ธันวานั่งอยู่ในความเงียบของอาณาจักรกระจกใสของตนเอง แสงแดดยามสายที่ส่องเข้ามาไม่ได้ทำให้บรรยากาศอุ่นขึ้นเลยแม้แต่น้อย บนโต๊ะทำงานที่ว่างเปล่าราวกับแท่นบูชา มีเพียงเอกสารสามเล่มที่เขารู้ดีว่าใครเป็นคนสอดมันเข้ามาเมื่อรุ่งสาง
เขาหยิบเล่มแรกขึ้นมาเปิด THE OASIS: The Escape
ไอเดียว่าด้วยการหลีกหนีจากความวุ่นวาย ปลอดภัย คาดเดาได้ และน่าเบื่อ เขาใช้เวลาอ่านไม่ถึงห้านาทีก็วางมันลง
เล่มที่สอง THE OASIS: The Reward
แนวคิดเรื่องการให้รางวัลชีวิตดูจับต้องได้มากขึ้น แต่ยังคงฉาบฉวยและไร้ซึ่งจิตวิญญาณ มันเหมือนงานของแพรวามากกว่าของลินิน เขาคิดในใจ
แล้วเขาก็หยิบเล่มสุดท้ายขึ้นมา THE OASIS: The Rebirth
เพียงแค่ชื่อหัวข้อก็ทำให้ปลายนิ้วของเขาชะงักไปชั่วครู่ เขาค่อย ๆ พลิกเปิดไปทีละหน้า
ไม่มีภาพประกอบสวยหรู มีเพียงตัวอักษรที่ถูกเรียงร้อยอย่างทรงพลัง บอกเล่าเรื่องราวของการเกิดใหม่ การทิ้งตัวตนเก่าที่เหนื่อยล้าเพื่อค้นพบตัวตนใหม่ที่ดีกว่า มันไม่ใช่การหนี แต่มันคือการเผชิญหน้า มันไม่ใช่รางวัล แต่คือการเปลี่ยนแปลงจากภายในสู่ภายนอก
มันลึกซึ้ง และเจ็บปวด
ธันวาวางเอกสารเล่มสุดท้ายลง เขานั่งนิ่งไปนานหลายนาที ดวงตาคมกริบจ้องมองออกไปยังภาพเมืองเบื้องล่าง แต่ไม่ได้เห็นอะไรเลย ในหัวของเขากำลังเกิดสงครามขนาดย่อมระหว่างความทึ่งและความรู้สึกบางอย่างที่เขาไม่อยากยอมรับ ความประทับใจ
ติ๊ง !
อีเมลเชิญประชุมด่วนถูกส่งออกจากห้องทำงานของเขาในอีกสิบนาทีต่อมา
“War Room 2.0”
ลินินกลับมาที่ออฟฟิศในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่น ร่างกายโหยหากาแฟและเตียงนอน แต่หัวใจกลับเต้นรัวเหมือนกลองสงคราม เธอเดินเข้าห้องประชุมด้วยความรู้สึกเหมือนนักโทษที่กำลังเดินไปฟังคำพิพากษา
ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าแล้ว แพรวานั่งไขว่ห้างส่งยิ้มหยันมาให้เธอ ราวกับจะบอกว่าฉันรอดูความล้มเหลวของเธออยู่ ส่วนธามมองมาด้วยแววตาเป็นห่วงและให้กำลังใจ และธันวายังคงเป็นบุรุษน้ำแข็งคนเดิม
เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง เพียงแค่วางเอกสารทั้งสามเล่มลงกลางโต๊ะประชุม
“ผมอ่านหมดแล้ว” เขาเปิดประเด็นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “The Escape ลืมมันไปได้เลย มันคือไอเดียของคนที่หมดไฟ”
“The Reward ก็แค่การตลาดลดแลกแจกแถมที่พยายามห่อด้วยกระดาษสวย ๆ”
คำวิจารณ์ที่เฉียบขาดทำให้แพรวาลอบยิ้มอย่างพอใจ ส่วนลินินได้แต่กำหมัดแน่นอยู่ใต้โต๊ะ เตรียมใจรับชะตากรรม
แล้วธันวาก็หยิบเล่มที่สามขึ้นมา “ส่วน The Rebirth”
ทั้งห้องเงียบกริบราวกับป่าช้า
“แก่นของมันใช้ได้”
เพียงแค่ประโยคสั้น ๆ นั้น ก็ราวกับมีเสียงระเบิดดังขึ้นในความเงียบ ลินินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง แพรวาหุบยิ้มฉับ หน้าตึงขึ้นมาทันที
“แต่...” แแน่นอนว่าต้องมีคำว่าแต่เสมอสำหรับผู้ชายคนนี้ “การนำเสนอยังอ่อนหัด แท็กไลน์ที่เสนอมาก็เชยสิ้นดี เหมือนขุดมาจากยุค 90”
“เดี๋ยวนะครับพี่คิน” ธามเป็นคนพูดขัดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม “ผมว่าคอนเซ็ปต์นี้ยอดเยี่ยมมากเลยนะคุณลินิน มันคือความลึกซึ้งที่เราตามหาอยู่เลย มันไม่ใช่แค่การขายของ แต่มันคือการสร้างแรงบันดาลใจ !”
คำชื่นชมอย่างตรงไปตรงมาของธามเป็นเหมือนน้ำทิพย์ชโลมใจของลินิน แต่ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นเหมือนการสาดน้ำมันเข้ากองไฟ
สายตาของธันวาตวัดไปยังธามเพียงเสี้ยววินาที เป็นเสี้ยววินาทีที่ความเย็นชาในดวงตาเข้มข้นขึ้นจนเกือบจะแช่แข็งคนได้ ก่อนที่เขาจะหันกลับมาและพูดด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาดยิ่งกว่าเดิม
“คอนเซ็ปต์นี้ อนุมัติ”
ลินินแทบหยุดหายใจ
“แต่มันเป็นแค่จุดเริ่มต้น” เขามองตรงมาที่เธอเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เข้าห้องประชุมมา “งานที่แท้จริงมันเริ่มจากตรงนี้ต่างหาก ผมต้องการให้คุณเป็นคนนำทีมพัฒนาต่อยอดไอเดียนี้ และอย่าทำให้ผมผิดหวัง”
มันไม่ใช่คำชม แต่มันคือคำประกาศิตที่หนักแน่นยิ่งกว่าคำชมใด ๆ มันคือการยอมรับในความสามารถของเธออย่างเป็นทางการ
การประชุมสิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว ลินินยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม พยายามประมวลผลทุกอย่างที่เกิดขึ้น ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาทั้งคืนมลายหายไปสิ้น ถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกของผู้ชนะที่บาดเจ็บแต่ก็ภาคภูมิใจ
เธอเงยหน้าขึ้น และสายตาของเธอก็ประสานเข้ากับสายตาของธันวาที่มองมาจากอีกฟากของโต๊ะพอดิบพอดี
ในแววตาของเขายังคงไร้ซึ่งความอ่อนโยน แต่ลินินเห็นบางอย่างในนั้น บางอย่างที่เปลี่ยนไป มันคือประกายของการยอมรับ และอาจจะเป็นความท้าทายระลอกใหม่ที่กำลังรอเธออยู่
ทว่า ทันทีที่ประตูห้องประชุมปิดลง สติของลินินที่ลอยเคว้งคว้างอยู่ก็ถูกกระชากกลับเข้าร่างด้วยแรงเขย่าที่หัวไหล่
“มึง ! ยัยลิน ! มึงทำได้ ! กรี๊ดดดดดดดดดด กูกรี๊ดแทนได้มั้ย !”
มิ้นท์ดีใจเสียยิ่งกว่าถูกรางวัลที่หนึ่ง เธอเขย่าเพื่อนรักไปมาจนหัวสั่นหัวคลอน ลินินที่ยังคงมึนงงได้แต่หัวเราะออกมาเบา ๆ ความเหนื่อยล้าทั้งหมดถูกปัดเป่าหายไปสิ้น เหลือเพียงความรู้สึกอิ่มเอมใจที่พุ่งขึ้นมาจุกอยู่ที่อก
“กู กูทำได้จริง ๆ เหรอวะมิ้นท์”
“ได้สิโว้ย ! ได้แบบสวย ๆ เลยด้วย มึงเห็นหน้ายัยแพรวาป่ะ เมื่อกี้หน้าซีดเหมือนไก่ต้มเลย สะใจกูชะมัด” มิ้นท์ทำท่าสะใจสุดขีด “แบบนี้ต้องฉลอง เย็นนี้ชาบูหมูกระทะเท่านั้นที่จะเยียวยาทุกสิ่ง !”
ชัยชนะครั้งนี้มันหอมหวานเกินกว่าที่ลินินจะจินตนาการได้ มันไม่ใช่แค่การได้รับการยอมรับ แต่มันคือการตบหน้าคนที่เคยดูถูกเธออย่างฉาดฉาน
“เก่งนี่...”
เสียงเยียบเย็นที่ดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้บรรยากาศที่กำลังรื่นเริงพลันสะดุดกึก แพรวายืนกอดอกมองมาที่พวกเธอด้วยรอยยิ้มที่เหมือนฉาบยาพิษ
“ไม่คิดเลยนะว่าจะได้ไปต่อ ก็ดีเหมือนกัน จะได้รอดูว่าไอเดียสวยหรูแบบนี้มันจะขายของได้จริง ๆ รึเปล่า หรือจะเป็นแค่โปรเจกต์สวยแต่เจ๊งอีกโปรเจกต์”
คำพูดนั้นทิ้งไว้ราวกับลูกดอกอาบยาพิษ ก่อนที่เจ้าตัวจะสะบัดผมแล้วเดินจากไปอย่างไม่ไยดี
“ปากหรือส้วมวะนั่น ?!” มิ้นท์โพล่งขึ้นอย่างหัวเสีย
“อย่าไปใส่ใจเลยครับคุณลินิน ผลงานมันพิสูจน์ตัวเองอยู่แล้ว”
เสียงทุ้มนุ่มที่ดังขึ้นทำให้หญิงสาวทั้งสองหันไปมอง ธามเดินเข้ามาหาพร้อมรอยยิ้มอบอุ่นที่เป็นดั่งโอเอซิสของจริงในทะเลทรายแห่งความริษยา
“ผมบอกแล้วว่าไอเดียของคุณสุดยอดมาก”
“ขอบคุณค่ะคุณธาม” ลินินยิ้มออกมาจากใจจริงเป็นครั้งแรกของวัน
“เรื่องแบบนี้ต้องฉลองนะครับ” เขากล่าวอย่างมีเสน่ห์ “ให้ผมได้เลี้ยงอาหารมื้อเที่ยงเป็นการแสดงความยินดีได้ไหมครับ ถือว่าเป็นรางวัลสำหรับคนเก่ง และเราจะได้คุยรายละเอียดของ Rebirth กันต่อด้วย แค่เราสองคน”
ประโยคสุดท้ายนั้นชัดเจน มันคือการเชิญเดทที่สุภาพและน่าหวั่นไหวที่สุด ลินินรู้สึกแก้มร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง กำลังจะเอ่ยปากตอบตกลงอยู่รอมร่อ
แต่แล้ว เงาร่างสูงก็ทาบทับลงมาโดยที่ไม่มีใครคาดคิด
ธันวาเดินผ่านมา ฝีเท้าของเขายังคงเงียบกริบและเย็นชาเช่นเคย เขาไม่ได้หยุด ไม่ได้หันมามองหน้าใคร แต่ประโยคที่หลุดออกมาจากริมฝีปากหยักสวยนั้นกลับมีอานุภาพทำลายล้างสูง
“คุณลินิน ผมต้องการไทม์ไลน์การพัฒนาโปรเจกต์ Rebirth ทั้งหมด วางบนโต๊ะผมก่อนบ่ายสองโมง”
เขาพูดจบก็เดินลิ่ว ๆ เข้าห้องทำงานไป ทิ้งระเบิดเวลาลูกใหญ่ไว้เบื้องหลัง
ลินินอ้าปากค้าง ไทม์ไลน์โปรเจกต์ใหญ่ขนาดนี้แต่ให้เสร็จภายในเวลาไม่ถึงสามชั่วโมง ?
นี่มันยิ่งกว่าเดจาวู นี่มันคือการจงใจฆ่ากันให้ตายชัด ๆ รอยยิ้มแห่งความสุขเมื่อครู่เหือดหายไปทันที
เธอหันไปหาธามด้วยสีหน้าลำบากใจอย่างสุดซึ้ง “เอ่อ ต้องขอโทษจริง ๆ ค่ะคุณธาม พอดีมีงานด่วนเพิ่งเข้ามา คงไปทานมื้อเที่ยงด้วยไม่ได้แล้ว”
ธามมีสีหน้าผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังคงรักษารอยยิ้มสุภาพบุรุษไว้ได้ “อ้อ ไม่เป็นไรเลยครับ เรื่องงานต้องมาก่อนอยู่แล้ว งั้นไว้โอกาสหน้านะครับ”
“ค่ะ ไว้โอกาสหน้า” เธอตอบรับเสียงแผ่ว
หลังจากธามเดินจากไป ลินินก็หันขวับไปมองยังกรงแก้วของซาตานร้ายด้วยสายตาที่ลุกเป็นไฟ เธอมองเห็นเขานั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน ก้มหน้าก้มตาดูเอกสารราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เธอรู้ ลึกลงไปในใจเธอรู้ดีว่าเขาจงใจทำมัน
ผู้ชายคนนี้มอบรางวัลให้เธอด้วยมือข้างหนึ่ง แต่ก็ใช้มืออีกข้างล่ามโซ่ตรวนเส้นใหม่ที่หนักอึ้งกว่าเดิมไว้ที่ข้อเท้าของเธอ
เขาเพิ่งจะมอบอาณาจักรให้เธอปกครอง เพียงเพื่อจะย้ำเตือนให้เธอรู้ว่า กษัตริย์ที่แท้จริงของที่นี่คือใคร
ความรู้สึกอิ่มเอมใจเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นความเดือดดาลระลอกใหม่ ลินินกลับไปนั่งที่โต๊ะ กระแทกแป้นพิมพ์เปิดโปรแกรมทำไทม์ไลน์ขึ้นมา
รุ่งเช้าในป้อมปราการของธันวานั้นเงียบสงบ แต่เป็นความสงบก่อนพายุจะเข้าอย่างแท้จริงพวกเขาตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดของกันและกัน ไม่มีความปรารถนาทางกายหลงเหลืออยู่แล้ว มีเพียงความแน่วแน่และมุ่งมั่นที่จะเผชิญหน้ากับชะตากรรมที่กำลังจะมาถึง ทั้งสองคนต่างรู้ดีว่าสิ่งที่ทำลงไปเมื่อคืน มันคือการจุดระเบิดเวลาที่นับถอยหลังสู่หายนะทางอาชีพพวกเขาอาบน้ำแต่งตัว สวมใส่เสื้อผ้าชุดทำงานที่เปรียบเสมือนชุดเกราะสำหรับออกรบแล้วโทรศัพท์ของธันวาก็ดังขึ้น ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอคือ ‘พี่เจต’ธันวากดรับแล้วเปิดลำโพง ยังไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยคำทักทาย เสียงที่เหมือนเสียงคำรามของพยัคฆ์บาดเจ็บก็ดังลั่นออกมาจากปลายสาย“พวกแกสองคนอยู่ที่ไหนกันหา?! รีบเข้ามาที่ออฟฟิศ!!!! เดี๋ยว!!!! นี้!!!!”ตู๊ด...สายถูกตัดไป ทิ้งไว้เพียงความเงียบและคำตัดสินที่ชัดเจน“ได้เวลาแล้วสินะ” ธันวาพูดเสียงเรียบ แต่แววตากลับแน่วแน่“ค่ะ” ลินินตอบกลับไป เอื้อมมือไปกุมมือของเขาไว้แน่น “ลินพร้อมแล้ว”
เวลาในห้องนั้นคล้ายจะหยุดเดิน...ริมฝีปากของลินินสัมผัสเข้ากับขอบแก้วที่เย็นเฉียบ เสียงของธันวาที่เคยเตือนไว้ดังก้องอยู่ในหัว‘ห้ามรับเครื่องดื่มจากใครก็ตามที่ไม่ใช่ผม’ภาพรอยยิ้มที่เหมือนผู้ชนะของเสี่ยวิวัฒน์ แววตาสะใจของแพรวา รวมถึงสายตากังวลของธันวาที่มองมาจากอีกฟากของห้อง ทุกอย่างประดังเข้ามาในเสี้ยววินาทีเธอต้องทำอะไรสักอย่าง!ในจังหวะที่ลินินกำลังจะแกล้งทำเป็นสะดุดเพื่อสาดแชมเปญในแก้วทิ้ง...“ลินิน! อย่า!”เสียงตะโกนที่ดังลั่นราวกับเสียงคำรามของราชสีห์ ทำให้ทุกคนในห้องหันไปมองเป็นตาเดียวธันวาทิ้งโทรศัพท์ในมืออย่างไร้ค่า ก้าวพรวด ๆ ฝ่าวงล้อมของแขกเหรื่อตรงมาที่เธอด้วยความเร็วที่น่าตกใจทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ก่อนที่ลินินจะได้ทันตั้งตัว มือแข็งแรงของเขาก็เอื้อมมาคว้าแก้วแชมเปญไปจากมือของเธออย่างแรงจนแชมเปญหกกระเซ็นไปเล็กน้อยทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบงัน เงียบเสียจนได้ยินเสียงฟองอากาศที่แตกตัวในแก้วแชมเปญของคนอื่น ๆหน้ากากของธันวาได้ถูกฉีกอ
การแสดงละครตบตาในออฟฟิศยังคงดำเนินต่อไป แต่ฉากรักร้อนแรงหลังม่านยังคงถูกจุดไฟให้ลุกโชนขึ้นทุกครั้งที่มีโอกาส ความสัมพันธ์ลับ ๆ ที่แสนอันตรายนี้กลายเป็นสิ่งเสพติดสำหรับคนทั้งสองไปเสียแล้ว...แต่พวกเขาไม่รู้เลยว่าทุกการกระทำของตนเองนั้น กำลังตกอยู่ในสายตาของอสรพิษสองตัวที่เฝ้ารอจังหวะตะครุบเหยื่อความสงสัยที่ถูกจุดขึ้นในงานเลี้ยงคืนนั้น กลายเป็นเปลวไฟที่เผาไหม้จิตใจของแพรวา เธอเริ่มสืบเสาะหาความจริงอย่างเงียบ ๆ ราวกับนักสืบเอกชนเธอย้อนดูใบเบิกค่าใช้จ่ายทั้งหมดของทริปภูเก็ต ตรวจสอบเวลาการจองตั๋วเครื่องบิน เวลาเช็กอินเข้าโรงแรม ทุกอย่างดูเหมือนจะปกติในสายตาคนทั่วไป แต่สำหรับคนที่จับจ้องหาความผิดปกติอย่างเธอแล้ว มันมีช่องโหว่เล็ก ๆ อยู่‘ทำไมต้องจองตั๋วแยกกัน แต่กลับได้ที่นั่งติดกัน?’‘ทำไมถึงเช็กเอาท์ออกจากโรงแรมช้ากว่ากำหนดการเดิมไปหลายชั่วโมง?’มันยังไม่ใช่หลักฐานที่มัดตัวได้ แต่สำหรับแพรวาแล้ว มันคือเส้นด้ายเล็ก ๆ ที่เธอพร้อมจะสาวไปให้ถึงต้นตอ***ชายแก่เจ้าเล่ห์ที่ถูกหักหน้าอย่างรุนแรง
ลินินกลับมาถึงห้องพักในสภาพที่จิตใจห่อเหี่ยวราวกับดอกไม้ที่ขาดน้ำ สัมผัสที่น่ารังเกียจของเสี่ยวิวัฒน์และสายตาที่ราวกับจะเปลื้องผ้าของเขายังคงติดตรึงอยู่ในความรู้สึกจนน่าขยะแขยง เธอพยายามจะนั่งทำงานต่อ แต่ก็ไม่มีสมาธิเลยแม้แต่น้อย ภาพใบหน้าเลื่อมใสของเขายังคงตามมาหลอกหลอนก๊อก... ก๊อก...เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นทำให้เธอสะดุ้งสุดตัว หัวใจเต้นระรัวด้วยความหวาดระแวง แต่แล้วเสียงทุ้มที่คุ้นเคยก็ดังลอดเข้ามา“ลิน... ผมเอง”เธอรีบวิ่งไปเปิดประตูทันที ภาพที่เห็นคือธันวาในสภาพที่ดูอิดโรยและเคร่งเครียดไม่แพ้กัน เขาก้าวเข้ามาในห้องแล้วปิดประตูลง ก่อนจะดึงร่างของเธอเข้าไปกอดไว้ในอ้อมแขนที่แข็งแกร่งอย่างแนบแน่นโดยไม่พูดอะไรสักคำอ้อมกอดของเขาเป็นที่หลบภัยที่ดีที่สุดในโลก“คุณโอเคไหม?” เขากระซิบถาม เสียงของเขาเต็มไปด้วยความห่วงใยอย่างแท้จริงลินินส่ายหน้าช้า ๆ พลางซบใบหน้าลงกับแผงอกของเขา ปล่อยให้น้ำตาที่อัดอั้นไว้ตลอดทั้งวันไหลรินออกมาอย่างเงียบ ๆ เธอรู้สึกปลอดภัยอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
