ทางฝั่งผู้อาวุโสที่เฝ้ามองกลุ่มของหนิงอ้ายผ่านค่ายกลส่งภาพนี้ พวกเขาต่างล้วนอยากรู้ว่าเด็กหนุ่มนั้นล่วงรู้ถึงแบบทดสอบในวันพรุ่งนี้จริงหรือไม่? เพราะหากเด็กหนุ่มทราบจริงนี่ออกจะเหลือเชื่อเกินไปสักหน่อยแล้ว
การทดสอบครั้งถัดไปเป็นท่านเจ้าสำนักและท่านรองเจ้าสำนักเป็นผู้ดูแลด้วยตนเอง เหล่าผู้อาวุโสตอนนี้ต่างจ้องมองกลุ่มของหนิงอ้ายสลับไปมากับทางฝั่งของทั้งสองคนผู้สูงศักดิ์ในสำนักศึกษาที่เกี่ยวข้องกับการทดสอบที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้…
"ให้ข้าเปิดเผยความลับสวรรค์ให้เช่นนั้นรึ? หากว่าเจ้าสามารถหยุดพูดไปถึงหนึ่งเค่อข้าจักยอมทำนายให้แก่เจ้าก็แล้วกัน..." ท่าทางของหนิงอ้ายที่แสดงออกมาช่างดูเหมาะสมกับช่วงวัยสิบห้าสิบหกยิ่งท่าทางหยอกล้อที่เต็มไปด้วยความสดใสทำเอาผู้ที่แอบเฝ้ามอง? ผ่านดวงตากลมโตสีแดงชาด อดที่จะขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้ดูท่าแล้วตนคงต้องรีบไปพบเจ้ากระต่ายน้อยของตนให้เร็วที่สุด
"หนิงอ้าย ไม่สิ!! เจ้าเป็นใครกันสหายของข้าไม่เคยพูดเล่นเช่นนี้ ไม่นะ!! เอาสหายข้าคืนมา..." เมื่อเห็นเด็กหนุ่มส่งมาแบบนั้นแล้ว อี้หลินจึงทำการละเล่นตอบกลับไปใหญ่โตกว่าเดิมหลายเท่า ท่ามกลางสายตาของลู่ซีและจินหั่วที่สายหัวกับสหายอายุน้อยทั้งสองของตน อีกทั้งพวกเขานั้นไม่คิดว่าหนิงอ้ายจะตลกร้ายได้เช่นนี้
โดยปกติแล้วอี้หลินมักจะเต็มไปด้วยความซุกซนและชอบพูดคุยไม่หยุดหย่อน ดังนั้นการที่จะให้คำตอบที่อีกฝ่ายต้องการทราบแต่ต้องแลกมากับความทรมานที่ไม่ได้พูดคุยสักชั่วครู่นี่ออกจะรังแกกันมากเกินไปแล้ว
"พรุ่งนี้จะมีแบบทดสอบอะไรพวกเราทั้งหมดย่อมผ่านการทดสอบอยู่แล้ว ตอนนี้ควรแยกย้ายกันไปพักผ่อนให้มากเพื่อเตรียมตัวรับมือในสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้เพื่อที่พวกเราจะได้ไม่เสียใจในภายหลัง..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นปลุกใจกับทุกคน แน่นอนว่าพวกเขานั้นต่างมองหน้ากันไปมาราวกับเป็นการสัญญาว่าพวกเขานั้นจะต้องผ่านการทดสอบในวันพรุ่งนี้ไปด้วยกันให้ได้
วันเวลาได้ผ่านไปอย่างรวดเร็วเพราะในตอนนี้ก็ถึงตอนเช้าของวันสุดท้ายของการทดสอบเข้าร่วมสำนักแล้ว พวกเขาทั้งสี่ต่างเฝ้ารอคอยว่าจะมีเพื่อนที่เป็นศิษย์ใหม่เพิ่มขึ้นอีกหรือไม่ โดยเฉพาะต้าเฮยนั้นแสดงความตื่นเต้นซุกซนโดยการโผล่ส่วนหัวออกมาจากส่วนอกเสื้อของหนิงอ้ายพร้อมกับขยับไปมาไม่อยู่นิ่งจนหนิงอ้ายต้องดุไปหลายครั้งถึงจะกลับมาเงียบสงบได้
