หน้าหลัก / แฟนตาซี / บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ / บทที่25 เคล็ดวิชากระบี่เจ็ดดาวเหนือพิฆาต

แชร์

บทที่25 เคล็ดวิชากระบี่เจ็ดดาวเหนือพิฆาต

last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-03-06 11:19:16

หลังจากทำการผูกพันธะสำเร็จเเล้ว หนิงอ้ายสามารถทำการสื่อสารกับกระบี่วารีหมอกรุ้งพิสุทธิ์เหมันต์เล่มนี้ได้เช่นเดียวกับที่พูดคุยกับเจียวซิ่น ก่อนที่เขาจะเข้าสู่ห้วงมิติที่มีความพิศดารลึกล้ำ อันเป็นพื้นที่สีขาวบริสุทธิ์ที่ไม่อาจรับรู้ได้ถึงจุดเริ่มต้นหรือจุดสิ้นสุดใดใดทั้งสิ้น 

ทว่าในความเข้าใจและไม่เข้าใจในความลึกลับของพื้นที่ในมิติลึกลับว่างเปล่า ได้เกิดเป็นความปั่นป่วนสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ก่อนที่จะสงบหยุดนิ่ง เมื่อจิตสำนึกของหนิงอ้ายค่อย ๆ แจ่มชัดขึ้น แสงสีขาวได้ปรากฎขึ้นสว่างจ้าก่อเกิดเป็นเงาร่างขนาดใหญ่ที่แผ่กลิ่นอายความไม่ธรรดาอย่างปิดไม่มิด

"ข้าหวังหนิงอ้าย คำนับผู้อาวุโสขอรับ!!"

ทันทีที่เขาพูดจบตัวกระบี่ได้เกิดประกายเเสงและสั่นเล็กน้อยก่อนที่จะสงบเงียบไปราวกับว่าเมื่อครู่นี้ไม่ได้เกิดสิ่งใด แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่มีเสียงตอบกลับเเต่สิ่งที่เกิดขึ้นที่ตัวกระบี่มีการตอบสนองนั้นราวกับว่ารับรู้ได้ว่าหนิงอ้ายเอ่ยคุยสิ่งใดเเต่ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น

'เจ้าชื่อหวังหนิงอ้ายอย่างนั้นรึ?? ลูกหลานตระกูลหวังที่มีความบริสุทธิ์เข้มข้นทางสายเลือดยิ่ง...'

'เอาละ!! ข้าจะทำการถ่ายทอดเคล็ดวิชากระบี่เจ็ดดาวเหนือพิฆาตให้แก่เจ้า นี่เป็นเคล็ดวิชาที่แตกต่างจากเคล็ดวิชากระบี่ทั่วไปจะเป็นการถ่ายทอดโดยตรงผ่านจิตข้าไปยังตัวของเจ้าจงรวบรวมพลังลมปราณและตั้งสมาธิให้มั่นคงเล่า...'

เมื่อได้ยินเสียงเมื่อครู่จบลงหนิงอ้ายจึงหลับตาลงและควบคุมพลังลมปราณของตนส่งผ่านไปยังกระบี่ ทันใดนั้นด้านหลังของหนิงอ้ายพลันปรากฏวงเเหวนสีเขียวเปล่งประกายรัศมีงดงามหนึ่งชั้นอันหมายถึงพลังวิญญาณระดับจักรพรรดิขั้นต้น

'การร่ายรำหรือการใช้เคล็ดวิชาของกระบี่นั้นจะอาศัยในเรื่องของความพริ้วไหวดุจดั่งสายน้ำและความสมดุลของร่างกายเป็นหลักซึ่งจำเป็นที่จะต้องให้พลังของร่างกายประสานไปกับพลังลมปราณในการออกท่าทางเคลื่อนไหวของเคล็ดวิชากระบี่ดังกล่าวนี้ หากยังไม่คุ้นชินนั้นเจ้าสามารถที่จะเริ่มทำการฝึกฝนท่าทางร่ายรำไปทีละบทอย่างช้า ๆ เพื่อที่จะสามารถจดจำได้ง่ายได้เช่นกัน'

เมื่อได้รับคำแนะนำเช่นนั้นเเล้วหนิงอ้ายจึงพยายามร่ายรำกระบี่หมอกรุ้งพิสุทธิ์เหมันต์นี้ไปอย่างช้า ๆ พร้อมกับจดจำการเคลื่อนไหวที่ถูกต้องรวมไปถึงจุดสังเกตเฉพาะไปในตัวอีกด้วย สำหรับท่วงท่าที่ปรากฏในหัวของเขาที่ได้รับการถ่ายทอดโดยตรงผ่านเสี้ยวดวงจิตของอสูรบรรพกาลหรือตอนนี้ที่แปรเปลี่ยนเป็นกระบี่ไปเเล้ว โดยปกติการฝึกเคล็ดวิชากระบี่ จะต้องเป็นการฝึกฝนตามตำรากระบี่ทั่วไปที่ผู้ฝึกตนระดับสูงเป็นผู้ที่ได้เขียนขึ้นและเป็นฝึกสอนถ่ายทอดโดยผู้ที่ขึ้นชื่อหรือมีประสบการณ์เฉพาะโดยตรง

อาจจะเป็นเคล็ดวิชากระบี่ที่ถูกสืบทอดโดยตระกูลหรืออาจจะเป็นเคล็ดวิชากระบี่ของเเต่ละสำนักศึกษาก็เป็นได้เช่นกันเเต่ด้วยความพิเศษของกระบี่เล่มนี้ที่เกิดขึ้นจากการหลอมรวมของกระดูกวิญญาณอสูรบรรพกาลวารีหมอกรุ้งพิสุทธิ์เหมันต์ดังนั้นหลังจากที่หนิงอ้ายได้ทำการผูกพันธะเป็นเจ้าของกระบี่เล่มนี้แล้วนั้นหากว่าได้รับการยอมรับว่าเป็นเจ้านายที่เเท้จริงก็ย่อมที่สามารถถ่ายทอดเคล็ดวิชากระบี่นี้ผ่านทางการสื่อสารในห้วงจิตได้เช่นกัน