หลังจากบทร่วมรักอันน่าพิศวาสได้จบสิ้นลง เหลือทิ้งไว้เพียงสองร่างที่เปลือยเปล่าและอ่อนล้าอยู่บนโซฟาธันวายังคงกอดเธอไว้แน่น ซบใบหน้าอยู่กับซอกคอของเธอราวกับเด็กที่หลงทางและเพิ่งจะหาทางกลับบ้านเจอ คำขอโทษของเขายังคงวนเวียนอยู่ในอากาศที่หนักอึ้ง แต่สำหรับลินินแล้ว บาดแผลครั้งนี้มันลึกเกินกว่าที่คำขอโทษจะเยียวยาได้ในทันทีเธอค่อย ๆ ดันตัวเขาออกอย่างแผ่วเบา แล้วเผชิญหน้ากับเขาในความเงียบ ดวงตาของเธอยังคงแดงก่ำ แต่ไม่มีน้ำตาไหลออกมาอีกแล้ว“มันไม่ใช่แค่ความโกรธหริกค่ะ พี่คิน” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือแต่ก็หนักแน่น “แต่มันคือคำพูดของพี่ที่ว่าลินใช้ร่างกายเพื่อให้ได้งาน ที่พี่ไม่ไว้ใจลินเลยแม้แต่นิดเดียว”คำพูดของเธอเหมือนมีดที่กรีดซ้ำลงไปบนแผลในใจของเขา ธันวาหลบสายตาเธอเป็นครั้งแรก แววตาเต็มไปด้วยความละอายใจอย่างปิดไม่มิด“ผม... ผมมันเลวเอง” เขาพูดเสียงแผ่ว “มันไม่ใช่ความผิดของคุณเลยลินิน มันเป็นปมของผมเอง”เขาถอนหายใจยาว ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องราวที่เขาไม่เคยบอกใครมาก่อน เรื่องราวของความรักในอดีตท
“เรา... เราต้องบ้ากันไปแล้วแน่ ๆ” ลินินหัวเราะออกมาเบา ๆ ขณะที่พยายามจัดเสื้อผ้าที่ยับยู่ยี่ของตัวเองให้เข้าที่บนโต๊ะทำงานที่เคยศักดิ์สิทธิ์ของเขาธันวาช่วยเธอจัดปกเสื้อเบลาส์ให้เข้าที่อย่างอ่อนโยน ปลายนิ้วของเขาสัมผัสผิวเนื้อบริเวณลำคอของเธอแผ่วเบา เป็นสัมผัสที่ทำให้หัวใจของเธอกลับมาเต้นแรงอีกครั้ง“บ้าที่สุด แต่ก็ดีที่สุด” เขากระซิบตอบ ก่อนจะขโมยจูบจากเธอไปอีกหนึ่งฟอดเป็นการทิ้งท้ายพวกเขาช่วยกันเก็บกวาดสนามรบอย่างรวดเร็ว จัดเอกสารที่กระจัดกระจายให้กลับเข้าที่ ทุกการกระทำเต็มไปด้วยความใกล้ชิดและความลับที่อบอวลอยู่รอบตัว ราวกับคู่รักที่กำลังทำเรื่องผิดศีลธรรมที่น่าตื่นเต้นคืนนั้น หลังจากแยกย้ายกันกลับบ้าน ลินินนอนหลับไปพร้อมกับรอยยิ้มและร่างกายที่ยังคงอุ่นซ่านจากสัมผัสของเขาเช้าวันต่อมา ธันวาก็กลับไปสวมหน้ากากเจ้านายจอมโหดได้อย่างแนบเนียน เขายังคงวิจารณ์งานเธออย่างเผ็ดร้อน สั่งแก้ไขโปรเจกต์อย่างไม่หยุดหย่อน แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือแววตาของเขาในทุกครั้งที่สายตาของพวกเขาประสานกันกลางที่ประชุม หรือเดิน