การกระทำของเด็กหนุ่มอยู่ในสายตาของอี้หลินและจินหั่วซึ่งทั้งสองคนต่างคิดว่าหนิงอ้ายดุเจ้าตัวน้อยจนเกินไป อีกฝ่ายเป็นเพียงเจ้าตัวน้อยที่ซุกซนเพียงเท่านั้น เฮ้อ...ต้าเฮยนี่มีความสามารถให้ทุกคนต้องหลงรักจริง ๆ หนิงอ้ายคิดอยู่ในใจ
เช้าของวันนี้หนิงอ้ายได้ทำโจ้กหมูสับง่าย ๆ สำหรับมื้อเช้า ไข่ลวกก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่แปลกใหม่จนทำให้ทุกคนแตกตื่นเป็นอย่างมาก รสชาติหวานนุ่มของไข่ที่ถูกลวกอย่างพอดีเมื่อทานคู่กันแล้วทำให้รู้สึกหวานนุ่มลิ้นอย่างลงตัว แน่นอนว่าสายกินอย่างอี้หลินถึงกับชมหนิงอ้ายอย่างไม่ขาดปาก ทางฝั่งของจินหั่วและลู่ซีเองถึงจะไม่ได้เอ่ยสิ่งใดขึ้นมาแต่ว่าสีหน้าที่แสดงออกมาก็รู้สึกไปไม่ต่างกัน เมื่อทุกคนรู้สึกอิ่มท้องกันแล้วจากนั้นพวกเขาต่างจัดการธุระส่วนตัวและเก็บกวาดพื้นที่พักนี้ให้เรียบร้อยดังเดิมก่อนที่จะสำรวจความเรียบร้อยของตนอีกครั้งเป็นครั้งสุดท้าย
"พวกเราไปกันเถอะ เมื่อไปถึงแล้วคงมีผู้ที่ผ่านการทดสอบเพิ่มขึ้นเป็นแน่..." ลู่ซีเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าทุกคนเรียบร้อยแล้วก่อนที่จะเดินนำทุกคนไปทางฝั่งประตูทางเข้าของสำนักที่อยู่ห่างไปไม่ไกลนัก
"เช่นนั้นพวกเราไปรออยู่บริเวณใกล้ ๆ ประตูทางเข้าสำนักแล้วกัน ไม่แน่ว่าหากมีอะไรเพิ่มเติมเราจะได้ทราบและเตรียมตัวก่อนได้ทัน..." อี้หลินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น
เพียงไม่ถึงหนึ่งเค่อกลุ่มของหนิงอ้ายได้เดินมาถึงตรงประตูทางเข้าของสำนักในที่สุด ในตอนนี้บริเวณโดยรอบได้มีผู้ที่ผ่านการทดสอบที่กำลังยืนรออยู่อีกไม่กี่สิบคนเท่านั้น ดูคร่าว ๆ พอประมาณได้อยู่ที่สามสิบถึงสี่สิบคน จำนวนนี้นับได้ว่าไม่มากไม่น้อยจนเกินไป เพราะว่าในบางปีนั้นก็มีผู้ผ่านการทดสอบเเรกเพียงไม่ถึงสิบคนก็มีให้เห็น
จำนวนผู้ผ่านการทดสอบแรกพวกเขาได้เห็นในตอนนี้แม้จะมีจำนวนมากก็จริง แต่หากเทียบกับจำนวนรุ่นเยาว์ผู้ฝึกตนในตอนแรกก่อนการทดสอบที่มีมากกว่าหลายร้อยคน กับสัดส่วนผู้ที่ผ่านการทดสอบที่เห็นนี้ เปรียบเทียบกันแล้วย่อมแสดงให้เห็นว่าการทดสอบของทางสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลยสักนิด
"ปีนี้มีผู้ผ่านการทดสอบเพียงเท่านี้เช่นนั้นรึ??" จินหั่วเอ่ยขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อเพราะก่อนเข้าร่วมการทดสอบมีจำนวนผู้ที่เข้าร่วมย่อมไม่ต่ำกว่าหลักร้อยคนขึ้นไป
"แสดงว่าพวกเขาล้วนเจอเหตุการณ์ประหลาดในการทดสอบไม่ต่างไปจากพวกเราใช่หรือไม่? เพราะไม่เช่นนั้นแล้วจำนวนผู้ผ่านการทดสอบย่อมมีมากกว่านี้แน่" อี้หลินเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเบา ๆ ให้ได้ยินเฉพาะเพียงพวกเขาเท่านั้นด้วยเพราะก่อนหน้านี้เขาเห็นว่าจำนวนผู้เข้าร่วมนั้นมีมากมายกว่านี้หลายเท่า
"ข้าสังเกตเห็นกลุ่มรุ่นเยาว์ที่ถูกอำนาจสะกดใจของอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะในก่อนหน้านี้ยังไม่เห็นพวกเขาเลยซักคน แสดงว่าพวกเขายังไม่ฟื้นคืนสติหรือยังเดินทางมาไม่ถึงอย่างนั้นรึ?” อี้หลินเอ่ยเสริมขึ้นเมื่อเห็นว่ากลุ่มผู้ฝึกตนที่พวกเขาได้ช่วยเหลือในเมื่อวานนี้ยังไม่ปรากฎให้เห็นเลยสักคน
"อำนาจสะกดใจของอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะส่งผลโดยตรงต่อญาณสัมผัสและการรับรู้ของร่างกาย แม้ว่าจะไม่มีผลกระทบในเส้นทางฝึกตนในวันข้างหน้าก็จริง แต่ว่าด้วยระดับพลังวิญญาณของพวกเขาที่เป็นเพียงระดับขุนนางวิญญาณขั้นต้นย่อมทำให้ร่างกายฟื้นคืนได้ช้ากว่าปกติก็ไม่ผิดแปลกอันใด..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นให้กับทุกคนได้รับรู้ตามที่เนตรแห่งสวรรค์ได้ส่งข้อมูลมาให้แก่ตน เพื่อให้ทุกคนได้คลายสงสัยในเรื่องนี้
"อย่ามัวแต่คาดเดาอยู่เลยเช่นนั้นก็ไปสอบถามผู้ผ่านการทดสอบคนอื่นกันเถอะเผื่อจะได้ข้อมูลอะไรเพิ่มขึ้น" จินหั่วเอ่ยขึ้นมาด้วยเพราะตนนั้นก็อยากรู้ไปไม่ต่างกันก่อนที่ทุกคนนั้นจะพยักหน้าตกลงในความคิดเห็นนี้
ก่อนที่กลุ่มของหนิงอ้ายนั้นจะเดินไปยังมุมหนึ่งที่ตอนนี้มีชายหนุ่มอายุราว ๆ สิบหกสิบเจ็ดปีจำนวนสามคนกำลังยืนอยู่ด้วยท่าทางนิ่งสงบ ใบหน้าของทั้งสามคนเรียบเฉยไม่ปรากฎคลื่นอารมณ์ใด อีกทั้งกลิ่นอายที่แผ่ออกมานั้นทำให้รับรู้ได้ว่าทั้งสามคนนี้เป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ฝึกตนที่พลังวิญญาณแข็งแกร่งที่หนิงอ้ายได้เคยบอกไว้ก่อนหน้าเป็นแน่
"คุณชายทั้งสามต้องขออภัยที่รบกวน ท่านพอทราบหรือไม่ว่าเหตุใดจึงมีผู้ผ่านการทดสอบเพียงไม่กี่สิบคนเช่นนี้??" ลู่ซีเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มพร้อมกับโค้งตัวตามมารยาทของผู้ฝึกตน
"ข้าไม่แน่ใจสักเท่าไหร่นัก แต่ดูเหมือนว่ามีผู้ฝึกตนไม่น้อยที่เผลอไปด้วยค่ายกลบางอย่างจึงทำให้ถูกพาไปยังอีกฝั่งหนึ่งของเทือกเขาเร้นลับอสูร ด้วยเวลาเพียงเท่านี้จึงยังเดินทางมาไม่ถึงอีกเป็นจำนวนมาก..." ชายหนุ่มที่ตัวโตที่สุดได้เอ่ยตอบไปพร้อมกับมองสำรวจกลุ่มของหนิงอ้าย
"เหตุใดเจ้าไม่บอกพวกเขาไปเล่าว่าเป็นเพราะใครกัน ฮ่าฮ่าฮ่า" ชายหนุ่มอีกคนเอ่ยเสริมขึ้นพร้อมกับหัวเราะออกมา
"..." กลุ่มของหนิงอ้ายต่างนิ่งเงียบรอฟังคำตอบอย่างใจจดจ่อ
"ข้ามักจะทดลองสร้างยันต์ค่ายกลเอาไว้ใช้ในบางโอกาส แต่ด้วยเพราะยังขาดความแม่นยำหลายส่วน นอกจากนั้นมีกลุ่มของผู้ฝึกตนกลุ่มใหญ่ที่ตามมาอย่างกระชั้นชิด ข้านึกว่าพวกเขาเป็นศัตรูจึงเผลอใช้ค่ายกลที่ข้าสร้างยังไม่เสร็จดีเคลื่อนย้ายพวกเขาไป..." ชายหนุ่มที่มีนามว่าอู๋ฮั่นเอ่ยขึ้นด้วยความจำนน
"ฮ่าฮ่าฮ่า..." เสียงของกลุ่มของหนิงอ้ายและชายหนุ่มทั้งสามคนต่างมองหน้ากันพร้อมกับหัวเราะออกมาเสียงดัง
"ถ้าให้ข้าเดา ยันต์เคลื่อนย้ายของเจ้าคงขาดเรื่องความแม่นยำและอักขระกำกับหลักไม่เช่นแล้วคงไม่ออกมาเช่นนี้ หากแก้ไขโดยการใช้อักขระกำกับให้ถูกต้องปัญหานี้ย่อมหายไปอย่างแน่นอน..." ลู่ซีเอ่ยขึ้นพร้อมกับวิเคราะห์ออกมา
"ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น เพราะศาสตร์แห่งค่ายกลเป็นข้าที่แอบศึกษาเองโดยไม่มีใครรับรู้เพราะตระกูลของข้าไม่สนับสนุนในด้านนี้จริงสิ!!!เจ้าสามารถวิเคราะห์ได้เช่นนี้แสดงว่าเจ้าก็สนใจด้านนี้เช่นกันใช่หรือไม่??" ชายหนุ่มนามว่าอู๋ฮั่นเอ่ยขึ้นด้วยความกระตือรือร้นเมื่อเห็นว่ามีผู้ที่สนใจในด้านเดียวกัน
"ข้าสนใจศาสตร์แห่งค่ายกลเช่นกัน จริงสิ! ข้าชื่อลู่ซีแล้วพวกเจ้าเล่า??" ลู่ซีตอบกลับไปพร้อมกับแนะนำตัวเองไปให้ทั้งสามคนได้รับรู้
"ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน อู๋ฮั่นเป็นนามของข้าเจ้าคงทราบไปแล้ว..." อู๋ฮั่นเอ่ยแนะนำตัวอย่างเป็นทางการอีกครั้ง
"ข้าชื่ออี้หลิน ยินดีที่ได้รู้จักพวกเจ้านะหวังว่าหลังจากนี้เราจะเป็นสหายด้วยกันได้" อี้หลินแนะนำตัวตอบกลับไป
"ส่วนข้าชื่อจินหั่ว ยินดีที่ได้รู้จักพวกเจ้าเช่นกัน..." จินหั่วแนะนำตัวพร้อมกับยิ้มมุมปากเล็กน้อยตามแบบฉบับของเจ้าตัว
"ยินดีที่ได้รู้จักพวกท่านทั้งสามคนข้ามีนามว่าหนิงอ้ายเราเคยพบเจอกันก่อนหน้าจำได้หรือไม่??" หนิงอ้ายแนะนำตัวพร้อมกับถามกลับชายหนุ่มทั้งสามคนไปเช่นกัน
"ข้าย่อมจดจำได้อยู่แล้วข้ามีนามว่าจ้าวหลาน ฝีมือของเจ้าไม่ธรรมดา..." จ้าวหลานเอ่ยขึ้นพร้อมกับมองไปยังทุกคนที่อยู่ตรงหน้าแน่นอนว่าคำพูดสุดท้ายนั้นเขาจงใจพูดกับหนิงอ้ายโดยเฉพาะ ด้วยเพราะลึก ๆ แล้วเขาสัมผัสได้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้แข็งแกร่งกว่าที่เห็นภายนอกยิ่งนัก
"เหตุใดจะจำไม่ได้กันนามของข้าคือหลี่ซวง ไม่คิดว่าเจ้าสามารถผ่านการทดสอบมาถึงที่นี่ได้เช่นกันนับถือ นับถือ..." หลี่ซวงเองเมื่อทักทายทุกคนกลับไปแล้วจึงตอบกลับเฉพาะกับหนิงอ้าย เพราะเขาเองก็สัมผัสได้ไปไม่ต่างจากจ้าวหลานว่าเด็กหนุ่มคนนี้มีบางสิ่งอย่างที่ไม่ธรรมดาสามัญ
"อย่าเรียกพวกข้าว่าท่านชายเลย ไหน ๆ พวกเราต่างเป็นสหายแล้วเช่นนั้นก็เรียกเพียงแต่ชื่อจะดีกว่า..." อู๋ฮั่นเอ่ยขึ้นตอนนี้พวกเขาต่างเป็นสหายกันแล้ว ท่าทีหรือคำเรียกที่ห่างเหินเช่นนั้นควรปัดตกไปเสีย
"ความจริงยังมีอีกคนที่ข้าอยากให้พวกเจ้าได้รู้จัก นี่คือต้าเฮยสัตว์เลี้ยงของข้า..." จบคำกล่าวของหนิงอ้าย ต้าเฮยที่อยู่ในอกเสื้อได้ชูคอขึ้นพร้อมกับดวงตาสีแดงชาดได้มองสำรวจชายหนุ่มทั้งสามคนไปครู่ใหญ่ ท่าทางเช่นนี้ชวนให้ชายหนุ่มทั้งสามคนที่อาจจะไม่ละเอียดอ่อนมากนักยังรู้สึกเอ็นดูเจ้าตัวน้อยนี้ได้อย่างไม่ยากนัก
จากนั้นนิ้วชี้ของทั้งสามคนจะมีรอยแผลกัดเล็ก ๆ ก่อนที่จะจางหายไปอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าความรวดเร็วเช่นนี้ต่อให้พวกเขาทั้งสามคนที่ตอนนี้เป็นถึงผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิวิญญาณขั้นกลางแล้วยังไม่สามารถตรวจจับความเร็วเช่นนี้ได้ ดูท่าแล้วเจ้าอสรพิษตัวน้อยคงไม่ธรรมดาสามัญไม่ต่างไปจากหนิงอ้ายอย่างแน่นอน
"ไม่ต้องตกใจไป ต้าเฮยเพียงแฝงปราณธาตุพิษต้นกำเนิดให้พวกเจ้าเท่านั้น วันข้างหน้าหากพวกเจ้าต้องพิษสิ่งนี้จะสามารถช่วยพวกเจ้าได้..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นอีกครั้งก่อนที่จะสั่งการให้วิหคสอดแนมขยายเขตพื้นที่การรับรู้โดยรอบ
"นี่มัน..." ชายหนุ่มทั้งสามคนเอ่ยขึ้นพร้อมกันในทันที แต่ยังคงไร้ซึ่งเสียงใดเล็ดลอดออกมาให้ได้ยินคล้ายกับว่าไม่เชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น
"ฮ่าฮ่าฮ่า ก่อนหน้านี้ทั้งข้าและจินหั่วก็รู้สึกเช่นนี้อีกหน่อยพวกเจ้าก็ชินเชื่อข้าสิ ต้าเฮยนี่ช่างน่ารักยิ่ง... " อี้หลินเอ่ยขึ้นพร้อมกับหัวเราะออกมาก่อนที่คนคลั่งรักต้าเฮยอย่างอีกฝ่ายจะเอ่ยชมเจ้าตัวน้อยไม่หยุด
"ขอบคุณเจ้าเช่นกันนะต้าเฮย เจ้าช่างมีน้ำใจเสียจริง" เป็นจ้าวหลานที่ตั้งสติได้แล้วจึงเอ่ยขอบคุณกับอีกฝ่ายด้วยความซึ้งใจ
"ขอบใจเจ้ามากนะต้าเฮย หวังว่าข้าจะได้ตอบแทนเจ้าในสักวันนะ" อู๋ฮั่นบอกกับเจ้าตัวน้อยด้วยความจริงใจ
"เอาไว้ข้าจะหาของอร่อย ๆ มาฝากเจ้าแล้วกัน" หลี่ซวงเอ่ยเสริมขึ้น เขารู้ว่าปราณธาตุพิษต้นกำเนิดที่พวกเขาได้รับเข้ามาในร่างกายนั้นล้ำค่ามากมายเพียงใด
"แสดงว่ามีผู้ฝึกตนจำนวนหนึ่งที่โดนลูกหลงจากยันต์ของอู๋ฮั่น ส่วนหนึ่งก็เป็นผู้ฝึกตนที่พวกเราได้พบเจอในเมื่อวานและคนอื่น ๆ คงไม่ผ่านการทดสอบที่สำนักได้จัดเตรียมขึ้นหรืออาจมีไม่น้อยเช่นกันที่ไม่สามารถผ่านด่านการทดสอบของธรรมชาติได้..." ลู่ซีสรุปขึ้นเมื่อนึกถึงความเป็นไปได้กับเหตุผลนี้ เพราะหากนับจำนวนรวมกันแล้วก็เป็นหลักร้อยคนเช่นกัน
"แต่ถึงอย่างนั้นก็มีจำนวนไม่น้อยที่สามารถยืนอยู่ตรงนี้ได้ ย่อมแสดงว่าพวกเขาย่อมเป็นผู้ที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง!!" หลี่ซวงเอ่ยขึ้นเสริมขึ้น
"ข้าอยากประลองกับพวกเขายิ่ง อยากจะรู้ว่าพวกเขาจะแข็งแกร่งมากเพียงใด??" จ้าวหลานที่เอ่ยขึ้นด้วยความสนุกเพราะเขาชื่นชอบการประลองต่อสู้เป็นอย่างมาก
พวกเขาที่ตอนนี้รวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่แล้ว ยังคงพูดคุยกันอย่างต่อเนื่องเพื่อแลกเปลี่ยนแนวคิดและเรื่องที่ตนสนใจ ทำให้พวกเขาได้รับรู้และแลกเปลี่ยนเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่ละเรื่องราวที่พวกเขาได้เเลกเปลี่ยนกันต่างเป็นหัวข้อที่พวกเขาได้พูดคุยกันเพิ่มเติม ประมาณว่าหากตัวของพวกเขาเองต้องพบเจอกับเหตุการณ์เช่นนั้นจะมีวิธีการรับมืออย่างไร
ในที่สุดเวลาก็ได้มาถึงยามอู่เป็นกำหนดเวลาสุดท้ายที่ทางสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ได้เป็นผู้กำหนดขึ้นในการทดสอบเข้าร่วมสำนักในครั้งนี้ หากประมาณการเพียงสายตาก็จะพบว่ารุ่นเยาว์ชายหญิงผู้ฝึกตนที่เดินทางมาถึงประตูทางเข้าของสำนักมีอยู่ประมาณห้าสิบกว่าคน จำนวนดังกล่าวนี้นับได้ว่าเป็นจำนวนที่มากที่สุดในรอบหลายร้อยปีเลยทีเดียว
สำหรับสำนักศึกษาทั่วไปโดยเฉพาะอีกสี่สำนักศึกษาใหญ่ที่เหลือ กล่าวว่าในแต่ละปีที่ได้มีการเปิดรับศิษย์ใหม่เข้าสำนักต่างมีจำนวนไม่ต่ำกว่าหลักร้อยทั้งสิ้น มีเพียงสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์นี้ที่ไม่ได้เน้นจำนวนแต่เน้นคุณภาพของศิษย์ใหม่เสียมากกว่า อาจกล่าวได้ว่าสำนักศึกษาแห่งนี้เป็นศูนย์รวมของรุ่นเยาว์แปลกประหลาดที่มากไปด้วยพรสวรรค์อย่างแท้จริงก็คงไม่เกินจริงไปนัก ด้วยเพราะการันตรีด้วยศิษย์ในสำนักที่จบการศึกษาไปที่ในตอนนี้ต่างมีชื่อเสียงในโลกยุทธภพ อาจจะมีจำนวนมากกว่าอีกสี่สำนักศึกษาที่เหลือเสียด้วยซ้ำ ซึ่งแน่นอนว่าหากผู้ฝึกตนคนใดที่อยู่ในสังกัดของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ ย่อมถูกปฏิบัติด้วยความนับถือเป็นอย่างยิ่ง…
ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต
มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล
ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย