Masukเพราะใช้ตัวเองปกป้องฮ่องเต้ ทำให้ 'ฉู่ห่าวหราน' ต้องใช้ชีวิตบนรถเข็น หลังจากออกจากเมืองหลวงมาใช้ชีวิตในคฤหาสน์ซอมซอมาปีครึ่ง จู่ๆ ฮ่องเต้ทรงมอบให้ บรรณาการเป็นคณิกาอันดับหนึ่งของเมืองหลวง แต่ฉู่ห่าวหรานต้องประหลาดใจ เหตุใดนางจึงห่างไกลคำว่า 'คณิกา' แต่ใกล้เคียงกับ 'โจรสาว' เสียมากกว่า 'เซียงเยว่ซิน' สลับตัวกับ 'เหอเยว่ซิน' หญิงคณิกาที่นางนับเป็นสหาย นอกจากจะให้เหอเยว่ซินได้หนีไปใช้ชีวิตกับคนรักแล้ว นางยังมีภารกิจ(ลับ)ทดแทนบุญคุณที่ต้องทำรวมทั้งทำตามคำสั่งเสียของบิดามารดา
Lihat lebih banyakบุรุษหนุ่มวัยยี่สิบห้า บนใบหน้าทีรอยแผลเป็นที่เหนือคิ้วขวาราวกับถูกสายฟ้าฟาด ทำให้ใบหน้าที่เคยอ่อนโยนกลับดูน่ากลัว ยิ่งเวลานี้คิ้วเรียวงามขมวดแน่นขณะไล่สายตาอ่านตัวอักษรในจดหมายฉบับหนึ่ง
“มีเรื่องใดรึขอรับท่านราชครู” หันซู บ่าวรับใช้และองครักษ์ข้างกายเอ่ยถาม
ฉู่ห่าวหรานถอนหายใจหนักหน่วง จดหมายเพิ่งมาถึงมือ แต่ ‘เครื่องบรรณาการ’ เดินทางมาก่อนแล้ว หากปฏิเสธไม่รับบรรณาการชิ้นนี้ก็เกรงว่าจะทำไม่ได้แล้ว ไม่รู้ว่าฮ่องเต้ทรงคิดอันใดอยู่จึงได้ส่งคณิกาอันดับหนึ่งของเมืองหลวงมาปรนนิบัติดูแลเขา
“ให้คนปัดกวาดเรือนตะวันตก จัดเตรียมที่ให้บรรณาการที่กำลังเดินทางมาถึง” ฉู่ห่าวหรานเอ่ยเสียงเรียบไม่ได้รู้สึกยินดีแต่อย่างใด เขาส่งจดหมายให้หันซู่แล้วเคาะนิ้วกับเก้าอี้รถเข็น เขาเดินไม่ได้มาปี กว่า การเคลื่อนไหวของเขาจึงต้องพึ่งพาเก้าอี้มีล้อเช่นนี้
เมื่อได้รับอนุญาต หันซูกวาดตามองอ่านข้อความในจดหมายแล้วอ้าปากค้าง
“หญิงคณิกา?” หันซูอ้าปากค้าง “เหตุใดฮ่องเต้ประทานหญิงคณิกาให้ท่านล่ะขอรับ”
“ข้าจะรู้ได้อย่างไร” ฉู่ห่าวหรานหมุนล้อรถเข็นเคลื่อนไปข้างหน้า หันซูรีบเข้าไปเข็นด้วยตนเองไม่ต้องรอให้ผู้เป็นนายสั่ง
“แล้วท่านจะทำอย่างไร”
“เจ้าอยู่ตอนรับนางให้ดี ส่วนข้าจะขึ้นเขาไปรักษาตัวที่บ่อน้ำพุร้อน”
“แล้วท่านจะลงจากเขาเมื่อไหร่ขอรับ”
ฉู่ห่าวหรานตวัดสายตามอง เพียงแค่นั้นบ่าวรับใช้ก็ปิดปากเงียบแม้อยากรู้แต่ไม่กล้าถาม
เหตุใดฮ่องเต้จึงหญิงคณิกามาเป็นเครื่องบรรณาการท่านราชครูผู้รักความสะอาดเหนือสิ่งอื่นใดเช่นนี้นะ ยามอยู่เมืองหลวง นายท่านของเขาไม่เคยข้องแวะกับสถานที่เช่นนั้นแม้แต่ก้าวเดียว ก่อนย้ายมาที่เมืองแห่งนี้ จำได้ว่าเขาได้ยินชื่อเสียงของคณิกานางนั้นเป็นอย่างดี นางครอบครองความงามที่ทำให้สตรีด้วยกันยังริษยา บุรุษหมายมั่นจะได้ครอบครองนาง เพียงการเดินหมากดีดพิณก็เป็นที่ร่ำลือกันไปทั่ว และเป็นหญิงงามที่เอาใจยากไม่น้อย
หันซูลอบมองคฤหาสน์ซอมซ่อที่อาศัยอยู่ ไม่นับรวมบางแห่งที่หลังคารั่ว มีบ่าวรับใช้นับแล้วไม่เกินยี่สิบคน แล้วอย่างนี้จะไปต้อนรับสตรีนางนั้นได้อย่างไร
บ่าวหนุ่มลอบถอนหายใจเบาๆ แล้วกล่าวลาก่อนความสงบสุขที่มีมา
หญิงสาวในอาภรณ์เนื้อผ้าไหมสีแดงสดสวย ร่างเพรียวบางก้าวลงจากรถม้า กวาดตามองโดยรอบแล้วขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิดระคนประหลาดใจนี่คฤหาสน์หรืออารามร้างกันแน่หนอ
“เชิญแม่นางเหอเยว่ซินทางนี้ขอรับ” พ่อบ้านหนุ่มนามหันซูประสานมือคารวะแล้วเชื่อเชิญให้ก้าวไปด้านใน
“อืม” นางรับคำสั้นๆ หันไปพยักหน้าให้ผู้ติดตามขนข้าวของลงจากรถม้า นางมีข้าวของติดตัวแค่คันรถเดียว ไม่มีบ่าวรับใช้ติดตามข้างกาย คนเหล่านี้เมื่อทำหน้าที่เสร็จก็เดินทางกลับเมืองหลวง
มือเรียวยกชายกระโปรงขึ้นเล็กน้อย ก้าวเร็วๆด้วยท่าทีห้าวหาญเดินตามพ่อบ้านที่มารับ หันซูออกจะแปลกใจกับกิริยาท่าทางอยู่บ้าง เขาเองอยู่เมืองหลวงมานับสิบปี ย้ายติดตามนายท่านมาที่เมืองหานตานได้ปีครึ่ง แต่ไม่คิดว่ากิริยามารยาท ‘กุลสตรี’ของเมืองหลวงจะเปลี่ยนไปมากถึงเพียงนี้
“นี่ๆ พ่อบ้าน... ชื่ออะไรนะ” นางเอ่ยถามเสียงห้วน แต่สายตากวาดมองรอบตัวอย่างไม่เกรงมารยาท
“ข้าน้อยแซ่หันชื่อคำเดียวซูขอรับ”
“หันซู” นางทวนคำ “ดูท่าทางเจ้าจะเป็นทั้งพ่อบ้านและบ่าวรับใช้ข้างกายท่านราชครูสินะ”
“ขอรับ”
“ทั้งคฤหาสน์นี้มีบ่าวไพร่เท่าไหร่?”
“เอ่อ...ยี่สิบคนขอรับ”
“หือ?” นางทำเสียงไม่เชื่อ “ถ้ามีถึงยี่สิบคนจะปล่อยคฤหาสน์หลังงามให้ซอมซ่อขนาดนี้รึ”
“เอ่อ...”
“ไม่ถึงสิบคนละสินะ” นางยังคงพูดด้วยน้ำเสียงห้วน ทิ่มแทงคนฟัง
“ท่านราชครูรักสันโดษและใช้ชีวิตสมถะ จึงไม่ชอบให้มีผู้คนอยู่รายล้อมมากเกินไป”
“รักสันโดษหรือไม่มีเงินซื้อบ่าวรับใช้” นางถอดถอนใจอย่างรู้สึกเวทนา “ได้ยินว่าฮ่องเต้องค์ใหม่ไม่โปรดท่านราชครู เห็นท่าจะเป็นความจริง”
“แค่กๆ” หันซูถึงกับสำลักน้ำลายตัวเอง “แม่นางเหอ”
“เรียกข้าเยว่ซินก็พอ” นางโบกมือไปมา “ข้ามาถึงนานแล้ว เหตุใดยังไม่เห็นหน้าท่านราชครู”
“ท่านราชครูขึ้นเขาไปแช่น้ำพุร้อนขอรับ”
“ทั้งที่รู้ว่าข้ามานะหรือ?” นางกลอกตามองบน “ไม่อยากเจอหน้ากันก็ไม่เป็นไร แต่บ่าวรับใช้มีน้อย เจ้าที่เป็นคนสนิทต้องมาอยู่ต้อนรับข้า แล้วผู้ใดอยู่ดูแลท่านราชครู”
“เรื่องนั้น...ประเดี๋ยวบ่าวส่งแม่นางเหอแล้วจะขึ้นเขาไปรับใช้นายท่านขอรับ”
“ดีแล้ว อ้อ! ข้ามาที่นี่ไม่มีบ่าวรับใช้มาด้วย วานพ่อบ้านหันช่วยหาสาวใช้ให้ข้าสักคน”
“ขอรับ”
หญิงสาวเดินมาถึงเรือนของตนเองแล้วอ้าปากค้าง ใบหน้าสะกดอารมณ์เต็มที่แล้วกัดฟันถาม พลางชี้นิ้วไปที่เรือนพักที่อยู่ตรงนั้น
“อย่าบอกนะว่า นั้นเรือนของข้า”
“ขอรับ”
“สภาพนั้นยังสามารถใช้งานได้รึ ข้านอนอยู่ดีๆ หลังคาไม่พังมาใส่หรือไร”
“แม่นางเหอกล่าวเกินไปแล้ว” หันซูหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเหงื่อ ท่าทางเอาแต่ใจช่างสมกับเป็นคณิกาอันดับหนึ่งที่ผู้อื่นกล่าวถึงจริงๆ
“เจ้าจะบอกว่า เรือนของข้าสภาพดีกว่าเรือนของท่านราชครู?”
“เอ่อ...”
“ช่างเถอะๆ” นางตัดบท ยังดีที่โดยรอบมีต้นไม้น้อยใหญ่ให้ความร่มรื่น “ให้คนขนข้าวของมาอย่าให้เสียหาย เรียกบ่าวมาเตรียมน้ำให้ข้าอาบ เดินทางมาไกลข้าอยากพักผ่อน และอย่าลืมน้ำชาและของว่างด้วย”
“ขอรับ”
“ไปดูแลท่านราชครูเถอะ ทางนี้ข้าจัดการเองได้”
หันซูผงกศีรษะรับแล้วถอยออกมา สั่งให้บ่าวรับใช้รับคำสั่งของเหอเยว่ซินอย่างดี ส่วนตัวเองหลบออกมา แต่อดเหลือบมองแผ่นหลังของหญิงสาวผู้นั้นไม่ได้
นางคือ ‘เหอเยว่ซิน’ คณิกาอันดับหนึ่งของเมืองหลวงจริงๆ หรือ? เขาเองก็ไม่เคยเห็นใบหน้าของนางมาก่อน แต่ความงามปานเทพธิดาที่ผู้คนล่ำลือนั้นดูเหมือนจะห่างไกลกับสิ่งที่เขาเห็นในวันนี้มากนัก มิใช่นางมิงดงาม เพียงแค่มิดได้ผุดผาดสะกดสายตาผู้คน ลักษณะการเดิน การวางตัว หรือแม้แต่การสนทนา ดูไร้มารยาทไปสักหน่อย หรือว่า นางเอาแต่ใจตนเอง เมื่อเห็นว่าคฤหาสน์ของท่านราชครูซอมซ่อขนาดนี้จึงแสดงท่าทางเช่นนั้น
พ่อบ้านหนุ่มโคลงศีรษะไปมาแล้วเร่งเดินทางขึ้นเขาไปพบฉู่ห่าวหราน ต่อให้แม่นางเหอไม่ไล่เขาไป เขาก็คงทนอยู่กับสตรีเรื่องมากไม่ได้แน่นอน.
“แล้ว...ท่าน...ท่านพี่ชอบข้าตรงไหน ทำไมท่านอยากแต่งงานกับข้า”‘ถามเอาตอนนี้มิช้าไปหน่อยหรือเจ้าลิงน้อย’ฉู่ห่าวหรานคลี่ยิ้มอ่อนโยน “ข้าชอบเวลาที่มีเจ้าอยู่ข้างกาย”แม้มีบิดาเป็นบัณฑิต แต่เยว่ซินไม่ได้ลึกซึ้งกับถ้อยคำที่ต้องคิดสลับซับซ้อน ขณะที่นางคิดทบทวนคำพูดของเขา ปลายนิ้วของชายหนุ่มก็ปลดเปลื้องเสื้อผ้าของนางออกที่ละชิ้น กว่านางจะรู้ตัว บนร่างก็เหลือเพียงเอี๊ยมสีแดงปิดบังบัวตูมคู่งาม“อ๊ะ!” เยว่ซินได้สติรีบยกมือขึ้นปิดทรวงอกแล้วหันหลังให้ เขาไม่เคยฝึกยุทธ์ไม่ใช่หรือ? เหตุใดเปลื้องเสื้อผ้ารวดเร็วถึงเพียงนี้เพราะหันหลังให้ เขาจึงเห็นรอยแผลเป็นสีชมพูจางๆ บนแผ่นหลังของนาง เด็กอายุสิบขวบได้รับบาดแผลขนาดนี้ นางต้องอดทนมากกว่าเขาหลายร้อยหลายพันเท่ากว่าจะผ่านมันมาได้ แต่สิ่งนี้ไม่ได้ทำลายรอยยิ้มหรือเสียงหัวเราะของนางได้เลย นั้นคือสิ่งที่เขาเรียนรู้จากนางฉู่ห่าวหรานโน้มหน้าลงประทับริมฝีปากกับรอยแผลของนางเบาๆ เยว่ซินสะดุ้งแต่ไม่กล้าเอี้ยวตัวกลับมามอง นางลืมไปเสียสนิทใจว่าตนหันหลังให้เขา“แผลอยู่ด้านหลังคงใส่ยาลำบากสินะ” เขาพูดเสียงพร่าชวนให้คนฟังหวั่นไหวพลางแกะสายเอี๊ยมเส้นเล็กด้านหลังขอ
‘คุณชายฉินฝากบอกคุณหนูว่า เมื่อถึงเวลาขายผลผลิตจะเป็นคนรับซื้อไว้เองขอรับ’ หม่าเจียนอี้รายงานตามที่ฉินเฟยหลงกำชับไว้ ‘เขาจะต้องการไปทำไมเยอะแยะ’ แรกทีเดียวนางไม่เข้าใจนัก แต่หลังจากมู่หงเทียน มู่ยี่และฉินเฟยหลงเดินทางจากไปได้ราวสองเดือน นางได้ข่าวว่าในวังหลวงเกิดก่อกฎบ แต่ครั้งนี้ไม่สูญเสียเท่าที่ผ่านมา เนื่องจากหลายฝ่ายทนพฤติกรรมฮ่องเต้ทรราชไม่ไหว รวมทั้งต้องการโคนล้มอำนาจเสนาบดีฝ่ายซ้าย ใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน ทุกอย่างก็เข้าสู่สภาวะปกติ ถึงเวลานี้นางคาดเดาได้แล้วว่าฉินเฟยหลงแท้จริงแล้วเป็นใคร แต่ช่างเถอะ อย่างไรนางอยู่ที่นี่ไกลเมืองหลวงมาก หากไม่เพราะการข่าวของโรงรับจำนำเจิ้งจิงดีเยี่ยม นางคงไม่ต่างจากชาวบ้านทั่วไปที่กว่าจะรู้ข่าวก็ผ่านมานานนับเดือน เพราะความใจลอยคิดเรื่องอื่น ทำให้เยว่ซินเผลอเหยียบชายกระโปรงตนเอง นางเสียจังหวะเล็กน้อย แต่มือข้างหนึ่งยืนมาประคองนางไว้ก่อน “ไหวหรือไม่” น้ำเสียงอ่อนโยนเจือนความห่วงใย ทำให้เยว่ซินรู้ว่ามือที่ประคองนางอยู่คือใคร ทว่านางมองที่พื้นเห็นรองเท้าบุรุษยืนใกล้ม
มู่หงเทียนคืนหยกชิ้นนั้นให้เซียงเริ่นเจิน “หยกชิ้นนี้เป็นหยกลายเมฆที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนประทานให้” ฉินเฟยหลงปรายตามองเล็กน้อยก่อนเผยรอยยิ้ม “เอาเป็นว่า วันข้างหน้า หากพวกเจ้าต้องการล้างมลทินหาคนผิดมาลงโทษ ข้าจะช่วยเจ้าเต็มที่” เซียงเริ่นเจินไม่รู้ว่าที่แท้ฉินเฟยหลงเป็นใคร รู้เพียงว่าเขามีลักษณะโดดเด่นเหนือคนทั่วไป แต่ลึกๆ เขากลับรู้สึกมีความหวัง การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี แม้เขาเป็นขุนนางแต่ก็คาดหวังเห็นความสุขของชาวบ้านเหนือสิ่งอื่นใด “เอาล่ะ ถึงเวลาแล้ว พวกเราต้องเดินทาง” มู่หงเทียนเอ่ยกับทุกคน แต่สายตาหยุดที่ฉู่ห่าวหราน “ข้าหวังใจว่าเจ้าจะกลับไปช่วยงานอีกครั้ง” ฉู่ห่าวหรานไม่ได้ปากตอบรับ เขาเพียงส่งยิ้มน้อยๆ แล้วประสานมือคารวะ “ขอให้เดินทางโดยปลอดภัย” หลังจากสิ้นสุดการสนทนา ทั้งหมดออกมาส่งมู่หงเทียน มู่ยี่และฉินเฟยหลงขึ้นรถม้า ทว่ายังมีรถม้าโกโรโกโสคุ้นตารออยู่ไม่ไกล เยว่ซินจำได้ดีว่าเป็นรถม้าของฉู่ห่าวหราน “ทำไมรถม้าของท่านมาอยู่ตรงนี้” “ข้าเองก็ต้องกลับคฤหาสน์เชิงเขาแล้ว” “
ฉู่ห่าวหรานตื่นจากภวังค์พลิกฝ่ามือหงายขึ้นแล้วประสานมือกับนางแล้วส่งยิ้มอ่อนโยน “ข้าไม่ได้เป็นอะไร เจ้าอย่ากังวลใจไปเลย” ท่าทีสนิทสนมและอาการห่วงใยเต็มเปี่ยมนี้ ทำเอาพ่อและแม่บุญธรรมรวมทั้งฉินเฟยหลง นั่งยิ้มกริ่มแม้แต่หันซูที่เคยไม่ชอบนิสัยไร้มารยาทของนางยังยอมรับว่า ทั้งคู่เหมาะสมกันยิ่ง คู่สวรรค์สร้างเช่นนี้ไม่แต่งงานกันได้อย่างไร เยว่ซินเพิ่งรู้ว่าตกเป็นเป้าสายตาจึงคิดชักมือกลับแต่ฉู่ห่าวหรานบีบมือนางไว้ไม่ยอมปล่อย จะว่าไป นางมีเรี่ยวแรงมากกว่าเขา แต่ทำไม นางไม่สามารถดึงมือตนเองกลับมาได้ การที่เขากุมมือไว้มันรู้สึกดีเหลือเกิน “เด็กโง่” มู่ยี่หัวเราะร่า พอใจที่เห็นว่าที่ลูกเขยใส่ใจลูกสาวบุญธรรมอย่างดี “บุรุษที่ดีเช่นนี้ต้องรีบคว้าไว้สิ ” “พวกท่านไม่เข้าใจ” นางหมายถึงบาดแผลไฟไหม้บนแผ่นหลังของนาง เป็นสามีภรรยา ยามร่วมหอต้องเปลือยกายแล้วเขาเห็นแผลเป็นของนางจะไม่หมดเสน่หาไปหรือ? แม้ฉู่ห่าวหรานยืนยันว่าเขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องเหล่านี้ แต่นางยังเป็นกังวลอยู่ดี “แผลเป็นของฉู่ห่าวหรานรักษาได้ แผลเป็นของเจ้าก็รักษาได้เช่นก