วิหคสอดแนมได้ส่งภาพบางอย่างให้เขาได้รับรู้ จากกลิ่นอายของอีกฝ่ายที่เล็ดลอดออกมาแม้จะเพียงน้อยนิดเเต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่าผู้ที่ลักลอบเข้ามาในยามวิกาลเช่นนี้คงไปใครไปไม่ได้นอกจากชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าสำนักคนต่อไปที่ตนนั้นพึ่งได้พบเจอเมื่อในช่วงสายของวันนี้
สิ้นเสียงของเด็กหนุ่มคล้ายกับต่อว่าผู้ที่บุกรุกเข้ามา เสียงหัวเราะชอบใจได้ดังขึ้นเบา ๆ ชวนให้รู้สึกหมั่นไส้อยู่ไม่น้อยก่อนที่ด้านหลังของหนิงอ้ายนั้นได้มีบางสิ่งอย่างที่เคลื่อนไหวด้วยความรวดเร็วเข้ามาจู่โจมในทันที
พรึบ!
หนิงอ้ายได้หันหลังลุกขึ้นพร้อมกับสองมือนั้นต่างตั้งรับการโจมตีของอีกฝ่ายได้อย่างทันท่วงที ทั้งสองคนต่างเเลกเปลี่ยนเชิงยุทธ์ต่อสู้กันอย่างไม่มีฝ่ายใดเพลี่ยงพล้ำสลับไปมายากจะมองเห็นตามทันสำหรับผู้ฝึกตนทั่วไป หลังจากที่เวลาได้ผ่านไปสักครู่ทั้งสองคนต่างแยกตัวออกจากกันเพื่อตั้งหลักอีกครั้ง ตรงด้านหน้าของหนิงอ้ายนั้นปรากฎเป็นชายหนุ่มในชุดดำที่รูปร่างสูงใหญ่กำยำ ที่ตอนนี้หัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนที่จะพุ่งตัวเข้าโจมตีเด็กหนุ่มอีกครั้งด้วยความรวดเร็ว
ดวงตาเรียวเล็กของหนิงอ้ายฉายชัดถึงความเย็นชาก่อนที่ร่างบางจะเร่งญาณสัมผัสของตนเองออกมาได้จนถึงขีดสุด ก่อนที่จะตั้งรับและโต้กลับไปด้วยความเร็วรุนแรงที่เพิ่มขึ้นหลายเท่า เเต่ถึงอย่างไรหนิงอ้ายรู้สึกได้ว่าฝีมือของอีกฝ่ายนั้นล้ำหน้ากว่าเขาในยามนี้ไปมาก
ด้วยร่างกายสูงใหญ่ของอีกฝ่ายนั้นก็ชวนให้คิดถึงร่างเดิมของตนในโลกเก่า เพราะถึงแม้ว่าร่างกายของหนิงอ้ายในตอนนี้จะเเข็งแรงขึ้นมากกว่าจริง เเต่ด้วยเวลาเพียงไม่ถึงสองปีที่ผ่านมานั้นความเเข็งแกร่งดังกล่าวนับว่ากู้คืนได้มาเพียงหกในสิบส่วนจากร่างเดิมของเขาก็เพียงเท่านั้น
ขณะที่หนิงอ้ายครุ่นคิดนั้น ทางฝั่งของบุรุษชุดดำเมื่อเห็นโอกาสที่เหมาะสมจึงพุ่งเข้าโจมตีอีกฝ่ายด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นก่อนที่ร่างบางนั้นจะเสียหลักและพลาดท่าอยู่ในอ้อมกอดของชายชุดดำอย่างเสียไม่ได้
"ท่านปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ!!" หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงลอดไรฟันอย่างหัวเสียที่ตนนั้นประมาทจนเกินไปจึงต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้พร้อมกับที่เด็กหนุ่มพยายามขืนตัวออกจากอ้อมแขนของคนตัวโตที่กอดรัดเสียจนขยับไม่ได้เช่นนี้
"หากว่าข้าไม่ปล่อยเจ้าเล่าเจ้าจะทำเช่นไร??'' เสียงของบุรุษชดดำเอ่ยขึ้นอย่างหยอกล้อพร้อมกับก้มหน้าชิดตรงข้างแก้มของเด็กหนุ่มราวกับต้องการซึมซับกลิ่นอายอันหอมหวานนี้
"ข้าบอกให้ปล่อยไงเล่า!!! ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะเจ้าคนโรคจิต!!" หนิงอ้ายที่โดนสัมผัสตรงข้างแก้มยิ่งรู้สึกเดือดดานมากยิ่งขึ้นหลายเท่า ฮึ่ย!! หมอนี่ถึงกับกินเต้าหู้เขาอย่างโจ่งแจ้งเช่นนั้นเชียวรึ
"หากว่าเจ้าต้องการให้ข้าปล่อยตัวเจ้าไปเช่นนั้นลองเรียกข้าว่าฟูจวินสักครั้ง แล้วข้าจะปล่อยตัวเจ้าเช่นนั้นดีหรือไม่??" เมื่อเห็นท่าทางของตัวเล็กนั้นที่พยายามขืนตัวออกจากหน้าอกแกร่งของตนเเล้วนั้นชายหนุ่มยิ่งอยากที่จะกลั่นแกล้งอีกฝ่ายมากเท่านั้น
"ฟูจวินอย่างนั้นรึ? ได้ตามที่ท่านต้องการ..." หนิงอ้ายแสร้งเป็นรับคำด้วยความยินยอมก่อนที่จะบีบเสียงเล็กออกมาราวกับว่าเขาเป็นสตรีในห้องหอเสียอย่างนั้น เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังตนคลายอ้อมเเขนที่รัดเเน่นไปส่วนหนึ่งเเล้ว หนิงอ้ายจึงใช้ประโยชน์จากร่างกายของตนที่เล็กกว่าอีกฝ่าย ก่อนที่จะหมุนตัวด้วยความรวดเร็วพร้อมกับส่งการโจมตีไปยังจุดกึ่งกลางตัวของอีกฝ่ายอย่างไม่ยั้งแรง
"โอ้ยย!!! เสี่ยวไป๋ทู่ตัวน้อยเจ้ากล้าทำเช่นนี้กับข้าอย่างนั้นรึ?" เสียงของชายหนุ่มดังขึ้นอย่างเจ็บปวดพร้อมกับมือทั้งสองข้างนั้นได้โอบอุ้มจุดสำคัญนี้อย่างทะนุถนอมพร้อมกับคุกเข่างอตัวลงไปกับพื้นอย่างหมดสภาพ
"เอาละ! ท่านบอกได้เเล้วหรือยังว่าลอบเข้ามาให้ห้องของข้าด้วยเหตุใดศิษย์พี่ตงหยาง ไม่สิท่านเฟยหลง??" หนิงอ้ายเอ่ยถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ในขณะที่มือข้างขวาของเขานั้นถือกระบี่พาดคอชายหนุ่มด้วยท่าทางที่น่าหวาดเสียวยิ่ง
หนิงอ้ายค่อนข้างที่จะแปลกใจอยู่ไม่น้อย ด้วยเพราะว่าก่อนหน้านี้ที่เขายังไม่สามารถรู้ข้อมูลของอีกฝ่ายได้มากมาย อาจจะด้วยเพราะอีกฝ่ายมีพลังวิญญาณที่สูงกว่าเขามากและมีดวงจิตที่แข็งแกร่ง ทว่าเมื่อครู่นี้ที่เขาได้อยู่ในอ้อมกอดของอีกฝ่าย เนตรแห่งสวรรค์ได้ส่งข้อมูลให้เขาได้รับรู้เพิ่มเติมว่าเเท้ที่จริงเเล้วชายหนุ่มคนนี้มีนามว่าเฟยหลง สำหรับชื่อแซ่และข้อมูลอื่นยังไม่ปรากฎให้รับรู้ คาดเดาว่าเขาต้องสัมผัสอีกฝ่ายให้ได้นานกว่านี้ ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริงกับคนที่ชอบฉวยโอกาสเช่นนี้การสัมผัสที่ว่าคงไม่พ้นไปจากการต่อยตีกับอีกฝ่ายก็เป็นไปได้
"น่าแปลกใจเสียจริง เสี่ยวไป๋ทู่ตัวน้อยถึงกับรู้ชื่อของข้าอย่างนั้นรึ? ไม่ธรรมดา…." เสียงของบุรุษที่มีนามว่าเฟยหลงเอ่ยขึ้นอย่างไม่ทุกข์ร้อนอันใด ที่เด็กหนุ่มตรงหน้นนั้นทราบชื่อ ด้วยเพราะว่าเขาค่อนข้างคาดหวังในเรื่องนี้อยู่บ้าง"ท่านอย่าเอาเเต่เล่นลิ้นให้มากความ ข้าไม่ โอ้ย!!!นี่ท่านปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ..." หนิงอ้ายที่เริ่มจะหมดความอดทนในความขี้เล่นของอีกฝ่าย ทว่าเพียงพริบเดียวโดยที่เด็กหนุ่มยังไม่ได้รู้สึกตัวร่างกายของเขานั้นก็ถูกย้ายมาอยู่ตรงเตียงนอนในทันที เมื่อลืมตาขึ้นมาหนิงอ้ายก็พบว่าตัวของเขาเองได้นั่งหันหน้าอยู่บนตักของชายหนุ่มชุดดำนามว่าเฟยหลงนี้ด้วยท่าทางที่ล่อแหลมยิ่งนัก...
ในใจของหนิงอ้ายสบถออกมาเป็นคำที่ไม่สามารถบรรยายออกมาได้ สิ่งนี้เองทำให้เด็กหนุ่มนั้นรับรู้ได้ว่าชายหนุ่มต่างเสแสร้งขึ้นมาทั้งสิ้น ด้วยเพราะความแตกต่างกันระหว่างพลังวิญญาณและกลิ่นอายของผู้ฝึกตนเเผ่ออกมาอย่างแผ่วเบาเมื่อครู่
ยิ่งทำให้เขาตระหนักได้ว่าพลังวิญญาณของเขากับเฟยหลงห่างกันมากถึงถึงเพียงใด การที่เขาพลาดพลั้งให้กับอีกฝ่ายนับได้ว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ เเต่ถึงอย่างนั้นหนิงอ้ายก็รู้สึกโมโหอยู่ไม่น้อยและตั้งใจเอาไว้อย่างแน่วแน่ว่าหลังจากนี้ตนจะฝึกฝนให้มากขึ้น สักวันจะได้เอาคืนกับชายร่างโตคนนี้ให้จงได้
"นี่เจ้า ท่านเฟยหลงปล่อยข้าได้หรือไม่?? หากมีเรื่องพูดคุยกันข้าก็ไม่ขัดข้องเเต่ในตอนนี้ข้ายอมรับว่าอึดอัดอยู่ไม่น้อย..." หนิงอ้ายเป็นฝ่ายเริ่มคุยก่อนอย่างเสียไม่ได้
หากคิดดูเเล้ว ด้วยระดับพลังของอีกฝ่ายหากต้องการสังหารเขาคงไม่ต่างไปจากการใช้มือเปล่าฆ่าเเมลงตัวน้อย นี่เเสดงว่าอีกฝ่ายน่าจะมีเรื่องเจรจาพูดคุยกับตนเป็นแน่จึงได้ลอบเข้ามาในตำหนักศาสตร์แห่งการรักษานี้ได้อย่างไม่กลัวเกรงอันใด ทางฝั่งของเฟยหลงยังคงจ้องมองใบหน้างามนั้นด้วยความหลงไหล สองเเขนแกร่งยังคงตระกองกอดเอวคอดนี้ด้วยความหวงแหน แม้ว่าตอนนี้ในที่สุดกระต่ายตัวน้อยก็อยู่ในมือของตนเสียที
ทว่าความรู้สึกของการที่ได้ของบางสิ่งอย่างอยู่ในมือเเล้วเเต่ไม่สามารถครอบครองเป็นเจ้าของได้ในตอนนี้ช่างเป็นความรู้สึกที่น่าสงสารเสียจริง จะโทษใครได้เล่าเสี่ยวไป๋ทู่ตัวน้อยมีอายุเพียงสิบห้าสิบหกปีเท่านั้นในตอนนี้ หากเทียบกับเขาแล้วคงไม่ต่างไปจากบรรพบุรุษกับลูกหลานก็คงไม่เกินจริงไปนัก
หนิงอ้ายแม้จะระแวดระวังอีกฝ่ายด้วยความไม่ไว้ใจอีกฝ่าย ในใจกลับรู้สึกคุ้นเคย เจ็บปวด อบอุ่นและรู้สึกถวิลหาอย่างบอกไม่ถูก เมื่อตั้งสติได้เด็กหนุ่มจึงขืนตัวออกจากอ้อมเเขนและผละตัวจากหน้าอกแกร่งอีกครั้ง ก่อนที่จะลุกขึ้นนั่งตรงด้านข้าง ท่ามกลางเสียงถอนหายใจของชายหนุ่มที่ดังขึ้นอย่างเสียดายอยู่ไม่น้อย
หนิงอ้ายหันซ้ายขวามองไปด้วยรอบด้วยเพราะการปะทะกับชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างตนนั้นเขาเชื่อว่าย่อมทำให้เกิดเสียงดังอยู่ไม่น้อย เนตรแห่งสวรรค์ได้ส่งข้อมูลให้รับรู้ว่ารัศมีภายในสองลี้รอบเรือนพักของเขาได้ถูกปกคลุมด้วยเวทย์ป้องกันที่อานุภาพและกลิ่นอายเหนือชั้นกว่าบทเวทย์ระดับเทวะที่เขาถือครองอยู่มากนัก เช่นนั้นเเล้วหนิงอ้ายจึงคาดเดาไว้เพิ่มเติมว่าเฟยหลงคนนี้คงไม่ใช่ผู้ฝึกตนธรรมดาทั่วไปอย่างแน่นอน...
"สรุปแล้วท่านมีสิ่งใดที่ต้องการพูดคุยกับข้ากัน ไม่เช่นนั้นท่านคงไม่กล้าบุกรุกและฝ่ามหาค่ายกลของตำหนักข้าเป็นแน่..." หนิงอ้ายถามชายหนุ่มพร้อมกับตีไปที่มือของอีกฝ่ายเบา ๆ เพราะเขามองเห็นว่ามือที่ซุกซนของอีกฝ่ายทำท่าทางราวกับจะโอบเอวเสียอย่างนั้น ก่อนที่เขาจะตัดสินใจลุกขึ้นพร้อมกับดึงเก้าอี้มานั่งคุยห่างกับอีกฝ่ายในระยะที่ปลอดภัย
"เสี่ยวไป๋ทู่ตัวน้อย ไม่สิเสี่ยวอ้ายรู้จักนามของข้าด้วยอย่างนั่นรึ?? ข้าจักไม่ถามเจ้าว่าล่วงรู้ได้อย่างไรเพราะทุกคนต่างมีความลับเช่นกัน เจ้าว่าอย่างนั้นหรือไม่เล่า" เฟยหลงเอ่ยขึ้นพร้อมกับสบตากับเด็กหนุ่มด้วยสายตาที่ชื่นชมหลงไหล
"ว่าเเต่เจ้าจักไม่ถามข้าอย่างนั้นรึ? ว่าเหตุใดข้าจึงปลอมตัวเป็นเจ้าตงหยางผู้นี้?" ชายหนุ่มเอ่ยถามขึ้นอย่างหยอกเย้า
"ข้าไม่ต้องการรับรู้เหตุผลของท่าน ยิ่งข้ารู้น้อยไปเท่าไหร่ข้าก็จะได้ไม่ต้องข้องเกี่ยวกับท่านมากเท่านั้น..."หนิงอ้ายตอบกลับไปด้วยความคิดของตน
"ที่สำคัญท่านเฟยหลงอย่าเรียกข้าว่าเสี่ยวไป๋ทู่หรือเสี่ยวอ้าย คำนี้ฟังจากปากท่านเเล้วข้ารู้สึกขนลุกยิ่ง!!" หนิงอ้ายเอ่ยเสริมกลับไป
"ฮ่าฮ่าฮ่า เสี่ยวอ้ายอย่าได้คิดมากเช่นนี้..." เฟยหลงเมื่อได้ยินร่างบางตอบมาเช่นนั้นจึงอดที่จะหัวเราะไม่ได้ออกมา
"เอาละ ๆ ข้าไม่หยอกเสี่ยวอ้ายเเล้ว เจ้าคาดเดาได้ถูกต้องที่ข้ามาวันนี้เนื่องจากมีเรื่องที่ต้องรบกวนเจ้าสักเล็กน้อย..."
"อย่างเเรกข้าอยากให้เสี่ยวอ้ายได้รับรู้ ต่อให้มีสิ่งใดเกิดขึ้นข้านั้นไม่เคยคิดร้ายกับเจ้าอย่างแน่นอนรวมไปถึงเหล่าสหายของเจ้าและที่สำคัญการมาของข้านั้นไม่ได้มาเพื่อทำลายสำนึกศึกษาเเห่งนี้ เสี่ยวอ้ายเชื่อใจข้าได้"
"ก่อนหน้านี้เสี่ยวอ้ายคงพอที่จะได้ยินข่าวคราวมาบ้าง ว่าหลายปีผ่านมานี้ผู้ที่ชนะอันหนึ่งถึงห้าของการประลองแคว้นในเเต่ละปีนั้นต่างหายตัวกันไปทีละคนสองคนอย่างลึกลับ แม้ว่าตระกูลของสุดยอดรุ่นเยาว์เหล่านั้นจะปกปิดข่าวคราวนี้แสร้งว่าบุตรหลายในตระกูลของตนต่างออกท่องเที่ยวในยุทธภพเเต่ทว่าความจริงแล้วหาได้เป็นเช่นนั้นไม่?"
"แม้ว่าจะไม่ได้เป็นที่รับรู้โดยทั่วกันในยุทธภพเเต่ในความเป็นจริงนั้นบรรดาสำนึกศึกษาใหญ่ ๆ ประจำทวีป ตระกูลใหญ่ประจำแคว้นหรือกลุ่มผู้มีอิทธิพลอันดับต้นหรือแม้กระทั่งตระกูลในสังกัดผู้ฝึกตนที่มีชื่ออยู่ในทำเนียบของสุดยอดรุ่นเยาว์ในยุทธภพทั้งห้าคนที่หายตัวไปนั้นต่างทราบกันดีว่าการหายตัวไปของเหล่าผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์เหล่านี้นั้นย่อมมีเบื้องหลังที่ไม่ธรรมดาอยู่เป็นแน่""สำนักเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์เเห่งนี้นั้น ต่างเป็นศูนย์รวมของผู้ฝึกตนที่มากไปด้วยความสามารถอย่างเเท้จริง มีไม่น้อยเช่นกันที่เป็นหนึ่งในห้าของเสาหลักเเห่งยุทธภพรุ่นเยาว์หรือแม้กระทั่งเจ้าเเห่งยุทธภพรุ่นเยาว์เช่นกัน"
"สำนักเเห่งนี้หากนับจากศิษย์ในสำนักปัจจุบัน ศิษย์ผู้สืบทอดของทั้งสามตำหนัก รวมไปถึงเจ้าเสี่ยวอ้าย ครั้งหนึ่งนั้นต่างเคยถือครองตำแหน่งเจ้าเเห่งยุทธภพรุ่นเยาว์ของเเต่ละทวีปทั้งสิ้น..."
"ดังนั้นโชคชะตาของเหล่าเจ้าเเห่งยุทธภพรุ่นเยาว์เเต่ละคนที่หายตัวไปอย่างลึกลับนั้น ส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม ดังนั้นตัวตนระดับสูงของเเต่ละมหาทวีปจึงได้มีการตั้งหน่วยพิทักษ์รุ่นเยาว์เหล่านี้อย่างลึกลับ ต่างกระจายตัวแฝงอยู่ในเเต่ละสำนัก ตระกูลต่าง ๆ รวมไปถึงทุกพื้นที่ที่สามารถเเทรกแซงแฝงตัวได้เพื่อที่จะหาเบาะเเสเหล่านี้
"อย่างเช่นเจ้าตงหยางผู้นี้ ครั้งหนึ่งก็เคยได้รับตำแหน่งเจ้าเเห่งยุทธภพรุ่นเยาว์เช่นกันเเต่ทว่าเมื่อสองปีที่ผ่านมา อีกฝ่ายได้หายตัวไปอย่างลึกลับในภารกิจที่ได้รับมอบหมาย จนในที่สุดก็เป็นข้าที่สวมรอยอีกฝ่ายเพื่อที่จะสืบค้นหาเบาะเเสจากในสำนักที่อาจเป็นไปได้'"ที่ข้าลักลอบเข้ามาหาเสี่ยวอ้ายในวันนี้ เหตุผลเเรกคือข้าต้องการให้เจ้าได้รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นเพื่อที่เจ้าจะได้ระวังตัวมากขึ้น แม้จะมีเจ้าอสรพิษตัวน้อยนั้นคอยปกป้องเเต่ในบางครั้งก็อาจจะไม่เพียงพอ ถึงอย่างนั้นเสี่ยวอ้ายก็ทำใจให้สบายได้เพราะข้าไม่ยินยอมปล่อยให้เจ้าต้องตกอยู่ในอันตรายเป็นแน่..."
"อย่างที่สอง หากไม่รบกวนเสี่ยวอ้ายมากเกินไปนักข้าอยากที่จะให้เจ้าช่วยสอดส่องสังเกตความเป็นไปที่เกิดขึ้นหลังจากนี้ หากมีสิ่งใดไม่ชอบมาพากลแล้วเจ้าสามารถบอกข้าได้ทุกเมื่อ"
"สุดท้ายนี้เรื่องราวที่เกิดขึ้นอาจจะไม่ได้ร้ายแรงเหมือนกับที่ข้าได้ยอกกับเสี่ยวอ้ายก็เป็นไปได้ เเต่ถึงอย่างไรนั้นเรื่องเเบบนี้ควรที่จะระวังไว้จะเป็นการดีที่สุด เช่นนั้นเเล้วในคืนนี้ข้าไม่รบกวนเสี่ยวอ้ายเเล้ว หลังจากนี้ข้าจะมาหาเจ้าทุกคืนเพื่อที่จะฝึกฝนให้เจ้าเเข็งแกร่งขึ้นมากกว่านี้ เอาละ! ขอให้เจ้าจงฝันดีไร้ซึ่งความทุกข์ใจใดใด..." เฟยหลงเอ่ยขึ้นพร้อมกับจูบตรงหน้าผากของเด็กหนุ่มอย่างแผ่วเบาก่อนที่ตัวคนนั้นจะพุ่งตัวหายไปตรงทางหน้าต่างของเรือนพัก ก่อนที่ไม่กี่ชั่วจิบชาม่านป้องกันนี้จะแตกซ่านสลายหายไปราวกับว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
ทางฝั่งของหนิงอ้ายยังคงนั่งอยู่ที่เดิมพร้อมกับครุ่นคิด แยกย่อยข้อมูลที่ตนได้รับมาจากอีกฝ่ายจนหลงลืมแม้กระทั่งสัมผัสที่แผ่วเบาตรงหน้าผากของตนเมื่อครู่ ที่เขานั้นไม่แม้ที่จะขัดขืนหรือรู้สึกอึดอัดอะไรจนน่าแปลกใจ
ทางกลับกันหนิงอ้ายกลับคิดได้ว่าการหายตัวไปของเหล่าเจ้าเเห่งยุทธภพรุ่นเยาว์รวมไปถึงเสาหลักทั้งห้าในยุทธภพ ย่อมเป็นฝีมือของผู้ที่อยู่เบื้องหลังเป็นแน่ จากการอ่านนิยายจากโลกเดิมของเขาที่ไม่รู้จะกี่ร้อยเล่มที่ผ่านมานั้นสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ย่อมไม่มีทางที่จะธรรมดาสามัญ
ตัวตนที่ลึกลับหรือแม้กระทั่งฝั่งมารนั้นใช่ว่าจะไม่มีอยู่จริง ยิ่งกับการที่เขาทะลุมิติมาอยู่ในโลกใบนี้ย่อมเป็นสิ่งที่การันตรีได้ว่าทุกอย่างย่อมเกิดได้ทุกเมื่อ ดังนั้นเเล้วในคืนนี้หนิงอ้ายจึงหลับไปพร้อมกับเเผนการต่าง ๆ ที่ตนได้วางแผนรับมือไว้หลังจากนี้...
ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต