และก็เกิดคำกล่าวขึ้นหนึ่งประโยคในใจ ‘นางกล่าวเช่นนี้...หรือเหตุการณ์ในคืนวันแต่งงานจะมีอะไรที่มากกว่านั้น”
เขานิ่งงันไปพักเดียว ถึงจะกล่าวออกมาต่อ “ก็น่าจะมีโอกาสตั้งท้องอยู่...ในฝันเหมือนข้าร่วมรักกับนางเกือบทั้งคืน หากนางตั้งท้อง ข้าคงจะรับเข้ามาเป็นอนุภรรยากระมัง” เขากล่าวออกไปกึ่งสนใจ และกึ่งไม่สนใจในประโยคหลังของตนเอง
ความจริงเรื่องคืนนั้นก็ติดใจเขาอยู่เช่นกัน...ถ้ามิใช่ไป๋มี่อิงที่เขาหลงคิดไปเอง ก็ต้องเป็นบ่าวใช้ของนางในคฤหาสน์ แต่ถึงกระนั้นเหตุใดต้องหลบหนีเขาไปด้วย ถ้านางอยู่เขาอาจจะรับผิดชอบ ถ้าจะให้เขามาป่าวประกาศถามความคนทั้งหมดก็คงไม่น่าดู
เขาจึงนึกคิดไปว่าการที่สตรีผู้นั้นหนีไปคงจะไม่ต้องการให้เขารับผิดชอบกระมัง
เคร้ง เคร้ง เคร้ง พอสิ้นคำกล่าวของเขาครู่เดียว ตะเกียบทั้งสามคู่ก็ร่วงหล่นลงบนโต๊ะอย่างพร้อมเพรียง เยี่ยเปามองตาค้าง จ้องมองดวงหน้าเข้มของจิ้นฝาน และเลื่อนไปมองดวงหน้าเห่อแดง ดวงตาคลอไปด้วยน้ำใสรื้นที่แดงไปไม่แพ้จมูกของไป๋ซิงหนี่ว์ในยามนี้
ข้าเม้มปากเข้า...บุรุษน่าชัง เขาจะรับผิดชอบด้วยการแต่งข้าเป็นอนุภรรยาน่ะหรือ มันไม่ต่างจากบ่าวใช้แม้แต่น้อย จะไปมีสิทธิ์มีเสียงในเรือนได้อย่างไรกัน
ข้ากำหมัดเข้าแน่นด้วยความโกรธ เขาเล่นดูถูกตระกูลไป๋เกินไปหรือเปล่า ตระกูลชั้นนำของเมืองหลวง แต่จะให้แต่งไปเป็นอนุภรรยา เป็นบุรุษที่ต่ำช้าเสมอต้นเสมอปลายเสียจริง!
ถ้าตามธรรมเนียมจริงๆ ก็เป็นไปตามที่จิ้นฝานกล่าว สตรีที่เสียพรหมจรรย์ก่อนแต่งงานเป็นเรื่องผิดต่อบรรพชน หากพวกนางไม่ถูกขับไล่ออกจากตระกูล ก็ต้องถูกแต่งเข้าไปในฐานะอนุภรรยาเท่านั้น มิอาจแต่งเป็นฮูหยินใหญ่ออกหน้าออกตาได้อีก
แต่ถึงกระนั้น ถ้ารู้จักตระกูลไป๋เป็นอย่างดี ย่อมรู้ว่ากฎระเบียบเหล่านี้เป็นเพียงคำกล่าวเลื่อนลอยทะลุหูพวกเขาไปเท่านั้น
ซิ่นสือที่กำลังคีบอาหารเข้าปากวางตะเกียบลงอย่างบนถ้วยอย่างหมดความอดทนในความทะลึ่งทะเล้นของสหายทั้งสองคน เขาหลับตาลงช้า ๆ สูดลมเข้าจมูกอ้าปากขึ้นตวาดเสียงดังลั่น
“พวกเจ้าทั้งสอง!!! มียางอายกันบ้างหรือไม่!!!” กล่าวจบก็ลุกขึ้น เอื้อมมือไปด้านหน้าดึงติ่งหูสหายทั้งสอง
“โอ๊ย! โอ๊ยยยยยย!!!” เสียงโอดครวญของคนทั้งสองดังประสานขึ้นเสียงหลง ลากยาวตามแรงดึงมือของซิ่นสือในยามนี้
“เบามือหน่อยเถิดไท่จื่อ หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ!” แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่ได้เจ็บมากพอที่จะทำให้ไป๋มี่อิงจอมทะเล้นหยุดกล่าววาจาหยอกเย้าเขา
“ไท่จื่อหรือ...มี่เอ๋อร์ เจ้าสมควรโดนเยอะกว่าเสี่ยวจิ้น” ซิ่นสือกล่าวพร้อมกับออกแรงดึงมากขึ้น และกล่าวออกไปต่ออีก
“ครานี้พวกเจ้าควรจะรู้จักสงวนคำกล่าวลามกพวกนั้นเสียที!”
