จุดบริเวณดังกล่าวเป็นแนวต้นไม้สูงใหญ่ที่ให้ความรู้สึกเหมือนกับป่าโบราณที่มีอายุหลายร้อยหลายพันปี กลิ่นอายของสมุนไพรระดับสูงรวมไปถึงลมปราณฟ้าดินบริสุทธิ์ไหลเวียนอย่างเข้มข้น เห็นได้ชัดว่าโดยรอบนี้มีความอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างมาก
มากไปกว่านั้นยังให้ความรู้สึกราวกับว่าตกอยู่ในสายตาดุร้ายไม่ประสงค์ดีที่มองมาจากทั่วทั้งสารทิศ หนิงอ้ายไม่รอช้ารีบสั่งการให้วิหคสอดแนมของตนออกมาอย่างไม่จำกัดในรัศมีพื้นที่โดยรอบ สำหรับเนตรเเห่งสวรรค์ในตอนนี้ที่หนิงอ้ายเป็นผู้ฝึกตนระดับเทวะวิญญาณขั้นต้นได้ส่งผลให้อาณุภาพยิ่งเหนือชั้นมากขึ้น
ดวงตาเรียวงามสีดำในรูปลักษณ์ปลอมเเปลงนี้แปรเปลี่ยนเป็นสีทองอร่ามไปชั่วครู่ก่อนที่จะกลับมาเป็นเป็นปกติ ญาณสัมผัสได้ถูกขีดเค้นออกมาถึงขีดสุดจนสามารถรับรู้ในในระยะสองลี้อย่างชัดเจน หนิงอ้ายสัมผัสได้ถึงสัตว์อสูรที่อยู่รายล้อมชวนให้น่าหวั่นเกรงอยู่ไม่น้อยสำหรับคนธรรมดาหรือผู้ฝึกตนทั่วไป
เเต่ด้วยเพราะเหวินหวู่ที่เป็นผู้ฝึกตนระดับราชันวิญญาณขั้นสูง ที่อีกเพียงครึ่งก้าวก็จะบรรลุถึงระดับเทพยุทธ์วิญญาณเเล้วย่อมส่งผลให้อสูรร้ายต่าง ๆ เหล่านี้ไม่กล้าก้าวล้ำเข้ามาในบริเวณเพราะสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของผู้ฝึกตนระดับสูง
เเต่ถึงอย่างไรก็ตามสิ่งเหล่านี้ย่อมไม่ส่งผลกระทบใดต่อเด็กหนุ่มทั้งสิ้นเนื่องจากความเชี่ยวชาญในการควบคุมลมปราณที่สามารถบัญชาการได้ตามใจนึก ชายชราจึงบอกให้ชาวบ้านสี่ห้าคนที่อยู่ไม่ไกลรีบกลับไปยังหมู่บ้านในทันที หนิงอ้ายได้ส่งวิหคสอดแนมติดตามชาวบ้านเหล่านี้ไปเผื่อที่ว่าหากเกิดสิ่งใดขึ้นตนจะได้ไปช่วยเหลือได้ทัน
หนิงอ้ายเห็นว่าอาจารย์ของตนกำลังต่อสู้กับสัตว์อสูรตัวหนึ่งที่มีขนาดใหญ่โตเป็นอย่างมาก รูปลักษณ์ภายนอกไม่ต่างไปจากแมงมุมสีดำตัวใหญ่ที่มีมากถึงสิบหกขาที่เต็มไปด้วยขนปกคลุมชวนให้รู้สึกขนลุก ก่อนหน้านี้ใช่ว่าเขาจะรับรู้ว่าการเดินทางที่ราบรื่นผิดปกตินั้นเกิดจากฝีมือของชายชราผู้เป็นอาจารย์ของตน ด้วยความประมาทชะล่าใจนี้เองจึงทำให้เขาสัมผัสได้ถึงสัตว์อสูรนี้จนช้าเกินไป
แน่นอนว่าจุดประสงค์ในการเดินทางครั้งนี้นอกจากที่เขาจะต้องไปสอบเลื่อนระดับเป็นนักปรุงโอสถที่มีป้ายรับรองเเล้วนั้นการเดินทางครั้งนี้ไม่ต่างไปจากการฝึกฝนสักเท่าไหร่นัก ดังนั้นหนิงอ้ายจึงสงบจิตใจพร้อมตั้งรับในทันที
จิตสังหารอย่างรุนแรงที่หนิงอ้ายสัมผัสได้ชี้ชัดว่าสัตว์อสูรดังกล่าวนี้เป็นถึงสัตว์อสูรระดับมายาขั้นสูงเทียบเท่าได้กับผู้ฝึกตนระดับเทวะวิญญาณขั้นสูงที่ครึ่งก้าวก็ถือได้ว่าเป็นผู้ฝึกตนระดับราชันวิญญาณแล้วเช่นกัน วิญญาณยุทธ์ของเด็กหนุ่มที่ถูกเรียกใช้ออกมาได้ปกคลุมไปทั่วทั้งตัวไม่ต่างไปจากเกราะป้องกันสักเท่าไหร่นัก อสูรตรงหน้าที่เห็นว่าชายชราตรงหน้ามีฝีมือมากกว่ามันถึงหนึ่งขั้นใหญ่ ดังนั้นมันจึงหันมาโจมตีเด็กหนุ่มในทันทีเมื่อสัมผัสได้ถึงระดับพลังวิญญาณที่ต่ำกว่าที่คาดว่าน่าจะจัดการได้ง่ายดายกว่านั่นเอง
มหาบุปผชาติอัคคีเพลิงจำแลงลักษณ์!!!
ตู้ม!!!
สัตว์อสูรตรงหน้าสีดำที่มีขนาดตัวถึงสามเมตรคำรามดังขึ้น สิบหกขาคมกริบพุ่งตัวเข้ามาโจมตีด้วยความรวดเร็ว หนิงอ้ายจึงถอยหลังเพื่อรับเเรงกระแทก ดังกล่าวก่อนที่จะส่งเวทย์โจมตีโต้กลับไปประสานเข้ากับเคล็ดวิชาตัวเบาไป ร่างของหนึ่งสัตว์อสูรหนึ่งผู้ฝึกตนไหววูบเข้าหากันอย่างต่อเนื่อง
การต่อสู้อย่างเชี่ยวชาญที่ถูกประสานเข้ากับวิญญาณยุทธ์ของหนิงอ้ายนั้นได้สร้างบาดแผลให้กับสัตว์อสูรตรงหน้าในทุกครั้งที่โจมตีราวกับว่าถูกคำนวนไว้เเล้ว อย่างไรแมงมุมสีดำก็ไม่เสียชื่อที่เป็นถึงสัตว์อสูรระดับสูง เพราะว่าส่วนของขาทั้งสิบหกที่แหลมคมราวกับหอกนั้นที่เคลือบไปด้วยปราณพิษเข้มข้นเอาไว้ได้ตวัดเข้าจู่โจมเด็กหนุ่มที่สามารถสร้างบาดแผลตรงเหนือด้านเเขนซ้ายของอีกฝ่ายได้สำเร็จ
"พิษของอสูรจักรพรรดิแมงมุมรัตติกาลเหมันต์เช่นข้าสามารถสังหารสิ่งมีชีวิตภายในเวลาไม่ถึงครึ่งเค่อ ร่างกายของผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์เช่นนี้นับว่ารสเลิศเป็นอย่างยิ่งหลังจากที่สังหารเจ้าเสร็จ ข้าก็จะสังหารตาเฒ่านั่นเป็นรายต่อไป..." แมงมุมสีดำเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าตนนั้นได้ถูกพิษของตนไปเสียเเล้ว
กลิ่นคาวอันเป็นเอกลักษณ์ของปราณธาตุพิษของสัตว์อสูรตรงหน้านั้นได้ตีขึ้นจมูกเด็กหนุ่มชวนให้รู้สึกคลื่นไส้ยิ่งนัก เเต่ถึงอย่างนั้นสองขาของเด็กหนุ่มนั้นยังคงยืนหยัดอย่างมั่นคง
"เจ้าคิดว่าพิษที่อ่อนด้อยเช่นนี้จะสามารถสังหารข้าได้ ช่างน่าขันยิ่งนัก!!" หนิงอ้ายตะโกนกลับไปพร้อมกับหยิบโอสถรักษาในเเหวนมิติของตนเข้าปากในทันที
'อสูรจักรพรรดิแมงมุมรัตติกาลเหมันต์เป็นสัตว์อสูรปราณธาตุพิษที่มีเกราะป้องกันแน่นหนาเป็นอย่างมาก การโจมตีจากทางด้านนอกโดยตรงไม่สามารถทำสิ่งใดได้มากนัก พิษร้ายไม่ต่างไปจากยากล่อมประสาทที่ทำให้เกิดภาพมายาไปชั่วขณะรู้สึกตัวอีกทีก็ไม่สามารถขยับร่างกายได้ หากเจ้าโชคดีพอในตัวของเจ้านี่น่าจะมีกระดูกวิญญาณให้เจ้าได้ดูดซับ'
'แม้ว่าอาจจะไม่ได้มีระดับที่สูงมากเเต่ถึงอย่างนั้นก็สามารถเพิ่มความเข้มข้นของปราณธาตุพิษในร่างกายของเจ้าได้เช่นกัน...' เสียงของท่านผู้เฒ่าดังขึ้นในหัวของเด็กหนุ่ม ข้อมูลนั้นตรงกับเนตรแห่งสวรรค์ของหนิงอ้ายที่ได้บอกให้รับรู้ในก่อนหน้าเช่นกัน
'บริเวณดวงตาทั้งสองข้างของมันคือจุดอ่อน เจ้ารีบจัดการมันเสียหากยิ่งปล่อยผ่านเวลาไปมากกว่านี้เหล่าสมุนไพรระดับสูงที่ขึ้นอยู่โดยรอบจะถูกพิษร้ายของมันเเทรกซึมเข้าไปด้วย...'
หนิงอ้ายทำตามความแนะนำที่ได้รับมาอย่างไม่ลังเลใจแม้เเต่เพียงนิด พริบตานั้นบริเวณพื้นโดยรอบของเด็กหนุ่มได้ปรากฎเป็นวงเเหวนเวทย์สีส้มประกายชี้ชัดได้ว่าเป็นสัญลักษณ์เเทนผู้ฝึกตนระดับเทวะวิญญาณขั้นต้นเเล้ว ญาณสัมผัสในร่างกายจะถูกรีดเค้นออกมาถึงขีดสุดก่อนที่จะส่งการโจมตีออกไปเป้าหมายนั่นคือสัตว์อสูรตรงหน้า
วิญญาณยุทธ์พัดหยกห้าเซียนวิถีเร้นลับ ทักษะวิญญาณที่หนึ่ง ลิ่มหยกห้ามัจจุราชเงามรณะ!!!
ตู้ม!!! ตู้ม!!! ตู้ม!!!
สิ้นเสียงของหนิงอ้ายนั้นร่างจำแลงอันเกิดจากกระดูกวิญญาณของอสูรราชินีแมงป่องแปดขามัจจุราชได้พุ่งเข้าโจมตีดวงตาทั้งสองข้างโดยทันที ส่งผลให้อีกฝ่ายนั้นส่งเสียงร้องดังด้วยความทรมานดังขึ้นไปทั่วทั้งบริเวณ หนิงอ้ายไม่รั้งรอให้ได้ตั้งตัวไปมากกว่านี้ เป้าหมายนั่นคือส่วนศีรษะที่ไร้ซึ่งดวงตาไปเเล้ว
แรงกระแทกดังกล่าวนี้เพียงพอที่จะทำลายส่วนอื่นของร่างกายรวมไปถึงอวัยวะภายในให้ได้รับการบอบช้ำไปด้วย เพียงอึดใจเดียวร่างสูงใหญ่นั้นได้ล้มลงนอนแน่นิ่งสิ้นฤทธิ์อยู่ตรงพื้นด้วยการตัดสินใจลงมืออย่างเด็ดขาดนี้ไร้ซึ่งความปราณีใดใดทั้งสิ้น เพราะอย่างไรนั้นไม่ว่าจะเป็นโลกเดิมหรือว่าในโลกนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นก็ไม่ต่างไปจากเเบบทดสอบที่เข้าต้องฝ่าฟันและก้าวข้ามผ่านทั้งนี้ก็เพื่อความเเข็งแกร่งของตนทั้งสิ้น
เหวินหวู่ที่ถอยห่างออกมาไม่ไกลมองภาพตรงหน้าด้วยความชื่นชม ศิษย์ของเขาคนนี้เรียกได้ว่ามีความเชี่ยวชาญทั้งการต่อสู้รวมไปถึงการหลอมสร้างปรุงโอสถเป็นอย่างยิ่ง ถึงตนจะรู้ว่าเด็กหนุ่มมีฝีมือมากพอที่จะไม่เพลี่ยงพล้ำแก่อสูรระดับมายาตรงหน้านี้ได้
ถึงอย่างไรนั้นชายชรายังคงแผ่กลิ่นอายเฉพาะตัวออกมาเพื่อสะกดข่มให้สัตว์อสูรโดยรอบไม่ให้สอดมือหรือเข้าใกล้ในรัศมีสองลี้ดังกล่าว แม้ว่าภายนอกจะนิ่งสงบคล้ายกับไม่เป็นกังวลเเต่ถึงอย่างนั้นหากเกิดสิ่งที่ไม่คาดฝันขึ้นเขาย่อมที่จะช่วยเหลือศิษย์ตัวน้อยของตนได้อย่างแน่นอน
"ยอดเยี่ยมมาก เจ้าสามารถวิเคราะห์จุดอ่อนของศัตรูและสามารถรวบรัดจัดการได้อย่างรวดเร็ว สัตว์อสูรระดับมายาตัวนี้หากเทียบเเล้วก็ไม่ต่างไปจากผู้ฝึกตนระดับเทวะวิญญาณขั้นสูงอสูรจักรพรรดิแมงมุมรัตติกาลเหมันต์นี้นอกจากจะเป็นสัตว์อสูรธาตุพิษเเล้วนั้นยังมีเกราะป้องกันที่ดีเยี่ยมเช่นกัน การรับมือกับผู้ฝึกตนหรือสัตว์อสูรนับได้ว่าไม่ง่ายดายสักเท่าไหร่นัก...."
"เเต่เมื่อครู่ที่เจ้าเอาตัวเองเป็นเหยื่อล่อจนได้รับบาดแผลที่มีพิษแฝงมาด้วยนั้น หากว่าก่อนหน้าเจ้าไม่ได้ดูดซับกระดูกวิญญาณของอสรพิษบรรพกาลที่ไม่ต่างไปจากเจ้าเเห่งพิษนั้นเจ้าคงแย่ไปเสียเเล้ว สำหรับสัญชาติญาณกับการตัดสินใจที่เฉียบขาดน่าชื่นชมก็จริง เเต่ถึงอย่างนั้นเจ้ายังต้องฝึกฝนอีกมาก อย่างไรก็ให้เป็นเรื่องหลังจากนี้เเล้วกัน..." เหวินหวู่เอ่ยชมเด็กหนุ่มพร้อมกับให้คำแนะนำศิษย์ตัวน้อยของตนไปด้วยความหวังดี
ในใจยังคงสงสัยอยู่บ้าง กลิ่นอายสังหารของเด็กหนุ่มที่ไม่ควรเกิดขึ้นในช่วงอายุสิบห้าสิบหกปีเช่นนี้ไม่รู้ว่าลูกศิษย์ตัวน้อยของตนต้องพบเจอสิ่งใดมาบ้าง หวังเเต่เพียงว่าเด็กหนุ่มจะยังคงรักษาจิตใจที่บริสุทธิ์ของตนไม่ถลำลึกไปกับความดำมืดในจิตใจ...
"โชคดีของเจ้า กระดูกวิญญาณชิ้นนี้หากได้ประสานเข้ากับร่างกายไปเเล้วย่อมส่งเสริมปราณธาตุพิษในตัวให้มีความเข้มข้นไปอีกไม่น้อย อีกทั้งเจ้ายังสามารถเรียกใช้เกราะป้องกันที่เจือปนไปด้วยปราณพิษออกมาได้เช่นกันหลังจากนี้ ถือได้ว่าคุ้มค่าเสียจริง..." เหวินหวู่เอ่ยขึ้นพร้อมกับลูบหัวของหนิงอ้ายด้วยความเอ็นดู ก่อนที่จะใช้ลมปราณของตนดึงเอาส่วนของกระดูกวิญญาณออกมาจากร่างไร้วิญญาณของสัตว์อสูรตรงหน้าที่ตายตกไปด้วยฝีมือศิษย์ของตน
"ท่านอาจารย์ข้าขอเก็บร่างไร้วิญญาณนี้ด้วยได้หรือไม่ขอรับ??" หนิงอ้ายเอ่ยถามชายชราผู้เป็นอาจารย์ของตนด้วยเพราะคิดว่าร่างไร้วิญญาณของสัตว์อสูรระดับมายาตัวนี้คงมีประโยชน์กับเจียวซิ่นสัตว์อสูรในพันธะไม่น้อย
"เจ้าสามารถเก็บร่างไร้วิญญาณของมันไปได้ หากให้อาจารย์แนะนำเจ้าจงเก็บพิษของมันไว้สักเล็กน้อย ถึงแม้อสูรจักรพรรดิแมงมุมรัตติกาลเหมันต์นี้จะมีพิษไหลเวียนอยู่ก็จริง เเต่ถึงอย่างไรเลือดพิษนี้ก็สามารถปรุงโอสถออกมาได้เช่นกัน..." เหวินหวู่เอ่ยออกมาพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย
"ท่านอาจารย์จะสอนข้าปรุงโอสถพิษด้วยอย่างนั้นใช่หรือไม่ขอรับ??" หนิงอ้ายร้องดังขึ้นด้วยความดีใจ
เขาไม่คาดคิดว่าเหวินหวู่ผู้เป็นอาจารย์ถึงกับจะสอนวิชาปรุงโอสถพิษให้ด้วย ในยุทธภพนี้แม้ทุกคนจะขนานนามว่าอีกฝ่ายเป็นปรมจารย์โอสถก็จริง เเต่อีกฉายาที่เหล่าศัตรูต่างหวั่นเกรงด้วยเพราะว่าเหวินหวู่นั้นมีชื่อว่าปรมจารย์หมื่นพิษนั่นเอง
"การที่เลือกเจ้าให้เป็นศิษย์สืบทอดของตำหนักนั้น อีกหนึ่งเหตุผลสำคัญคือข้าต้องการรับเจ้าเป็นศิษย์สายตรงเพื่อสืบทอดตำแหน่งผู้ใช้พิษคนต่อไป ซึ่งนับวันเจ้าก็ยิ่งพิสูจน์ให้เห็นเเล้วว่าข้าตัดสินใจได้ถูกต้องเเล้ว หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง..." เหวินหวู่เอ่ยขึ้นด้วยความหนักเเน่น
"ขอบคุณท่านอาจารย์ที่เมตตาศิษย์คนนี้ ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง..." หนิงอ้ายตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่หนักเเน่นไปไม่แพ้กัน
"อาจารย์ว่าเจ้ารีบไปเก็บร่างไรวิญญาณและพิษของจักรพรรดิแมงมุมรัตติกาลเหมันต์เสีย การปะทะกันเมื่อครู่อาจจะสร้างความสนใจกับสัตว์อสูรก็เป็นไปได้ เมื่อไปถึงหมู่บ้านไร้นามเเล้วเจ้าค่อยทำการดูดซับกระดูกวิญญาณชิ้นนี้ก็เเล้วกัน..."
หนิงอ้ายเเยกตัวไปจัดการตามที่อาจารย์ของตนได้แนะนำในทันที ส่วนทางฝั่งของเหวินหวู่ได้ทำการเก็บสมุนไพรระดับสูงที่ขึ้นอยู่โดยรอบ โดยยังคงส่งกลิ่นอายอันเเข็งแกร่งของผู้ฝึกตนระดับเทวะวิญญาณขั้นสูงครึ่งก้าวระดับเทพยุทธ์วิญญาณเพื่อข่มขวัญเหล่าสัตว์อสูรโดยรอบไม่ให้ย่างกรายเข้ามาเมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย หนึ่งอาจารย์หนึ่งศิษย์จึงใช้วิชาตัวเบาเฉพาะของตนมุ่งไปทางหมู่บ้านไร้นามที่อยู่ในอีกฝั่งหนึ่งด้วยความรวดเร็ว
เพียงไม่กี่เค่อบุรุษต่างวัยทั้งสองคนก็มาถึงหน้าหมู่บ้านไร้นามเเห่งนี้ ด้วยเพราะก่อนหน้าชาวบ้านที่ถูกช่วยเหลือโดยฝีมือของพวกเขาได้มาถึงหมู่บ้านด้วยความปลอดภัย ทั้งสี่ห้าคนรวมไปถึงสมาชิกในครอบครัวต่างเข้ามาก้มกราบเพื่อขอบคุณในหนี้ชีวิตครั้งนี้ หากว่าชายชราและเด็กหนุ่มเข้าไปช่วยไม่ทันเเล้วพวกตนคงได้ตกตายไปอย่างแน่นอน เหวินหวู่ได้มอบโอสถรักษาให้กับอีกฝ่ายไปก่อนที่จะขอเเยกตัวคุยกับหัวหน้าหมู่บ้านที่ยืนรออยู่ไปไม่ไกลนัก
ดูจากท่าทางการพูดคุยนั้นหนิงอ้ายคาดเดาว่าอีกฝ่ายคงไม่ล่วงรู้ถึงฐานะที่เเท้จริงของอาจารย์ คงคิดเพียงว่าอีกฝ่ายเป็นสุดยอดฝีมือเพียงเท่านั้น ในโลกยุทธภพของผู้ฝึกตนความเเข็งแกร่งต่างเป็นตัวชี้วัดที่ควรแก่การเคารพนับถือจากคนทั่วไป หรือเพียงเเค่สามารถเข้าสู่วิถีของผู้ฝึกตนแม้จะเป็นเพียงระดับก่อเกิดวิญญาณก็ถือว่าเหนือชั้นกว่าคนธรรมดาทั่วไปเเล้ว อีกทั้งฐานะนักปรุงโอสถระดับเจ็ดของอีกฝ่ายถือว่าเป็นตัวตนระดับสูงสุดของนักปรุงโอสถในมหาทวีป ทว่าชายชราผู้เป็นอาจารย์ของเขาคงไม่ได้เปิดเผยตัวตนไป
หลังจากที่พูดคุยกัน หัวหน้าหมู่บ้านได้เชื้อเชิญให้เหวินหวู่กับหนิงอ้ายไปพักที่เรือนของตนเเต่ทว่าก็ได้รับการปฏิเสธไป เหวินหวู่ได้มอบโอสถพื้นฐานหลายสิบขวดให้กับอีกฝ่าย พร้อมกับฝากให้กำชับคนในหมู่บ้านว่าหากไม่มีเรื่องจำเป็นไม่ควรที่จะไปในเขตป่ารอยต่อระหว่างป่าชั้นในกับป่าชั้นนอกดังกล่าว บริเวณนั้นเป็นที่อาศัยของสัตว์อสูรหลายเผ่าพันธุ์
ก่อนที่จะจากไปนั้นเหวินหวู่ได้เพิ่มพลังลมปราณไปตามหลักหมุดค่ายกลที่เคยได้วางไว้ในก่อนหน้า เมื่อเห็นเช่นนั้นเเล้วหนิงอ้ายจึงถ่ายเทพลังลมปราณของตนเขาเสริมไปพร้อมกันในทันที ซึ่งนี่จึงทำให้มั่นใจได้ว่าค่ายกลป้องกันนี้ยังคงอยู่ไปอีกหลายสิบปีอย่างแน่นอน
เหวินหวู่เอ่ยขึ้นกับหนิงอ้ายว่าหลังจากนี้ตนจะเพิ่มภารกิจล่าสัตว์อสูรโดยรอบของหมู่บ้านไร้นามแห่งนี้ เชื่อว่าหากได้มีการบรรจุภารกิจนี้ลงไปในอาคารส่วนกลางของสำนักเเล้วย่อมมีศิษย์สายใน ศิษย์สายนอกไม่น้อยที่สนใจในภารกิจนี้ หากเป็นเช่นนั้นจริงหมู่บ้านไร้นามเเห่งนี้ก็จะได้รับการปกป้องดูเเลไปอีกทางหนึ่งนับได้ว่าเป็นการเเก้ปัญหาในระยะยาวไปด้วยเช่นกัน...
ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต