แผ่นหลังกว้างของธันวาที่เดินนำหน้าคือภาพแทนของกำแพงเบอร์ลินที่ลินินไม่มีวันข้ามผ่านไปได้ เธอเดินตามเขาเข้าไปในห้องทำงานรูปทรงสี่เหลี่ยมที่ผนังสามด้านเป็นกระจกใส เผยให้เห็นทิวทัศน์ของกรุงเทพมหานครยามเย็นที่เริ่มพร่างพราวไปด้วยแสงไฟ
มันคือกรงแก้วที่สวยงาม และเป็นบัลลังก์ของเขา
ภายในห้องถูกคุมโทนด้วยสีดำ เทา และเงิน ทุกอย่างถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยจนน่าขนลุก ไม่เว้นแม้แต่ปากกาที่วางขนานกับขอบสมุดบันทึกอย่างพอดิบพอดี มันสะท้อนตัวตนของผู้เป็นเจ้าของได้อย่างสมบูรณ์แบบ เยือกเย็น และไร้ซึ่งชีวิตชีวา
ธันวาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ผู้บริหารตัวใหญ่ ไม่ได้หันมามองเธอด้วยซ้ำ เขาปล่อยให้ความเงียบทำงานของมันอย่างช้า ๆ มันคือการแสดงอำนาจ คือการปล่อยให้เหยื่อกระสับกระส่ายในกรงที่มองไม่เห็น
ลินินไม่ใช่เหยื่อที่จะยอมให้ถูกเชือดนิ่ม ๆ
“เรื่องด่วนที่พี่คินว่า คือเรื่องอะไรเหรอคะ ?” เธอเป็นฝ่ายทำลายความเงียบนั้นลง น้ำเสียงพยายามบังคับให้ราบเรียบที่สุด แต่ก็ซ่อนความท้าทายเอาไว้ไม่ได้
เขาหันมาแล้ว ดวงตาสีนิลคู่นั้นจ้องมองเธอตรง ๆ ราวกับจะเจาะทะลวงเข้าไปให้ถึงความคิด
“ไอเดียโอเอซิสของจิตใจของคุณ”
ลินินขมวดคิ้ว “แต่พี่คินบอกว่ามันเลื่อนลอย”
“ใช่ มันเลื่อนลอย” เขายืนยัน “แต่ผมอยากรู้ว่าในหัวของคุณตอนที่คิดคำนี้ขึ้นมา มันหน้าตาเป็นยังไง”
นี่มันคำถามบ้าอะไรกัน ?
มันไม่ใช่การบรีฟงาน แต่มันคือการซักฟอกทางความคิด ลินินรู้สึกเหมือนกำลังถูกสอบสวน
“มันคือความรู้สึกของการได้หยุดพัก หรือการได้พบกับความสงบหลังจากที่เหนื่อยล้ามานาน”
“แล้วโอเอซิสของคุณล่ะ คืออะไร ?”
คำถามนั้นเปลี่ยนจากเรื่องงานเป็นเรื่องส่วนตัวในชั่วพริบตาเดียว ลินินชะงักงัน เธอสบตาเขาอย่างไม่ยอมแพ้
“ลินไม่คิดว่าเรื่องส่วนตัวของลินจะเกี่ยวกับงานนะคะ”
รอยยิ้มหยันปรากฏขึ้นที่มุมปากหยักสวยของเขาเพียงชั่วครู่ก่อนจะหายไป “เกี่ยวสิ เกี่ยวมากด้วย เพราะถ้าคนคิดยังไม่เคยค้นพบโอเอซิสของตัวเอง แล้วจะเอาความรู้สึกที่แท้จริงจากไหนไปขายให้คนอื่นเชื่อ”
มันคือคำดูแคลนที่เจ็บแสบที่สุด
ก่อนที่เธอจะได้โต้ตอบ เขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินอ้อมโต๊ะทำงานราคาแพงมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเธอที่ยังคงยืนตัวแข็งทื่ออยู่กลางห้อง
แล้วเขาก็ก้าวเข้ามาใกล้ จนปลายรองเท้าหนังขัดมันของเขาแทบจะชิดกับรองเท้าของเธอ
ลินินหัวใจกระตุกวูบ เธอถอยหลังโดยสัญชาตญาณ แต่ก็ถอยได้เพียงก้าวเดียวก่อนที่แผ่นหลังจะชนเข้ากับผนังกระจกเย็นเฉียบ กลายเป็นว่าเธอจนมุมอย่างสมบูรณ์แบบ
ธันวายกแขนข้างหนึ่งขึ้นยันผนังกระจกไว้ข้างศีรษะเธอ กักขังเธอไว้ในวงแขนของเขาอีกครั้งเหมือนในลิฟต์คืนนั้น แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป มันไม่มีสายฝน ไม่มีใครอื่น มีเพียงเขาและเธอในกรงแก้วที่มองเห็นวิวเมืองทั้งเมือง
“คุณคิดว่าไอเดียของคุณมันลึกซึ้ง แต่สำหรับผม มันกลวงโบ๋” เสียงทุ้มต่ำของเขาลดระดับลงจนเกือบเป็นเสียงกระซิบ มันแหบพร่าและอันตราย กลิ่นน้ำหอมเฉพาะตัวของเขาโอบล้อมรอบกายเธอจนแทบสำลัก
“คุณธามอาจจะชอบคำสวย ๆ ของคุณ” เขาเว้นจังหวะ สายตาคมกริบเหลือบมองริมฝีปากของเธอแวบหนึ่ง “แต่สำหรับผม ผมไม่ซื้อ”
ร่างกายของลินินสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่อยู่ ไม่ใช่เพราะความกลัว
แต่เป็นปฏิกิริยาต่อต้านที่รุนแรงต่อกระแสไฟฟ้าที่มองไม่เห็นซึ่งกำลังวิ่งพล่านอยู่ระหว่างพวกเขาทั้งสองคน ลมหายใจอุ่นร้อนของเขาที่เป่ารดข้างแก้มทำให้ขนอ่อนทั่วร่างลุกชัน
เธอควรจะผลักเขาออกไป ควรจะกรีดร้องด่าทอเขา แต่ร่างกายกลับทรยศ มันแข็งทื่อราวกับถูกสาป
“ผมต้องการสามไอเดียใหม่” เขาพูดต่อ ลมหายใจของเขาแทบจะสัมผัสใบหูเธออยู่รอมร่อ “สาม Big Ideas ที่จะทำให้ THE OASIS กลายเป็นตำนาน ไม่ใช่แค่นิยายน้ำเน่า”
เขายังคงไม่ถอยห่าง สายตาของเขายังคงจ้องลึกเข้ามาในดวงตาเธอราวกับจะสูบวิญญาณ ลินินเห็นเงาสะท้อนของตัวเองในนั้น เป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่กำลังสั่นไหว
“และผมต้องการให้ทั้งหมดมาวางบนโต๊ะทำงานผม ก่อนเก้าโมงเช้าวันพรุ่งนี้”
นี่คือเรื่องด่วนของเขา คือการมอบหมายงานที่เป็นไปไม่ได้ คือการกลั่นแกล้งกันซึ่ง ๆ หน้า
ในที่สุด เขาก็ยอมถอยห่างออกไป กลับไปนั่งที่บัลลังก์ของตัวเอง ทิ้งให้ลินินยืนพิงผนังกระจกเย็นเฉียบ พยายามควบคุมลมหายใจของตัวเองให้กลับมาเป็นปกติ
เธอรู้สึกเหมือนเพิ่งผ่านสมรภูมิรบที่มองไม่เห็นมา ร่างกายอ่อนล้า แต่ในใจกลับลุกโชนไปด้วยไฟแห่งความโกรธและความท้าทาย
“ได้ค่ะ” เธอกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้มั่นคงที่สุด “เก้าโมงเช้าพรุ่งนี้ พี่คินจะได้มันไป”
ลินินหมุนตัวแล้วหันหลังให้เขา ก่อนจะเดินออกจากกรงแก้วนั้นด้วยแผ่นหลังที่ตั้งตรง เธอจะไม่ยอมให้ผู้ชายคนนี้ทำลายเธอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน หรือเรื่องหัวใจ
เธอสาบานกับตัวเองในใจว่าเธอจะเปลี่ยนนรกของเขาให้กลายเป็นโอเอซิสของเธอให้ได้ !
ลินินกลับมาทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะทำงานของตัวเองราวกับตุ๊กตาไขลานที่แบตเตอรี่หมด ไฟแห่งความโกรธที่เคยลุกโชนเมื่อครู่มอดไหม้จนเหลือเพียงเถ้าถ่านแห่งความเหนื่อยล้าและท้อแท้ เธอยกมือกุมขมับ จ้องมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ว่างเปล่าราวกับมันเป็นปากเหวที่กำลังจะสูบกลืนเธอลงไป
สามไอเดีย ภายในคืนนี้ ...
มันไม่ใช่แค่การกลั่นแกล้ง แต่มันคือการประกาศสงครามอย่างเป็นทางการ
“ไอ้บอสปีศาจ !” เธอสบถออกมาเสียงลอดไรฟัน กำหมัดแน่นจนเล็บจิกเข้าที่ฝ่ามือ
“ด่าได้อีก เอาให้ดังกว่านี้ เผื่อซาตานจะได้ยิน” เสียงของมิ้นท์ดังขึ้นข้าง ๆ พร้อมกับบะหมี่ถ้วยร้อนฉ่ากลิ่นต้มยำที่วางกระแทกลงบนโต๊ะ และเครื่องดื่มชูกำลังอีกสองกระป๋อง “กูซื้อมาเผื่อ นึกแล้วว่ามึงต้องโดนรับน้องยกใหญ่”
ลินินเงยหน้ามองเพื่อนรัก น้ำตาที่อุตส่าห์กลั้นไว้ในห้องกระจกนรกนั่นทำท่าจะไหลออกมาเสียให้ได้ “มึง เขาสั่งให้กูคิด Big Idea ใหม่สามอัน ส่งพรุ่งนี้เช้า”
มิ้นท์เบิกตากว้าง “สามอัน ! เชี่ย นี่มันไม่ใช่คนแล้ว นี่มันทศกัณฐ์ชัด ๆ มีสิบหน้าไว้ตรวจงาน มีสิบมือไว้ขีดปากกาแดง กูจะไปจุดธูปสาปแช่งมัน !”
คำพูดติดตลกของเพื่อนทำให้ลินินหลุดหัวเราะออกมาทั้งน้ำตา เธอซดน้ำซุปเผ็ดร้อนลงคอ ความเผ็ดซ่านช่วยเรียกสติที่กระเจิดกระเจิงให้กลับเข้าร่าง “ขอบใจมึงมากนะมิ้นท์”
“เรื่องเล็กน่า ให้กูอยู่ช่วยมั้ย”
ลินินส่ายหน้า “ไม่เป็นไร กูอยากลุยเอง” ศักดิ์ศรีมันค้ำคอ นี่คือสงครามระหว่างเธอกับเขาโดยเฉพาะ
มิ้นท์ตบบ่าเพื่อนเบา ๆ
“โอเค สู้ ๆ นะมึง กูจะสวดมนต์ให้ แล้วก็ถ้ามึงอยากได้ไอเดีย ลองดูนี่” เพื่อนสาวยื่นโทรศัพท์มาให้ บนหน้าจอคือภาพตลก ๆ ของมีมสัตว์เลี้ยงที่กำลังทำหน้าเหวอ พร้อมแคปชั่นกวน ๆ
มันอาจจะดูไร้สาระ แต่สำหรับลินินแล้ว มันคือการจุดประกายเล็ก ๆ ความคิดสร้างสรรค์ไม่จำเป็นต้องมาจากตำราเสมอไป
หลังจากมิ้นท์กลับไปแล้ว ลินินก็เริ่มต้นเข้าสู่สมรภูมิรบของตัวเอง เธอลบภาพใบหน้าเย็นชาของธันวาออกไปจากหัวจนหมดสิ้น แล้วเริ่มระดมทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว แปะโพสต์อิทลงบนกำแพงจนลายพร้อยราวกับภาพศิลปะแนวนามธรรม เธอย้อนกลับไปที่แก่นของปัญหา คนเมืองต้องการอะไร ?
เวลาผ่านไปชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า ...
กองทัพกระดาษที่ถูกขยำทิ้งเริ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ข้างถังขยะ ความคิดแรกดี แต่ยังไม่สุด ความคิดที่สองนั้นก็ตื้นเขินเกินไป ความคิดที่สามก็ซ้ำซากจำเจ
ในห้องทำงานกระจกใสซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของออฟฟิศ ไฟยังคงเปิดสว่างอยู่เช่นกัน ธันวายังไม่กลับ เขานั่งตรวจเอกสารกองมหึมา แต่สายตาของเขากลับเหลือบมองออกมาเป็นระยะ จับจ้องไปยังร่างเล็ก ๆ ที่ยังคงนั่งสู้รบอยู่กับความคิดอย่างไม่ยอมแพ้ภายใต้แสงไฟนีออน
เขาเห็นความมุ่งมั่นในแววตาคู่นั้นผ่านผนังกระจก เห็นเงาของใครบางคนในอดีตซ้อนทับอยู่บนตัวเธอ ใครบางคนที่เคยมีความฝันเต็มเปี่ยมเหมือนกัน
แล้วเขาก็เห็น วินาทีที่ประกายไฟในตัวเธอถูกจุดติด
มันเกิดขึ้นตอนตีสามกว่า ๆ หลังจากที่ลินินฟุบหน้าลงกับโต๊ะไปพักใหญ่ จู่ ๆ เธอก็ดีดตัวขึ้นมา ดวงตาที่เคยอ่อนล้ากลับเบิกโพลงราวกับคนค้นพบขุมทรัพย์ เธคว้าปากกามาเขียนอะไรบางอย่างลงบนกระดาษด้วยความเร็วสูงราวกับถูกผีสิง
นิ้วเรียวเริ่มร่ายรำบนคีย์บอร์ดอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่การรัวแบบสะเปะสะปะ มันคือการบรรเลงบทเพลงแห่งชัยชนะที่หนักแน่นและมั่นคง โลกทั้งใบของเธอดับวูบลง เหลือเพียงตัวอักษรที่พรั่งพรูออกมาไม่หยุดหย่อน
แสงแรกของวันเริ่มสาดส่องผ่านกระจกบานใหญ่ ไล่ความมืดมิดของรัตติกาลให้จางหายไป ลินินยกมือขึ้นบิดขี้เกียจ สภาพของเธอดูไม่ต่างจากซอมบี้ในหนังดัง ผมเผ้ายุ่งเหยิง ขอบตาคล้ำเป็นหมีแพนด้า แต่บนใบหน้ากลับประดับไปด้วยรอยยิ้มของผู้ชนะ
บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ของเธอ ปรากฏไฟล์งานนำเสนอสามไฟล์ที่ตั้งชื่อไว้อย่างชัดเจน
THE OASIS: The Escape THE OASIS: The Reward THE OASIS: The Rebirth
สามแนวคิด สามเส้นทาง แต่พุ่งเป้าไปที่จุดหมายเดียวกัน
เธอสั่งพิมพ์งานทั้งสามชุดออกมาอย่างประณีต เข้าเล่มสันกาวอย่างเรียบร้อยราวกับเป็นผลงานชิ้นเอกชิ้นสุดท้ายในชีวิต
นาฬิกาบนผนังบอกเวลาแปดนาฬิกาห้าสิบเก้านาที
ลินินลุกขึ้นยืน เดินตรงไปยังห้องทำงานของธันวา ประตูกระจกยังคงปิดสนิท เธอไม่รู้ว่าเขาอยู่ข้างในหรือไม่ และเธอก็ไม่สนใจ
หญิงสาวค่อย ๆ ย่อตัวลง แล้วสอดเอกสารทั้งสามเล่มผ่านช่องว่างใต้ประตูเข้าไปอย่างเงียบเชียบ
สวบ
เสียงกระดาษเสียดสีกับพื้นพรมดังขึ้นเบา ๆ
ภารกิจเสร็จสิ้น !
ลินินยืดตัวขึ้น หันหลังกลับ และเดินออกจากออฟฟิศไปโดยไม่แม้แต่จะเหลียวกลับไปมอง เธอได้ขว้างถุงมือท้าประลองกลับไปให้เขาแล้ว
รุ่งเช้าในป้อมปราการของธันวานั้นเงียบสงบ แต่เป็นความสงบก่อนพายุจะเข้าอย่างแท้จริงพวกเขาตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดของกันและกัน ไม่มีความปรารถนาทางกายหลงเหลืออยู่แล้ว มีเพียงความแน่วแน่และมุ่งมั่นที่จะเผชิญหน้ากับชะตากรรมที่กำลังจะมาถึง ทั้งสองคนต่างรู้ดีว่าสิ่งที่ทำลงไปเมื่อคืน มันคือการจุดระเบิดเวลาที่นับถอยหลังสู่หายนะทางอาชีพพวกเขาอาบน้ำแต่งตัว สวมใส่เสื้อผ้าชุดทำงานที่เปรียบเสมือนชุดเกราะสำหรับออกรบแล้วโทรศัพท์ของธันวาก็ดังขึ้น ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอคือ ‘พี่เจต’ธันวากดรับแล้วเปิดลำโพง ยังไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยคำทักทาย เสียงที่เหมือนเสียงคำรามของพยัคฆ์บาดเจ็บก็ดังลั่นออกมาจากปลายสาย“พวกแกสองคนอยู่ที่ไหนกันหา?! รีบเข้ามาที่ออฟฟิศ!!!! เดี๋ยว!!!! นี้!!!!”ตู๊ด...สายถูกตัดไป ทิ้งไว้เพียงความเงียบและคำตัดสินที่ชัดเจน“ได้เวลาแล้วสินะ” ธันวาพูดเสียงเรียบ แต่แววตากลับแน่วแน่“ค่ะ” ลินินตอบกลับไป เอื้อมมือไปกุมมือของเขาไว้แน่น “ลินพร้อมแล้ว”
เวลาในห้องนั้นคล้ายจะหยุดเดิน...ริมฝีปากของลินินสัมผัสเข้ากับขอบแก้วที่เย็นเฉียบ เสียงของธันวาที่เคยเตือนไว้ดังก้องอยู่ในหัว‘ห้ามรับเครื่องดื่มจากใครก็ตามที่ไม่ใช่ผม’ภาพรอยยิ้มที่เหมือนผู้ชนะของเสี่ยวิวัฒน์ แววตาสะใจของแพรวา รวมถึงสายตากังวลของธันวาที่มองมาจากอีกฟากของห้อง ทุกอย่างประดังเข้ามาในเสี้ยววินาทีเธอต้องทำอะไรสักอย่าง!ในจังหวะที่ลินินกำลังจะแกล้งทำเป็นสะดุดเพื่อสาดแชมเปญในแก้วทิ้ง...“ลินิน! อย่า!”เสียงตะโกนที่ดังลั่นราวกับเสียงคำรามของราชสีห์ ทำให้ทุกคนในห้องหันไปมองเป็นตาเดียวธันวาทิ้งโทรศัพท์ในมืออย่างไร้ค่า ก้าวพรวด ๆ ฝ่าวงล้อมของแขกเหรื่อตรงมาที่เธอด้วยความเร็วที่น่าตกใจทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ก่อนที่ลินินจะได้ทันตั้งตัว มือแข็งแรงของเขาก็เอื้อมมาคว้าแก้วแชมเปญไปจากมือของเธออย่างแรงจนแชมเปญหกกระเซ็นไปเล็กน้อยทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบงัน เงียบเสียจนได้ยินเสียงฟองอากาศที่แตกตัวในแก้วแชมเปญของคนอื่น ๆหน้ากากของธันวาได้ถูกฉีกอ