เป็นครั้งเเรกที่เขานั้นได้ศึกษาเคล็ดวิชากระบี่เจ็ดดาวเหนือพิฆาตนี้เเต่ไม่ใช่เรื่องยากเกินไปสำหรับตัวของหนิงอ้ายสักเท่าใดนัก ด้วยเพราะว่าท่าทางในยามที่ใช้เคล็ดวิชากระบี่เจ็ดดาวเหนือพิฆาตนี้นั้นมีหลายส่วนที่คล้ายคลึงกับการรำไทเก๊กหรือการรำกระบี่ของผู้สูงอายุที่พบเห็นได้ตามสวนสาธารณะในโลกเดิมเขานั่นเองด้วยความที่หนิงอ้ายนั้นมักจะมีโอกาสไปเข้าร่วมด้วยบ่อยครั้งเสมออีกทั้งด้วยอาชีพนักฆ่าของเขานั้นจำเป็นที่จะต้องใช้อาวุธทุกอย่างให้ได้อย่างคล่องแคล่ว

ดังนั้นหนิงอ้ายจึงมีความคุ้นชินเป็นอย่างมากเลยทีเดียว แตกต่างกันเพียงเเค่ในโลกเดิมของเขาจะเป็นเพียงการใช้เพลงดาบหรือกระบี่อย่างเดียวเท่านั้นเเต่ว่าในโลกนี้นั้นจะเป็นการใช้ทักษะพลังวิญญาณต่าง ๆ เข้าด้วยกันเพื่อเสริมความเเข็งแกร่งนั่นเองซึ่งสำหรับตัวหนิงอ้ายนั้นใช้เวลาเพียงเเค่หนึ่งชั่วยามเท่านั้นในตอนนี้ก็สามารภใช้เคล็ดวิชากระบี่เจ็ดดาวเหนือพิฆาตนี้ได้ไม่ติดขัดเเต่เพียงนิด

พรึบ! พรึบ!

ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!

ฟิ้ว! ฟิ้ว!

หนิงอ้ายได้ลองใช้เคล็ดวิชากระบี่เจ็ดดาวเหนือพิฆาตนี้อีกครั้งโดยในครั้งนี้ตั้งใจว่าตนจะเพิ่มความเร็วให้เพิ่มขึ้นมากกว่านี้แว่วเสียงของกระบี่ที่ได้วาดผ่านอากาศไปในเเต่ละครั้งนั้นทำให้เกิดเสียงที่น่าเกรงขามไม่น้อยทุกการเคลื่อนไหวของหนิงอ้ายยามที่ใช้มือจับกระบี่นั้นช่างหนักแน่นพริ้วไหวเด็ดขาดอีกทั้งยังเป็นไปดั่งใจนึกราวกับว่ากระบี่เล่มนี้นั้นเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายผิดกับวิสัยของคนที่พึ่งที่ได้ฝึกเคล็ดวิชากระบี่ในครั้งเเรกมากนัก

สำหรับตัวของหนิงอ้ายนั้นปลดปล่อยอารมณ์ความนึกคิดต่าง ๆ ให้ลื่นไหลอย่างเป็นอิสระไม่มีขอบเขตจำกัด รู้สึกว่าเขาชื่นชอบในการร่ายรำกระบี่เป็นอย่างมาก ร่างกายทุกส่วนของเขาต่างตอบสนองต่อความเคลื่อนไหวได้อย่างสมดุล พลังลมปราณในร่างกายเป็นหนึ่งเดียวกับกระบี่ในมือยิ่งนัก เมื่อมีการควบคุมพลังปราณของตนลงไปก็ยิ่งทำให้รู้สึกถึงความเป็นอิสระถึงความเคลื่อนไหวมากขึ้นหลายเท่านักทุกสิ่งอย่านั้นต่างเคลื่อนไหวกันอย่างสมดุล

'เคล็ดวิชากระบี่เจ็ดดาวเหนือพิฆาต เป็นเคล็ดวิชาที่มีความพิสดารเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากว่าเป็นเคล็ดวิชากระบี่ที่เกิดจากสัตว์อสูรบรรพกาลที่มีการแปรเปลี่ยนสภาพกระดูกวิญญาณอสูรของตนนั้นให้เป็นกระบี่จึงทำให้ไม่เหมือนกับเคล็ดวิชากระบี่ทั่วไปที่ถูกเขียนด้วยอักษรเวทย์…'

'ดังนั้นจึงเน้นไปในทางความพลิ้วไหวดุจดั่งสายน้ำเคลื่อนไหวได้อิสระตามใจนึก สามารถประสานพลังวิญญาณไปกับกระบี่ได้อย่างเสถียรสมดุล อีกทั้งยังสามารถที่จะพลิกเเพลงกระบวนท่าได้ตามใจปรารถนายิ่งเจอคู่ต่อสู้ฝ่ายตรงข้ามที่เเข็งแกร่งและใช้พลังวิญญาณกับตัวกระบี่มากเพียงใด เพลงกระบี่ดังกล่าวนี้จะยิ่งเเสดงอนุภาพที่ลึกล้ำพิศดารเกินกว่าที่จะจินตนาการได้เท่านั้น อีกทั้งในขณะที่ใช้เคล็ดวิชากระบี่เจ็ดดาวเหนือพิฆาตนี้นั้นยังสามารถที่จะช่วงชิงพลังลมปราณของอีกฝ่ายออกมาได้เช่นกัน...'

หนิงอ้ายมองว่ามีความคล้ายคลึงกับเคล็ดวิชาโบราณนี้เป็นอย่างมาก ด้วยความเหมือนกันทั้งในเรื่องคุณสมบัติของผู้ฝึกเคล็ดวิชาดังกล่าวนี้ รวมไปถึงความเป็นอิสระท่วงท่าที่สามารถผันแปรไปตามปรารถนาไร้ซึ่งรูปแบบที่ตายตัวของผู้ฝึกตนนั่นเองนับได้เคล็ดวิชากระบี่ดังกล่าวนี้นั้นต่างเป็นที่เลื่องลือและถูกกล่าวขานกันอย่างมากเลยทีเดียว...

'เคลื่อนไหวดั่งสายน้ำประสานเป็นหนึ่งเดียวกับกระบี่โจมตีพริ้วไหวหนักแน่นอ่อนสยบเเข็งผันแปรอิสระไร้รูปแบบไร้ซึ่งพันธนาการ!!!'

หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นในใจพร้อมกับทบทวนหัวใจหลักของเคล็ดวิชากระบี่นี้ซึ่งตัวเขาเชื่อว่าหากยิ่งมีความเข้าใจในเคล็ดลับหรือหัวใจหลักของเคล็ดวิชามากเท่าไหร่ก็จะยิ่งสามารถถ่ายทอดพลังของกระบี่ออกมาได้มากเท่านั้น

เคล็ดวิชากระบี่เจ็ดดาวเหนือพิฆาตมีทั้งหมดเก้าขั้น พื้นฐานของเคล็ดวิชานี้สามารถที่จะนำมาประสานเข้ากับวิชาตัวเบาได้อีกด้วย เมื่อหนิงอ้ายนำมาปรับใช้กับเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาที่เป็นเคล็ดวิชาตัวเบาอันเป็นวิชาลับตระกูลหวังเเล้ว ดังนั้นเคล็ดวิชาทั้งสองนี้ที่ถูกประสานใช้งานกับเพลงกระบี่เจ็ดดาวเหนือพิฆาต ตัวหนิงอ้ายนั้นตั้งใจจะใช้ออกมาในยามที่จำเป็นเท่านั้นเพื่อไม่เป็นการเปิดเผยฝีมือของตนมากเกินไป..

เวลานั้นช่างผันผ่านไปเรื่อย ๆ จนตอนนี้นั้นหนิงอ้ายสามารถเรียนรู้เคล็ดวิชาเจ็ดดาวเหนือพิฆาตนี้ได้ถึงที่ขั้นเจ็ดเเล้วนับว่ามีความก้าวหน้าเป็นอย่างมากที่ใช้เวลาเพียงนิดเเต่สามารถฝึกฝนได้รวดเร็วเช่นนี้นับได้ว่าไม่เสียชื่อคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้าเเห่งการเรียนรู้ตั้งเเต่โลกเดิมของตน...

'หลังจากนี้เจ้าต้องศึกษาขั้นที่แปดและเก้าที่เหลือด้วยตนเอง เพราะว่าสำหรับสองขั้นสุดท้ายนั้นจะเป็นรูปแบบเฉพาะตัวเจ้าเท่านั้นข้าสามารถทำได้เพียงเเค่ชี้แนะแนวทางรวมไปถึงการประสานพลังปราณเท่านั้นที่เหลือเจ้าต้องทำการศึกษาเองเสียเเล้ว...'

เสียงของอสูรวารีพิสุทธิ์ดังขึ้นในมิติจิตของตัวหนิงอ้ายอีกครั้งก่อนที่เด็กหนุ่มจะตอบกลับไปว่า

'เพียงเท่านี้ข้าต้องขอบคุณท่านมากแล้วที่เมตตาถ่ายทอดเคล็ดวิชานี้ให้แก่ข้าสำหรับส่วนที่เหลืออีกสองขั้นข้าจะทำการศึกษาด้วยตนเองขอรับ...'

'ร่างกายของเจ้าได้มีการประสานเข้ากับกระดูกวิญญาณที่เป็นสัตว์อสูรบรรพกาลใช่หรือไม่??'

'ผู้อาวุโสทราบอย่างนั้นรึ? ก่อนหน้านี้ข้าได้ประสานร่างกายเข้ากับกระดูกวิญญาณอายุล้านปีของสัตว์อสูรบรรพกาลไปขอรับ...' 

'ร่างกายของเจ้าเต็มไปด้วยพลังลมปราณอันบริสุทธิ์ลึกล้ำกว่าที่ผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ผู้หนึ่งจะมีได้ นอกจากนั้นแล้วสายเลือดต้นกำเนิดของเจ้ายังมีความลึกล้ำเป็นอย่างมากเช่นกัน ไม่แปลกใจที่เจ้าจะสามารถครอบครองสิ่งเหล่านี้...'

'บนมหาพิภพแห่งนี้มีสิ่งที่เรียกว่าวาสนาสวรรค์ลิขิต คำกล่าวนี้มีความหมายตรวตัวอย่างที่เจ้าทราบว่า ทุกสิ่งที่เกิดในโลกนี้หาใช่เป็นเรื่องบังเอิญแต่อย่างใด อย่างไรแล้วสักวันหนึ่งปริศนาเกี่ยวกับชาติกำเนิด เจ้าคงได้กระจ่างในเร็ววัน...'

สิ่งที่ร่างดวงจิตของอสูรวารีหมอกรุ้งพิสุทธิ์เหมันต์ได้เอ่ยขึ้นนั้น เป็นสิ่งที่หนิงอ้ายสามารถคาดเดาได้เช่นกัน เพียงแต่เขานั้นมีความเชื่อว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นย่อมปรากฎขึ้นในช่วงเวลาที่เหมาะสม นี่เป็นเรื่องของเวลาแต่เพียงเท่านั้น...

'ความจริงแล้วกระบี่เล่มนี้หาได้ถูกทำขึ้นจากกระดูกวิญญาณของข้าอย่างที่ทุกคนเข้าใจไม่ กระบี่เล่มนี้ได้ถูกหล่อหลอมขึ้นจากวัสดุแข็งแกร่งที่มีความคงทนติดสามอันดับแรก กระดูกวิญญาณของข้าเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น!!'

'กระดูกวิญญาณของข้าชิ้นนี้แม้ไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นสุดยอดอันดับต้น ๆ หรือมีอายุมากถึงหนึ่งล้านปีดั่งเช่นกระดูกวิญญาณชิ้นแรกที่เจ้าได้ดูดซับไป...'

'แต่ถึงอย่างไร ข้าก็มั่นใจว่ากระดูกวิญญาณอายุแสนปีของข้าชิ้นนี้ก็ไม่อาจดูเบาได้โดยง่าย การประสานร่างกายเข้ากับกระดูกวิญญาณโดยที่ดวงจิตเดิมของสัตว์อสูรผู้เป็นเจ้าของให้ความยินยอม ย่อมไร้ซึ่งผลข้างเคียงและความยุ่งยากใดใดทั้งสิ้น 

'เอาละ!! เจ้าจงหลับตาลงแล้วตั้งสมาธิให้มั่นคงเล่า กระบวนการนี้คงกินเวลาไปไม่น้อยเช่นกัน...'

รัศมีแสงสีขาวพิสุทธิ์ได้เข้าโอบล้อมร่างกายของหนิงอ้ายด้วยความรวดเร็ว ลวดลายสีขาวเงินได้ผนึกขึ้นทั่วทั้งร่างของเด็กหนุ่มก่อนที่จะเคลื่อนไหวเป็นจังหวะสม่ำเสมอ พลังลมปราณอันแรงกล้าของสัตว์อสูรบรรพกาลอายุแสนปีได้ไหลเวียนเข้าสู่ร่างกายของหนิงอ้ายอย่างไม่หยุดยั้ง

คลื่นพลังปราณบริสุทธิ์นี้ได้คลอบคลุมทุกอย่างภายในรัศมีสองลี้ในห้วงมิติจนเกิดเป็นความผันแปรที่ไม่อาจคาดเดาสิ่งใดได้ เสียงร้องดังขึ้นเมื่ออสูรวารีหมอกรุ้งพิสุทธิ์เหมันต์นี้พยายามหลอมรวมตัวเองเข้ากับร่างกายของหนิงอ้ายที่กำลังสั่นไหวอย่างรุนแรง

วูบ!!

เงาร่างจำแลงของอสูรอสรพิษเหมันต์บรรพกาลได้ปรากฎขึ้น ดวงตาเรียวงามของอสูรวารีหมอกรุ้งพิสุทธิ์เหมันต์ได้เบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความนอบน้อมในที่สุด เพราะหากเทียบกันแล้วอายุบำเพ็ญตบะของนางเพียงไม่กี่แสนปี ย่อมไม่อาจเปรียบเทียบกับผู้อาวุโสอสูรตรงหน้าได้

'ข้าเสี่ยวเหมย อสูรบรรพกาลวารีหมอกรุ้งพิสุทธิ์เหมันต์  คำนับผู้อาวุโสเจ้าค่ะ...' 

เสียงของชายวัยกลางคนดังขึ้นสะท้อนไปทั่วทั้งบริเวณ

'ไม่คาดคิดว่าวันหนึ่งจะได้พบเจอดวงจิตของสัตว์อสูรหนึ่งในสิบเผ่าพันธ์บรรพกาลอันดับบนเช่นนี้ คงเป็นวาสนาสวรรค์ของเจ้าหนูที่ทำให้มาพบกันเช่นนี้ใช่หรือไม่??'

'เป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะผู้อาวุโส เผ่าพันธ์ของข้าโดนเด่นในเรื่องการทำนายพยากรณ์ยิ่งนัก แต่ถึงอย่างไรแล้วต่อให้ไม่ใช้ความสามารถของดวงตาที่สาม ก็ย่อมสัมผัสได้ถึงกระแสมหาพิภพที่ไหลผ่านร่างกายของเขาได้เช่นกัน...' สตรีสาวตอบกลับไป

'อย่างไรแล้วให้สิ่งนี้เป็นไปตามครรลองที่ควรเป็นเสีย ข้ากับเจ้าเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่จะส่งเสริมเขาเท่านั้น เอาละ!! ข้าไม่รบกวนเจ้าแล้ว จงทำสิ่งที่พึงกระทำเสียเถิด...' กล่าวจบลงร่างจำแลงอันใหญ่โตของราชันย์อสรพิษได้เลือนหายไปในทันที

สตรีสาวประสานมือโค้งตัวคำนับเงาร่างดังกล่าวด้วยความเคารพ ความรู้สึกเมื่อครู่แม้นางจะเคยได้พบเจอกันท่านบรรพบุรุษของเผ่าพันธ์ที่อายุนับล้านปี แต่หากเทียบกับผู้อาวุโสอสรพิษนั้นแล้วจะนับเป็นสิ่งใดได้กัน

สตรีสาวยังคงเร่งเร้าญาณสัมผัสอันลึกล้ำประสานกระดูกวิญญาณชิ้นนี้เข้ากับร่างกายของหนิงอ้ายให้สมบูรณ์ที่สุด สิ่งที่เกิดขึ้นในมิติแห่งนี้กล่าวว่าไร้ซึ่งกฏเกณฑ์ใดทั้งสิ้น ดังนั้นจึงไม่อาจนำเรื่องของเวลาที่แท้จริงมาเปรียบเทียบได้ ในที่สุดกระบวนการหลอมรวมนี้ได้สิ้นสุดเสียที ก่อนที่หนิงอ้ายจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้น

"ขอบคุณผู้อาวุโสมากนะขอรับกับความเมตตาในครั้งนี้ สิ่งใดที่ท่านต้องการหากไม่ได้เบียดเบียนชีวิตของผู้ใด ข้าหวังหนิงอ้ายคนนี้ล้วนยินดีกระทำทั้งสิ้นขอรับ!!" หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับประสานมือโค้งตัวคำนับ 

'เรียกข้าว่าผู้อาวุโสเหม่ยเหมยก็ได้ อย่างไรจากนี้ข้าก็เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเจ้าแล้ว สำหรับข้อปราถนาของข้า หากคิดออกแล้วย่อมบอกให้เจ้ารับรู้อย่างแน่นอน...' สตรีสาวตอบกลับไปพร้อมกับระบายยิ้มด้วยความอบอุ่น ครั้งนั้นหากนางไม่สูญเสียบุตรชายไป ในวันนี้อีกฝ่ายคงมีรูปลักษณ์ภายนอกที่ใกล้เคียงกับเด็กหนุ่มตรงหน้าเป็นแน่

"ขอบคุณผู้อาวุโสเหม่ยเหมยสำหรับความเมตตานี้อีกครั้งขอรับ..." หนิงอ้ายยังคงประสานมือพร้อมกับโค้งตัวคำนับอีกฝ่ายอีกครั้ง

การที่ร่างกายของเขาได้ประสานเข้ากับกระดูกวิญญาณอายุแสนปีชิ้นนี้ สิ่งที่สัมผัสได้คือร่างกายนั้นมีความแข็งแกร่งที่มากขึ้น อีกทั้งยังคล้ายกับว่าเนตรแห่งสวรรค์ของเขาก็ได้รับการยกระดับเช่นกัน

'กระดูกวิญญาณชิ้นนี้ของข้าได้ประสานเข้ากับวิญญาณยุทธ์ปราณธาตุน้ำของเจ้า ทักษะวิญญาณที่สองนี้มีนามว่า ประภาแสงอาญาสิทธิ์บัญชาการ...'

'ขอบเขตความสามารถนั้นเมื่อเจ้าเรียกใช้ออกมาย่อมสัมผัสได้ว่าไม่ธรรมดาสามัญ และแน่นอนว่าร่างกายของเจ้าที่ได้ประสานเข้ากับกระดูกวิญญาณอายุล้านปี ย่อมส่งผลให้ทักษะวิญญาณนี้เกิดความผันแปรไปเช่นกัน'

'วิญญาณยุทธ์ปราณธาตุน้ำของเจ้า ทักษะวิญญาณผันแปรที่สองนี้มีนามว่า มหาวิชชุเหมัตน์พิสุทธิ์ไร้ลักษณ์ หากวันใดที่เจ้าสามารถควบคุมบัญชาการได้อย่างเบ็ดเสร็จ ข้าหวังแต่เพียงว่าเจ้าจะใช้ทักษะวิญญาณทั้งสองจากกระดูกวิญญาณของข้านี้ในการปกป้องตนเองและช่วยเหลือผู้คนให้ได้มากที่สุด...'

'ถึงเวลาที่ข้าต้องไปเสียที หากมีโอกาสเราคงได้พบเจอกันอีก...' กล่าวจบลงเงาร่างของสตรีสาวได้ลอยหายเข้าไปในร่างกายของหนิงอ้าย ก่อนที่เด็กหนุ่มจะถูกดึงกลับออกมาในที่สุด

เวลาด้านนอกได้ผ่านมาหลายชั่วยามแล้ว หนิงอ้ายจำเป็นจะต้องพักผ่อนเนื่องจากว่าพรุ่งนี้จะต้องตื่นเเต่เช้าสำหรับการไปสมัครเข้าร่วมงานประลองของแคว้นในครั้งนี้ 

ดังนั้นหนิงอ้ายได้รวบรวมสมาธิส่งให้กระบี่วารีหมอกรุ้งพิสุทธิ์เหมันต์เข้าไปในมิติจิตของเขาอีกครั้ง เมื่อจัดการทุกสิ่งอย่างเรียบร้อยจึงนอนพักในทันที แม้ว่าหนิงอ้ายนั้นจะได้นอนพักไปไม่ถึงชั่วยามเเต่ด้วยความที่ตอนนี้เขานั้นเป็นถึงผู้ฝึกตนราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณขั้นสามัญแล้ว จึงทำให้ร่างกายนั้นเเข็งเเรงมากกว่าเดิมหลายเท่า

หนิงอ้ายจึงเอ่ยบอกมารดาของตนรวมไปถึงท่านตาและท่านยายว่าต้องการให้พวกท่านทั้งหมดนั้นค่อยไปให้กำลังใจแก่ตนในวันประลองวันสุดท้ายเเทนด้วยเพราะว่าตอนนี้นั้นทั้งตนและลู่ซีต่างไม่ต้องการที่จะเเสดงตนว่าเป็นหลานของตระกูลหวังสายหลัก อีกทั้งไม่ต้องการที่จะใช้อำนาจของตระกูลหวังที่เป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นเต่าดำพวกตนทั้งสองคนนั้นต่างเห็นต้องเดียวกันคือไม่ต้องการใช้อำนาจของตระกูลมาช่วย

เพราะตัวเขานั้นต้องการที่จะใช้ฝีมือเพื่อที่จะพิสูจน์ตนว่าหนิงอ้ายนั้นหาได้เป็นสวะของตระกูลอย่างเช่นนี้ถูกกล่าวหามาอย่างยาวนานแม้ว่าตอนนี้หนิงอ้ายจะตื่นเต้นไม่น้อยเช่นกันเพราะว่านี่เป็นครั้งเเรกที่ตนจะได้เห็นการต่อสู้ในโลกของยุทธภพจริงๆ เเต่ถึงอย่างไรนั้นหนิงอ้ายก็เชื่อว่างานประลองแคว้นครั้งนี้ของหนิงอ้ายจะต้องได้รับการยอมรับในฝีมือและเป็นที่กล่าวถึงอย่างแน่นอน...

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทที่เกี่ยวข้อง

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่26 กฏการประลองที่เปลี่ยนไป

    ในที่สุดวันเวลาก็ได้ผันเปลี่ยนหมุนเวียนมาถึงเช้าของวันใหม่ซึ่งเป็นวันเเรกตามกำหนดการของงานประลองของแคว้นที่มีการประกาศจัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบครั้งที่แปดสิบแปด (88) ตัวเลขแปด (8) นั้นชาวยุทธภพรวมไปถึงชาวบ้านธรรมดาในทั่วทุกแคว้นต่างมีความเชื่อกันว่าเป็นตัวเลขที่ดีเป็นอย่างมาก มีความข้องเกี่ยวกับความร่ำรวยในเงินทองยิ่งหากมีตัวเลขนี้ต่อกันมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งหมายถึงความร่ำรวยที่ไม่มีความสิ้นสุดเเต่ละแคว้นจะมีการปกครองในแคว้นของตนให้มีความเป็นอยู่ที่ดีก็จริงเเต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าฐานะของเเต่ละตระกูลในแคว้นต่างมีเรื่องของเงินทองหรือความร่ำรวยเป็นสิ่งที่สำคัญเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งสิ้นไม่ว่าจะในเรื่องของหน้าตาของตระกูล การทำกิจการเพื่อหาเงินทองมาใช้ในการปกครองคนในจวนของตนรวมไปถึงการได้ถูกยอมรับนับถือจากผู้คนทั่วไปอีกด้วยและก็มีไม่น้อยเช่นกันที่พื้นที่อยู่อาศัยหรือพื้นที่ทำมาหากินที่มีทำเลที่ดีมักจะเป็นกรรมสิทธิ์ครอบครองของตระกูลที่ร่ำรวยไปส่วนใหญ่อีกทั้งยังมีการจัดสรรเเบ่งเขตที่อยู่อาศัยนั้นก็ยึดจากความร่ำรวยเข้ามาข้องเกี่ยวไม่น้อยโดยที่ตระกูลใหญ่หรือตระกูลที่ร่ำรวยนั้นจะมีพื้นที่จวนอยู่บริเ

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่27 งานประลองเวทย์ครั้งที่88

    หนิงอ้ายกับลู่ซีมุ่งตรงไปยังจุดลงทะเบียนที่มีการกางโตะตรงที่ปากทางเข้าการประลองในทันที แม้ว่าทั้งสองคนนั้นจะรีบเร่งออกจากจวนตระกูลหวังเป็นเวลาเช้าเเต่ก็ยังมีผู้ฝึกตนที่เดินทางมาถึงเร็วกว่ากว่าพวกเขาทั้งสองคน ในตอนนี้มีผู้คนมากมายที่กำลังรายล้อมอยู่โดยรอบจุดบริเวณดังกล่าวที่เปิดให้ลงทะเบียนอยู่ ถือว่าเป็นโชคดีของพวกเขาทั้งสองคนนั้นไม่น้อยที่มาทันเวลาพอดีเพราะว่าการประลองในครั้งนี้มีผู้สนใจเข้าร่วมเป็นอย่างมากดังนั้นจึงมีการจำกัดคนเข้าเเข่งขันเพียงเเค่ห้าร้อยคนเท่านั้น''เนื่องจากครั้งนี้เป็นงานประลองแคว้นครั้งที่แปดสิบแปด ดังนั้นเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองจึงไม่มีการเรียกเก็บเงินสมัครในการประลองครั้งนี้ใดใดทั้งสิ้น เเต่จะจำกัดผู้เข้าเเข่งขันเพียงเเค่ห้าร้อยคนเท่านั้นและจะไม่มีการแบ่งแยกช่วงอายุการประลองทั้งสิ้นสำหรับผู้ใดที่หวังเพียงมาเล่นไม่จริงจังสามารถถอดตัวออกไปได้ทันที อย่าหาว่าไม่เตือน!!!'' เสียงของผู้ควบคุมกฎที่ทำหน้าที่ดูเเลในการลงทะเบียนได้เอ่ยขึ้นและดังพอที่จะให้ได้ยินในบริเวณโดยรอบทันที'ข้าจะตกใจอะไรก่อนดีเล่า? การประลองครั้งนี้เปิดรับเพียงห้าร้อยคนหรือจะเป็นการจัดเเข่งขันประลองเ

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่28 ลู่ซีลงสนามประลอง

    "การเเข่งขันผู้เข้าประลองสามารถใช้ได้ทั้งวรยุทธอีกทั้งบทเวทย์ระดับต่าง ๆ รวมไปถึงอสูรรับใช้ก็ได้เช่นกันสำหรับการลงเเข่งขันจะไม่จำกัดเวลาจนกว่าจะล้มคู่ต่อสู้ได้ อีกทั้งการลงประลองนั้นจะเป็นการสุ่มรายชื่อ ผู้ชนะในเเต่ละรอบประลองอาจจะได้ลงประลองอีกหลายครั้งในขณะที่บางคนอาจจะได้ลงประลองเพียงเเค่หนึ่งหรือสองครั้งเพียงเท่านั้น เท่ากับว่านอกจากที่พวกเจ้าจะต้องอาศัยฝีมือของตนเเล้วนั้นก็ต้องอาศัยโชคเช่นกันว่าวันนี้จะเป็นวันของพวกเจ้าหรือไม่?"ผู้อาวุโสที่ทำหน้าที่ดำเนินการประลองพูดถึงความพิเศษของกฎการลงประลองครั้งนี้ สิ้นเสียงกล่าวจบลงผู้คนต่าง ๆ ที่อยู่โดยรอบสนามประลองต่างส่งเสียงเชียร์ดังกระหึ่มสร้างความรู้สึกฮึกเหิมด้วยเพราะว่าตอนนี้ถึงเวลาที่ทุกคนรอคอยเเล้ว"หากเป็นการสุ่มรายชื่อ หากว่ามีผู้ชนะในการลงประลองเเต่ละครั้งเเต่ในทุกการสุ่มรายชื่อดันมีเเต่รายชื่อของเขาให้ลงเเข่งขันเเต่กลับอีกคนอาจจะมีรายชื่อในการประลองเพียงไม่กี่ครั้งหากเป็นเช่นนี้จะไม่เป็นการเสียเปรียบกันหรือขอรับ??" หนิงอ้ายถามขึ้น ด้วยเพราะเขาสังเกตว่ากฎการประลองที่มีการปรับเปลี่ยนนี้มีช่องโหว่ค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว หากว่ามีมื

