"หนิงอ้ายเจ้าคิดว่าปีนี้การทดสอบจะเป็นอย่างไร?" หลี่ซวงถามขึ้นหลังจากที่พวกเขาใช้เวลาพูดคุยกันไปหลายชั่วยาม นับว่าเป็นสหายที่พูดคุยกันได้ถูกคอยิ่ง
"ข้าคิดว่าผู้อาวุโสที่คอยกำกับดูแลในเรื่องนี้คงไม่ได้มีการทดสอบที่ยากจนเกินไป เพราะว่าแต่ละปีจำนวนของผู้ฝึกตนที่ผ่านการทดสอบแรกก็มีจำนวนน้อยอยู่แล้ว หากหลังจากนี้การทดสอบยังเป็นสิ่งที่ยุ่งยากอีก ข้าว่าทางสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์คงไม่ได้ศิษย์ใหม่เลยซักคนเป็นแน่..." หนิงอ้ายตอบกลับไปตามความคิดของตน
เพราะสำหรับจำนวนผู้ฝึกตนที่ผ่านการทดสอบแรกจนมาถึงประตูทางเข้าของสำนักก็ว่ามีจำนวนน้อยมากแล้ว หากยังมีการทดสอบที่ยุ่งยากเขาเกรงว่าสิ่งที่เขาตอบไปอาจเกิดขึ้นจริงก็เป็นได้
"ก็จริงของเจ้านะหนิงอ้าย ฮ่าฮ่าฮ่า" ชายหนุ่มที่เหลือทั้งห้าคนต่างหัวเราะขึ้นเสียงดังกับคำตอบที่หนิงอ้ายได้เอ่ยจบไปเมื่อครู่อย่างอดใจไม่ได้
ทางฝั่งของผู้อาวุโสที่เฝ้ามองอยู่ในค่ายกลส่งเมื่อพวกเขาคิดตามคำพูดของเด็กหนุ่มก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้เช่นกัน เรื่องของจำนวนศิษย์ใหม่ในแต่ละปีมีจำนวนน้อยเพียงใดพวกเขาต่างกระจ่างใจเป็นที่สุด...
ด้วยจำนวนของผู้ผ่านการทดสอบแรกนี้มีจำนวนมากถึงห้าสิบกว่าคน นับว่าเป็นจำนวนที่มากกว่าทุกปี อีกทั้งกลุ่มรุ่นเยาว์เหล่านี้ต่างมีผู้ที่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์หลากหลายด้าน ดังนั้นพวกเขาที่อยู่ในห้องโถงหลักแห่งนี้จึงต้องปรึกษากันอย่างเคร่งเครียดอีกครั้งเพื่อที่จะได้จัดการให้รุ่นเยาว์เหล่านี้ให้สามารถเข้าอยู่ในสังกัดตำหนักที่สามารถส่งเสริมพวกเขาให้ได้มากที่สุด
แน่นอนว่าเจ้าตำหนักที่อยู่ภายใต้การดูแลของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ รวมไปถึงผู้อาวุโสระดับอื่น ต่างพากันเสนอความคิดเห็นออกมาอย่างหลากหลาย จนมีมติตกลงกันว่าจะให้รุ่นเยาว์ทั้งห้าสิบกว่าคนนี้ประลองกับศิษย์ชั้นปีที่สองเพื่อแสดงความสามารถพิเศษของตนออกมา เจ้าตำหนักแต่ละคนจะเป็นผู้เสนอถึงสิ่งที่สามารถสนับสนุนรุ่นเยาว์คนนั้นได้ แน่นอนว่าท้ายที่สุดแล้วการตัดสินใจเข้าร่วมในแต่ละตำหนัก จะต้องให้รุ่นเยาว์เป็นผู้เลือกเองโดยที่พวกเขานไม่สามารถเข้าไปขู่เข็นบังคับอีกฝ่ายได้เช่นกัน
"หากเจ้าตำหนักสนใจรุ่นเยาว์คนเดียวกันนั้น ทางเจ้าตำหนักจะต้องโน้มน้าวให้รุ่นเยาว์เหล่านั้นเข้ามาเป็นศิษย์ในตำหนักของตนได้ แน่นอนว่าทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับความยินยอมพอใจของเหล่าศิษย์ใหม่เหล่านี้เช่นกัน..." โจวห่าวหรือผู้หนึ่งในสามผู้คุมกฎของสำนักศึกษาได้เอ่ยสรุปขึ้นเมื่อเห็นว่าท้ายเจ้าสำนักได้พยักหน้ารับรู้ไม่เอ่ยสิ่งใด ดังนั้นแล้วเขาจึงได้สั่งการให้ผู้อาวุโสอีกสองคนที่เหลือและคนอื่น ๆ ออกไปจัดการเตรียมสถานที่สำหรับการทดสอบนี้ในทันที
รุ่นเยาว์ชายหญิงจำนวนมากกว่าห้าสิบคนต่างยืนรวมกันตรงทางเข้าของสำนักอย่างเป็นระเบียบด้วยการจัดการของหัวหน้าผู้คุ้มกันที่ได้รับหน้าที่รับผิดชอบในเรื่องนี้ ก่อนที่ด้านหน้าของประตูสำนักจะปรากฎเป็นชายชราร่างเล็กท่าทางใจดีคนหนึ่งที่มองสำรวจรุ่นเยาว์เหล่านี้อย่างถี่ถ้วน แน่นอนว่าสายตาคมกริบยังคงจ้องมองกลุ่มของหนิงอ้ายอยู่ชั่วครู่
"ข้าโจวห่าวหนึ่งในสามผู้คุมกฎของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ ก่อนอื่นขอแสดงความยินดีกับพวกเจ้ารุ่นเยาว์ชายหญิงทุกคนที่สามารถผ่านการทดสอบแรกนี้ได้อย่างปลอดภัย แต่นี่นับได้ว่าเป็นเพียงก้าวแรกพวกเจ้าทั้งหลายจงอย่าชะล่าใจและทะนงตัวจนเกินไป เอาล่ะ! พวกเจ้าทุกคนจงเข้ามารับป้ายศิษย์ใหม่ชั่วคราวจากข้าได้แล้ว..." เสียงอันทรงพลังของผู้อาวุโสระดับสูงตรงหน้าดังขึ้นก้องไปทั่วทั้งบริเวณดังกล่าว
ผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ชายหญิงทุกคนในที่นี้ต่างรับรู้ได้ถึงพลังวิญญาณอันแข็งแกร่งที่แผ่ซ่านออกมาอันเป็นเอกลักษณ์ของผู้ฝึกตนระดับสูง สิ่งนี้นับว่าเป็นอีกหนึ่งที่สร้างแรงกระตุ้นให้กับรุ่นเยาว์เหล่านี้ได้อีกทางหนึ่งด้วย เพราะว่าในยุทธภพโลกฝึกตนต่างนับถือกันตรงที่ฝีมือและความแข็งแกร่งเสียเป็นส่วนใหญ่
สำหรับพวกเขาแล้วผู้อาวุโสตรงหน้าย่อมเป็นแบบอย่าง ชื่อเสียงของผู้อาวุโสโจวห่าวท่านนี้นับได้ว่าเป็นอีกยอดฝีมือระดับแถวหน้าในมหาทวีปนี้อย่างแท้จริง กลุ่มของหนิงอ้ายเองต่างมองไปยังผู้อาวุโสดังกล่าวด้วยความเคารพนับถือไม่ต่างไปจากทุกคนในที่นี้ แม้ว่าพวกเขาจะเก็บซ่อนความตื่นเต้นอยู่ในใจเพราะในตอนนี้พวกเขาถือได้ว่าเป็นศิษย์ของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์แล้วในที่สุดนั่นเอง
"ไปกันเถอะ ข้าอดใจรอไม่ไหวแล้ว!!" เป็นอี้หลินที่เอ่ยขึ้นมาในก่อนในที่สุดด้วยเพราะไม่สามารถหยุดยั้งความตื่นเต้นที่เกิดขึ้นในใจตนได้ก่อนที่จะเอ่ยชวนสหายของตนไปในทิศทางดังกล่าวนั้นทันที
กลุ่มของหนิงอ้ายที่เหลือได้แต่ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจในท่าทางตื่นเต้นของอีกฝ่าย แม้พวกเขาจะพูดคุยและถือกันเป็นสหายได้เพียงไม่กี่ชั่วยามแต่ด้วยเพราะได้แลกเปลี่ยนความเห็นพูดคุยกันในหลายเรื่องจึงทำให้พอทราบถึงนิสัยของแต่ละคนรวมไปถึงท่าทางของอี้หลินนี้ได้ พวกเขาที่เหลือจึงรีบเดินตามอีกฝ่ายไปอย่างไม่รอช้าเพื่อเข้าแถวรอรับป้ายชั่วคราวของศิษย์ใหม่ ที่ในตอนนี้เหล่ารุ่นเยาว์ชายหญิงหลายคนได้ถูกหัวหน้าผู้คุมกันนั้นช่วยจัดแจงให้เป็นไปด้วยความระเบียบเรียบร้อย