การแสดงละครตบตาในออฟฟิศยังคงดำเนินต่อไป แต่ฉากรักร้อนแรงหลังม่านยังคงถูกจุดไฟให้ลุกโชนขึ้นทุกครั้งที่มีโอกาส ความสัมพันธ์ลับ ๆ ที่แสนอันตรายนี้กลายเป็นสิ่งเสพติดสำหรับคนทั้งสองไปเสียแล้ว...แต่พวกเขาไม่รู้เลยว่าทุกการกระทำของตนเองนั้น กำลังตกอยู่ในสายตาของอสรพิษสองตัวที่เฝ้ารอจังหวะตะครุบเหยื่อความสงสัยที่ถูกจุดขึ้นในงานเลี้ยงคืนนั้น กลายเป็นเปลวไฟที่เผาไหม้จิตใจของแพรวา เธอเริ่มสืบเสาะหาความจริงอย่างเงียบ ๆ ราวกับนักสืบเอกชนเธอย้อนดูใบเบิกค่าใช้จ่ายทั้งหมดของทริปภูเก็ต ตรวจสอบเวลาการจองตั๋วเครื่องบิน เวลาเช็กอินเข้าโรงแรม ทุกอย่างดูเหมือนจะปกติในสายตาคนทั่วไป แต่สำหรับคนที่จับจ้องหาความผิดปกติอย่างเธอแล้ว มันมีช่องโหว่เล็ก ๆ อยู่‘ทำไมต้องจองตั๋วแยกกัน แต่กลับได้ที่นั่งติดกัน?’‘ทำไมถึงเช็กเอาท์ออกจากโรงแรมช้ากว่ากำหนดการเดิมไปหลายชั่วโมง?’มันยังไม่ใช่หลักฐานที่มัดตัวได้ แต่สำหรับแพรวาแล้ว มันคือเส้นด้ายเล็ก ๆ ที่เธอพร้อมจะสาวไปให้ถึงต้นตอ***ชายแก่เจ้าเล่ห์ที่ถูกหักหน้าอย่างรุนแรง
ลินินกลับมาถึงห้องพักในสภาพที่จิตใจห่อเหี่ยวราวกับดอกไม้ที่ขาดน้ำ สัมผัสที่น่ารังเกียจของเสี่ยวิวัฒน์และสายตาที่ราวกับจะเปลื้องผ้าของเขายังคงติดตรึงอยู่ในความรู้สึกจนน่าขยะแขยง เธอพยายามจะนั่งทำงานต่อ แต่ก็ไม่มีสมาธิเลยแม้แต่น้อย ภาพใบหน้าเลื่อมใสของเขายังคงตามมาหลอกหลอนก๊อก... ก๊อก...เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นทำให้เธอสะดุ้งสุดตัว หัวใจเต้นระรัวด้วยความหวาดระแวง แต่แล้วเสียงทุ้มที่คุ้นเคยก็ดังลอดเข้ามา“ลิน... ผมเอง”เธอรีบวิ่งไปเปิดประตูทันที ภาพที่เห็นคือธันวาในสภาพที่ดูอิดโรยและเคร่งเครียดไม่แพ้กัน เขาก้าวเข้ามาในห้องแล้วปิดประตูลง ก่อนจะดึงร่างของเธอเข้าไปกอดไว้ในอ้อมแขนที่แข็งแกร่งอย่างแนบแน่นโดยไม่พูดอะไรสักคำอ้อมกอดของเขาเป็นที่หลบภัยที่ดีที่สุดในโลก“คุณโอเคไหม?” เขากระซิบถาม เสียงของเขาเต็มไปด้วยความห่วงใยอย่างแท้จริงลินินส่ายหน้าช้า ๆ พลางซบใบหน้าลงกับแผงอกของเขา ปล่อยให้น้ำตาที่อัดอั้นไว้ตลอดทั้งวันไหลรินออกมาอย่างเงียบ ๆ เธอรู้สึกปลอดภัยอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
หลังจากบทร่วมรักอันน่าพิศวาสได้จบสิ้นลง เหลือทิ้งไว้เพียงสองร่างที่เปลือยเปล่าและอ่อนล้าอยู่บนโซฟาธันวายังคงกอดเธอไว้แน่น ซบใบหน้าอยู่กับซอกคอของเธอราวกับเด็กที่หลงทางและเพิ่งจะหาทางกลับบ้านเจอ คำขอโทษของเขายังคงวนเวียนอยู่ในอากาศที่หนักอึ้ง แต่สำหรับลินินแล้ว บาดแผลครั้งนี้มันลึกเกินกว่าที่คำขอโทษจะเยียวยาได้ในทันทีเธอค่อย ๆ ดันตัวเขาออกอย่างแผ่วเบา แล้วเผชิญหน้ากับเขาในความเงียบ ดวงตาของเธอยังคงแดงก่ำ แต่ไม่มีน้ำตาไหลออกมาอีกแล้ว“มันไม่ใช่แค่ความโกรธหริกค่ะ พี่คิน” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือแต่ก็หนักแน่น “แต่มันคือคำพูดของพี่ที่ว่าลินใช้ร่างกายเพื่อให้ได้งาน ที่พี่ไม่ไว้ใจลินเลยแม้แต่นิดเดียว”คำพูดของเธอเหมือนมีดที่กรีดซ้ำลงไปบนแผลในใจของเขา ธันวาหลบสายตาเธอเป็นครั้งแรก แววตาเต็มไปด้วยความละอายใจอย่างปิดไม่มิด“ผม... ผมมันเลวเอง” เขาพูดเสียงแผ่ว “มันไม่ใช่ความผิดของคุณเลยลินิน มันเป็นปมของผมเอง”เขาถอนหายใจยาว ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องราวที่เขาไม่เคยบอกใครมาก่อน เรื่องราวของความรักในอดีตท
“เรา... เราต้องบ้ากันไปแล้วแน่ ๆ” ลินินหัวเราะออกมาเบา ๆ ขณะที่พยายามจัดเสื้อผ้าที่ยับยู่ยี่ของตัวเองให้เข้าที่บนโต๊ะทำงานที่เคยศักดิ์สิทธิ์ของเขาธันวาช่วยเธอจัดปกเสื้อเบลาส์ให้เข้าที่อย่างอ่อนโยน ปลายนิ้วของเขาสัมผัสผิวเนื้อบริเวณลำคอของเธอแผ่วเบา เป็นสัมผัสที่ทำให้หัวใจของเธอกลับมาเต้นแรงอีกครั้ง“บ้าที่สุด แต่ก็ดีที่สุด” เขากระซิบตอบ ก่อนจะขโมยจูบจากเธอไปอีกหนึ่งฟอดเป็นการทิ้งท้ายพวกเขาช่วยกันเก็บกวาดสนามรบอย่างรวดเร็ว จัดเอกสารที่กระจัดกระจายให้กลับเข้าที่ ทุกการกระทำเต็มไปด้วยความใกล้ชิดและความลับที่อบอวลอยู่รอบตัว ราวกับคู่รักที่กำลังทำเรื่องผิดศีลธรรมที่น่าตื่นเต้นคืนนั้น หลังจากแยกย้ายกันกลับบ้าน ลินินนอนหลับไปพร้อมกับรอยยิ้มและร่างกายที่ยังคงอุ่นซ่านจากสัมผัสของเขาเช้าวันต่อมา ธันวาก็กลับไปสวมหน้ากากเจ้านายจอมโหดได้อย่างแนบเนียน เขายังคงวิจารณ์งานเธออย่างเผ็ดร้อน สั่งแก้ไขโปรเจกต์อย่างไม่หยุดหย่อน แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือแววตาของเขาในทุกครั้งที่สายตาของพวกเขาประสานกันกลางที่ประชุม หรือเดิน