไม่ขายเรือนร่าง นางมีคนรัก แต่เมื่อได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ให้เป็นเครื่องบรรณาการมอบให้ท่านราชครูที่ถูกส่งมาอยู่ไกลจากเมืองหลวงนับพันลี้ นางจึงเสนอความคิดเปลี่ยนตัว ยินยอมเป็นเครื่องบรรณาการเสียเอง เพื่อให้เหอเยว่ซินได้หลบหนี้ไปใช้ชีวิตกับคนรัก นางมั่นใจว่าตนเองสามารถเจรจาต่อรองกับท่านราชครูได้ เขาต้องเข้าใจเหตุผลที่นางสลับตัวกับเหอเยว่ซิน ยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้นแน่นอน
หากเขาจะเลิกหลบหน้านางเสียทีนะ.
เสียงหัวเราะสดใสเรียกสายตาของชายหนุ่มที่อยู่บนรถม้าให้ยื่นมือมาขยับผ้าม่านออกดู ดวงตาคมปลาบจ้องมองไปยังริมแม่น้ำ หญิงสาวแต่งกายเรียบง่ายทว่าโดดเด่นในกลุ่มเด็กๆ ห้าหกคนที่วิ่งเล่นกันสนุกสนาน กว่าสิบวันที่ผ่านมา นางทำให้เขาฉงนยิ่งนัก ด้วยลักษณะนิสัยท่าทางช่างแตกต่างจากที่รับรู้มา แม้ไม่เคยพบหญิงคณิกานางนี้มาก่อนก็ตาม
ราวกับมีญาณทิพย์ หญิงสาวรับรู้ถึงสายตาคู่หนึ่งนางจึงหันกลับไปมอง รถม้าสภาพโกโรโกโสจอดนิ่งอยู่ไม่ไกลนัก เพียงเห็นว่าสารถีคือพ่อบ้านหันซู ก็เดาได้ไม่ยากว่าคนในรถม้าเป็นใคร นางชูมือสองข้างขึ้นเหนือศีรษะแล้วมือโบกไปมาพลางส่งเสียงร้องทักทาย
“ท่านราชครูกลับมาแล้ว”
จะแกล้งทำเป็นไม่เห็นก็ไม่ทันแล้ว ฉู่ห่าวหรานถอนหายใจเบาๆ อย่างไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี หันซูไม่ได้ยินคำสั่งใดๆ จึงไม่ได้สั่งม้าให้เดินหน้า เขามองเลยไปยังหญิงสาวผู้นั้นที่พูดคุยกับเด็กๆ แล้วหิ้วปลาตัวใหญ่สองตัวขึ้นมาจากน้ำ ยามนี้นางดูไม่ต่างจากหญิงชาวบ้านนัก ไม่น่าเชื่อว่านางสามารถทำตัวให้กลมกลืนกับหมู่บ้านชนบทได้
“นี่ๆ พวกเจ้าก็กลับบ้านกันได้แล้ว วันหน้าวันหลังอย่าแอบมาเล่นน้ำกันโดยไม่มีผู้ใหญ่มาด้วย มันอันตรายมากนะ รู้ไหม”
“ทราบแล้วพี่เย่วซิน”
“ดี อย่าให้ข้าเจอพวกเจ้าแอบพ่อแม่มาเล่นน้ำล่ะ”
“คราวหน้าพวกเราจะไปหาพี่เยว่ซินเอง”
“ได้! ข้าจะรอ”
นางหัวเราะร่าแล้วหิ้วปลาสองตัวที่จับได้ วิ่งตรงมาทางรถม้าที่จอดนิ่งอยู่ รอยยิ้มของนางกระจ่างสดใสเหมือนแสงแดดในฤดูใบไม้ผลิ นางยิ้มจนดวงตาหยีเล็กแล้วชูปลาสองตัวที่ร้อยด้วยหญ้าที่ถักเป็นเชือกเส้นเล็กๆ
“ท่านราชครูได้พบท่านเสียที” เยว่ซินเอ่ยทักทายอย่างสนิทสนมทั้งที่ได้พบกันครั้งแรก
“ข้าเสียมารยาทต่อแม่นางจริงๆ” ฉู่ห่าวหรานเอ่ยเสียงเรียบ “เพราะสุขภาพข้าไม่ดีจึงไม่ได้ตอนรับ”
