Home / แฟนตาซี / บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ / บทที่81 ศิษย์พี่ทั้งสาม

Share

บทที่81 ศิษย์พี่ทั้งสาม

"ศิษย์พี่จะแนะนำให้เจ้าได้รู้จักกับศิษย์พี่ทั้งสามคนอย่างเป็นทางการอีกครั้ง..." ไป๋เหลียนฮวาเอ่ยขึ้นพร้อมกับผายมือแนะนำอย่างคล่องแคล่ว

ตรงหน้าของหนิงอ้ายเป็นชายหนุ่มสามคนนั่งหลดหลั่นกัน ต่างมีหน้าตารูปงามหล่อเหลาเป็นอย่างมาก หากเทียบกันเเล้วก็ถือได้ว่าทั้งสามคนมีความแตกต่างเฉพาะเป็นของตัวเอง หากเทียบไปเเล้วก็ให้ความรู้สึกเหมือนชายหนุ่มไอดอลชายในโลกเดิมของเขาอย่างนั้น

"คนทางซ้ายมือคือศิษย์พี่สามซุนหลิง เชี่ยวชาญในเรื่องเวทย์รักษาเป็นอย่างมาก หากไม่นับท่านอาจารย์ เจ้าสามารถปรึกษานี้ศิษย์พี่สามในเรื่องนี้เป็นคนเเรก ๆ ได้ทุกเมื่อ..." ชายหนุ่มที่ถูกแนะนำนั้นได้ยกมือทักทายกับหนิงอ้ายเล็กน้อยพร้อมกับสังเกตเด็กหนุ่มตรงหน้าตนนี้ด้วยความสนใจ

"คนทางขวามือคือศิษย์พี่รอง นามว่าศิษย์พี่เกาเจิน แม้การแต่งกายภายนอกจะดูแปลกประหลาดไปบ้าง เเต่ศิษย์พี่รองเชี่ยวชาญในเรื่องศาสตร์แห่งการต่อสู้เป็นอย่างมาก สามารถนำมาพลิกเเพลงกับการใช้โอสถและสมุนไพรในการต่อสู้ หากเจ้าต้องการวิถีแนวคิดผสมผสาน ข้าแนะนำเป็นศิษย์พี่รองท่านนี้..." ชายหนุ่มที่ถูกกล่าวหาว่าแต่งกายประหลาดนั้นไม่ได้รู้สึกอันใดกับถ้อยคำนี้ทั้งสิ้น หนำซ้ำอีกฝ่ายยังคงยกคิ้วกลับมาให้ศิษย์น้องหญิงคนเดียวของตำหนักอย่างขี้เล่น ชวนให้สตรีสาวถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างปลดปลง

"ผู้ที่อยู่ตรงกลางนั่นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากศิษย์พี่ใหญ่โจวเซิน หลังจากนี้หากเจ้าจะไม่ค่อยได้พบหน้าก็อย่าได้เเปลกประหลาดใจไป ด้วยเพราะว่าหน้าที่สำคัญส่วนใหญ่ของตำหนักล้วนเป็นศิษย์พี่ที่ได้รับมอบหมายจากท่านอาจารย์ทั้งสิ้น หากถามว่าศิษย์พี่ใหญ่นั้นเชี่ยวชาญสิ่งใดมากที่สุด ข้าก็ตอบได้อย่างไม่เอนเอียงว่าคงเชี่ยวชาญทุกด้านเสียกระมัง...'' ไป๋เหลียนฮวาเอ่ยขึ้นแนะนำทีละคนจนมาถึงศิษย์พี่ใหญ่ของตนซึ่งคำกล่าวนั้นไม่เกินจริงเท่าไหร่ไปนัก อีกฝ่ายเพียบพร้อมไปด้วยหน้าตา ชาติตระกูลและคุณสมบัติในทุกด้าน ดังนั้นในวันข้างหน้าเส้นทางหลังจากนี้คงรุ่งโรจน์ไปเป็นอย่างมาก

ขณะที่ไป๋เหลียนฮวาได้แนะนำศิษย์พี่ทั้งสามคนให้ตนได้รู้จักนั้น หนิงอ้ายที่ลอบมองบุรุษทั้งสามคนตรงหน้าพร้อมกับใช้วิชาเนตรเเห่งสวรรค์ตรวจสอบเพิ่มเติม ข้อมูลที่ปรากฎขึ้นต่างเป็นสิ่งที่เขาพอรับรู้มาบ้างในก่อนหน้าทั้งสิ้น เเต่ถึงอย่างไรนั้นก็มีรายละเอียดอีกเล็กน้อยที่ได้รู้เพิ่มเติมอยู่บ้าง

หนิงอ้ายยอมกับจากใจจริงว่า ทั้งหน้าตาท่าท่างหรือแม้กระทั่งเสียงของศิษย์พี่ใหญ่โจวเซินนั้นช่างเหมือนกับเเทนไทเป็นอย่างมาก หนิงอ้ายครุ่นคิดถึงทุกอย่างที่สามารถเกิดขึ้นได้ ว่าอีกฝ่ายอาจจะทะลุมิติมาที่นี่เหมือนกับตน หรือว่าอาจจะบังเอิญเป็นคนหน้าเหมือนก็เเค่นั้น หนิงอ้ายเอาเเต่ครุ่นคิดจนตกอยู่ในภวังค์ที่ตัวเองสร้างขึ้นไปชั่วขณะ อย่างเหม่อลอย ภาพความทรงจำในโลกเดิมที่เขาพยายามที่จะลืมมาตลอดสองปีที่ผ่านมา ได้ถูกฉายซ้ำอย่างชัดเจนราวกับต้องการตอกย้ำว่าเขาไม่เคยลืมอีกฝ่ายได้เลย

"ศิษย์น้องหนิงอ้ายเจ้าคิดสิ่งใดอยู่งั้นรึ?? ได้ยินที่ศิษย์พี่รองเอ่ยถามเจ้าหรือไม่??" ไป๋เหลียนฮวาเข้ามาสะกิดเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มนั่งนิ่งไม่ตอบสนองอันใด

"ขออภัยขอรับ ศิษย์พี่รองว่าอย่างไรหรือขอรับ" เมื่อตั้งสติได้หนิงอ้ายจึงถามกลับไปในทันที

"ศิษย์พี่รองถามเจ้าว่าที่เรือนพักทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่หรือไม่?" เกาเจินถามเด็กหนุ่มผู้เป็นศิษย์น้องของตนอีกครั้ง

"ทุกอย่างเรียบร้อยดีขอรับศิษย์พี่รอง..." หนิงอ้ายตอบกลับไปพร้อมกับส่งยิ้มไปเล็กน้อย

"ไม่คิดเลยว่าท่านอาจารย์ของเราจะรับศิษย์ใหม่ที่อายุน้อยปานนี้ เจ้าพึ่งมีอายุเพียงสิบห้าสิบหกปีเท่านั้นเองใช่หรือไม่??"

"ปีนั้นที่ท่านอาจารย์รับศิษย์น้องหกหลิวหลวนที่อายุเพียงสิบแปดปีก็นับว่าอายุน้อยเเล้ว เเต่เมื่อเทียบกับศิษย์น้องหนิงอ้าย เฮ้อ ข้าไม่อยากจะคิดว่าตัวเองมีอายุมากกว่าถึงสิบปี..." ซุนหลิงเอ่ยขึ้น สร้างเสียงหัวเราะจากทุกคนในที่นี้ เพราะว่าพวกเขาต่างมีอายุกันมากกว่ายี่สิบห้ายี่สิบหกปีกันเเล้วเกือบทั้งสิ้น

"ฟังว่าศิษย์น้องมีปราณธาตุไฟที่บริสุทธิ์ถึงสิบส่วน สมกับเป็นคนตระกูลหวังเสียจริงท่านหวังจิ่งหลงและฮูหยินเหมยสบายดีหรือไม่??" เสียงของเกาเจินถามเด็กหนุ่มขึ้นอีกครั้ง

"ศิษย์พี่รองรู้จักท่านตาของข้าด้วยรึขอรับ? ท่านตา ท่านยายของข้าสบายดีขอรับ..."

"บิดาของศิษย์พี่เป็นสหายคนหนึ่งของตาเจ้า เอาไว้มีโอกาสจะเข้าไปเยี่ยมเยียนที่ตระกูลหวังพร้อมกับบิดาข้าเสียเเล้วกัน..."

"เสียดายที่พวกเรามาไม่ทันการทดสอบเมื่อวันก่อน ฟังว่าศิษย์น้องหนิงอ้ายสามารถต้านรับพิษของท่านอาจารย์ได้ ฝีมือเจ้าไม่อาจดูเบาได้จริง ๆ " ซุนหลิงเอ่ยชมเด็กหนุ่มเมื่อนึกขึ้นได้

"ศิษย์พี่หลินเอ่ยชมข้าเกินไปแล้วขอรับ เป็นท่านอาจารย์ที่ยั้งมือเพียงเท่านั้น หากว่าเป็นพลังทั้งสิบส่วนจริงข้าเองก็ไม่รอดขอรับ..." หนิงอ้ายตอบกลับไปอย่างถ่อมตัว ที่เรียกสายตาเอ็นดูจากทุกคนในที่นี้

"เป็นไปได้อย่างไรกัน!! ศิษย์น้องหนิงอ้ายบรรลุถึงระดับเทวะวิญญาณขั้นต้นแล้วอย่างนั้นรึ??" หลิวหลวนหรือศิษย์ลำดับที่หกเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ ญาณสัมผัสของเขาละเอียดอ่อนมากกว่าผู้ฝึกตนทั่วไปด้วยเคล็ดวิชาประจำตระกูลหลิว ดังนั้นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้จึงสังเกตได้อยู่บ้างไม่มากก็น้อย

"ไม่จริงน่าเมื่อสองวันก่อนเจ้าพึ่งอยู่ในระดับจักรพรรดิวิญญาณขั้นสูงมิใช่รึ เพียงสองวัน สองวันเท่านั้น!!!''

"ศิษย์น้องช่างมากไปด้วยพรสวรรค์อย่างเเท้จริง บางคนนั้นต้องใช้เวลาหลายเดือนเลยทีเดียวกว่าจะบรรลุขั้นใหญ่ระดับเทวะวิญญาณเช่นนี้ได้ เจ้านี่สมกับเป็นตัวประหลาดน้อยที่ท่านอาจารย์คัดเลือกมาเสียจริง..."

"เเล้วเจ้าได้ทำการผนึกจิตวิญญาณปราณธาตุของเจ้าเเล้วหรือไม่??" ซุนหลิงเอ่ยถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง

"ทุกอย่างเรียบร้อยขอรับเพียงเเต่ข้าอาจต้องใช่เวลาในการปรับตัวอีกสักเล็กน้อยเท่านั้น..."

"จริงสิ!!!ข้ามีบางคนที่อยากจะแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักขอรับ..." สิ้นเสียงของหนิงอ้ายนั่น ต้าเฮยที่ซ่อนตัวอยู่ในอกเสื้อด้านในของเด็กหนุ่มได้เลื้อยพันก่อนที่จะขดตัวคออยู่บนมือของหนิงอ้ายราวกับว่ากำลังรอคอยเวลานี้มาอย่างยาวนาน

"นี่คือต้าเฮยเป็นสัตว์เลี้ยงขอข้าเอง ต้าเฮยทำความรู้จักกับศิษย์พี่ของข้าเสียสิ...''

"ยินดีที่ได้รู้จักกับเหล่าศิษย์พี่ของหนิงอ้ายทุกคน หวังว่าทุกคนจะช่วยกันปกป้องหนิงอ้ายไปด้วยกันหลังจากนี้..." ต้าเฮยส่งกระเเสจิตตอบกลับไปพร้อมกับส่งสายตาอสรพิษจ้องมองทุกคนราวกับต้องการเอ่ยย้ำให้รับรู้

สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทำเอาทุกคนตกใจเป็นอย่างมาก เพราะความสามารถเช่นนี้จะปรากฎขึ้นกับสัตว์อสูรมายาระดับกลางขึ้นไปเท่านั้น การศิษย์น้องของพวกเขาสามารถครอบครองสัตว์อสูรที่มีระดับพลังที่ไม่ธรรมดาเช่นนี้ นับว่าเกิดความคาดหมายของพวกเขายิ่ง

ที่สำคัญระดับพลังของอีกฝ่ายที่พวกเขาไม่สามารถสัมผัสรับรู้ได้ หมายความว่าอีกฝ่ายคงไม่ใช่เพียงสัตว์อสูรระดับมายาขั้นกลางเพียงเท่านั้น พวกเขาต่างคิดว่าหากเจ้าตัวน้อยนี้อยู่เหนือขั้นไปจากนี้จริง นับว่านี่เป็นสิ่งที่สร้างความตกตะลึงได้เป็นอย่างมาก

"ต้าเฮยอาจจะซนไปบ้างขอศิษย์พี่อย่าได้ถือสาเอาความนะขอรับ อย่างไรเจ้าตัวน้อยก็เป็นตัวขี้เกียจตัวหนึ่งเเค่นั้นเอง..." หนิงอ้ายเมื่อเห็นว่าเจ้าตัวน้อยน่าจะส่งกระเเสจิตบางอย่างกับศิษย์พี่ของตนโดยที่ไม่ให้เขาได้รับรู้ พร้อมกับจ้องมองทุกคนอย่างไม่ละสายตา เขาจึงเอ่ยหยอกล้ออีกฝ่ายไป ทางฝั่งของต้าเฮยที่ได้ยินดังนั้นส่งเสียงขู่ฟ่อประท้วงเล็กน้อยก่อนที่จะเลื้อยหายเข้าไปในอกเสื้อของเด็กหนุ่มตามเดิม

หนิงอ้ายก็ได้เล่าเรื่องราวบางส่วนของตนให้ศิษย์พี่ของตนในที่นี้ได้รับรู้ บ้างก็มีบ้างที่ทุกคนต่างพูดคุยเเลกเปลี่ยนความคิดเห็นในเรื่องต่าง ๆ อย่างคึกคัก ด้วยเพราะว่าโดยปกติทุกคนต่างเก็บตัวอยู่ในเรือนพักของตนจึงไม่ค่อยได้พบปะกันมากนัก โอกาสที่ดีเช่นนี้พวกเขาจึงได้ใช้เวลาตลอดช่วงบ่ายนี้ได้การพูดคุยกัน

หนิงอ้ายสัมผัสได้ว่าเหล่าบรรดาศิษย์พี่ของเขาเเต่ละคน แม้จะเป็นชายหนุ่มที่อาจจะไม่ได้มีความละเอียดอ่อนลึกซึ้งมากมายสักเท่าใด ทว่ากับเต็มเปี่ยมไปด้วยความจริงใจเป็นอย่างมาก เเต่ละคนล้วนเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทั่งจากอดีตหรือปัจจุบันที่ต่างเรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนในที่นี้

บรรยากาศในตอนเเรกที่อาจจะดูเหินห่างกันไปบ้าง เเต่ในตอนนี้กลับมีความสนิทสนมที่เพิ่มมากขึ้นหลากหลายเท่า จากการพูดคุยนี้นั้นทำให้หนิงอ้ายได้รับรู้เพิ่มขึ้นว่าศิษย์พี่ของพวกเขาทุกคนในที่นี้ต่างล้วนมาจากตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียงกันทั้งสิ้น บ้างก็เป็นตระกูลชาตินักรบ บ้างก็เป็นตระกูลขุนนาง

เเต่เมื่อมาอยู่ร่วมกันในตำหนักเเห่งนี้แล้ว พวกเขาทุกคนต่างโยนทิ้งหัวโขนที่มีอยู่ไปทั้งสิ้น จุดหมายปลายทางของเเต่ละคนยังมีอยู่ที่เดิม เพียงเเต่ว่าสิ่งที่มีเพิ่มขึ้นนั้นคือ เพื่อน พี่น้อง มิตรสหายที่ไว้ใจกันได้

"ศิษย์พี่ขอเป็นตัวเเทนของทุกคน พวกเรายินดีและภูมิใจเป็นอย่างมากที่ท่านอาจารย์ได้เลือกเจ้าเป็นศิษย์ผู้สืบทอดตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาของพวกเรา..."

"ไม่ต้องคิดว่าการมาของเจ้านั้นเป็นการแย่งชิงโอกาสของใคร เพราะทุกคนต่างมีหน้าที่เป็นของตัวเองทั้งสิ้น สุดท้ายนี้ ในสายตาของคนอื่นนอกตำหนักเจ้าอาจจะเป็นศิษย์ผู้สืบทอดของตำหนักก็จริง เเต่สำหรับเหล่าศิษย์พี่ทุกคนนั้นเจ้าก็เป็นศิษย์น้องเล็กของพวกข้า เป็นศิษย์น้องร่วมอาจารย์เดียวกัน"

"มีคำกล่าวที่ว่ากราบอาจารย์หนึ่งวัน นับถือเป็นบิดาตลอดไป พวกเราทุกคนในที่นี้ต่างยึดถือตนนับถือและกราบไหว้ท่านอาจารย์กันทั้งสิ้น เช่นนั้นพวกเราก็ไม่ต่างไปต่างครอบครัวใหญ่ที่มีสายใหญ่พันผูกร่วมกัน ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นความสัมพันธ์นี้จะไม่มีทางเปลี่ยนไป..." โจวเซินเอ่ยถ้อยคำที่ยาวนานเเต่ทว่ากลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นคง

ตลอดทุกคำพูดของอีกฝ่ายนั้น พวกเขาต่างจับมือมองหน้ากันคล้ายกับเป็นสัญญาว่าพวกเขานั่นจะยึดถือสายใยนี้ตลอดไป...

เวลาได้ผันผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพราะอีกไม่กี่ชั่วจิบชาก็จะถึงยามซวีแล้ว ทุกคนในที่นี้ต่างมีความคิดเห็นตรงกันว่าสมควรแก่เวลาที่จะต้องเลิกลาการพูดคุยในครั้งนี้เสียที วันพรุ่งนี้ก็จะเป็นวันเเรกที่หนิงอ้ายจะได้รับการสั่งสอนจากท่านอาจารย์เเบบตัวต่อตัวเเล้ว จึงสมควรที่จะให้เด็กหนุ่มได้พักผ่อนเก็บแรงสำหรับไว้ใช้ในวันพรุ่งนี้ ทุกคนจึงเอ่ยคำลากันเล็กน้อยก่อนที่จะหายไปตามทิศทางที่เป็นที่ตั้งเรือนพักของตน

"ศิษย์น้องหนิงอ้ายเจ้ากลับคนเดียวได้อยู่ใช่หรือไม่??? ศิษย์พี่ต้องไปจัดการธุระอีกสักเล็กน้อยให้ท่านอาจารย์ที่อาคารส่วนกลางของเรา..." ไป๋เหลียนฮวาเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วง

"ศิษย์พี่ไป๋ไม่ต้องเป็นกังวล ข้าสามารถกลับเรือนพักเองได้ขอรับ..." หนิงอ้ายตอบกลับไปให้คลายความเป็นห่วง

"ศิษย์น้องไป๋วางใจเถอะ เดี๋ยวศิษย์พี่จะเป็นผู้ไปส่งเอง...'' โจวเซินที่ได้ยินบทสนทนาของศิษย์น้องของตนทั้งคู่ จึงอาสาเป็นผู้ไปส่งด้วยตนเอง

"เรือนพักของศิษย์พี่ใหญ่ไปทางเดียวกันกับเรือนพักของศิษย์น้องหนิงอ้าย ข้าฝากด้วยนะเจ้าคะ...'' เมื่อกล่าวจบร่างกายบอบบาวของสตรีสาวหนึ่งเดียวในตำหนักก็ได้หายไปด้วยความรวดเร็ว

"เอ่อ...ไม่รบกวนศิษย์พี่ใหญ่ขอรับ'' หนิงอ้ายพยายามปฏิเสธอีกฝ่ายด้วยความรวดเร็ว เพราะตั้งเเต่ที่ศิษย์พี่ไป๋ได้แนะนำให้ตนได้รู้จักอีกฝ่ายเเล้วนั้น เป็นเขาเองที่ไม่ค่อยกล้าสบตาที่อีกฝ่ายส่งมาสักเท่าไหร่

"เจ้าอย่าได้คิดมาก มาเถอะ โอ้ย!!!" เสียงร้องของชายหนุ่มดังขึ้น เมื่อพินิจดูดี ๆ แล้วจะเห็นว่ามีรอยฟันที่ถูกกัดจนเลือดไหลออกมา

"ต้าเฮยเด็กดื้อ เจ้าขอโทษศิษย์พี่ใหญ่เดี๋ยวนี้เลยนะ!!" หนิงอ้ายร้องขึ้นอย่างตกใจพน้อมกับดุเจ้าตัวน้อยที่ตอนนี้ทำหน้าตาไม่รับรู้ตีมึนน่าหมั่นเขี้ยวยิ่งนัก

"ศิษย์พี่ใหญ่เป็นอะไรมากไหมขอรับ ยังไงข้าจะสั่งสอนเจ้าตัวดื้อให้รู้ความมากกว่านี้..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับมือหนาของอีกฝ่ายขึ้นมาดูรอยกัดดังกล่าว ยังดีที่เจ้าตัวน้อยไม่ปล่อยพิษลงไปด้วยไม่เช่นนั้นเรื่องราวคงไม่เป็นเช่นนี้

"ศิษย์น้องอย่าเป็นกังวลไป เจ้าลืมแล้วอย่างนั้นรึ?? สิ่งที่พวกเราไม่ขาดเเคลนคือโอสถรักษา เจ้าทำใจให้สบายเสียเถอะ ที่สำคัญอย่าได้ดุเจ้าต้าเฮยอีกฝ่ายคงหวงเจ้าที่เป็นเจ้านายเพียงเท่านั้น..." กล่าวจบโจวเซินก็ได้หยิบโอสถรักษาภายนอกเทใส่บริเวณที่ถูกกัด เพียงชั่วครู่รอยกัดนั้นก็หายวับไปราวกับว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น

"เช่นนั้นก็ลากันตรงนี้..." โจวเซินเอ่ยย้ำอีกครั้งพร้อมกับแตะไหล่ของเด็กหนุ่มเบา ๆ ก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินเเยกหายไปทางฝั่งเรือนพักของตนด้วยความรวดเร็ว

ทางฝั่งของหนิงอ้ายเมื่อเห็นคนที่หน้าตาเหมือนกับคนในความทรงจำของตนเดินห่างออกไปแล้วจึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเบา ๆ ใบหน้าของอีกฝ่ายที่เหมือนกับเเทนไทช่างทำให้หัวใจของเขาทำงานหนักเสียจริง

เด็กหนุ่มสะบัดหัวไล่ความคิดไร้สาระนี้ให้ออกไปทั้งสิ้น ก่อนที่ร่างบางจะเริ่มบ่นเจ้าตัวดื้อที่เก็บตัวเงียบในอกเสื้อของตนโดยที่ไม่ทันได้สังเกตว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ล้วนตกอยู่ในสายตาของใครบางคนทั้งสิ้น...

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   ( -จบเล่ม ปฐมบท 3.2- ) บทที่ 174 ความวุ่นวายที่สิ้นสุดลง

    ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 173 สมบัติเทพมารจุติ

    ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 172 การปรากฎตัวของผู้ขายวิญญาณ

    คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 171 ผู้ท้าทายที่กล้าหาญ

    การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 170 กฎเกณฑ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

    หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 169 ผู้ผ่านการทดสอบ

    ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status