“เจ้าค่ะคุณหนู!” สาวใช้รับคำทันที แล้วหมุนกายวิ่งออกจากสวนใหญ่
สาวใช้หายไปหนึ่งเค่อเดินกลับมาพร้อมถาดไม้ที่ใส่ถ้วยข้าวต้มและถ้วยปลาป่นเอาไว้ด้านใน ก่อนจะวางลงตรงหน้าคุณหนูรองที่นั่งโบกพัดในมือเชิดหน้าขึ้นมองดอกไม้ในสวนยามนี้
“ยกสำรับเก่ากลับไปด้วย วางตรงนี้เกะกะสายตา” ข้าเอ่ยพร้อมกับปรายตามองโต๊ะ
“เจ้าค่ะ” สาวใช้รีบเดินเข้ามายกสำรับนำกลับไปเก็บ
พลันสาวใช้ผู้นั้นเดินพ้นสายตาข้าถึงจะยกถ้วยข้าวต้ม พร้อมกับตักปลาป่นขึ้นมากิน พอช้อนยกขึ้นมาจ่อปาก กลิ่นเค็มๆ ของปลาที่ชวนสะอิดสะเอียนก็ปะทะเข้าจมูก กลิ่นของมันราวกับของเสียเหม็นชวนอาเจียนออกมา
อุบ! อึก! ข้ากระอักกระอ่วนในปาก อาหารเย็นของเมื่อวานกำลังตีขึ้นมาที่คอ จากที่คอไหลทะลักออกมาทางปาก
“อ้วกกกกกกกกกกกกก โฮกกกกกกกก” ข้าอาเจียนพุ่งออกมาด้านนอก สำไส้ด้านในบีบตัวรัด ดันอาหารทั้งหมดออกมา ดวงตาพร่ามัวไปด้วยน้ำตาที่ปริ่มออกมายามอ้าปากอาเจียน ขมับทั้งสองเต้นตุบๆ เวียนหัวขึ้นมาเสียดื้อๆ
“คุณหนูรอง เป็นอันใดรึ” เยี่ยเปาเดินตามเสียงอาเจียนมาถึงเรือนไม้ขนาดย่อม หรือศาลาขนาดเล็กข้างบ่อน้ำที่เอาไว้นั่งพักผ่อนหย่อนใจในสวน มองเห็นไป๋ซิงหนี่ว์กำลังโก่งคออาเจียนออกมาไม่หยุด
“ข้าแค่อาหารมิถูกปากเท่านั้น...อ้วกกกกกกก” ข้ากล่าวตอบ รีบก้มหน้าลงกระโถนไปอาเจียนต่อ
“ข้าจะไปบอกบ่าวให้ตามหมอมาให้ดีหรือไม่” เยี่ยเปากล่าวขึ้นด้วยความเป็นห่วง อย่างไรเสียน้องภรรยาก็เปรียบเสมือนน้องตนเอง เขาควรสอดส่องดูแลนางเสียหน่อยยามที่ภรรยาไม่อยู่ในคฤหาสน์
“รบกวนท่านด้วย” ข้าก้มหัวขอบใจพี่เขยเล็กน้อย จากนั้นก็ก้มหน้าลงกระโถนต่อ
เมื่ออาเจียนจนหมดแรงจึงเงยหน้าขึ้นมานั่งเอนหลังหายใจหอบ ไม่รู้ว่าพี่เขยไปตอนไหน เมื่อครู่นี้หลับหูหลับตาอาเจียนออกมาอย่างเดียว ไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างเลยสักนิด
ข้ายกมือขึ้นกุมหน้าอกตนเองเอาไว้ กะพริบตามองภาพเบื้องหน้าให้ชัดเจน เพราะยามนี้ทั้งหูทั้งตาเบลอไปหมด หากลุกขึ้นยืนเดินกลับเรือนมีหวังต้องหน้ามืดเป็นลมลงไปเป็นแน่
เรือนเหมย
ข้าเดินกลับเรือนมาอย่างทุลักทุเล ทิ้งตัวนั่งลงบนตั่งในห้องโถง ยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดเหงื่อที่ซึมไหลออกมาตรงหน้า แล้วรับน้ำชาจากสาวใช้คนเดิมที่รีบร้อนนำเข้ามาให้
“มิสบายหรือเจ้าคะ ดื่มชาสักหน่อย” สาวใช้เอ่ยถามคุณหนูด้วยความเป็นห่วง
“แค่เพียงเวียนหัวมวนท้อง เจ้าไปทำงานอื่นต่อเถิด นั่งพักประเดี๋ยวก็ดีขึ้น” ข้าไล่นางออกไป เพราะอยากอยู่ผู้เดียว คร้านจะมานั่งสนทนาตอบคำถามอีก แค่นั่งเฉยๆ ก็รู้สึกเหนื่อยมากพอแล้ว
“ประเดี๋ยวก่อน เจ้าไปหยิบกระโถนมาวางให้ข้า!” ข้าตะโกนสั่งก่อนที่นางจะเดินจากไป ยามนี้มีอาการพะอืดพะอมในคอคล้ายกับว่าจะอาเจียนออกมาอีกรอบ
“ข้าจะรีบนำมาให้เจ้าค่ะ” สาวใช้ก้มหน้าลงเล็กน้อย ครุ่นคิดถึงอาการของคุณหนูตนเองด้วยความสงสัยในใจ
ข้านั่งพะอืดพะอมดมยาหอม ล้างปากด้วยน้ำชา นั่งเอนหลังพักให้หายเวียนหัว มันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนที่เคยมีสุขภาพดี นอนหลับสนิทอย่างเป็นสุขทุกคืน ต้องมาสะดุ้งตัวตื่นขึ้นมาอย่างผวา เพราะไม่อาจหยุดคิดถึงเรื่องเลวร้ายนั้นลงได้เลยสักนิดเดียว แม้กระทั่งตอนหลับ
มันบั่นทอนสภาพจิตใจทำให้ข้าหวาดระแวง หากมีใครล่วงรู้เข้า มิพ้นต้องเอาไปนินทาให้อับอายเสียเกียรติ ไม่ต้องคิดเลยว่าจะมีบุรุษใดจะเข้ามาขอ ไม่มีทางที่พวกเขาจะแต่งสตรีที่มีมลทินเข้าไปเป็นฮูหยินได้นอกจากอนุภรรยาเท่านั้น หมดสิ้นแล้วอนาคตที่วาดฝันไว้
เรื่องนี้ต้องเก็บเอาไว้ลึกสุดใจ ไม่กล่าวแพร่งพรายให้ผู้ใดฟัง ความผิดพลาดครั้งนี้จะมีข้าเพียงผู้เดียวที่รับรู้ และไม่หวังให้บุรุษเช่นคุณชายจิ้นมารับผิดชอบใดๆ ในชีวิต
อุบ อึก! นั่งพักไปได้เพียงครู่เดียวพลันก็คลื่นไส้อาเจียนขึ้นมาอีกรอบ ข้ารีบยกกระโถนที่สาวใช้นำมาวางไว้ให้ขึ้นมาจ่อปากแล้วอาเจียนออกมาเป็นน้ำ
ส่วนไป๋มี่อิงที่เดินทางไปรับไป๋จิวเซียน ฮูหยินรองของนางที่เมืองกุ้ยฉิน ก็เดินทางมาถึงคฤหาสน์ตระกูลไป๋ และยังรับรู้เรื่องโหดร้ายที่สหายคนสนิทของนางได้ทำการล่วงเกินน้องสาวหัวแก้วหัวแหวนที่เลี้ยงดูมาอย่างดี
นางให้หูทิพย์ตาทิพย์สวรรค์ที่อยู่ใต้คำบัญชาของผู้นำหอหลิวลี้เช่นนางไปตามสืบความมาจนกระจ่าง หอหลิวลี้นี้เป็นหออันดับหนึ่งในยุทธภพ ขายข่าวให้ผู้คนที่อยากทราบสิ่งที่ตนเองมิอาจทราบได้นั่นเอง จึงเป็นเรื่องง่ายอย่างมากที่จะตามสืบหาคนร้ายที่แอบเข้ามาในเรือนเหมยคืนแต่งงานของนาง และข่มเหงไป๋ซิงหนี่ว์
ไป๋มี่อิงเดินเข้ามาในเรือนเหมย สิ่งแรกที่นางพบเห็นนั่นคือ ไป๋ซิงหนี่ว์กำลังยกกระโถนขึ้นมาอาเจียนเสียงดัง ดวงหน้างามที่เคยอมชมพูสุขภาพดี มีเลือดฝาด มีรอยยิ้ม และนัยน์ตาสดใส บัดนี้กลับซีดขาวลงราวกับผ้าฝ้ายสีขาว ดวงตาหม่นหมองไร้ความสุข
“เม่ยเหม่ยมิสบายรึ...เจ้าให้บ่าวไปตามท่านหมอมาหรือยัง” ไป๋มี่อิงกล่าวพลางเดินไปนั่งบนตั่งตัวเดียวกับไป๋ซิงหนี่ว์ พลางลูบหลังมือน้องสาวอย่างเบามือ