“ข้าหาได้ใส่ใจเรื่องพวกนี้” นางยังคงหัวเราะเสียงกังวานใส “วันนี้ได้ปลาตัวโตมาตั้งสองตัว กลับบ้านเถอะ ข้าจะทำน้ำแกงปลาให้ท่านเอง”
นางพูดเองเออเอง กำลังจะปีนขึ้นไปนั่งในรถม้าแต่นึกได้ นางยกมือตบหน้าผากตัวเองหนึ่งทีแล้วเดินไปด้านหน้า เหวี่ยงปลาขึ้นไปข้างหันซูแล้วปีนขึ้นไปนั่งข้างพ่อบ้านที่ทำหน้าที่สารถี
“ตัวข้าเลอะเทอะ ขอนั่งกับเจ้าก็แล้วกัน”
“ขะ...ขอรับ”
หันซูเห็นนางไม่มีท่าทีเดือดร้อนและยังพูดจาเป็นกันเอง เขาก็ลงแส้ให้ม้าออกเดินทางกลับคฤหาสน์ ระหว่างทางได้ยินเสียงเพลงจากปากของเยว่ซิน เป็นนิทานพื้นบ้านที่ชาวบ้านร้องให้เด็กๆ ฟัง น้ำเสียงนางไม่ได้ไพเราะอ่อนหวาน แต่กลับทำให้คนฟังเผลอยิ้มตามไปด้วย
“ที่แรกข้าคิดจะปิ้งปลา แต่ท่านราชครูกลับมาแล้วจะทำน้ำแกงปลาก็แล้ว มีอะไรที่ใต้เท้าไม่กินไม่ได้หรือไม่”
“ไม่มีขอรับ ท่านราชครูกินง่ายอยู่ง่าย ขอแค่อาหารอุ่นร้อนกำลังดี ปลาต้องไม่มีรสคาว ถ้าเป็นผัดผักต้องไม่ชุ่มน้ำมันจนเกินไป แล้วยัง...”
“นี่เรียกกินง่ายอยู่ง่ายแล้วรึ” นางหัวเราะเสียงดังจนทำให้คนด้านในรถม้าส่งเสียงกระแอมไอออกมา “เอาเถอะ ข้ามีสูตรน้ำแกงเลิศรส รับรองว่าใต้เท้าฉู่ต้องชอบแน่”
นางเอ่ยอย่างมั่นใจ
รถม้ามาถึงหน้าคฤหาสน์ บ่าวไพร่ที่มีเพียงไม่กี่คนออกมาต้อนรับ หญิงสาวกระโดดลงจากรถทันทีพร้อมฉวยปลาสองตัวนั้นลงมาด้วย
“คุณหนูเยว่ซินมาแล้ว”
“คุณหนู?” หันซูทวนคำที่ได้ยินอย่างงุนงง
“ระหว่างแม่นางกับคุณหนู ข้าให้พวกเขาเรียกว่าคุณหนูเยว่ซิน” นางโบกมือไปมาคล้ายไม่ใส่ใจเรื่องเหล่านี้ “หรือจะให้พวกเขาเรียกข้าว่าฮูหยิน”
เสียงไอโคลกๆ ดังมาจากในรถม้า เยว่ซินยื่นหน้าไปทางหน้าต่างรถม้าแล้วเอ่ยขึ้น “ท่านราชครูเข้าด้านในเถอะ ข้าจะเข้าครัวทำน้ำแกงบำรุงร่างกาย”
นางทำเหมือนตัวเองเป็นเจ้าบ้าน กึ่งวิ่งกึ่งเดินไปทางห้องครัว บ่าวไพร่ต่างทักทายพูดคุยหยอกล้อเป็นกันเอง แต่เดิมคฤหาสน์หลังนี้ปกคลุมด้วยความเงียบสงบ แทบไม่เคยมีเสียงหัวเราะ แต่เมื่อนางก้าวเข้ามา ทุกอย่างเปลี่ยนไปจนเจ้าของคฤหาสน์ประหลาดใจ รวมทั้งสภาพคฤหาสน์ที่ซอมแซมไปบางส่วน ต้นไม้ดอกไม้ถูกตัดแต่งกิ่งไม่รกหูรกตาเช่นที่ผ่านมา
เขาไม่อยู่แค่ไม่กี่วันมิใช่หรือ เหตุใดเปลี่ยนไปมากขนาดนี้
“เจ้ารู้เรื่องพวกนี้หรือไม่” ฉู่ห่าวหรานเอ่ยถามขณะที่หันซูประคองเขาลงจากรถม้ามานั่งรถเข็น
“นายท่านสั่งว่า ‘นางอยากทำอะไรก็ให้นางทำไป อย่าให้ไปยุ่งกับเรือนของข้าก็พอ’ และดูเหมือนแม่นางเหอจะทำตามที่ข้าถ่ายทอดถ้อยคำของนายท่าน”
‘นั้นสินะ’ นางไม่ได้ละเมิดคำสั่งของเขา เพราะเมื่อเขากลับมาถึงเรือนของตน ทุกอย่างยังคงอยู่ดีเช่นเดิม ยังคงให้ความรู้สึกอึมครึมราวกับถูกปกคลุมด้วยเมฆฝน แต่ทุกกระนั้นเขาก็รู้สึกว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปเพราะเสียงหัวเราะหยอกล้อที่ลอยตามลมมาถึงเรือนของเขา
“แล้ว...ท่าน...ท่านพี่ชอบข้าตรงไหน ทำไมท่านอยากแต่งงานกับข้า”‘ถามเอาตอนนี้มิช้าไปหน่อยหรือเจ้าลิงน้อย’ฉู่ห่าวหรานคลี่ยิ้มอ่อนโยน “ข้าชอบเวลาที่มีเจ้าอยู่ข้างกาย”แม้มีบิดาเป็นบัณฑิต แต่เยว่ซินไม่ได้ลึกซึ้งกับถ้อยคำที่ต้องคิดสลับซับซ้อน ขณะที่นางคิดทบทวนคำพูดของเขา ปลายนิ้วของชายหนุ่มก็ปลดเปลื้องเสื้อผ้าของนางออกที่ละชิ้น กว่านางจะรู้ตัว บนร่างก็เหลือเพียงเอี๊ยมสีแดงปิดบังบัวตูมคู่งาม“อ๊ะ!” เยว่ซินได้สติรีบยกมือขึ้นปิดทรวงอกแล้วหันหลังให้ เขาไม่เคยฝึกยุทธ์ไม่ใช่หรือ? เหตุใดเปลื้องเสื้อผ้ารวดเร็วถึงเพียงนี้เพราะหันหลังให้ เขาจึงเห็นรอยแผลเป็นสีชมพูจางๆ บนแผ่นหลังของนาง เด็กอายุสิบขวบได้รับบาดแผลขนาดนี้ นางต้องอดทนมากกว่าเขาหลายร้อยหลายพันเท่ากว่าจะผ่านมันมาได้ แต่สิ่งนี้ไม่ได้ทำลายรอยยิ้มหรือเสียงหัวเราะของนางได้เลย นั้นคือสิ่งที่เขาเรียนรู้จากนางฉู่ห่าวหรานโน้มหน้าลงประทับริมฝีปากกับรอยแผลของนางเบาๆ เยว่ซินสะดุ้งแต่ไม่กล้าเอี้ยวตัวกลับมามอง นางลืมไปเสียสนิทใจว่าตนหันหลังให้เขา“แผลอยู่ด้านหลังคงใส่ยาลำบากสินะ” เขาพูดเสียงพร่าชวนให้คนฟังหวั่นไหวพลางแกะสายเอี๊ยมเส้นเล็กด้านหลังขอ
‘คุณชายฉินฝากบอกคุณหนูว่า เมื่อถึงเวลาขายผลผลิตจะเป็นคนรับซื้อไว้เองขอรับ’ หม่าเจียนอี้รายงานตามที่ฉินเฟยหลงกำชับไว้ ‘เขาจะต้องการไปทำไมเยอะแยะ’ แรกทีเดียวนางไม่เข้าใจนัก แต่หลังจากมู่หงเทียน มู่ยี่และฉินเฟยหลงเดินทางจากไปได้ราวสองเดือน นางได้ข่าวว่าในวังหลวงเกิดก่อกฎบ แต่ครั้งนี้ไม่สูญเสียเท่าที่ผ่านมา เนื่องจากหลายฝ่ายทนพฤติกรรมฮ่องเต้ทรราชไม่ไหว รวมทั้งต้องการโคนล้มอำนาจเสนาบดีฝ่ายซ้าย ใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน ทุกอย่างก็เข้าสู่สภาวะปกติ ถึงเวลานี้นางคาดเดาได้แล้วว่าฉินเฟยหลงแท้จริงแล้วเป็นใคร แต่ช่างเถอะ อย่างไรนางอยู่ที่นี่ไกลเมืองหลวงมาก หากไม่เพราะการข่าวของโรงรับจำนำเจิ้งจิงดีเยี่ยม นางคงไม่ต่างจากชาวบ้านทั่วไปที่กว่าจะรู้ข่าวก็ผ่านมานานนับเดือน เพราะความใจลอยคิดเรื่องอื่น ทำให้เยว่ซินเผลอเหยียบชายกระโปรงตนเอง นางเสียจังหวะเล็กน้อย แต่มือข้างหนึ่งยืนมาประคองนางไว้ก่อน “ไหวหรือไม่” น้ำเสียงอ่อนโยนเจือนความห่วงใย ทำให้เยว่ซินรู้ว่ามือที่ประคองนางอยู่คือใคร ทว่านางมองที่พื้นเห็นรองเท้าบุรุษยืนใกล้ม
มู่หงเทียนคืนหยกชิ้นนั้นให้เซียงเริ่นเจิน “หยกชิ้นนี้เป็นหยกลายเมฆที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนประทานให้” ฉินเฟยหลงปรายตามองเล็กน้อยก่อนเผยรอยยิ้ม “เอาเป็นว่า วันข้างหน้า หากพวกเจ้าต้องการล้างมลทินหาคนผิดมาลงโทษ ข้าจะช่วยเจ้าเต็มที่” เซียงเริ่นเจินไม่รู้ว่าที่แท้ฉินเฟยหลงเป็นใคร รู้เพียงว่าเขามีลักษณะโดดเด่นเหนือคนทั่วไป แต่ลึกๆ เขากลับรู้สึกมีความหวัง การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี แม้เขาเป็นขุนนางแต่ก็คาดหวังเห็นความสุขของชาวบ้านเหนือสิ่งอื่นใด “เอาล่ะ ถึงเวลาแล้ว พวกเราต้องเดินทาง” มู่หงเทียนเอ่ยกับทุกคน แต่สายตาหยุดที่ฉู่ห่าวหราน “ข้าหวังใจว่าเจ้าจะกลับไปช่วยงานอีกครั้ง” ฉู่ห่าวหรานไม่ได้ปากตอบรับ เขาเพียงส่งยิ้มน้อยๆ แล้วประสานมือคารวะ “ขอให้เดินทางโดยปลอดภัย” หลังจากสิ้นสุดการสนทนา ทั้งหมดออกมาส่งมู่หงเทียน มู่ยี่และฉินเฟยหลงขึ้นรถม้า ทว่ายังมีรถม้าโกโรโกโสคุ้นตารออยู่ไม่ไกล เยว่ซินจำได้ดีว่าเป็นรถม้าของฉู่ห่าวหราน “ทำไมรถม้าของท่านมาอยู่ตรงนี้” “ข้าเองก็ต้องกลับคฤหาสน์เชิงเขาแล้ว” “
ฉู่ห่าวหรานตื่นจากภวังค์พลิกฝ่ามือหงายขึ้นแล้วประสานมือกับนางแล้วส่งยิ้มอ่อนโยน “ข้าไม่ได้เป็นอะไร เจ้าอย่ากังวลใจไปเลย” ท่าทีสนิทสนมและอาการห่วงใยเต็มเปี่ยมนี้ ทำเอาพ่อและแม่บุญธรรมรวมทั้งฉินเฟยหลง นั่งยิ้มกริ่มแม้แต่หันซูที่เคยไม่ชอบนิสัยไร้มารยาทของนางยังยอมรับว่า ทั้งคู่เหมาะสมกันยิ่ง คู่สวรรค์สร้างเช่นนี้ไม่แต่งงานกันได้อย่างไร เยว่ซินเพิ่งรู้ว่าตกเป็นเป้าสายตาจึงคิดชักมือกลับแต่ฉู่ห่าวหรานบีบมือนางไว้ไม่ยอมปล่อย จะว่าไป นางมีเรี่ยวแรงมากกว่าเขา แต่ทำไม นางไม่สามารถดึงมือตนเองกลับมาได้ การที่เขากุมมือไว้มันรู้สึกดีเหลือเกิน “เด็กโง่” มู่ยี่หัวเราะร่า พอใจที่เห็นว่าที่ลูกเขยใส่ใจลูกสาวบุญธรรมอย่างดี “บุรุษที่ดีเช่นนี้ต้องรีบคว้าไว้สิ ” “พวกท่านไม่เข้าใจ” นางหมายถึงบาดแผลไฟไหม้บนแผ่นหลังของนาง เป็นสามีภรรยา ยามร่วมหอต้องเปลือยกายแล้วเขาเห็นแผลเป็นของนางจะไม่หมดเสน่หาไปหรือ? แม้ฉู่ห่าวหรานยืนยันว่าเขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องเหล่านี้ แต่นางยังเป็นกังวลอยู่ดี “แผลเป็นของฉู่ห่าวหรานรักษาได้ แผลเป็นของเจ้าก็รักษาได้เช่นก
“ขออภัยแม่นางเหอ ตอนนี้จิตใจของข้าอยู่ที่การดูแลซินเอ๋อร์ คงไม่มีใจไปทำสิ่งอื่นได้” “ซะ...ซิน...ซินเอ๋อร์” เยว่ซินทำตาปริบๆ ไม่คิดว่าเขาจะเรียกนางสนิทสนมอย่างนี้ “คุณชายฉินเรียกเจ้าว่าซินเอ๋อร์ได้แล้วข้าเรียกไม่ได้รึ” ฉู่ห่าวหรานยังคงน้ำเสียงราบเรียบแต่แววตาจ้องเขม็งที่นางทำให้หญิงสาวได้แต่ก้มหน้าหงุดจนคางแทบชิดอก ท่าทางของเยว่ซินทำให้ฉินเฟยหลงหัวเราะด้วยความพอใจ “เรียกซินเอ๋อร์นั้นเหมาะสมแล้ว” ฉินเฟยหลงพอใจที่เห็นฉู่ห่าวหรานแสดงท่าทีชัดเจนเช่นนี้ ก็คงมีลิงน้อยโง่งมของเขาที่ดูไม่ออกหรือไรว่าอีกฝ่ายมีใจให้นาง “เอาล่ะ ข้ามาเพื่อกล่าวลา และหวังใจว่าจะได้พบท่านราชครูฉู่ที่เมืองหลวง ท่านมิต้องรีบให้คำตอบข้า แค่เมื่อถึงวันนั้น ข้าจะถามท่านอีกครั้ง” “ขอบคุณคุณชายฉิน” ฉินเฟยหลงผงกศีรษะให้เล็กน้อย แล้วจับท่อนแขนของเหอเยว่ซิน กึ่งลากกึ่งจูงออกมาทันที ไม่น่าเชื่อเลยว่า เขาเตือนนางแล้ว แต่นางยังกล้าทอดสะพานให้ฉู่ห่าวหรานอีก สตรีผู้นี้น่าชังยิ่งนัก “เอ๊ะ!” “ยังจะอยู่อีกเรอะ” เหอเยว่ซินกัดริมฝีปากไม่กล้าโต้เถียงอะไร ได้แต่ปล่อยให้เขาลากออกมา ฉู่ห่าวหรานถอนใจเบาๆ ในห้องเหลือเพียงเขา
“เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไรไม่รู้ มาช่วยข้าเตรียมอาหารเถิด” “ได้เจ้าค่ะ ฮูหยิน” “เชี่ยวเมิ่น!” เสียงหัวเราะหวานใสของทั้งสองคนทำให้ห้องครัวเล็กๆ ดูอบอุ่นขึ้น เชี่ยวเมินติดตามจางฮุ่ยเหมยมานาน ลำบากมาด้วยกันก็มาก นางได้แต่หวังว่านายของตนจะพบความสุขเสียที. ฉินเฟยหลงเห็นเพียงเสี้ยวหน้าของหญิงสาวก็เดาความรู้สึกนึกคิดของอีกฝ่ายได้ แม้ใบหน้าระบายยิ้มแต่ดวงตาเปล่งประกายความไม่พอใจอยู่หลายส่วน “แม่นางเหอ” เจ้าของชื่อตัวจริงถึงกับสะดุ้ง เหอเยว่ซินที่ยืนอยู่หลังบานประตูที่แง้มอยู่ มือที่ประคองถาดขนมหวานสั่นน้อยๆ เมื่อเห็นว่าผู้มาเป็นใคร นางก็คลี่ยิ้มอ่อนหวานแล้วเอ่ยทักทาย “คุณชายฉินเฟยหลง” แม้เขาจะยิ้มแต่ดวงตาไม่ยิ้ม ชายหนุ่มไม่ได้เปิดเผยฐานะที่แท้จริงของตน เขาคลี่พัดในมือโบกเบาๆ แสร้งทำเป็นมองเข้าไปด้านใน“อ่อ...ท่านราชครูฉู่อยู่กับซินเอ๋อร์ที่นี่เองหรือ? แหม...ดูเอาใจใส่ซินเอ๋อร์ดีเหลือเกิน” ชายหนุ่มลอบสังเกตสีหน้าของเหอเยว่ซินแล้วพูดต่อ “เจ้าคงคิดสินะว่า ที่ตรงนั้นควรเ