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่29 ชัยชนะของลู่ซี

    ผู้คนที่อยู่ในสนามประลองที่ให้ความสนใจกับการประลองของคู่นี้ต่างแตกตื่นกันเป็นอย่างมาก เพราะสัตว์อสูรที่คุณชายกวงเหยาหานเรียกออกมา นอกจากว่าจะเป็นสิงโตเพลิงที่หายากเเล้วยังเป็นสัตว์อสูรมายาขั้นกลางอีกด้วย นับว่าตระกูลกวงนั้นให้ความสำคัญแก่คุณชายกวงเหยาหานท่านนี้ไม่น้อยเลยทีเดียว"โจมตีพวกมันซะ!!!" กวงเหยาหานสั่งอสูรสิงโตมกรเพลิงของตนเข้าโจมตีลู่ซีในทันทีโฮก!วูบ!อสูรสิงโตมกรเพลิงคำรามออกมาเสียงดังพร้อมกับพุ่งทะยานเข้าโจมตีลู่ซีด้วยความรุนแรงเกรี้ยวกราดโฮก!ตู้ม! ตู้ม!ลู่ซีไม่ยอมตกเป็นรองในการประลองครั้งนี้ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายได้อัญเชิญอสูรรับใช้ของตนออกมา เขาจึงอัญเชิญอสูรในพันธะนั่นคือเสี่ยวเฟิง หรือวิฬาร์อัสนีสีชาดนั่นเองเสียงร้องของวิฬาร์อัสนีสีชาด สัตว์อสูรมายาขั้นกลางร้องดังขึ้นไปทั่วสนามประลอง จนผู้คนที่มีพลังวิญญาณไม่สูงมากรวมไปถึงชาวบ้านธรรมดาต่างต้องยกมือขึ้นมาปิดหูของตนในทันที สายพลังเเห่งอัสนีบาตที่พวยพุ่งอยู่โดยรอบตัวของวิฬาร์อัสนีสีชาดได้ถูกปลดปล่อยออกมา โดยที่ไม่ต้องให้ลู่ซีบัญชาการอีกฝ่ายได้พุ่งโจมตีไปยังสิงโตมกรเพลิงด้วยความรวดเร็วไม่ทันได้ตั้งตัวเสียด้วยซ้ำ"เฮือก

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่30 การประลองอันดุเดือด

    ด้วยเพราะหนิงอ้ายใช้เนตรเเห่งสวรรค์จึงทำให้เขาสามารถบอกลู่ซีถึงผู้ที่เข้ารอบมาในเเต่ละคนนั้นว่ามีจุดเเข็งในด้านใด ควรระวังในเรื่องใดบ้างรวมไปถึงจุดอ่อนต่าง ๆ แม้เพียงนิดก็ไม่อาจหลุดรอดสายตาไปได้ อีกทั้งหนิงอ้ายยังคงพูดคุยแนะนำให้กับลู่ซีถึงการใช้บทเวทย์กับผู้ฝึกตนที่เข้ารอบเเต่ละคนว่าควรใช้บทเวทย์ใดกับผู้ใดบ้างหากว่าถูกสุ่มรายชื่อให้ลงสนามประลอง"ขอบใจเจ้ามากหากว่าไม่ไหวจริง ๆ เกอจะขอยอมแพ้เอง..." ลู่ซีเอ่ยตอบกลับหนิงอ้ายไปด้วยรู้ว่าคนด้านข้างนั้นเป็นห่วงเขาไม่น้อยเเต่ถึงอย่างนั้นนับจากการลงประลองในครั้งเเรกจนถึงตอนนี้ตนยังไม่ได้ลงเเข่งขันอีก ดังนั้นสำหรับเขาและหนิงอ้ายที่ก่อนหน้าได้เเลกเปลี่ยนความคิดเห็นว่าในการประลองของเเต่ละคู่นั้นผู้ใดจะเป็นผู้ชนะ หรือแม้กระทั้งว่าหากตัวเขานั้นได้ลงประลองกับผู้ประลองคนดังกล่าวจะเเก้ทางของบทเวทย์ที่อีกฝ่ายใช้หรือว่าควรใช้วรยุทธอย่างไรโต้กลับ เพื่อที่จะให้ตนสามารถเป็นผู้ชนะได้นั่นเองการประลองยังคงดำเนินต่อไปเพื่อเฟ้นหาผู้แข่งขันสิบคนเพื่อเข้าสู่การประลองครั้งสุดท้ายในรอบแรก เพื่อประลองกันอีกครั้งจนได้ตัวเเทนของราชทินนามขุนนางวิญญาณเพียงห้าคนเท่านั

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่31 การประลองของสัตว์อสูรรับใช้

    คุณชายรองตระกูลจางหรือจางหมิงหวัง ก่อนหน้านี้ได้ทำการร่ายบทเวทย์อัญเชิญสัตว์อสูรรับใช้ในพันธะของตนออกมากลางสนามประลองเเห่งนี้ปรากฏเป็นสัตว์อสูรรูปร่างใหญ่โตที่มีความสูงราวสามเมตร สัตว์อสูรในพันธะที่ถูกอัญเชิญออกมาของคุณชายจางหมิงหวังมีรูปลักษณ์ภายนอกคล้ายกับวัวขนสีน้ำตาลทองสว่างไสว มีดวงตาสีแดงกล่ำที่เเสดงให้เห็นถึงท่าทางความดุร้ายออกมาอย่างเปิดเผยราวกับว่าไม่ต้องการปกปิดแม้เเต่เพียงนิดทั่วทั้งร่างกายของสัตว์อสูรตัวดังกล่าวนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยมัดกล้ามที่ส่งกลิ่นอายถึงความเเข็งแกร่งของสัตว์อสูรมายาออกมาให้ได้สัมผัส นอกจากนั้นแล้วยังส่งเสียงคำรามดังกึกก้องไปทั่วทั้งสนามประลองพร้อมกับกำหมัดขึ้นทั้งสองข้าง และทุบตีที่อกของตัวเองไปมาพร้อมกับกวาดสายตามองไปทั่วทั้งบริเวณด้วยความที่เป็นถึงสัตว์อสูรมายา ดังนั้นเพียงเเค่เสียงคำรามที่ร้องออกมาก็สามารข่มขวัญผู้คนที่อยู่โดยรอบของสนามประลอง อีกทั้งยังส่งผลทำให้ม่านพลังเกราะป้องกันที่ถูกร่ายกำกับไว้ในสนามประลองถึงกับสั่นไหวไปมา หากว่าบทเวทย์ป้องกันที่ใช้ในสนามประลองดังกล่าวไม่ได้อยู่ในระดับสูง หรือไม่ได้มีการร่ายกำกับไว้หลายชั้นคงถูกทำลายลงไปนานเเ

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่32 เอาคืน

    คุณชายรองจางหมิงหวังถูกทัณฑ์สายฟ้าจากบทเวทย์ยันต์เขตแดนระดับเทวะเข้าโจมตีอย่างรุนแรงและต่อเนื่องเป็นเวลาเกือบหนึ่งเค่อ จนทำให้ตัวของจางหมิงหวังถึงกับล้มลงไปกับพื้นหมดสติไปด้วยความเจ็บปวด ทั่วทั้งร่างกายปรากฏเป็นบาดแผลทั้งจากการใช้การต่อสู้กับลู่ซีในการใช้อาวุธและวรยุทธต่าง ๆ รวมไปถึงการโจมตีของบทเวทย์เขตแดนระดับเทวะเมื่อสักครู่ทำให้มีเลือดไหลซึมออกมาทั่วทั้งร่างกายมีรอยไหม้อยู่หลายจุดเลยเช่นกัน"ถือว่าเอาคืนที่เจ้าเคยสั่งให้บ่าวรับใช้ในจวนทำร้ายหนิงอ้ายจนสลบไปในครั้งนั้นเสียเเล้วกันนะจางหมิงหวัง..." ลู่ซีเอ่ยขึ้นเบา ๆ กับอีกฝ่ายที่ในตอนนี้หมดสติลงไปที่พื้นฝั่งตรงข้ามใบหน้าของลู่ซีซีดลงอย่างเห็นได้ชัดจากการที่ตัวเขาฝืนใช้บทเวทย์เขตแดนระดับเทวะจึงทำให้สูญเสียพลังเวทย์ไปไม่น้อยเนื่องจากว่าตัวของลู่ซีได้ฝืนใช้งานบทเวทย์ระดับสูงเช่นนี้ แน่นอนว่าสิ่งที่ต้องเเลกเปลี่ยนนั่นคือพลังลมปราณจะลดลงเป็นอย่างมาก ต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูไม่น้อยรวมไปถึงต้องใช้โอสถฟื้นฟูขั้นสูงในการเพิ่มพลังลมปราณให้กลับมาดังเดิมได้อีกครั้ง"คุณชายลู่ซีเป็นผู้ชนะ!!!!!" สิ้นเสียงของผู้อาวุโสคนเดิมที่ทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนิน

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่33 การประลองของผู้ฝึกตนราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณ

    งานประลองของแคว้นที่ได้ถูกจัดขึ้นในเเต่ละครั้ง ล้วนไม่มีกำหนดช่วงระยะวันเวลาที่ตายตัวของงานประลองเวทย์ดังกล่าวว่าท้ายที่สุดแล้วนั้นจะเริ่มต้นการประลองและสิ้นสุดลงภายในกี่วัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกฎกติกาที่ถูกตั้งกำหนดเอาไว้เพื่อเป็นข้อจำกัดในการประลอง การสร้างความท้าทายของขีดจำกัดของพลังเวทย์ ระดับพลังวิญญาณรวมไปถึงการสรรหาผู้ฝึกตนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยฝีมือทั้งวิทยายุทธการต่อสู้รวมไปถึงการใช้บทเวทย์ต่าง ๆ เพื่อเป็นการจัดอันดับของผู้ฝึกตนในโลกยุทธภพเพื่อเเสดงถึงความเเข็งแกร่งผู้ฝึกตนที่เป็นผู้ชนะในห้าอันดับเเรกจะถูกเรียกว่ากลุ่มเสาหลักเเห่งยุทธภพจะสังกัดโดยตรงกับวิหารเทพยุทธ์ มีหน้าที่คอยดูเเลช่วยเหลือปกป้องผู้คนในโลกฝึกตน รูปแบบของงานประลองของแคว้นล้วนแตกต่างกันไปในเเต่ละครั้ง นับว่าสร้างความตื่นเต้นให้ทั้งกับตัวของผู้ฝึกตนที่ได้ลงสนามเเข่งขันประลองเอง หรือแม้กระทั่งผู้รับชมจากแคว้นต่าง ๆ ที่อยู่ในสนามประลองเวทย์ ทางแคว้นที่ได้รับเป็นเจ้าภาพของจัดการประลองจะเป็นผู้กำหนดรูปแบบการเเข่งขันประลองให้มีความแตกต่างกันไปงานประลองระหว่างแคว้นครั้งที่แปดสิบแปด (88) นี้ ทางแคว้นเต่าดำได้รับเป็นเจ้า

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-03-06

บทล่าสุด

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   ( -จบเล่ม ปฐมบท 3.2- ) บทที่ 174 ความวุ่นวายที่สิ้นสุดลง

    ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 173 สมบัติเทพมารจุติ

    ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 172 การปรากฎตัวของผู้ขายวิญญาณ

    คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 171 ผู้ท้าทายที่กล้าหาญ

    การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 170 กฎเกณฑ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

    หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 169 ผู้ผ่านการทดสอบ

    ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 168 เดินทางกลับสำนักศึกษา

    มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 167 การเลื่อนระดับที่เหนือล้ำ

    ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 166 ความร่วมมือ

    ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย

สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status