“ปากเขายังเล็ก เมื่อโตขึ้นมาหน่อยสองเดือนสามเดือนได้ เขาก็จับดูดถึงลานนม...แต่จะว่าไปแล้วนั้นเหมือนตอนที่เสี่ยวฝานดื่มนมข้าไม่มีผิด” ฮูหยินหม่านกล่าวขึ้น ทำสีน่าปลื้มปริ่มมองเอ้อเหอเสี่ยงพอสิ้นคำกล่าวของท่านแม่ ในหัวก็แล่นภาพดวงหน้าคุณชายจิ้นซ้อนทับกับลูกขึ้นมาทันที ข้าอุตส่าห์ลืมไปแล้วเพราะความเจ็บ ไฉนความคิดนี้ถึงวกกลับมาได้อีกกันเมื่อสลัดภาพคุณชายจิ้นออกจากหัว ภาพอาเอ้อยามขยับปากดูดนมกลับทำให้ข้ามีความสุขถึงแม้ว่าจะเจ็บจนร้องไห้ก็ตามทีกินเก่งเช่นนี้ต้องเหลือให้น้องอีกสองคนด้วยรู้หรือไม่ ข้าเอ่ยกับเขาในใจ แล้วเหลือบตาไปมองอาลิ่ว อาปา ที่กำลังร้องไห้อยู่ ดูท่าหนทางให้นมลูกวันนี้ยังอีกยาวไกลนัก…เรือนซิ่วของจิ้นฝานด้านข้างจะมีต้นไม้ใหญ่ ถ้ายืนใต้ต้นไม้นั้นจะมองทะลุหน้าต่างเรือนเข้าไปด้านในเป็นห้องนอน และมองเห็นจิ้นฝานที่กำลังผลัดเปลี่ยนมาสวมเป็นชุดขุนนางในยามนี้ ขยับปากกล่าวกับสวี่เจียวไปด้วย ไม่รู้ว่าเขากล่าวอะไรออกมาถึงทำให้สวี่เจียวตกใจอยู่ไม่น้อยนํ้าเสียงของคนทั้งสองเบาราวกับสายลม แต่เนื้อหาของบทสนทนาน่าจะดูตกใจอยู่มาก จนทำให้สวี่เจียวที่ยืนถือเสื้อคลุมนั้นถึงกับมือไม้อ่อนทำเส
พลันเมื่อเปิดประตูเข้าไปในห้อง เสียงหยอกล้อผสมกับเสียงร้องไห้ก็ดังกระทบเข้ามาที่หูจากห้องด้านข้าง ตอนแรกที่ได้ยินก็ไม่คิดว่าจะดังถึงขั้นแสบหูเช่นนี้ “คุณชายน้อยลิ่วร้องโยเยไม่หยุดเลยเจ้าค่ะ” เสียงที่ดังลอดออกมาคือแม่นางเฉินข้าจึงผลักประตูเข้าไปในห้องเห็นคุณชายจิ้นนั่งนิ่งยกนํ้าชาขึ้นจิบอย่างสงบ ปรายตามองมาทางข้า ท่ามกลางความวุ่นวายที่เกิดขึ้นรอบตัวเขาท่านแม่กล่อมเด็กอ่อนใบหน้าที่เหมือนกับคุณชายจิ้น ฮูหยินเฒ่ามีสีหน้าตระหนกไม่ต่างกัน อุ้มเด็กน้อยที่มีใบหน้าเหมือนคุณชายจิ้น แม่นางเฉินหางตาตก สีหน้าอมทุกข์ อุ้มเด็กหน้าเหมือนคุณชายจิ้นคุณชายจิ้นหนึ่ง คุณชายจิ้นสอง คุณชายจิ้นสาม คุณชายจิ้นสี่ บ้าจริง! บุตรชายแฝดสามคนได้พ่อของเขามาทั้งหมดราวกับคุณชายจิ้นแยกร่าง และย่อส่วนลงให้ตัวเล็กลงขนาดกะทัดรัด“หนี่ว์เอ๋อร์ตื่นแล้วหรือ พวกเขากำลังหิวนมพอดีเลย” ฮูหยินหม่านกล่าว ก่อนหน้านี้ก็ให้แม่นมป้อนไปแล้ว กินจุบจับไปห้าหกทีก็ไม่ยอมกินอีก“เห็นตัวเล็กหน้าซื่อๆ แต่กลับเลือกกินตั้งแต่เด็ก” ฮูหยินเฒ่ากล่าวบ่น ใช้นิ้วเขี่ยลงไปที่หน้าผากปาเหอเสี่ยง หรือเจ้าแปดที่ร้องไห้ลั่นในอ้อมแขนของนาง“เหมือนพ่อเขา
“ดูเล็กไปหมดเลยขอรับ จมูก ปาก หู” จิ้นฝานกล่าวไปตามที่เห็น ภาพน้องสาวน้องชายของเขาที่เคยอุ้มยามเด็กเลือนรางไปตามกาลเวลา พอมาวันนี้ความรู้สึกนั้นก็ย้อนกลับมาอีกครั้งมันหอมหวานไปด้วยความสุขความยินดีอยู่ด้านในอกของเขาคล้ายจะล้นทะลักออกมาข้างนอก“อาฝาน เจ้าต้องเป็นนักคัดลอกฝีมือดีเป็นแน่” ฮูหยินเฒ่ากล่าวเย้า“ทำไมหรือเจ้าคะ” ฮูหยินหม่านเอ่ยถามอย่างสงสัยในคำกล่าวนั้น“เจ้าดูเสีย ราวกับเอาหน้าอาฝานมาแปะไว้” ฮูหยินเฒ่ากล่าว หลุบตาลงมองเหลนชายที่อุ้มเอาไว้“ฮ่าๆ” ฮูหยินหม่านได้ยินก็ลั่นเสียงหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ หันไปลูบหัวบุตรชายพร้อมกับกล่าวไปด้วยว่า“สงสัยว่าตอนทำ เจ้าคงจะขยันปั้นน่าดู”จิ้นฝานที่ได้ยินก็หลุบตาลงมองเอ้อเหอเสี่ยง คืนนั้นมันบางเบาราวกับหมอก พร่ามัวอยู่ในความทรงจำ ครุ่นคิดเท่าไรก็ครุ่นคิดไม่ออก ส่วนไหนของคุณหนูรองหน้าตาเป็นแบบไหนเขาเองก็จำไม่ได้ พอตื่นขึ้นมาก็รู้เพียงแค่ว่าปวดเมื่อยไปหมดทั้งตัว ยิ่งช่วงเอวมิต้องกล่าวถึงเมื่อแวะหามาลูกแล้วนั้นก็ถึงคราไปหาแม่ของลูกชายที่ห้องนอนใหญ่ด้านข้าง เขานั่งลงบนเตียงลูบหัวฮูหยินน้อยที่นอนหลับอย่างเบามืออยู่เนิ่นนาน…สัมผัสเบาๆ ที่หัว
“ฮึ เวลาผ่านไปเร็วนัก ยามนั้นท่านยังเป็นเด็กหนุ่ม มาบัดนี้เติบโต ดูทระนง และสง่าสมฐานะเสนาบดีฝ่ายขวาในอนาคตอย่างยิ่ง” เสนาบดีจางกล่าว สายตามองลึกเข้าไปในดวงตาดุดันของชายหนุ่มที่ยืนเบื้องหน้า“ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น” จิ้นฝานตอบเสียงนิ่ง หน้านิ่งกวาดตามองเหล่าฮูหยินของเสนาบดีจางที่นั่งตัวสั่นภายในห้องนับผ่านทางสายตาขุนนางเฒ่าผู้นี้มีภรรยาสิบคน แต่กลับมีบุตรเพียงไม่กี่คนเท่านั้น บุตรชายห้าคน บุตรสาวคนเล็กอีกหนึ่งคนที่ยังไม่แต่งออกไป“ข้าขอสนทนากับท่านในฐานะที่เคยเป็นเจ้านายกับลูกน้องกันมาหลายปีหน่อยเถิด ไท่จื่อจะลงโทษตัดสินตระกูลจางถึงโทษขั้นไหน” เสนาบดีจางถามเสียงอ่อน ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างหมดหวัง“โทษประหารเก้าชั่วโคตร โทษของผู้ที่คิดคดก่อกบฏไม่มีผ่อนปรน” จิ้นฝานตอบตามตรง หลุบตาลงมองชายชราที่นั่งมือสั่น วางกับพนักแขน“แต่พวกนาง และพวกเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ข้าจะรับโทษไว้ทั้งหมด” เสนาบดีจางที่นั่งก้มหน้าลงเอ่ยขึ้น“ท่านเป็นถึงเสนาบดี คงจะทราบดีว่าโทษนี้ไม่อาจเลือกปฏิบัติได้ เมื่อทำผิดใหญ่หลวง ย่อมต้องรับผิดชอบทั้งหมดร่วมกัน” จิ้นฝานตอบเสียงนิ่ง“คุณชายจิ้น...” เสนาบดีจางเงยหน้าขึ้นสบดวงต
จิ้นฝานมองมือของนางที่ยกค้างกลางอากาศแล้วยิ้มออกมา ก่อนจะหลับตาลงและขยับหน้าไปแนบกับฝ่ามือของนางอย่างช้าๆ นิ่งค้างสักพัก แล้วดึงหน้ากลับมาลืมตาช้าๆ มองภาพสะท้อนตัวเองบนดวงตาคู่หวานของนาง“เจอกันวันพรุ่ง” จิ้นฝานกล่าวลาเป็นครั้งสุดท้าย หมุนกายกลับหลังแล้ววิ่งออกไปอย่างรีบร้อนข้ายืนนิ่ง และสูดลมเข้าจมูก เมื่อครู่นี้...เมื่อครู่นี้เกิดอันใดขึ้น สัมผัสนั้นราวกับความฝันเสี่ยวเมิ่งยืนมองฮูหยินน้อยที่ยืนอึ้งไปครู่หนึ่ง นางจึงส่ายหน้าเบาๆ ในท่าทีของนายท่าน จะไม่ให้ฮูหยินตกใจได้อย่างไร อยู่ๆ ก็ใช้ข้ออ้างมาขอเบี้ย เพื่อมาลาภรรยาก่อนจะออกไปทำงานใหญ่ ยังมิวายหยอดสาวงามหนึ่งที แล้วรีบวิ่งหนีไปเสียดื้อๆ ลูกเล่นเขานับว่าแพรวพราวขึ้นทุกวัน“เสี่ยวเมิ่ง เจ้าเห็นเหมือนที่ข้าเห็นหรือไม่...” ข้าเอ่ยเสียงขาดหายหันหลังกลับไปถามนางด้านหลัง“นายท่านตั้งใจจะแวะมาลาฮูหยินน้อยเจ้าค่ะ” เสี่ยวเมิ่งกล่าวไปตามตรง“เขาต้องเพี้ยนไปเป็นแน่” ข้าเอ่ย เอามือที่สัมผัสหน้าคุณชายจิ้นก่อนหน้านี้มากุมเอาไว้ แล้วเดินเข้าเรือนไปตอนนี้คล้ายกับว่าในหัวใจเหมือนมีกลีบบุปผาเบ่งบานอยู่เต็มไปหมด จะให้บรรยายออกมานั้นข้าเองก็ไม่อาจเข
๑๑ฝูงลิงเมื่อดอกเหมยโรยราร่วงหล่นลงพื้นจนหมดต้นแล้วนั้น มันก็เริ่มผลิใบอ่อนขึ้นมาใหม่มีสีเขียวเต็มต้น จากนั้นก็เข้าสู่ช่วงผลัดใบออก บ่งบอกถึงฤดูกาลที่เปลี่ยนไปอีกหนึ่งฤดู ยามนี้ข้านั่งเล่นตรงระเบียง เอนตัวพิงหมอนด้านข้าง นั่งดูสีใบไม้ในสวนผ่านแสงจันทร์สีนวลในคืนนี้ท้องของข้าขยายใหญ่มาก ไม่ใช่มากธรรมดา มันใหญ่มากของมาก มิใช่แฝดสองที่คิดเอาไว้ ท่านหมอกล่าวบอกว่าน่าจะแฝดสามหรือไม่ก็แฝดสี่ได้ ถ้าดูจากขนาดท้องนี้ก่อนหน้านี้สองเดือนเกือบสามเดือนได้ คุณชายจิ้นมาขอยุติข้อตกลงไว้ชั่วคราวก่อน เพราะเขาติดทำภารกิจ ต้องกลับเรือนดึกดื่นเกือบเช้าทุกวัน จึงไม่อยากเข้ามากวนข้ากับลูกยามดึกข้าเองก็ไม่ติดใจอันใด เพราะรู้ว่าเขานั้นกำลังยุ่งวุ่นวายกับเรื่องในวังหลวง จึงกลายเป็นว่าเห็นหน้าเขาไม่เกินสิบครั้งได้กระมังที่ผ่านมา แต่ละครั้งที่เจอก็ตอนมาขอเบี้ยรายเดือนของเขา เดือนไหนเบี้ยหมดไวก็อาจจะเจอสองครั้งสามครั้งต่อเดือน ไม่รู้ว่าเอาเบี้ยไปเททิ้งหรืออย่างไร หมดเร็วยิ่งนักส่วนเจ้าโซว่ก็ตัวโตขึ้น มันเป็นพันธุ์ผสมหมาป่า รูปร่างจึงใหญ่กว่าสุนัขบ้าน มีเรียวขาที่ยาวตัวสูงปราดเปรียวสีขาวฟูฟ่อง แต่กลับมีนิสัย