"สองคนทางซ้ายมือก็มาถึงก่อนพวกข้า ฝีมือของทั้งสองคนนั้นไม่ธรรมดาเช่นกันจากที่ข้าสัมผัสได้..." หลี่ซวงเอ่ยขึ้นพร้อมกับชี้ไปทางหนึ่งที่เป็นผู้ฝึกตนชายหญิงอายุประมาณสิบแปดปีอีกทั้งสองคนนั้นหน้าตาคล้ายคลึงกันเป็นอย่างมาก กลุ่มของหนิงอ้ายจึงคาดเดากันว่าทั้งสองคนนั้นอาจเป็นฝาแฝดกันก็เป็นไปได้
"ทั้งสองคนเป็นราชทินนามเทวะวิญญาณขั้นต้น แม้ว่าพลังวิญญาณจะยังไม่เข้มข้นมากนักอาจด้วยเป็นเพราะว่าพึ่งข้ามขั้นพลังวิญญาณอยู่ในระดับนี้ได้เพียงไม่นาน แต่ถึงอย่างไรก็ตามทั้งสองคนนั้นย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้ฝึกตนระดับเทวะวิญญาณที่แท้จริง..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นให้ทุกคนได้รับรู้ตามข้อมูลที่เนตรแห่งสวรรค์แจ้งให้ตนทราบ เมื่อทุกคนต่างรู้ได้ถึงระดับพลังวิญญาณของอีกฝ่ายแล้วจึงไม่แปลกใจว่าเหตุใดทั้งสองคนจึงสามารถผ่านการทดสอบนี้ได้อย่างง่ายดายและมาถึงที่นี่ก่อนพวกเขาได้กัน
"ถึงกับเป็นผู้ฝึกตนราชทินนามระดับเทวะวิญญาณขั้นต้นด้วยอายุน้อยเพียงนี้ แสดงว่าพวกเขาทั้งสองคนย่อมเป็นสุดยอดรุ่นเยาว์อัจฉริยะจากตระกูลใหญ่ของแคว้นใดแคว้นหนึ่งเป็นแน่ แสดงว่าในตอนนี้พวกเขาทั้งคู่นั้นนับได้ว่าเป็นผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นศิษย์ใหม่ของสำนักศึกษาที่แข็งแกร่งที่สุดในปีนี้ใช่หรือไม่??" จินหั่วเอ่ยขึ้นพร้อมกับมองไปยังทั้งสองคนอีกครั้ง
ดูเหมือนว่าทั้งสองคนจะสัมผัสได้ถึงสายตาของกลุ่มของหนิงอ้ายก่อนที่หนึ่งในสองคนนั้นจะส่งการโจมตีด้วยจิตวิญญาณมาทางฝั่งของพวกเขาในทันที แต่แน่นอนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ล้วนอยู่ในการรับรู้จากหนิงอ้ายทั้งสิ้น จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะสหายการโจมตีนี้ได้อย่างง่ายดาย ผู้ที่ส่งการโจมตีเข้ามามองหนิงอ้ายด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่หนิงอ้ายจะเป็นฝ่ายส่งยิ้มและโค้งตัวเล็กน้อยเพราะพวกตนนั้นถือว่าไร้มารยาทที่มองอีกฝ่ายไปเช่นนี้
"ผู้ฝึกตนชายหญิงทั้งสองคนนั้นจะแข็งแกร่งด้วยเพราะอยู่ในระดับเทวะวิญญาณขั้นต้น สิ่งนี้ทำให้ข้าไม่แปลกใจสักเท่าไหร่นักเพราะข้าพอที่จะคาดเดาได้อยู่บ้าง แต่ที่ข้าสงสัยคือเจ้าสามารถรับรู้ถึงระดับพลังวิญญาณของอีกฝ่ายได้อย่างไร?" หลี่ซวงเอ่ยถามหนิงอ้ายขึ้นด้วยความแปลกใจเพราะว่าโดยปกติทั่วไป ผู้ฝึกตนระดับขั้นที่ต่ำกว่าจะไม่สามารถรับรู้ได้ถึงระดับฝึกตนของผู้อื่นที่มากกว่าด้วยความแตกต่างของพลังวิญญาณ
"เจ้าคิดมากเกินไปแล้วหลี่ซวง ขนาดเจ้าเองก็ยังพอคาดเดาระดับพลังวิญญาณของทั้งสองคนนั้นได้ เพียงแต่ข้าอาศัยการวิเคราะห์เพิ่มเติมว่าระดับพลังวิญญาณของทั้งสองคนนั้นคงจะพึ่งอยู่ในระดับเทวะวิญญาณได้ไม่นานนักเพราะยังหลงเหลือสัมผัสให้ตรวจสอบได้..."
"อีกทั้งเจ้าอย่าลืมว่าข้าก็เป็นผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิวิญญาณขั้นสูงย่างก้าวระดับเทวะวิญญาณขั้นต้นแล้ว เมื่อนำทุกสิ่งอย่างมาประกอบกันจึงพอที่จะคาดเดาระดับพลังวิญญาณของอีกฝ่ายได้ไม่ยากนัก..." เป็นหนิงอ้ายที่ตอบกลับสหายใหม่ของตนไปด้วยความสัตย์จริงเพราะต่อให้เนตรแห่งสวรรค์ไม่ส่งข้อมูลให้รับรู้เขานั้นก็พอที่จะทราบได้เช่นกัน
"คงเป็นข้าที่คิดมากไปเอง จริงสิ! คนนั้นก็เป็นเพียงคนเดียวที่รอดพ้นจากค่ายกลเคลื่อนย้ายของข้า ญาณสัมผัสของเขาตื่นตัวว่องไวเป็นอย่างมากจนพวกเจ้าต้องประหลาดใจ..." หลี่ซวงเอ่ยขึ้นตอบกลับไปแม้ว่าส่วนลึกในใจของเขาจะร้องบอกว่าหนิงอ้ายผู้นี้เต็มไปด้วยความลับบางอย่าง
ถึงอย่างไรตอนนี้พวกเขาต่างถือว่าเป็นสหายกันแล้ว ทุกคนต่างล้วนมีความลับของตนทั้งสิ้น หากอีกฝ่ายไม่ต้องการให้ตนทราบในตอนนี้ตนก็จะรอให้สักวันหนึ่งให้อีกฝ่ายพร้อมและบอกกับเขาเอง เช่นนั้นแล้วจึงเปลี่ยนเรื่องคุยเป็นเรื่องอื่นในทันที
กลุ่มของหนิงอ้ายหันไปมองอีกครั้งก่อนที่จะเห็นเป็นชายหนุ่มร่างกายสูงใหญ่คนหนึ่งที่สวมใส่ชุดสีดำไปทั้งตัว ใบหน้านับว่าธรรมดาทั่วไปทว่ากลิ่นอายที่แผ่ซ่านออกมานั้นไม่สามารถดูเบาได้ คล้ายกับว่ามีบางสิ่งที่คอยหมุนเวียนรอบตัวของเขาชวนให้ผู้พบเห็นนั้นต่างไม่อยากเข้าใกล้สักเท่าไหร่นัก
หนิงอ้ายเองก็ไม่รอช้าใช้เนตรแห่งสวรรค์ตรวจสอบอีกฝ่ายในทันทีซึ่งข้อมูลที่ปรากฎนั้นทำให้ตนรับรู้ได้เพียงว่าชายหนุ่มเป็นผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิวิญญาณขั้นสูงคนหนึ่งและมีสายเลือดของสัตว์อสูรไหลเวียนอยู่ คาดว่าเป็นสัตว์อสูรที่ขึ้นชื่อในเรื่องการป้องกัน
หมายเหตุด้านล่างนั้นทำให้หนิงอ้ายรับรู้ได้ว่าด้วยระดับพลังวิญญาณของเขาในตอนนี้ไม่สามารถตรวจสอบอีกฝ่ายได้ อาจด้วยเพราะอยู่ในระดับพลังวิญญาณขั้นเดียวกันหรืออาจเป็นเพราะความพิเศษของทางสายเลือดอสูรที่ไหลเวียนอยู่ในตัวของอีกฝ่ายก็เป็นไปได้เช่นกัน
'ไม่น่าเชื่อว่าจะพบเจอผู้ที่มีสายเลือดสัตว์อสูรเหมือนกัน แท้ที่จริงแล้วคนผู้นี้มีสายเลือดของสัตว์อสูรสายพันธ์ใด?'
'เนตรแห่งสวรรค์ยังไม่สามารถรับรู้ถึงข้อมูลทั้งหมดได้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความพิเศษของทางสายเลือดหรือสิ่งใดกัน...'
'ปราณธาตุน้ำในตัวได้ถูกนำออกมาหมุนเวียนอยู่โดยรอบตัว อีกทั้งนี่ยังเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองโดยที่ไม่ได้ใช้บทเวทย์ใดช่างเป็นสายเลือดที่น่าชื่นชมยิ่ง…' หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นกับตัวเองอยู่ในใจพร้อมกับลอบสังเกตชายหนุ่มต่อไปอย่างเงียบ ๆ
"เขาดูแข็งแกร่งมาก แต่ก็ดูน่ากลัวในเวลาเดียวกัน..." เป็นอี้หลินที่เอ่ยขึ้นเป็นคนเเรกก่อนที่จะถอนสายตาออกมาในที่สุด
"เขาต้องมีความพิเศษเป็นแน่เพราะสามารถรอดพ้นจากค่ายกลประหลาดของอู่ฮั่นได้อย่างไรเล่า..." จ้าวหลานเอ่ยขึ้นพร้อมกับหยอกล้อสหายของตนไปอีกครั้งอย่างอดใจไม่ได้
"ปล่อยเจ้าพูดต่อไปเถอะ อย่างไรข้าต้องฝากตัวเป็นศิษย์ของตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลให้ได้!!" อู๋ฮั่นเอ่ยขึ้นด้วยความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า
" ผู้ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นย่อมได้รับผลตอบแทนที่ดีที่สุด หากไม่มีอะไรก็อย่าไปข้องเกี่ยวกับเขาผู้นี้แล้วกันพวกเราควรตั้งใจรอรับป้ายศิษย์ใหม่ชั่วคราวจากผู้อาวุโสได้แล้ว..." ลู่ซีเอ่ยขึ้นสรุปในที่สุดก่อนที่จะบอกให้ทุกคนอยู่ในความสงบเรียบร้อยเสียที
ผู้อาวุโสโจวห่าวได้เห็นตัวจริงที่ไม่ได้ผ่านค่ายกลส่งภาพ ต่างรู้สึกได้ว่าเด็กหนุ่มเหล่านี้ช่างเต็มไปด้วยพรสวรรค์มากมายเสียจริงสมกับที่ตาเฒ่าทั้งหลายได้หมายตากลุ่มของหนิงอ้ายเอาไว้เพื่อเข้าตำหนักของตน การมอบป้ายชั่วคราวของศิษย์ใหม่ได้เสร็จสิ้นแล้ว รุ่นเยาว์ชายหญิงทุกคนต่างมีป้ายชื่อเป็นของตนเองกันหมดแล้วผู้อาวุโสจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
"ขอต้อนรับศิษย์ใหม่ของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ในปีนี้อีกครั้ง พวกเจ้าทุกคนทั้งห้าสิบกว่าคนในที่นี้ล้วนเป็นต้นกล้ารุ่นเยาว์ชั้นยอดที่สำคัญต่อสำนักศึกษาของเรา หวังว่าพวกเจ้านั้นจะใช้เวลาตลอดที่อยู่ในสำนักศึกษาแห่งนี้เพื่อพัฒนาตนเองให้ได้มากที่สุด อนึ่งก็เพื่อตัวของพวกเจ้าเองที่จะสามารถยืนอยู่ในยุทธภพนี้ได้อย่างมั่นคงและแน่นอนว่าอีกหนึ่งนั่นคือการตอบแทนสำนักศึกษาของพวกเราให้ยังคงเป็นอีกหนึ่งสำนักศึกษาอันดับต้น ๆ ของมหาทวีปแห่งนี้สืบไป!!!" สิ้นเสียงของผู้อาวุโสโจวห่าวได้กล่าวจบลง รุ่นเยาว์ชายหญิงผู้ฝึกตนจำนวนมากกว่าห้าสิบชีวิตในที่นี้ต่างโห่ร้องกันออกมาเสียงดังบ้างก็ร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจอย่างถึงที่สุด
