ホーム / แฟนตาซี / บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ / บทที่85 เรื่องราวที่เกิดขึ้น

共有

บทที่85 เรื่องราวที่เกิดขึ้น

เวลาได้ผ่านไปอย่างรวดเร็วจนมาถึงในยามเว่ยแล้ว กลุ่มของหนิงอ้ายยังคงพากันพูดคุยเเลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่พวกเขาทุกคนพบเจอหลังจากได้เริ่มศึกษาไปในช่วงสี่ถึงห้าวันที่ผ่านมา บางเรื่องจะเป็นสิ่งที่พวกเขาพอรับรู้มาบ้างก่อนหน้าจึงสามารถปรับตัวกันได้อย่างง่ายดาย แต่ละตำหนักล้วนต่างมีแนวทางในการบ่มเพาะศิษย์ของตนที่แตกต่างกันออกไปทั้งสิ้น

สำหรับตำหนักศาสตร์เเห่งการต่อสู้ เรียกได้ว่าการเเข่งขันภายในค่อนข้างที่จะสูงมาก บรรดาศิษย์ชายหญิงทุกคนล้วนต้องทำตัวเองให้เเข็งแกร่งต้องเตรียมความพร้อมอยู่เสมอเพราะว่าในทุกเจ็ดวันจะมีการประลองทั้งเชิงเวทย์และเชิงยุทธ์ขึ้นในตำหนัก จุดประสงค์หลักก็เพื่อให้ศิษย์เหล่านี้ตื่นตัวพร้อมกับพัฒนาตัวเองอยู่เสมอด้วยแนวคิดที่ว่าผู้ที่เเข็งแกร่งเท่านั้นที่จะเป็นผู้อยู่รอด

แม้จะดูโหดร้ายเเต่นั่นก็เป็นความจริงของยุทธภพที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ การประลองเหล่านี้มีจุดหมายแฝงอยู่นั่นคือเพื่อค้นหาสุดยอดรุ่นเยาว์มากพรสวรรค์ในการเข้าร่วมสังกัดหน่วยต่าง ๆ ที่อาจเป็นกองกำลังสำคัญในอนาคตของทางสำนักได้ หนิงอ้ายแม้จะเป็นห่วงสหายของตนอยู่บ้าง เเต่เมื่อได้ยินว่าสหายของเขาทั้งอี้หลิน จินหั่ว หลี่ซวงกับจ้าวหลานนั้นต่างทราบข้อมูลในส่วนนี้มาบ้างและทุ่มเทฝึกซ้อมอยู่เสมอ ดังนั้นหนิงอ้ายจึงเบาใจได้ในที่สุด

ทางฝั่งของลู่ซีกับอู๋ฮั่นที่เป็นศิษย์ตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลที่สัมผัสได้ถึงความเป็นห่วงจากสหายทุกคนที่ส่งมาจนรู้สึกได้ จึงตอบกลับไปให้สบายใจว่าพวกเขาทั้งสองคนไม่ได้พบเจอในเรื่องยุ่งยากทั้งสิ้น เพราะส่วนใหญ่แล้วจะมุ่งเน้นไปในทางศึกษาตำราเกี่ยวกับศาสตร์เเห่งค่ายกลรวมไปถึงการศึกษาในเรื่องของการจัดวางตำแหน่งของค่ายกลเเต่ละประเภทเสียมากกว่า ซึ่งก็ไม่ได้มากเกินไปกว่าความสามารถของทั้งสองคนที่เตรียมตัวในเรื่องเหล่านี้อยู่บ้างแล้วเช่นกัน

"สามวันข้างหน้าก็จะถึงวันเกิดข้าพอดี พวกเราจัดงานเลี้ยงสักเล็กน้อยดีหรือไม่??" อี้หลินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สดใส เพราะอีกไม่กี่วันก็จะถึงวันเกิดของเขา เด็กหนุ่มจึงต้องการที่จะจัดงานเลี้ยงเล็กน้อยกับกลุ่มสหายของตน

"เเต่ถ้าพวกเจ้าไม่ว่างก็ไม่เป็นไรนะเข้าใจได้ เช่นนั้นข้าว่า..." อี้หลินเมื่อเห็นว่าทุกคนยังคงนิ่งเงียบไม่ตอบรับ เด็กหนุ่มจึงเอ่ยขึ้นอย่างติดขัดไม่น้อย

"เจ้านี่จริง ๆ เลยนะอี้หลินกับพวกข้าที่อยู่ตำหนักเดียวกันเจ้ายังไม่ยอมบอกพวกเราก่อนเสียอย่างนั้น..."

"เเล้วนี่คงคิดว่าพวกข้าไม่อยากไปร่วมงานวันเกิดของเจ้าที่เป็นสหายกันใช่หรือไม่??" หลี่ซวงเห็นท่าทางเศร้าสร้อยของสหายตัวน้อยของตนจึงคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงคิดว่าพวกตนไม่อยากไปร่วมงานวันเกิดของอีกฝ่ายเป็นแน่

"เรื่องที่สำคัญเช่นนี้เหตุใดจึงพึ่งบอกกัน ของขวัญ เเล้วของขวัญเล่า..." จ้าวหลานอดไม่ได้ที่จะบ่นออกมาเสียงดังพร้อมกับพูดกับตัวเองราวกับกำลังขบคิดบางอย่าง

"ข้าบอกเเล้วว่าทุกคนย่อมเต็มใจที่จะร่วมงานวันเกิดของเจ้า..." จินหั่วที่เป็นสหายกับอี้หลินตั้งเเต่ยังเด็กจึงพอที่จะเดาความคิดของอีกฝ่ายได้อีกทั้งสหายของเขาคนนี้ไม่ค่อยมีเพื่อนสนิทมากนัก ดังนั้นเมื่อมีเพื่อนใหม่ที่ตนสนิทใจอีกฝ่ายจึงรู้สึกลังเลว่าทุกคนจะอยากมาร่วมงานวันเกิดของตนหรือไม่

"งานเลี้ยงวันเกิดอย่างนั้นรึ ให้พวกข้าทั้งสี่คนเข้าร่วมงานนี้ได้ด้วยหรือไม่??" เสียงของโม่โฉวดังขึ้นจากทางด้านหลังเรียกความสนใจของเด็กหนุ่มทั้งเจ็ดคนรวมไปถึงศิษย์สายในศิษย์สายนอกชายหญิงที่นั่งล้อมวงพูดคุยกันไปไม่ไกลเท่าไหร่นัก

ตรงด้านหลังของชายหนุ่มนั้นตามมาด้วยศิษย์พี่จางลี่ผู้เป็นสตรีเพียงคนเดียวในกลุ่ม พร้อมกับบุรุษอีกสองคนที่เดินตามเข้ามาถึงในที่สุดนั่นคือศิษย์พี่ซุนหรานกับศิษย์พี่ตงหยาง ผู้ที่หนิงอ้ายไม่อยากพบเจอมากที่สุด...

"คำนับศิษย์พี่ทั้งสี่ขอรับ..." เสียงของกลุ่มของหนิงอ้ายได้ดังขึ้น พร้อมกับที่พวกเขาต่างขยับตัวให้เหล่าศิษย์พี่เหล่านี้นั่งร่วมโตะเดียวกันกับพวกตน

"เป็นงานวันเกิดของใครอย่างนั้นรึ??" โม่โฉวถามขึ้นด้วยความกระตือรือร้น

"เป็นวันเกิดของข้าเองขอรับศิษย์พี่..." อี้หลินตอบกลับอีกฝ่ายไปด้วยความเขินอายล็กน้อย

"เป็นวันเกิดของศิษย์น้องอี้หลินนี่เอง เเล้วนี่พวกเจ้าคิดเเล้วหรือยังว่าจะจัดงานเลี้ยงที่ใดกันให้ศิษย์พี่แนะนำพวกเจ้าดีหรือไม่??" จางลี่ผู้เป็นสตรีเพียงคนเดียวท่ามกลางบุรุษเหล่านี้จึงถามขึ้นมา เพราะนางคิดว่ารายละเอียดเล็กน้อยเช่นนี้อาจไม่ใช่เรื่องถนัดของบุรุษพวกนี้ก็เป็นไปได้

"ไม่ต้องถึงขั้นเป็นงานเลี้ยงใหญ่โตก็ได้ขอรับศิษย์พี่จางลี่ มีเพียงพวกเราเท่านี้ก็เพียงพอแล้วขอรับ..." อี้หลินตอบกลับไปตามที่ตนคิดเพราะส่วนตัวเเล้วเขาก็ไม่ค่อยชอบความวุ่นวายสักเท่าไหร่นัก

"ถึงจะเป็นอย่างนั้นเเต่ก็ต้องเลือกสถานที่ให้ดีที่สุด ข้าจะเป็นผู้ดูเเลเอง" จางลี่เอ่ยขึ้นราวกับไม่ต้องการให้อีกฝ่ายปฏิเสธ

"เอาอย่างที่จางลี่ว่านั่นเเหละ ศิษย์น้องอี้หลินอย่าได้คิดมาก" ซุนหรานเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นท่าทางเกรงอกเกรงใจของเด็กหนุ่ม ก่อนอี้หลินจะยอมรับอย่างไม่ขัดข้องเพราะเขาสัมผัสได้ว่าศิษย์พี่ต่างให้ความเป็นดูตนเป็นอย่างมาก

ทางฝั่งของหนิงอ้ายที่เห็นบทสนทนาเหตุการณ์ทั้งหมดนั้นจึงเผยรอยยิ้มออกมาอย่างมีความสุข เด็กหนุ่มสัมผัสได้ว่าศิษย์พี่เหล่านี้ต่างเอ็นดูตนและสหายทุกคนเป็นอย่างมาก…

บรรยากาศของความสนุกสนานผสานกับความวุ่นวายได้เกิดขึ้นอีกครั้งเรียกสายตาของศิษย์สายใน ศิษย์สายนอกชายหญิงที่ต่างมองมาทางนี้อย่างเปิดเผย พวกเขานั้นไม่คิดว่าข่าวลือในก่อนหน้านี้ที่ว่าศิษย์น้องใหม่ที่พึ่งเข้าสำนักนั้นสนิทสนมกับว่าที่เจ้าสำนักและศิษย์ผู้สืบทอดทั้งสามตำหนัก โดยมีตัวกลางนั้นคือศิษย์ที่มีนามว่าหนิงอ้ายผู้เป็นศิษย์ผู้สืบทอดตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาที่กำลังเป็นที่รู้จักกับทุกคนในตอนนี้

"สรุปอีกสามวันข้างหน้าพวกเราจะจัดงานเลี้ยงฉลองวันเกิดให้กับอี้หลิน เเต่ว่าจะเป็นสถานที่ใดอันนี้ขอเก็บเป็นความลับเสียก่อนเเล้วกัน..." ซุนหรานเอ่ยขึ้นเมื่อในตอนนี้ได้จัดสรรเเบ่งหน้าที่กันเรียบร้อยเเล้ว

"สำหรับเครื่องดื่มในวันงานเลี้ยงตามกฎของสำนักมีข้อห้ามเกี่ยวกับสุราและของมึนเมา ดังนั้นหน้าที่ในส่วนนี้จะเป็นโม่โฉวกับศิษย์น้องจินหั่วที่รับผิดชอบดูเเลในส่วนนี้...."

"เรื่องอาหารเป็นศิษย์น้องหนิงอ้ายกับศิษย์น้องลู่ซีจะเป็นผู้รับหน้าที่ไปในส่วนนี้เพราะสหายของเจ้าต่างยืนยันว่ารสมือของศิษย์น้องดียิ่ง เจ้าสามารถเลือกลูกมือเพื่อช่วยเหลือในส่วนนี้อีกสองคนเช่นนั้นเป็นศิษย์น้องจ้าวหลานกับศิษย์น้องอู๋ฮั่นเเล้วกัน..."

"ส่วนเจ้าตงหยางหน้าที่ของเจ้าคือติดต่อประสานงานขออนุญาติใช้สถานที่กับผู้อาวุโสหงเเล้วกัน เจ้าพอคุ้นเคยอยู่บ้างน่าจะไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอะไร..."

"ส่วนข้า ซุนหรานกับศิษย์น้องหลี่ซวงจะรับดูเเลในการตกแต่งสถานที่จัดงานเเล้วกัน...อีกสามวันข้างหน้าในยามโหย่ว ให้มารวมตัวกันที่ลานตรงหน้าโรงครัวนี้..."

"ส่วนเจ้าศิษย์น้องอี้หลินเจ้าไม่ต้องทำสิ่งใดเพราะเจ้าเป็นเจ้าของวันเกิด เป็นเจ้าของงานนี้นั่นเอง..." จางลี่เอ่ยขึ้นไล่เรียงหน้าที่ของเเต่ละคนที่ถูกจัดสรรเเบ่งหน้าที่ดูเเลแตกต่างกันไปก่อนที่จะทิ้งท้ายในส่วนของอี้หลินว่าเด็กหนุ่มนั้นที่ไม่ต้องทำสิ่งใดพร้อมกับเรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนในที่นี้

เเต่เหมือนกับว่าทุกคนคล้ายกับจะหลงลืมสิ่งใดบางสิ่งที่ขี้น้อยใจอยู่เป็นแน่ เพราะเจ้าตัวถึงกับขู่ฟ่อออกมาเสียงดังพร้อมกับเลื้อยออกมาจากอกเสื้อก่อนที่จะเลื้อยไปอยู่บริเวณตรงไหล่ของเด็กหนุ่ม พร้อมกับส่งเสียงร้องประท้วงออกมาที่เรียกความสนใจจากทุกคนในที่นี้ได้อย่างชะงัก

"ต้าเฮยพวกเราไม่ได้ลืมเจ้านะ..." หลี่ซวงร้องดังขึ้นทันที

"ใช่เเล้วใครจะลืมเจ้าได้กัน อย่างนี้ดีหรือไม่หน้าที่ของเจ้าก็คือช่วยอี้หลินแกะของขวัญจากพวกเรา..." จินหั่วเอ่ยเสริมขึ้นเมื่อเห็นว่าเจ้าตัวน้อยกำลังรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก แม้ท่าทางที่เเสดงออกมาจะน่ารักมากในสายตาของตนก็ตาม

"เจ้าเป็นกำลังใจให้พวกข้าก็พอเเล้ว..." จ้าวหลานเอ่ยสำทับไปด้วยความหนักเเน่น ต้าเฮยเห็นว่าทุกคนไม่ได้หลงลืมตนไปจริง ๆ เจ้าอสรพิษตัวน้อยนี้จึงกลับมาร่าเริงอีกครั้งพร้อมกับจ้องมองไปทางฝั่งของบุรุษกับสตรีตรงหน้าที่ไม่คุ้นหน้าสักเท่าไหร่

"ข้ายังไม่เคยแนะนำให้ศิษย์พี่ได้รู้จักกับเจ้าตัวน้อยเลย นี่คือต้าเฮยขอรับเป็นสัตว์อสูรที่ข้ารับเลี้ยงขอรับ..." หนิงอ้ายแนะนำอีกฝ่ายให้กับบรรดาศิษย์พี่ของตนให้รู้จักอย่างเป็นทางการ

"ศิษย์พี่ท่านนี้คือศิษย์พี่โมโฉวศิษย์ผู้สืบทอดตำหนักศาสตร์เเห่งค่ายกลและเป็นศิษย์พี่ในตำหนักของลู่เกอกับอู๋ฮั่น..."

"ทางนี้คือศิษย์พี่จางลี่เป็นศิษย์ผู้สืบทอดตำหนักศาสตราวุธ..."

"ศิษย์พี่ท่านนี้คือศิษย์พี่ซุนหรานเป็นศิษย์ผู้สืบทอดตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เป็นศิษย์พี่ร่วมตำหนักของจินหั่ว อี้หลิน หลี่ซวงกับจ้าวหลาน..."

"ส่วนคนสุดท้ายคือศิษย์พี่ตงหยางเป็นศิษย์สายตรงของท่านเจ้าสำนักและเป็นว่าที่เจ้าสำนักคนต่อไป..." หนิงอ้ายแนะนำศิษย์พี่ทั้งสี่คนให้กับเจ้าตัวน้อยได้รู้จัก ขณะเอ่ยถึงชายหนุ่มคนสุดท้ายหนิงอ้ายแทบจะไม่มองหน้าอีกฝ่าย ในใจรู้สึกหงุดหงิดใจไม่น้อยเพราะอีกฝ่ายมาถึงก็เอาเเต่จดจ้องเขาอย่างไม่วางตา

ต้าเฮยได้ยินหนิงอ้ายแนะนำศิษย์พี่ตรงหน้าทั้งสี่คนให้ได้รู้จัก อสรพิษสีดำจึงชูคอขึ้นมาเล็กน้อย ดวงตาสีแดงเลือดนั้นจ้องมองไปยังทั้งสี่คนอย่างเงียบเชียบคล้ายกับว่ากำลังขบคิดบางอย่างอยู่ในใจ ก่อนที่พริบตานั้นตรงนิ้วชี้ของทั้งสี่คนจะปรากฏเป็นรอยฟันเล็ก ๆ สองซี่พร้อมกับความเจ็บปวดเล็กน้อยตรงจุดนั้นเเต่ก็เพียงชั่วครู่ก็ได้หายไปราวกับว่าก่อนหน้านี้ไม่ได้เกิดสิ่งใดขึ้นทั้งสิ้น

"เมื่อครู่นี้เป็นเพียงการผูกมิตรในเเบบของต้าเฮยเพียงเท่านั้น ศิษย์พี่อย่าได้ถือสาเอาความเลยนะขอรับ..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นทันทีด้วยเป็นกังวลว่าเหล่าบรรดาศิษย์พี่เหล่านี้อาจจะเข้าใจในเจ้าตัวน้อยผิดไป

"ตอนเเรกที่หนิงอ้ายแนะนำต้าเฮยกับพวกข้าเขาก็ทำเช่นนี้ ศิษย์พี่อย่าได้ถือสา ต้าเฮยเลยนะขอรับ..." อี้หลินเอ่ยเสริมขึ้นเพื่อยืนยันคำพูดของหนิงอ้ายเมื่อครู่

"ก่อนหน้านี้เสี่ยวอ้ายได้บอกเอาไว้ว่าสิ่งที่ต้าเฮยทำเมื่อครู่นี้นอกจากจะเป็นการผูกมิตรและเป็นการยอมรับพวกเราเเล้วปราณพิษที่อีกฝ่ายมอบให้สามารถป้องกันพวกเราจากพิษต่าง ๆ ได้ถึงสามครั้งเลยนะขอรับ..." ลู่ซีที่ไม่ค่อยมีบทสนทนาในก่อนหน้าได้เอ่ยเสริมขึ้นเช่นกัน พร้อมกับที่เจ้าต้าเฮยนั้นรีบไปหาอีกฝ่ายพร้อมกับเอาหัวเล็กนั้นถูไปกับฝ่ามือของอีกฝ่ายที่เรียกสายตาอิจฉาจากทุกคนไม่น้อย

"ยอดเยี่ยมขนาดนั้นเชียวต้าเฮยของพวกเราช่างเก่งกาจเสียจริง..." โม่โฉวเอ่ยขึ้นด้วยความชื่นชมเจ้าตัวน้อย

"ต้าเฮยของพวกเรานั้นเก่งมาก ๆ ต่อไปคงต้องฝากให้เจ้าดูเเลพวกเราด้วยกันเล่า..." ซุนหรานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเอาใจอีกฝ่าย ต้าเฮยก็ตอบกลับมาด้วยการขยับส่วนหัวเล็กนั้นขึ้นลงหลายครั้ง

"ศิษย์พี่ขอลองสัมผัสเจ้าต้าเฮยได้บ้างหรือไม่??" จางลี่เองแม้โดยปกตินางจะไม่ค่อยชอบสัตว์เลื้อยคลานประเภทงูสักเท่าไหร่นักตามวิสัยของสตรีทั่วไป เเต่เมื่อนางเห็นท่าทางและใบหน้าที่น่ารักของเจ้าตัวน้อยนั้นก็อดไม่ได้อยากจะลองสัมผัสสักครั้ง

ต้าเฮยที่คล้ายกับจะชื่นชมสิ่งสวยงามเป็นทุนเดิมอยู่เเล้ว เมื่ออีกฝ่ายได้ยินคำร้องขอจากสตรีเพียงหนึ่งเดียวในที่นี้ อีกทั้งยังมีความงดงามไม่ต่างจากไป๋เหลียนฮวาผู้เป็นศิษย์พี่ในตำหนักของเจ้านายตน

ดังนั้นสิ่งที่ทุกคนเห็นตอนนี้คือต้าเฮยได้ย้ายตัวเองไปอยู่บนไหล่ของอีกฝ่ายพร้อมกับเอาหัวเล็กนั่นถูไถไปกับแก้มของจางลี่เบา ๆ หลายครั้งที่เรียกทั้งสายตาอิจฉาไปไม่น้อยจากบรรดาเด็กหนุ่มที่เจ้าตัวน้อยสามารถใกล้ชิดศิษย์พี่จางลี่ได้ถึงขนาดนี้ ต้าเฮยยังได้เวียนเข้าไปทำความรู้จักคุ้นเคยกับบรรดาศิษย์พี่กับสหายของหนิงอ้ายทุกคนอย่างเท่าเทียม โดยไม่เข้าไปเฉียดใกล้ตงหยางแม้เเต่เพียงนิดเดียว

เห็นว่าสมควรแก่เวลาที่ต้องเเยกย้ายกลับเรือนพักในตำหนักของเเต่ละคนเสียที ไม่ลืมเน้นย้ำเรื่องนัดหมายในอีกสามวันข้างหน้าสำหรับงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของอี้หลิน เช่นเดิมว่าทางฝั่งของศิษย์พี่ซุนหรานก็ได้พาเด็กหนุ่มทั้งสี่คนได้แก่จินหั่ว อี้หลิน หลี่ซวงกับจ้าวหลานเเยกตัวไปทางตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้ในทันที ทางฝั่งของศิษย์พี่โม่โฉวเองก็เดินนำลู่ซีกับ อู๋ฮั่นเเยกไปทางตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกล

ตอนนี้เหลือเพียงหนิงอ้าย ศิษย์พี่จางลี่กับศิษย์พี่ตงหยางเพียงเท่านั้น หากไม่นับรวมต้าเฮยที่ตอนนี้ก็ได้กลับไปอยู่ในอกเสื้อของเด็กหนุ่มที่เป็นที่ประจำเเล้ว ด้วยเวลายามซวีแล้วหากจางลี่ที่เป็นสตรีหากต้องไปส่งเด็กหนุ่มนั้นคงไม่ใช่เรื่องที่สมควรนัก ดังนั้นนางจึงฝากฝั่งให้สหายของตนอย่างตงหยางไปส่งศิษย์น้องหนิงอ้ายถึงหน้าตำหนกเสียเเล้วกัน ก่อนร่ำลากับหนิงอ้ายกับต้าเฮยเล็กน้อยก่อนที่จะเดินเเยกตัวไปยังตำหนักศาสตราวุธ

หนิงอ้ายที่กำลังจะบอกกับชายหนุ่มตรงหน้าว่าไม่ต้องไปส่งตนก็ได้ เเต่ก่อนที่จะได้เอ่ยสิ่งใดไปนั้นก็ได้ยินเสียงหนึ่งที่คุ้นเคยดังขึ้นจากด้านหลังของตน

"ศิษย์น้องหนิงอ้ายก็กำลังจะกลับตำหนักอย่างนั้นรึ เจ้ากลับไปพร้อมกันกับศิษย์พี่เถอะ...." โจวเซินที่เมื่อกล่าวจบก็มาถึงตรงหน้าของทั้งสองคนพอดี

"ไม่รบกวนเจ้า อย่างไรข้าจะไปส่งศิษย์น้องหนิงอ้ายเอง...." ตงหยางตอบกลับอีกฝ่ายไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่ปรากฎคลื่นอารมณ์ใด

"ควรเป็นพวกข้าที่ต้องเอ่ยคำนี้เสียมากกว่า ว่าที่เจ้าสำนักคนต่อไปเช่นเจ้าคงมีธุระอีกมากเป็นแน่ พวกเราไปกันเถอะศิษย์น้องหนิงอ้าย เจ้าออกมาทั้งวันแล้วท่านอาจารย์คงเป็นห่วงเจ้าอยู่ไม่น้อย...." เมื่อได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยขึ้นเช่นนั้นหนิงอ้ายก็พยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดนี้ พร้อมกับเดินแยกออกไปในทันที

ทิ้งให้ชายหนุ่มทั้งสองมองหน้ากันอย่างไม่ละสายตา ก่อนที่โจวเซินจะยิ้มมุมปากเล็กน้อย พร้อมกับชนไหล่ของตงหยางเบา ๆ อย่างไม่สนใจ พร้อมกับเร่งฝีเท้าของตนให้เดินตามทันร่างบางที่อยู่ห่างไปไม่ไกลเท่าไหร่นัก...

この本を無料で読み続ける
コードをスキャンしてアプリをダウンロード

最新チャプター

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   ( -จบเล่ม ปฐมบท 3.2- ) บทที่ 174 ความวุ่นวายที่สิ้นสุดลง

    ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 173 สมบัติเทพมารจุติ

    ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 172 การปรากฎตัวของผู้ขายวิญญาณ

    คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 171 ผู้ท้าทายที่กล้าหาญ

    การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 170 กฎเกณฑ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

    หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 169 ผู้ผ่านการทดสอบ

    ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต

続きを読む
無料で面白い小説を探して読んでみましょう
GoodNovel アプリで人気小説に無料で!お好きな本をダウンロードして、いつでもどこでも読みましょう!
アプリで無料で本を読む
コードをスキャンしてアプリで読む
DMCA.com Protection Status