เมื่อมีคนคอยห้ามปราม บนโต๊ะจึงกลับมาสนทนาเรื่องปกติกันตามเดิม แต่เรื่องที่สนทนานั้นยังคงวกวนอยู่แต่กับสตรีในฝันของจิ้นฝาน
ไป๋มี่อิง จิ้นฝาน และซิ่นสือ เป็นสหายต่างสถานะกันที่คบหากันมานานอย่างสนิทใจ แต่ในความสัมพันธ์นั้นกลับมีหนึ่งในสามที่ไม่สนิทใจกับสหายตนเองนั่นคือ จิ้นฝาน เขาเพิ่งจะรู้ใจตนเองก็ในวันที่มันสายไปแล้ว ไป๋มี่อิงที่เขาหลงรักแต่งงานกับเยี่ยเปา
พอถึงเวลานี้เขาก็ไม่อาจเอ่ยคำในใจออกไปให้นางรับรู้ได้อีก...
ส่วนไป๋มี่อิงเองนั้นจับความรู้สึกของน้องสาวต่างมารดาได้ ยามนี้นางหลุบตามองมือเล็กที่กำเข้ากับอาภรณ์จนยับยู่ เลือดวิ่งมาหล่อเลี้ยงจนกำปั้นเล็กๆ นั้นแดงซ่าน เส้นเลือดเส้นเอ็นปูดออกมาจากหลังมือ
จากนั้นก็เลื่อนสายตาไปมองสหายของนางที่นั่งไม่รู้สึกรู้สากับเรื่องที่ตัวเองทำเอาไว้ นางเอ่ยขึ้นในใจอย่างเนิบช้า
‘เสี่ยวฝานเอ่ย หากเจ้ามิโง่เขลาเหมือนหมู...จนมองไม่ออกว่าตนเองนั้นได้เดินออกจากเรือนซิงหนี่ว์ และทำการขืนใจนางเช่นนั้น เจ้าจะต้องเสียใจในภายหลังเป็นแน่’ นี่คือคำกล่าวราวกับประกาศิตประหักประหารจิ้นฝานของไป๋มี่อิง ว่าในอนาคตจะต้องเกิดเรื่องที่มิอาจคาดเดาขึ้นได้จากการวางแผนของนาง
“เม่ยเหม่ย…เจ้าต้องกินเยอะๆ ข้ากำชับให้คนครัวตั้งใจทำมาให้เจ้าโดยเฉพาะ” ไป๋มี่อิงเอ่ยกับนาง
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” ข้ากล่าวเสียงแหบแห้ง ภายในอกอึดอัดราวกับว่ามีลมอัดแน่นอยู่ด้านใน รู้สึกว่าหายใจค่อนข้างลำบากกว่าในเวลาปกติ คล้ายกับว่าลมนั้นอัดตัวแน่นจนเป็นก้อนแข็งๆ มากระจุกรวมอยู่ในคอ
ข้าก้มหน้าลงคีบอาหารเข้าปาก เคี้ยวและกลืนมันลงคออย่างไร้รสชาติ ลิ้นชาปากชาเพราะคำกล่าวดูถูกของคุณชายจิ้นเหมือนกับฝ่ามือตบลงบนใบหน้าข้าจนชาวาบไปหมด
เขาทำสตรีตั้งท้องโดยผิดขนบธรรมเนียม สิ่งแรกที่ควรจะทำนั่นคือกล่าวขอโทษนางจากใจจริง เป็นบุรุษมากไปด้วยแรง แต่ไม่รู้จักการรับผิดชอบทางใจและสำนึกผิดจริงๆ รู้จักแต่จะใช้วิธีการรับผิดชอบแบบมักง่ายไปเท่านั้น
เวลาผ่านไปสองเค่อ ทุกคนต่างก้มหน้าก้มตากินอาหารบนโต๊ะ และสนทนากันเรื่องประเพณีล่าสัตว์ที่จะจัดขึ้นที่เกาะเหวินเฉิง ปีนี้ไป๋มี่อิงตั้งใจว่าจะพาครอบครัวตนเองเข้าร่วมด้วย
เมื่อถึงเวลาอันสมควรจะต้องแยกย้ายกัน นางจึงกล่าวขึ้น “ข้าเพิ่งนึกออกว่าจะมีการค้านอกเมืองหลวง…อีกทั้งยังต้องพาฮูหยินใหญ่ไปด้วย เสี่ยวฝานไปส่งซิงหนี่ว์กับจิวเซียนที่คฤหาสน์ได้หรือไม่”
นางมักกล่าวเรียกสหายอย่างเอ็นดูอยู่เสมอ ไม่เสี่ยวจิ้นก็เสี่ยวฝาน พวกเขาทั้งสามเรียกกันอย่างสนิทสนมไม่อายผู้คน เพราะสายสัมพันธ์นี้หนาแน่นกันมานานเกือบสิบปี และผู้คนต่างรู้กันดีในความสนิทชิดเชื้อนี้
ส่วนตัวข้าก็สบายตัว ทานอาหารได้คล่องคอมากขึ้น ถึงแม้จะยังมีอาการแพ้ท้องอยู่ก็ตามที หรืออาจจะเป็นเพราะคำแนะนำก่อนหน้านี้ที่ช่วยทำให้สบายใจมากขึ้นก็อาจเป็นไปได้ คำแนะนำของเขาคล้ายกับยาในรูปแบบหนึ่งเจิ้งเหรินอี้ที่นั่งฝั่งตรงข้ามเห็นสีหน้าชื่นมื่นสดใสขึ้นของคุณหนูรองไป๋ ก็ก้มหน้าลงยกจอกชาขึ้นดื่ม แย้มยิ้มออกมาเล็กน้อย และทอดสายตามองดูนางรำด้านหน้าต่อส่วนจิ้นฝานลุกจากที่นอน จัดอาภรณ์เข้าที่แล้วก็เดินออกจากกระโจมเข้าร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้เขาเดินไปนั่งโต๊ะด้านหน้าสุด ซึ่งตั้งอยู่ด้านข้างโต๊ะของเสนาบดีฝ่ายขวา และยังได้เอ่ยทักทายเสนาบดีจางออกไปสองสามประโยค“ซือจื๋อมานั่งโต๊ะเดียวกันเถิด” เสนาบดีจางเอ่ยเรียกอย่างเป็นมิตร“ขอรับ” จิ้นฝานรับคำ ลุกขึ้นไปร่วมโต๊ะและนั่งหลังตรง หลุบตามองบ่าวที่กำลังเทสุราลงจอกให้เขาเหตุใดต้องเป็นสุรา เพราะอากาศหนาวสุราจึงช่วยดับความหนาวภายในร่างกายลงได้หลายส่วน พวกเขาจึงนิยมนั่งจิบกันเรื่อยๆ ขณะล้อมวงสนทนาสายลมยามดึกพัดผ่าน ทำให้เปลวไฟในคบเพลิงวูบไหว สายลมนี้พัดเอากลิ่นหอมอ่อนๆ ของสุราในมือจิ้นฝานลอยเข้าจมูกมันเป็นกลิ่นหอมที่เหม็นชวนให้ลมในท้องก่อตัวเป็นพายุ ร
“ซิงหนี่ว์ เมื่อครู่คุณชายจิ้นมองทางนี้ด้วย” หลิงจูเอ่ยขึ้นอย่างดีใจ เขย่าแขนเสื้อสหายเบาๆ“เหอะๆ” ข้าเพียงหัวเราะแห้งในคอ เขยิบกายหันหลังให้กับคุณชายจิ้นแทน วันนี้อากาศสดใส ท้องฟ้าปลอดโปร่งไร้เมฆ นับว่าเป็นวันดี เช่นนั้นแล้วจำเป็นต้องมองแต่สิ่งที่สบายใจและเป็นมงคล หากเห็นของอัปมงคล วันนี้อาจจะวิบัติเอาได้ทางด้านจิ้นฝานรับสุราต้มร้อนๆ ขึ้นมาเป่าไปได้สองลม เพื่อให้ความอบอุ่นคลายหนาวยามเช้า พลันก็ย่นคิ้วเข้า ขยับจอกสุราขึ้นมาจ่อจมูก ทำสีหน้ากระอักกระอ่วน และวางลงไปบนโต๊ะตามเดิมเสนาบดีจางเห็นท่าทางไม่สู้ดีของเขาจึงเอ่ยทักออกไปด้วยความสงสัย“สุรามิถูกปากหรือซือจื๋อ”“กลิ่นมิค่อยถูกจมูกขอรับ” จิ้นฝานตอบไปตามตรง“กลิ่นก็ปกติดีนี่” เสนาบดีจางเอ่ย ยกจอกสุราขึ้นมาดม เงยหน้าขึ้นมองจิ้นฝานอย่างแปลกใจ และเอ่ยขึ้นมาใหม่“ซือจื๋อลองยกขึ้นมาดมดูใหม่เถิด ถ้ากลิ่นยังเหมือนเดิมอาจจะเป็นจอกสุราที่ล้างไม่สะอาดกระมัง จะได้ให้บ่าวมาเปลี่ยนให้ใหม่”“ขอรับ” จิ้นฝานที่คิ้วยุ่ง หลุบตาลงยกจอกสุราขึ้นมาดมเฮือกหนึ่ง ท้องไส้ก็พลันปั่นป่วนขึ้นมาเสียดื้อๆท่านเสนาบดีจางทำตาโต ตกใจมองสีหน้าดำแดงที่เปลี่ยนมาอมเขียวร
๒ความจริงที่มาพร้อมความจำใจเขาผ่อนลมหายใจออกมาแผ่วเบาและยืดกายขึ้น ปล่อยมือของนางวางลงช้าๆ และกลืนน้ำลายลงคอเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยขึ้น“มีอาการทุกวันไหม”“เกือบทุกวันเจ้าค่ะ” ข้าตอบอย่างเข้าใจในคำถามของเขา“มีอาการอันใดอีกนอกจากอาเจียน” เจิ้งเหรินอี้กลับมาทำสีหน้ายิ้มแย้มตามเดิมเอ่ยถามนางอีก“ไม่ค่อยอยากอาหาร ส่วนมากที่กินเข้าไปคือต้องกินอย่างหลีกเลี่ยงมิได้” ข้าตอบเสร็จก็เม้มปากเข้า มองสีหน้าเป็นมิตรของบุรุษตรงหน้า“อืม...อาการข้างเคียงช่วงนี้ท่านมีเรื่องให้คิดหนักหรือ หยินภายในจึงมิสมดุลเช่นนี้” เจิ้งเหรินอี้กล่าวช้าๆ ด้วยน้ำเสียงอ่อนลงและฟังรื่นหู“มีเจ้าค่ะ จะส่งผลร้ายหรือไม่เจ้าคะ” ข้าเอ่ยถามอย่างร้อนใจ"มากเกินจำเป็นก็ส่งผลร้าย ขนาดคนที่มีร่างกายดีก็ทรุดได้เช่นกัน” เจิ้งเหรินอี้กล่าวจบ ริมฝีปากบางก็ปิดสนิท และยกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มที่เข้าใจในความทุกข์ของนางที่เก็บเอาไว้“ข้า…” เสียงแผ่วเบาลอดออกจากปาก หลุบตามองท้องตนเอง พยายามจะไม่คิด แต่มิอาจลบล้างความคิดและความทรงจำได้เลย และเงยหน้าขึ้นไปเอ่ยกับหมอเจิ้ง“ข้าควรจะทำเช่นไรดีเจ้าคะ”“คุณหนูไป๋หมายถึงร่างกายหรือสภาพจิตใจ” เจิ้งเหรินอ
“โป๊ยกั๊กนี่นำไปต้มดื่มทุกวันกับน้ำชา ไม่เกินสามวันจะเป็นปกติตามเดิม เจ้าเพียงแค่ข้อเท้าเคล็ดเท่านั้น ข้านำติดกายมาด้วยเพียงเล็กน้อย ถ้าหมดก็ไปขอเอาได้จากในครัว” เจิ้งเหรินอี้กล่าว“จริงหรือเจ้าคะ!” เสี่ยวเมิ่งกล่าวขึ้นเสียงดังอย่างดีใจ นางเพียงข้อเท้าเคล็ดเท่านั้น นึกว่าจะหักเสียแล้ว บ่าวน้อยกล่าวขึ้นในใจ“ฮ่าๆ จริงสิ ข้าจะโป้ปดเจ้าให้ได้อันใด” เจิ้งเหรินอี้หัวเราะก่อนจะเอ่ยตามอย่างขบขันเสี่ยวเมิ่งฉีกยิ้มกว้างก้มหัวขอบใจอีกสามรอบ ส่วนเจิ้งเหรินอี้ก็ยืนประกบมือไว้ด้านหน้าขา และเลื่อนสายตาไปมองคุณหนูตระกูลไป๋ ก่อนจะกล่าวออกไปอีก“ตาท่านแล้ว แต่ข้าต้องขอออกไปล้างมือก่อนสักครู่” เขาหลุบตามองเท้าเสี่ยวเมิ่ง เป็นนัยแฝงไปด้วยข้าเบิกตาขึ้นเล็กน้อย กำมือใต้แขนเสื้อ หายใจติดขัด ก่อนจะพยักหน้ารับเขาอย่างเข้าใจ แต่ที่ไม่เข้าใจในยามนี้จะให้หลิงจูสหายคนสนิทนี้ออกไปด้านนอกนั้น ควรจะใช้วิธีอันใดถึงจะดูแนบเนียนมากที่สุด พอหมอเจิ้งหมุนกายเดินออกจากห้องไป ก็ผุดความคิดหาข้ออ้างได้ออก“หลิงจู ข้าหิวข้าวยิ่งนัก” ข้าแสร้งกล่าวเสียงอ่อน เดินกุมท้องไปนั่งด้านข้างของนาง“ซิงหนี่ว์ เจ้ายังมิได้กินข้าวตั้งแต่
“ใช่เจ้าค่ะ” หลิงจูเอ่ยขึ้นอีกเจิ้งเหรินอี้ยิ้มรับอย่างเป็นมิตรและเอ่ยขึ้น “แม่นางมีธุระอันใดกับข้าหรือ”“กล่าวไปสิซิงหนี่ว์” หลิงจูกระทุ้งข้อศอกเบาๆ ไปด้านข้าง“ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ ข้ามีนามว่าไป๋ซิงหนี่ว์ ส่วนนี่หลิงจู จะรบกวนให้ท่านหมอมาตรวจดูอาการของบ่าวคนสนิทให้เสียหน่อย”เจิ้งเหรินอี้ที่ยังแย้มยิ้มกว้างอยู่นั้น ก็เอียงหน้าลงด้านข้างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หลุบตามองสตรีงามตรงหน้า พลางใช้หัวครุ่นคิดไปด้วยว่า ‘ไป๋’ ใช่แซ่หนึ่งในสิบตระกูลมหาอำนาจลำดับที่หนึ่งหรือไม่ แต่นับว่าหายากที่เจ้านายจะใส่ใจดูแลบ่าว เขาจึงพยักหน้าตอบรับอย่างสุภาพ พร้อมกับผายมือออกไปด้านหน้า“เชิญแม่นางไป๋นำทาง”“ขอบใจมากเจ้าค่ะ ที่ไม่รังเกียจตรวจดูอาการบ่าวของข้า” ข้าขอบใจแทนเสี่ยวเมิ่ง หมอหลวงนั้นเปรียบดั่งขุนนาง พวกเขาตรวจให้เพียงบุคคลชั้นสูง ไม่มีทางที่จะลดตัวลงมาตรวจอาการบ่าวเช่นนี้ได้“แม่นางไป๋กล่าวเกินไปแล้ว” เจิ้งเหรินอี้กล่าวอย่างเป็นมิตร เดินมาขนาบข้างไป๋ซิงหนี่ว์“มิทราบว่าหมอหลวงมีนามว่าอันใดหรือเจ้าคะ เมื่อครู่พวกข้าเสียมารยาทมิได้เอ่ยถามชื่อกลับ” หลิงจูชะโงกหน้าจากอีกฝั่งไปถาม“ข้ามีนามว่าเจิ้งเหรินอ
เป็นไปตามที่จิ้นฝานคิดเอาไว้ เช้าวันที่หนึ่งเขาสะดุ้งกายตื่นขึ้นมาเพราะเสียงอาเจียนของไป๋ซิงหนี่ว์ ลากยาวจนเกือบสองชั่วยาม เขานอนฟังเสียงนั้นเอาแขนหนุนหัวสองข้าง ทอดมองเพดานอย่างทอดถอนใจด้วยความที่มีนิสัยสันโดษ ไม่ชอบสุงสิงกับผู้อื่นที่ไม่สนิท จึงออกไปพบปะสนทนากับขุนนางด้านนอกเพียงเล็กน้อย และเข้ามาเก็บตัวต่อในห้อง ตลอดทั้งวันเขาจะได้เสียงอาเจียนของนางเป็นพักๆ จึงเป็นการรบกวนเขาค่อนข้างมากด้วยเช่นกัน“เคร้ง!” พลันก็มีเสียงเขวี้ยงบางสิ่งที่กระทบเข้ากับผนังห้อง ตามมาด้วยเสียงตะโกนขึ้นสูงของสตรีที่เขาชังหน้า“ว้ายยย เสี่ยวเมิ่ง! ไปเอาอาหารมาใหม่ที ข้าไม่ไหวแล้ว” น้ำเสียงนี้บ่งบอกถึงความไม่พอใจ และเอาแต่ใจของไป๋ซิงหนี่ว์ที่เขาสัมผัสได้บุรุษที่แหงนหน้ามองเพดาน มีหนังสือหนึ่งเล่มเปิดหน้าเอาไว้วางบนอก ริมฝีปากหนาปริออกกล่าวออกมาอย่างไร้เสียง“เรื่องมากยิ่งนัก”คำกล่าวนี้ล้วนมาจากความนึกคิดของตนเองจากการคาดการณ์ แต่เขามิอาจรู้ได้ว่าหลังกำแพงไม้นี้ เหตุการณ์จริงๆ เกิดอะไรขึ้นกันแน่จากนั้นเสียงทั้งหมดก็กลับมาเงียบสงบตามเดิม ไร้เสียงสนทนาโวยวายของนางต่ออีก ถึงแม้ว่าจะเป็นห้องข้างๆ กัน แต่จะได