พวกเขาเหล่านี้นั้นล้วนแบกความหวังทั้งของตนเองและตระกูลของตนในการเข้าทดสอบของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ในครั้งนี้ ภาพของรุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ทำให้เหล่าผู้อาวุโสและหัวหน้าผู้คุ้มกันรวมไปถึงเหล่าผู้อาวุโสที่เฝ้ามองดูจากค่ายกลส่งภาพต่างอดไม่ได้ที่จะล้วนเผยรอยยิ้มออกมาด้วยความยินดีเช่นกัน
‘ในที่สุดข้าก็ทำได้สำเร็จ ท่านพ่อของข้าต้องภูมิใจมากเป็นแน่...’
‘ข้าได้เป็นศิษย์ของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ ข้าทำได้แล้ว!!’
‘ข้าต้องส่งข่าวบอกให้กับตระกูลของข้าได้ทราบ พวกเขาต้องดีใจมากเป็นแน่ที่ข้าสามารถทำได้เช่นนี้...’
‘ในที่สุดความพยายามของข้าตลอดสามปีมานี้ก็สำเร็จเสียที ข้าคิดว่าต้องเข้าทดสอบทุกปีจนกว่าจะถึงกำหนดของอายุเสียแล้ว...’
เสียงของเหล่าบรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ที่เอ่ยขึ้นพูดคุยกันด้วยความยินดีที่ดังขึ้นไปทั่วทั้งบริเวณลานหน้าประตูทางเข้าสำนัก การทดสอบครั้งนี้ที่ทางสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ได้จัดขึ้น จำนวนผู้ที่ผ่านการทดสอบเป็นศิษย์ใหม่มีมากถึงห้าสิบกว่าคนเลยทีเดียว นับได้ว่าเป็นจำนวนที่มากที่สุดในรอบหลายร้อยปีที่ได้มีการจัดทดสอบขึ้น
กลุ่มรุ่นเยาว์เหล่านี้ด้วยญาณสัมผัสของผู้ฝึกตนระดับสูงเช่นพวกเขาต่างรับรู้ได้ว่ารุ่นเยาว์เหล่านี้ต่างเป็นสุดยอดรุ่นเยาว์อัจฉริยะที่มากไปด้วยพรสวรรค์และความพิเศษทั้งทางพลังวิญญาณและทางสายเลือดอันโดดเด่น แน่นอนว่าหน้าที่ของพวกเขาที่เป็นผู้อาวุโสประจำสำนักหรือเจ้าตำหนักต่าง ๆ คือการสนับสนุนผลักดันให้รุ่นเยาว์เหล่านี้สามารถที่จะพัฒนาได้มากที่สุดตามขีดจำกัดของพวกเขา
"พวกเจ้าจงอยู่ในความสงบเสีย จากนั้นให้ใช้พลังวิญญาณลงไปในแผ่นป้ายหยกที่ได้รับแล้วหลับตาลงได้แล้ว!!!" เสียงของผู้อาวุโสโจวห่าวเอ่ยขึ้นอีกครั้งก่อนที่เงาร่างจะหายไปอย่างรวดเร็ว เมื่อพวกเขาตั้งสติได้จึงทำตามที่ผู้อาวุโสได้เอ่ยขึ้นในทันที...
ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต
มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล
ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย