Home / แฟนตาซี / บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ / บทที่76 อาคารส่วนกลาง

Share

บทที่76 อาคารส่วนกลาง

หลังจากที่เดินแยกออกมาได้สักระยะหนึ่ง หนิงอ้ายยังคงรู้สึกได้ถึงสายตาของอีกฝ่ายที่มองตามหลังของเขามาอย่างไม่ลดละ ถึงแม้ว่าเด็กหนุ่มจะสัมผัสไม่ได้ถึงความมุ่งร้ายของอีกฝ่ายได้เลยก็ตาม หากกล่าวตามความจริงคือพลังจิตของหนิงอ้ายนั้นไม่สามารถสัมผัสได้ถึงคลื่นอารมณ์หรือความนึกคิดของอีกฝ่ายได้เลยแม้เเต่น้อย

นั่นหมายความว่าหากอีกฝ่ายไม่ได้ครอบครองของวิเศษระดับสูงที่สามารถป้องกันการรุกล้ำเหล่านี้ได้ เช่นนั้นเเล้วชายหนุ่มคงมีจิตที่กล้าเเข็งที่มากเพียงพอจึงทำให้เนตรแห่งสวรรค์ของหนิงอ้ายนั้นไม่สามารถล่วงรู้ได้ถึงอารมณ์หรือความนึกคิดของอีกฝ่ายได้นั่นเอง

สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทำให้หนิงอ้ายรู้สึกหงุดหงิดและรำคานใจอยู่บ้างเช่นกัน ด้วยเพราะว่าเนตรแห่งสวรรค์ของเขานั้นมีการพัฒนาเพิ่มขึ้นจากเดิมอยู่หลายเท่า อีกทั้งยังสามารถพลิกเเพลงนำมาใช้ได้อย่างหลายหลายดั่งใจนึกคิด หนิงอ้ายมักจะใช้ทั้งสัญชาติญาณ ไหวพริบควบคู่กันอยู่เสมอ เผื่อว่าหากสิ่งใดเกิดขึ้นเขาจะได้รับมือได้อย่างทันท่วงทีและมีแผนสำรองเพื่อที่จะทำให้ตนไม่เป็นฝ่ายที่เพลี้ยงพล้ำ

เหตุการณ์ต่าง ๆ หรือสิ่งที่ได้เกิดขึ้น หากว่าอยู่นอกเหนือการควบคุมหรือการรับรู้ที่เขาสามารถคาดเดาได้เเต่ครั้งเเรกมักจะทำให้เด็กหนุ่มนั้นรู้สึกไม่สบายใจสักเท่าไหร่ อย่างเช่นในตอนนี้ที่หนิงอ้ายนั้นไม่สามารถล่วงรู้สิ่งอื่นเพิ่มเติมที่เกี่ยวกับศิษย์พี่ตงหยางคนนี้ได้อย่างแน่ชัดนั้นจึงทำให้เด็กหนุ่มมีอคติและตั้งกำแพงในใจกับอีกฝ่ายไปมากเลยทีเดียว…

จากนั้นอีกหนึ่งเค่อหนิงอ้ายก็เดินมาถึงซุ้มประตูทางเข้าของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาเเล้ว ตลอดเส้นทางเดินจากตลาดนั้นได้มีกลุ่มศิษย์สายใน ศิษย์สายนอกชายหญิงที่ต่างมองมายังเด็กหนุ่มด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย บ้างก็ชี้นิ้วด้วยความตื่นเต้น บ้างก็กระซิบกระซาบพูดคุยกัน ซึ่งเสียงนั้นดังพอที่จะทำเขาได้ยินรับรู้ได้ว่าเรื่องราวในตลาดที่เขาได้ต่อปากกับเฉินหลานในตอนนี้เป็นที่รับรู้กันไปทั่วทั้งสำนักศึกษาเเล้ว

เเต่ถึงอย่างไรก็ตามเเต่หนิงอ้ายก็ไม่ได้สนใจสักเท่าไหร่นักเพราะไม่ว่าจะเป็นผู้คนในยุคสมัยใดการซุบซิบนินทามักจะเกิดขึ้นอยู่เสมอไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงได้อยู่เเล้วเด็กหนุ่มจึงปล่อยผ่านในเรื่องนี้ไปได้อย่างง่ายดายไม่คิดมาก

ทว่ากลับมีสิ่งที่รบกวนเขาอยู่ตอนนี้ นั่นคือการเห็นชายหนุ่มผู้เป็นว่าที่เจ้าสำนักคนต่อไปที่กำลังเดินตามมาอยู่ไปไม่ไกล้ไม่ไกลสักเท่าไหร่ ตลอดทางเดินนั้นอีกฝ่ายได้พูดคุยกับศิษย์สายใน ศิษย์สายนอกเหล่านี้ที่ทักทายทำความเคารพตนด้วยท่าทางสุภาพอ่อนโยนสมกับฐานะของอีกฝ่าย เมื่อรวมกับความสูงของชายหนุ่มที่คาดว่าน่าจะมากถึงร้อยเก้าสิบบวกกับหน้าตาที่หล่อเหลาชวนให้หลงไหลได้อย่างง่ายดายนั้น

สามารถพิสูจน์ได้จากสายตาของเหล่าสตรีที่มองอีกฝ่ายด้วยสายตาหยาดเยิ้ม นั่นจึงทำให้หนิงอ้ายที่เห็นท่าทางเหล่านั้นจึงรู้สึกว่าอีกฝ่ายช่างเสแสร้งจอมปลอมชวนให้รู้สึกหมั่นไส้เสียจริง ไม่นับรวมไปถึงสายตาที่มองมาทางเขาพร้อมกับรอยยิ้มที่ส่งมานั่นคืออะไรกัน ยิ่งเห็นอีกฝ่ายนานเท่าไหร่หนิงอ้ายยิ่งรู้สึกหงุดหงิดมากเท่านั้น แม้ว่าภายนอกเด็กหนุ่มจะยังคงไว้ซึ่งใบหน้านิ่งสงบก็ตาม ก่อนที่หนิงอ้ายจะเลิกสนใจเจ้าศิษย์พี่บ้าคนนี้ก่อนที่จะก้าวเท้าเข้าประตูตำหนักของตนด้วยความรวดเร็วชวนให้รู้สึกขบขันในสายตาของชายหนุ่มที่มองอยู่อย่างไม่คลาดสายตา…

ทางฝั่งของตงหยางที่เดินตามมาส่งร่างบางที่ตอนนี้ได้ยืนอยู่ไปไม่ไกลนั้น เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มได้หายเข้าไปในตำหนักของตนเเล้ว ชายหนุ่มจึงเอ่ยลากับเหล่าศิษย์ร่วมสำนักชายหญิงที่อยู่รายล้อมตนด้วยท่าทางเสียดาย ก่อนที่จะออกปากกับทุกคนในที่นี้ว่าหากมีโอกาสในครั้งหน้าสามารถเข้ามาพูดคุยทักทายกับตนได้เสมอ

ก่อนที่ตงหยางจะขอเเยกตัวไปหาท่านเจ้าสำนักตามที่ได้นัดหมายกันไว้ก่อนหน้า เพียงเเค่ร่างกายอันสูงใหญ่ของชายหนุ่มที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของบุรุษเพศได้หายไปจากครรลองสายตาของทุกคนเเล้วนั้น เสียงกรีดร้องที่ดังขึ้นอย่างแผ่วเบาได้ดังขึ้นจากสตรีกลุ่มนี้ ที่ต่างพูดคุยถึงศิษย์พี่ท่านนี้ด้วยความหลงไหล บ้างก็มีความเห็นที่ตรงกันว่าก่อนหน้านี้ศิษย์พี่ตงหยางถือว่าเป็นคนที่พูดน้อยและเต็มไปด้วยกลิ่นอายที่ไม่น่าเข้าใกล้สักเท่าไหร่นัก

หลังจากภารกิจในครั้งนั้นที่อีกฝ่ายได้รับการมอบหมายของท่านเจ้าสำนักเมื่อราว ๆ หนึ่งปีที่ผ่านมาหลังจากที่อีกฝ่ายกลับมาถึงสำนักศึกษาหลังจากที่เสร็จสิ้นภารกิจ สิ่งที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจนั่นคือท่าทางเย็นชาและนิสัยที่ไม่น่าเข้าหาของอีกฝ่ายในก่อนหน้านั้นต่างหายไปสิ้นเหมือนกับว่ามีบางสิ่งอย่างที่น่าดึงดูดน่าเข้าหามากยิ่งขึ้นหลายเท่า

ใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่ายจากเดิมที่เต็มไปด้วยความเย็นชา แม้ว่าจะเป็นรอยยิ้มเพียงเล็กน้อยก็ส่งเสริมให้อีกฝ่ายนั้นหล่อเหลามากขึ้น รวมไปถึงท่าทางที่ไม่ถือตัวเช่นเดิมของชายหนุ่มได้ส่งเสริมให้ภาพลักษณ์ของอีกฝ่ายไม่ต่างไปจากบุรุษในฝันที่เพียบพร้อมไปด้วยคุณสมบัติที่ครบถ้วนหาได้ยากยิ่ง อีกทั้งตำแหน่งว่าที่เจ้าสำนักคนต่อไปนั้นช่างเป็นสิ่งที่ต่างดึงดูดให้ทุกคนเข้าหาอีกฝ่ายด้วยจุดประสงค์ที่หลากหลายอย่างเเท้จริง

เมื่อเข้ามาในเขตของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาเเล้ว อาจจะด้วยเพราะปราณฟ้าดินบริสุทธิ์ที่ไหลเวียนโดยรอบจึงทำให้ร่างกายของหนิงอ้ายที่ถูกเคี่ยวกรำอย่างยิ่งยวดด้วยเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาจึงทำให้ร่างกายของเด็กหนุ่มสามารถชักนำลมปราณบริสุทธิ์เหล่านี้เข้าสู่ร่างกายของตนด้วยความรวดเร็วแม้จะไม่ต้องสั่งการก็ถาม ถึงแม้ว่าจะมีความเร็วที่ค่อนข้างมากก็จริงเเต่ทว่าลมปราณเหล่านั้นต่างถูกบีบอีดให้มีความบริสุทธิ์ที่มากเพิ่มขึ้นไปอีกด้วยพลังแห่งสายเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในเด็กหนุ่มนั่นเอง

ก่อนหน้านั้นจากการที่ได้คุยกับท่านผู้เฒ่าในครานั้นที่ทำการปลุกพลังทางสายเลือดได้สำเร็จ ทำให้หนิงอ้ายได้รับรู้มาเพิ่มเติมว่าสำหรับการยกระดับความเข้มข้นของสายเลือดนั้นจะเพิ่มขึ้นผันแปรไปตามจำนวนครั้งหลังจากที่ทำการปลุกพลังสายเลือดได้สำเร็จ

ยุคสมัยรุ่งเรืองเมื่อหลายพันปีก่อนท่านผู้นำตระกูลในสมัยนั้น ถึงกับยกระดับพลังสายเลือดนี้ได้สูงสุดถึงขั้นต้นกำเนิดซึ่งทำให้ตระกูลหวังอยู่ในช่วงที่รุ่งโรจน์ยาวนานหลายพันปีเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าหลังจากพลังแห่งสายเลือดนี้จะค่อย ๆ เสื่อมถอยมาจนถึงปัจจุบันนี้ สาเหตุท่านผู้เฒ่ายังไม่ได้เอ่ยให้เขาได้รับรู้มากเท่าไหร่นัก เเต่ถึงอย่างไรก็ตามหนิงอ้ายก็จะทุ่มเทด้วยทุกสิ่งนี้เขามีเพื่อที่จะหาคำตอบในเรื่องนี้ให้จงได้

หนิงอ้ายยังคงเดินสาวเท้ามุ่งตรงไปยังเรือนพักของตนในขณะเดียวกันก็ครุ่นคิดเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในตอนนี้และสิ่งที่คาดว่าอาจจะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า ในขณะที่เด็กหนุ่มกำลังอยู่ในสมาธิของตนนั้นก็มีเสียงดังขึ้นจากทางด้านหลังของตน

''ศิษย์น้องหนิงอ้ายกลับมาแล้วเช่นนั้นรึ? ศิษย์พี่กำลังจะไปหาเจ้าที่เรือนพักอยู่พอดี..." ไป๋เหลียนฮวาเอ่ยทักเด็กหนุ่มขึ้นด้วยน้ำเสียงร่าเริง

''ศิษย์พี่ไป๋มีธุระกับข้าหรืออย่างไรขอรับ?'' หนิงอ้ายหันหลังและถามไปด้วยความสงสัย

''ศิษย์พี่จะพาเจ้าไปที่อาคารส่วนกลางของตำหนักเรายามเมื่อเจ้าต้องการเบิกสิ่งของทรัพยากรอื่น ๆ ล้วนต้องไปดำเนินการที่นั่น..."

"เจ้าตามศิษย์พี่มาเถิดจะได้ไม่เป็นการเสียเวลาไปมากกว่านี้..." ไป๋เหลียนฮวาเอ่ยขึ้นอีกครั้งก่อนที่จะเดินนำเด็กหนุ่มในทันที

"ขอรับศิษย์พี่..." หนิงอ้ายตอบรับคำด้วยความนอบน้อมก่อนที่จะเดินตามศิษย์พี่ของตนไป

ทั้งสองคนได้เดินตรงไปยังส่วนกลางตำหนักที่เป็นอาคารส่วนกลางของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษา ไป๋เหลียนฮวาได้บอกกับเด็กหนุ่มให้ได้รับรู้ว่าอาคารส่วนกลางหลังนี้นั้นมีผู้อาวุโสนั่งประจำการอยู่สองคน ซึ่งต่างใช้เวลาไม่นานนักก็มาถึงจุดหมายเสียแล้ว

ตัวอาคารส่วนกลางของตำหนักนี้นั้นยังคงรักษาแบบแผนเหมือนกับทุกสิ่งก่อสร้างที่อยู่ในตำหนักแห่งนี้ นั่นคือการผสมผสานและเป็นหนึ่งเดียวกันกับธรรมชาติที่แม้จะดูโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมที่งดงามแปลกตาเเต่ทว่ากลับดูไม่ขัดแย้งซึ่งสามารถใช้คำว่าส่งเสริมได้อย่างพอดีเ เละสำหรับตัวอาคารส่วนกลางนี้นั้นแบ่งออกเป็นทั้งหมดสี่ชั้น แบ่งออกเป็นดังนี้

ชั้นแรกจะเป็นพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ไว้สำหรับการติดต่อประสานงานทั้งคนในตำหนักที่ต้องการเบิกรับทรัพยากรและศิษย์นอกตำหนักที่ต้องการติดต่อหรือไหว้วานเด็กในตำหนักศาสตร์แห่งการรักษานี้ให้ทำภารกิจบางอย่าง ดังนั่นจึงต้องเริ่มต้นจากจุดนี้เป็นลำดับเเรกสำหรับแจ้งวัตถุประสงค์ที่ต้องการและจดบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรที่ชัดเจน

ชั้นที่สองจะเป็นชั้นที่เต็มไปด้วยตำราโอสถไม่ว่าจะเป็นตำรารักษา ตำราที่เกี่ยวกับสมุนไพร ตำราเกี่ยวกับการปรุงโอสถและยังมีตำราอื่น ๆ อีกมากมายที่เกี่ยวข้องกับศาสตร์แห่งการรักษานี้ ที่ว่ากันว่าตำราเกือบทุกเล่มบนชั้นสองนี้ทั้งหมดนั้นเป็นฝีมือของเหล่าบรรพชนผู้ก่อตั้งตำหนักแห่งนี้ทั้งสิ้นจากรุ่นสู่รุ่น

พวกท่านได้ทุ่มเททั้งแรงกาย แรงใจ สติปัญญาในการหารวบรวมข้อมูลต่างๆ สร้างสูตรโอสถอย่างมากมายที่ขึ้นชื่อในโลกยุทพภพ นอกจากนั้นแล้วยิ่งมีตำรา สูตรโอสถในการครอบครองมากมายเท่าไหร่ นั่นยิ่งหมายความว่าตัวคนนั้นย่อมเป็นนักปรุงโอสถระดับสูงที่ควรค่าแก่การยอมรับนับถือ เป็นนักปรุงโอสถที่เเท้จริง ด้วยแนวความคิดนี้จึงมีธรรมเนียมที่นักปรุงโอสถยึดถือกันมาอย่างยาวนานกันว่าหากนักปรุงโอสถหากไม่มีตำราโอสถในครอบครองนั้นก็หาใช่ผู้ปรุงโอสถอย่างเเท้จริง

ชั้นที่สามนั้นจะเต็มไปด้วยโอสถหลากหลายชนิดที่ถูกจัดสรรเเบ่งเป็นประเภทที่ชัดเจน เริ่มต้นจากโอสถระดับต่ำ โอสถระดับกลาง โอสถระดับสูง ซึ่งก็มีฤทธิ์ตั้งเเต่เป็นยาบำรุงธรรมดาจนไปถึงโอสถเฉพาะที่หากถูกจัดวางอยู่ในสายตาของคนภายนอกย่อมเกิดฝนคาวเลือดเป็นแน่ พึงทราบว่าโอสถเหล่านี้นั้นเกือบทั้งหมดที่ถูกเก็บรวบรวมนั้นย่อมมาจากสูตรปรุงโอสถจากเหล่าบรรพชนผู้ก่อตั้งตำหนัก เจ้าตำหนักในเเต่ละรุ่นตลอดหลายร้อยหลายพันปีมานี้

แม้กระทั่งจากเหล่าบรรดาสุดยอดหัวกะทิที่เป็นศิษย์ในตำหนักด้วยประการนี้เองจึงทำให้ฤทธิ์ของโอสถที่ถูกทำขึ้นจากตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นที่ขึ้นชื่อในโลกยุทธภพเป็นอย่างมาก เพราะนั่นย่อมการันตรีได้ถึงความเลิศล้ำที่แฝงอยู่ในเม็ดโอสถเหล่านี้นั่นเอง

ชั้นที่สี่หรือชั้นสุดท้ายนั้นได้ถูกสร้างขึ้นเป็นห้องสำหรับการประชุมลับที่สำคัญหรือมีไว้ในการปรุงโอสถต่างๆ ของศิษย์ในตำหนักเเห่งนี้ ด้วยเพราะว่าในการปรุงโอสถที่มีระดับสูงมากเท่าไหร่ ความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ย่อมทวีมากขึ้นเท่านั้นและเมื่อเป็นเช่นนี้เเล้วในชั้นที่สี่ของอาคารส่วนกลางนี้จึงถูกจัดสรรไว้สำหรับการปรุงยาระดับสูงของศิษย์ที่ต้องการให้ผู้อาวุโสทั้งสองหรือท่านเจ้าตำหนักเหวินหวู่นั้นคอยสังเกตและดูเเลอย่างใกล้ชิดเพื่อขอคำแนะนำโดยตรงอย่างทันท่วงที...

"คำนับเหล่าซุนขอรับ วันนี้ข้าพาศิษย์น้องหนิงอ้ายมารับทรัพยากรบ่มเพาะของเดือนนี้..." ไป๋เหลียนฮวาเอ่ยขึ้นพร้อมกับประสานมือเคารพผู้อาวุโสชราตรงหน้า พร้อมกับระบายยิ้มที่งดงามออกมา

"ศิษย์น้องท่านนี้คือผู้อาวุโสซุนเกา ท่านเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสที่ดูแลอาคารส่วนกลางหลังนี้" จากนั้นหญิงสาวได้เอ่ยแนะนำชายชราท่าทางใจดีนี้ให้หนิงอ้ายได้รู้จัก

"คำนับผู้อาวุโสซุนขอรับข้าหนิงอ้ายเป็นศิษย์ใหม่ที่พึ่งเข้าร่วมตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาในปีนี้ ขอฝากตัวด้วยนะขอรับ..." หนิงอ้ายตอบกลับไปพร้อมกับประสานมือเคารพอีกฝ่ายด้วยมารยาทตามที่ผู้เยาว์คนหนึ่งสมควรกระทำ

"คิดไม่ถึงว่าตาเฒ่าเหวินจะเลือกรับศิษย์ใหม่เข้ามาในรอบหลายปีอีกทั้งยังมอบตำแหน่งผู้สืบทอด ด้วยอายุของเจ้าหลังจากนี้ไปจงอย่าหลงลืมตัวตนเล่าว่าเจ้ามาจากที่ใดและทำเพื่อใคร..." ผู้อาวุโสซุนเอ่ยขึ้นพร้อมกับหัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนที่จะพูดคุยกับเด็กหนุ่มโดยตรงด้วยคำที่มีความหมายโดยนัย

"ผู้อาวุโสซุนวางใจได้ ตัวข้าหนิงอ้ายจะทำทุกอย่างให้เหมาะสมกับตำแหน่งและภาระหน้าที่ได้รับมาขอรับ..." หนิงอ้ายที่รับรู้ได้ถึงความหมายโดยนัยในถ้อยคำที่ผู้อาวุโสตรงหน้าเอ่ยกับตน เขาจึงตอบกลับไปด้วยความจริงใจ

"เจ้าตอบรับคำเช่นนี้ข้าก็สบายใจไปได้ไม่น้อย..." ชายชราเอ่ยขึ้นพร้อมกับมองเด็กหนุ่มด้วยความสนใจ

เห็นสมควรแก่เวลาเเล้วไป๋เหลียนฮวาได้บอกให้หนิงอ้ายส่งป้ายประจำตัวของตนเพื่อที่จะเบิกสวัสดิการทรัพยากรที่จำเป็นในการพัฒนาบ่มเพาะพลังวิญญาณที่เพียงพอสำหรับหนึ่งเดือนหลังจากนี้ ซึ่งทางฝั่งของผู้อาวุโสซุนก็กำลังรอป้ายหยกประจำตัวจากเด็กหนุ่มอยู่นั่นเอง

"พวกเจ้ารออยู่ตรงนี้สักประเดี๋ยว..." ผู้อาวุโสซุนเอ่ยขึ้นเมื่อได้ป้ายหยกประจำตัวของเด็กหนุ่มมาอยู่ในมือของตนเเล้ว ก่อนที่ตัวคนนั้นจะหายไปทางด้านหลังเพื่อจัดการทรัพยากรบ่มเพาะให้กับหนิงอ้ายตามที่สมควรจะได้รับ

"หากเจ้าต้องการรับภารกิจหรือรับทรัพยากรรายเดือนก็สามารถมาที่นี่ได้ทุกเมื่อ..." ผู้อาวุโสซุนเกาเอ่ยย้ำกับเด็กหนุ่มอีกครั้งก่อนที่จะส่งมอบป้ายหยกประจำตัวให้กับเด็กหนุ่มไป

"ไป๋เหลียนฮวา แล้วพวกของโจวเซินกลับมาแล้วหรือยังเล่า?" เมื่อเสร็จสิ้นหน้าที่ของตนเเล้วชายชราจึงเอ่ยถามสตรีสาวที่อยู่ด้านหน้าของตน

"ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รองน่าจะกลับมาถึงตำหนักของพวกเราในอีกสองถึงสามวันเจ้าค่ะ...เหล่าซุนมีเรื่องอันใดฝากไว้ให้ข้าแจ้งกับเหล่าศิษย์พี่หรือไม่เจ้าคะ?" ไป๋เหลียนฮวาสอบถามกลับไป

"ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร เดี๋ยวเจ้าพวกนั้นก็ต้องมารายงานภารกิจที่นี่อยู่ดี..."

"เช่นนั้นข้าฝากบอกศิษย์พี่และศิษย์น้องของพวกเจ้าที่เหลือเเล้วกัน หากมีโอสถมากพอแล้วสามารถนำมาแลกแต้มกับข้าได้" ผู้อาวุโสซุนฝากเรื่องนี้เพิ่มไปอีกครั้ง

"เจ้าค่ะ ข้าจะบอกกับศิษย์พี่ทุกคนให้"

"เช่นนั้นพวกเราทั้งสองคนขอตัวลาแล้วนะเจ้าคะ..."

"คำนับเหล่าซุนเจ้าค่ะ/คำนับผู้อาวุโสซุนขอรับ" เสียงของไป๋เหลียนฮวากับหนิงอ้ายได้เอ่ยขึ้นพร้อมกัน ก่อนที่ทั้งสองคนนั้นประสานมือคำนับตามมารยาทก่อนที่จะเดินออกมา

"อีกสองวันหลังจากนี้ศิษย์น้องก็ใช้เวลาพักผ่อนเสียเถิด สำหรับอาหารเจ้าสามารถไปทานที่โรงครัวในตอนเช้าที่ศิษย์พี่พาไปหรือจะทำกินเองก็ได้เช่นกัน"

"สำหรับน้ำในการใช้ในเเต่ละวันนั้นจะมีศิษย์สายนอกมาคอยเติมเต็มให้โดยการโอนแต้มคะแนนของเจ้าให้อีกฝ่ายซึ่งนี่นับว่าเป็นหนึ่งในภารกิจเช่นกัน หรือหากเจ้าไม่ต้องการเสียแต้มในเรื่องพวกนี้ก็มีลำธารไหลอยู่ตรงด้านหลังของตำหนักของเราที่อยู่ติดสวนสมุนไพร เจ้าสามารถไปตักน้ำที่นั่นได้"

"ศิษย์พี่ไม่รบกวนเวลาเเล้ว หากขาดเหลือสิ่งใดสามารถแจ้งได้ทุกเมื่อ..." ไป๋เหลียนฮวาเอ่ยขึ้นพร้อมกับแนะนำ กล่าวสำทับเด็กหนุ่มอีกครั้งก่อนที่นางจะเดินแยกตัวกลับไปยังเรือนพักของตนที่อยู่คนละฝั่งกับเรือนพักของหนิงอ้ายนั่นเอง

"เข้าใจแล้วขอรับศิษย์พี่"หนิงอ้ายตอบกลับไปพร้อมกับเผยรอยยิ้มอย่างมีความสุขออกมาเสียไม่ได้

ตอนนี้เขามีอาจารย์ที่น่าเคารพ มีศิษย์พี่ที่เป็นห่วงเอ็นดูและมีสหายที่ดีเช่นนี้ การอยู่ในโลกนี้ก็ไม่แย่เหมือนที่คิด นึกไปแล้วก็คิดถึงท่านเเม่ ท่านตาและท่านยายที่แคว้นเต่าดำเสียจริง เมื่อคิดได้เช่นนั้นเเล้วหนิงอ้ายจึงรีบก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังเรือนพักของตนด้วยตั้งใจว่าจะเขียนจดหมายส่งกลับตระกูลหวัง...

เวลาได้ผันผ่านไปอย่างรวดเร็วก็ถึงยามที่ดวงอาทิตย์ได้ลาลับขอบฟ้าไปแล้ว ส่งผลให้ทุกสรรพสิ่งตกอยู่ภายใต้ความมืดมิด เเต่ถึงอย่างนั้นด้วยความมหัศจรรย์ของมหาค่ายกลนี้ได้ปรากฎเป็นดวงดาวน้อยใหญ่ที่ทอเเสงเปล่งประกายวิบวับงดงามไปไม่ต่างจากของจริงเสียด้วยซ้ำ…

หลังจากจัดการธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยหนิงอ้ายที่กำลังเขียนจดหมายด้วยความตั้งใจ เเต่ทว่าวิหคสอดแนมได้ส่งรูปภาพบางอย่างมาให้ตนได้รับรู้ทำเอาปากกาขนนกที่กำลังจับเขียนนั้นถึงกับชะงักไปชั่วครู่

"ตำแหน่งเจ้าสำนักคนต่อไปคงไม่เหมาะสมกับท่านสักเท่าไหร่นัก รสนิยมปีนหน้าต่างเข้าห้องผู้อื่นในยามวิกาลนั่นช่างน่านับถือเสียจริง ศิษย์พี่ตงหยาง!!!"

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   ( -จบเล่ม ปฐมบท 3.2- ) บทที่ 174 ความวุ่นวายที่สิ้นสุดลง

    ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 173 สมบัติเทพมารจุติ

    ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 172 การปรากฎตัวของผู้ขายวิญญาณ

    คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 171 ผู้ท้าทายที่กล้าหาญ

    การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 170 กฎเกณฑ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

    หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 169 ผู้ผ่านการทดสอบ

    ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status