จุดบริเวณดังกล่าวเป็นแนวต้นไม้สูงใหญ่ที่ให้ความรู้สึกเหมือนกับป่าโบราณที่มีอายุหลายร้อยหลายพันปี กลิ่นอายของสมุนไพรระดับสูงรวมไปถึงลมปราณฟ้าดินบริสุทธิ์ไหลเวียนอย่างเข้มข้น เห็นได้ชัดว่าโดยรอบนี้มีความอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างมาก
มากไปกว่านั้นยังให้ความรู้สึกราวกับว่าตกอยู่ในสายตาดุร้ายไม่ประสงค์ดีที่มองมาจากทั่วทั้งสารทิศ หนิงอ้ายไม่รอช้ารีบสั่งการให้วิหคสอดแนมของตนออกมาอย่างไม่จำกัดในรัศมีพื้นที่โดยรอบ สำหรับเนตรเเห่งสวรรค์ในตอนนี้ที่หนิงอ้ายเป็นผู้ฝึกตนระดับเทวะวิญญาณขั้นต้นได้ส่งผลให้อาณุภาพยิ่งเหนือชั้นมากขึ้น
ดวงตาเรียวงามสีดำในรูปลักษณ์ปลอมเเปลงนี้แปรเปลี่ยนเป็นสีทองอร่ามไปชั่วครู่ก่อนที่จะกลับมาเป็นเป็นปกติ ญาณสัมผัสได้ถูกขีดเค้นออกมาถึงขีดสุดจนสามารถรับรู้ในในระยะสองลี้อย่างชัดเจน หนิงอ้ายสัมผัสได้ถึงสัตว์อสูรที่อยู่รายล้อมชวนให้น่าหวั่นเกรงอยู่ไม่น้อยสำหรับคนธรรมดาหรือผู้ฝึกตนทั่วไป
เเต่ด้วยเพราะเหวินหวู่ที่เป็นผู้ฝึกตนระดับราชันวิญญาณขั้นสูง ที่อีกเพียงครึ่งก้าวก็จะบรรลุถึงระดับเทพยุทธ์วิญญาณเเล้วย่อมส่งผลให้อสูรร้ายต่าง ๆ เหล่านี้ไม่กล้าก้าวล้ำเข้ามาในบริเวณเพราะสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของผู้ฝึกตนระดับสูง
เเต่ถึงอย่างไรก็ตามสิ่งเหล่านี้ย่อมไม่ส่งผลกระทบใดต่อเด็กหนุ่มทั้งสิ้นเนื่องจากความเชี่ยวชาญในการควบคุมลมปราณที่สามารถบัญชาการได้ตามใจนึก ชายชราจึงบอกให้ชาวบ้านสี่ห้าคนที่อยู่ไม่ไกลรีบกลับไปยังหมู่บ้านในทันที หนิงอ้ายได้ส่งวิหคสอดแนมติดตามชาวบ้านเหล่านี้ไปเผื่อที่ว่าหากเกิดสิ่งใดขึ้นตนจะได้ไปช่วยเหลือได้ทัน
หนิงอ้ายเห็นว่าอาจารย์ของตนกำลังต่อสู้กับสัตว์อสูรตัวหนึ่งที่มีขนาดใหญ่โตเป็นอย่างมาก รูปลักษณ์ภายนอกไม่ต่างไปจากแมงมุมสีดำตัวใหญ่ที่มีมากถึงสิบหกขาที่เต็มไปด้วยขนปกคลุมชวนให้รู้สึกขนลุก ก่อนหน้านี้ใช่ว่าเขาจะรับรู้ว่าการเดินทางที่ราบรื่นผิดปกตินั้นเกิดจากฝีมือของชายชราผู้เป็นอาจารย์ของตน ด้วยความประมาทชะล่าใจนี้เองจึงทำให้เขาสัมผัสได้ถึงสัตว์อสูรนี้จนช้าเกินไป
แน่นอนว่าจุดประสงค์ในการเดินทางครั้งนี้นอกจากที่เขาจะต้องไปสอบเลื่อนระดับเป็นนักปรุงโอสถที่มีป้ายรับรองเเล้วนั้นการเดินทางครั้งนี้ไม่ต่างไปจากการฝึกฝนสักเท่าไหร่นัก ดังนั้นหนิงอ้ายจึงสงบจิตใจพร้อมตั้งรับในทันที
จิตสังหารอย่างรุนแรงที่หนิงอ้ายสัมผัสได้ชี้ชัดว่าสัตว์อสูรดังกล่าวนี้เป็นถึงสัตว์อสูรระดับมายาขั้นสูงเทียบเท่าได้กับผู้ฝึกตนระดับเทวะวิญญาณขั้นสูงที่ครึ่งก้าวก็ถือได้ว่าเป็นผู้ฝึกตนระดับราชันวิญญาณแล้วเช่นกัน วิญญาณยุทธ์ของเด็กหนุ่มที่ถูกเรียกใช้ออกมาได้ปกคลุมไปทั่วทั้งตัวไม่ต่างไปจากเกราะป้องกันสักเท่าไหร่นัก อสูรตรงหน้าที่เห็นว่าชายชราตรงหน้ามีฝีมือมากกว่ามันถึงหนึ่งขั้นใหญ่ ดังนั้นมันจึงหันมาโจมตีเด็กหนุ่มในทันทีเมื่อสัมผัสได้ถึงระดับพลังวิญญาณที่ต่ำกว่าที่คาดว่าน่าจะจัดการได้ง่ายดายกว่านั่นเอง
มหาบุปผชาติอัคคีเพลิงจำแลงลักษณ์!!!
ตู้ม!!!
สัตว์อสูรตรงหน้าสีดำที่มีขนาดตัวถึงสามเมตรคำรามดังขึ้น สิบหกขาคมกริบพุ่งตัวเข้ามาโจมตีด้วยความรวดเร็ว หนิงอ้ายจึงถอยหลังเพื่อรับเเรงกระแทก ดังกล่าวก่อนที่จะส่งเวทย์โจมตีโต้กลับไปประสานเข้ากับเคล็ดวิชาตัวเบาไป ร่างของหนึ่งสัตว์อสูรหนึ่งผู้ฝึกตนไหววูบเข้าหากันอย่างต่อเนื่อง
การต่อสู้อย่างเชี่ยวชาญที่ถูกประสานเข้ากับวิญญาณยุทธ์ของหนิงอ้ายนั้นได้สร้างบาดแผลให้กับสัตว์อสูรตรงหน้าในทุกครั้งที่โจมตีราวกับว่าถูกคำนวนไว้เเล้ว อย่างไรแมงมุมสีดำก็ไม่เสียชื่อที่เป็นถึงสัตว์อสูรระดับสูง เพราะว่าส่วนของขาทั้งสิบหกที่แหลมคมราวกับหอกนั้นที่เคลือบไปด้วยปราณพิษเข้มข้นเอาไว้ได้ตวัดเข้าจู่โจมเด็กหนุ่มที่สามารถสร้างบาดแผลตรงเหนือด้านเเขนซ้ายของอีกฝ่ายได้สำเร็จ
"พิษของอสูรจักรพรรดิแมงมุมรัตติกาลเหมันต์เช่นข้าสามารถสังหารสิ่งมีชีวิตภายในเวลาไม่ถึงครึ่งเค่อ ร่างกายของผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์เช่นนี้นับว่ารสเลิศเป็นอย่างยิ่งหลังจากที่สังหารเจ้าเสร็จ ข้าก็จะสังหารตาเฒ่านั่นเป็นรายต่อไป..." แมงมุมสีดำเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าตนนั้นได้ถูกพิษของตนไปเสียเเล้ว
กลิ่นคาวอันเป็นเอกลักษณ์ของปราณธาตุพิษของสัตว์อสูรตรงหน้านั้นได้ตีขึ้นจมูกเด็กหนุ่มชวนให้รู้สึกคลื่นไส้ยิ่งนัก เเต่ถึงอย่างนั้นสองขาของเด็กหนุ่มนั้นยังคงยืนหยัดอย่างมั่นคง
"เจ้าคิดว่าพิษที่อ่อนด้อยเช่นนี้จะสามารถสังหารข้าได้ ช่างน่าขันยิ่งนัก!!" หนิงอ้ายตะโกนกลับไปพร้อมกับหยิบโอสถรักษาในเเหวนมิติของตนเข้าปากในทันที
'อสูรจักรพรรดิแมงมุมรัตติกาลเหมันต์เป็นสัตว์อสูรปราณธาตุพิษที่มีเกราะป้องกันแน่นหนาเป็นอย่างมาก การโจมตีจากทางด้านนอกโดยตรงไม่สามารถทำสิ่งใดได้มากนัก พิษร้ายไม่ต่างไปจากยากล่อมประสาทที่ทำให้เกิดภาพมายาไปชั่วขณะรู้สึกตัวอีกทีก็ไม่สามารถขยับร่างกายได้ หากเจ้าโชคดีพอในตัวของเจ้านี่น่าจะมีกระดูกวิญญาณให้เจ้าได้ดูดซับ'
'แม้ว่าอาจจะไม่ได้มีระดับที่สูงมากเเต่ถึงอย่างนั้นก็สามารถเพิ่มความเข้มข้นของปราณธาตุพิษในร่างกายของเจ้าได้เช่นกัน...' เสียงของท่านผู้เฒ่าดังขึ้นในหัวของเด็กหนุ่ม ข้อมูลนั้นตรงกับเนตรแห่งสวรรค์ของหนิงอ้ายที่ได้บอกให้รับรู้ในก่อนหน้าเช่นกัน
'บริเวณดวงตาทั้งสองข้างของมันคือจุดอ่อน เจ้ารีบจัดการมันเสียหากยิ่งปล่อยผ่านเวลาไปมากกว่านี้เหล่าสมุนไพรระดับสูงที่ขึ้นอยู่โดยรอบจะถูกพิษร้ายของมันเเทรกซึมเข้าไปด้วย...'
หนิงอ้ายทำตามความแนะนำที่ได้รับมาอย่างไม่ลังเลใจแม้เเต่เพียงนิด พริบตานั้นบริเวณพื้นโดยรอบของเด็กหนุ่มได้ปรากฎเป็นวงเเหวนเวทย์สีส้มประกายชี้ชัดได้ว่าเป็นสัญลักษณ์เเทนผู้ฝึกตนระดับเทวะวิญญาณขั้นต้นเเล้ว ญาณสัมผัสในร่างกายจะถูกรีดเค้นออกมาถึงขีดสุดก่อนที่จะส่งการโจมตีออกไปเป้าหมายนั่นคือสัตว์อสูรตรงหน้า
วิญญาณยุทธ์พัดหยกห้าเซียนวิถีเร้นลับ ทักษะวิญญาณที่หนึ่ง ลิ่มหยกห้ามัจจุราชเงามรณะ!!!
ตู้ม!!! ตู้ม!!! ตู้ม!!!
สิ้นเสียงของหนิงอ้ายนั้นร่างจำแลงอันเกิดจากกระดูกวิญญาณของอสูรราชินีแมงป่องแปดขามัจจุราชได้พุ่งเข้าโจมตีดวงตาทั้งสองข้างโดยทันที ส่งผลให้อีกฝ่ายนั้นส่งเสียงร้องดังด้วยความทรมานดังขึ้นไปทั่วทั้งบริเวณ หนิงอ้ายไม่รั้งรอให้ได้ตั้งตัวไปมากกว่านี้ เป้าหมายนั่นคือส่วนศีรษะที่ไร้ซึ่งดวงตาไปเเล้ว
แรงกระแทกดังกล่าวนี้เพียงพอที่จะทำลายส่วนอื่นของร่างกายรวมไปถึงอวัยวะภายในให้ได้รับการบอบช้ำไปด้วย เพียงอึดใจเดียวร่างสูงใหญ่นั้นได้ล้มลงนอนแน่นิ่งสิ้นฤทธิ์อยู่ตรงพื้นด้วยการตัดสินใจลงมืออย่างเด็ดขาดนี้ไร้ซึ่งความปราณีใดใดทั้งสิ้น เพราะอย่างไรนั้นไม่ว่าจะเป็นโลกเดิมหรือว่าในโลกนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นก็ไม่ต่างไปจากเเบบทดสอบที่เข้าต้องฝ่าฟันและก้าวข้ามผ่านทั้งนี้ก็เพื่อความเเข็งแกร่งของตนทั้งสิ้น
เหวินหวู่ที่ถอยห่างออกมาไม่ไกลมองภาพตรงหน้าด้วยความชื่นชม ศิษย์ของเขาคนนี้เรียกได้ว่ามีความเชี่ยวชาญทั้งการต่อสู้รวมไปถึงการหลอมสร้างปรุงโอสถเป็นอย่างยิ่ง ถึงตนจะรู้ว่าเด็กหนุ่มมีฝีมือมากพอที่จะไม่เพลี่ยงพล้ำแก่อสูรระดับมายาตรงหน้านี้ได้
ถึงอย่างไรนั้นชายชรายังคงแผ่กลิ่นอายเฉพาะตัวออกมาเพื่อสะกดข่มให้สัตว์อสูรโดยรอบไม่ให้สอดมือหรือเข้าใกล้ในรัศมีสองลี้ดังกล่าว แม้ว่าภายนอกจะนิ่งสงบคล้ายกับไม่เป็นกังวลเเต่ถึงอย่างนั้นหากเกิดสิ่งที่ไม่คาดฝันขึ้นเขาย่อมที่จะช่วยเหลือศิษย์ตัวน้อยของตนได้อย่างแน่นอน
"ยอดเยี่ยมมาก เจ้าสามารถวิเคราะห์จุดอ่อนของศัตรูและสามารถรวบรัดจัดการได้อย่างรวดเร็ว สัตว์อสูรระดับมายาตัวนี้หากเทียบเเล้วก็ไม่ต่างไปจากผู้ฝึกตนระดับเทวะวิญญาณขั้นสูงอสูรจักรพรรดิแมงมุมรัตติกาลเหมันต์นี้นอกจากจะเป็นสัตว์อสูรธาตุพิษเเล้วนั้นยังมีเกราะป้องกันที่ดีเยี่ยมเช่นกัน การรับมือกับผู้ฝึกตนหรือสัตว์อสูรนับได้ว่าไม่ง่ายดายสักเท่าไหร่นัก...."
"เเต่เมื่อครู่ที่เจ้าเอาตัวเองเป็นเหยื่อล่อจนได้รับบาดแผลที่มีพิษแฝงมาด้วยนั้น หากว่าก่อนหน้าเจ้าไม่ได้ดูดซับกระดูกวิญญาณของอสรพิษบรรพกาลที่ไม่ต่างไปจากเจ้าเเห่งพิษนั้นเจ้าคงแย่ไปเสียเเล้ว สำหรับสัญชาติญาณกับการตัดสินใจที่เฉียบขาดน่าชื่นชมก็จริง เเต่ถึงอย่างนั้นเจ้ายังต้องฝึกฝนอีกมาก อย่างไรก็ให้เป็นเรื่องหลังจากนี้เเล้วกัน..." เหวินหวู่เอ่ยชมเด็กหนุ่มพร้อมกับให้คำแนะนำศิษย์ตัวน้อยของตนไปด้วยความหวังดี
ในใจยังคงสงสัยอยู่บ้าง กลิ่นอายสังหารของเด็กหนุ่มที่ไม่ควรเกิดขึ้นในช่วงอายุสิบห้าสิบหกปีเช่นนี้ไม่รู้ว่าลูกศิษย์ตัวน้อยของตนต้องพบเจอสิ่งใดมาบ้าง หวังเเต่เพียงว่าเด็กหนุ่มจะยังคงรักษาจิตใจที่บริสุทธิ์ของตนไม่ถลำลึกไปกับความดำมืดในจิตใจ...
"โชคดีของเจ้า กระดูกวิญญาณชิ้นนี้หากได้ประสานเข้ากับร่างกายไปเเล้วย่อมส่งเสริมปราณธาตุพิษในตัวให้มีความเข้มข้นไปอีกไม่น้อย อีกทั้งเจ้ายังสามารถเรียกใช้เกราะป้องกันที่เจือปนไปด้วยปราณพิษออกมาได้เช่นกันหลังจากนี้ ถือได้ว่าคุ้มค่าเสียจริง..." เหวินหวู่เอ่ยขึ้นพร้อมกับลูบหัวของหนิงอ้ายด้วยความเอ็นดู ก่อนที่จะใช้ลมปราณของตนดึงเอาส่วนของกระดูกวิญญาณออกมาจากร่างไร้วิญญาณของสัตว์อสูรตรงหน้าที่ตายตกไปด้วยฝีมือศิษย์ของตน
"ท่านอาจารย์ข้าขอเก็บร่างไร้วิญญาณนี้ด้วยได้หรือไม่ขอรับ??" หนิงอ้ายเอ่ยถามชายชราผู้เป็นอาจารย์ของตนด้วยเพราะคิดว่าร่างไร้วิญญาณของสัตว์อสูรระดับมายาตัวนี้คงมีประโยชน์กับเจียวซิ่นสัตว์อสูรในพันธะไม่น้อย
"เจ้าสามารถเก็บร่างไร้วิญญาณของมันไปได้ หากให้อาจารย์แนะนำเจ้าจงเก็บพิษของมันไว้สักเล็กน้อย ถึงแม้อสูรจักรพรรดิแมงมุมรัตติกาลเหมันต์นี้จะมีพิษไหลเวียนอยู่ก็จริง เเต่ถึงอย่างไรเลือดพิษนี้ก็สามารถปรุงโอสถออกมาได้เช่นกัน..." เหวินหวู่เอ่ยออกมาพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย
"ท่านอาจารย์จะสอนข้าปรุงโอสถพิษด้วยอย่างนั้นใช่หรือไม่ขอรับ??" หนิงอ้ายร้องดังขึ้นด้วยความดีใจ
เขาไม่คาดคิดว่าเหวินหวู่ผู้เป็นอาจารย์ถึงกับจะสอนวิชาปรุงโอสถพิษให้ด้วย ในยุทธภพนี้แม้ทุกคนจะขนานนามว่าอีกฝ่ายเป็นปรมจารย์โอสถก็จริง เเต่อีกฉายาที่เหล่าศัตรูต่างหวั่นเกรงด้วยเพราะว่าเหวินหวู่นั้นมีชื่อว่าปรมจารย์หมื่นพิษนั่นเอง
"การที่เลือกเจ้าให้เป็นศิษย์สืบทอดของตำหนักนั้น อีกหนึ่งเหตุผลสำคัญคือข้าต้องการรับเจ้าเป็นศิษย์สายตรงเพื่อสืบทอดตำแหน่งผู้ใช้พิษคนต่อไป ซึ่งนับวันเจ้าก็ยิ่งพิสูจน์ให้เห็นเเล้วว่าข้าตัดสินใจได้ถูกต้องเเล้ว หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง..." เหวินหวู่เอ่ยขึ้นด้วยความหนักเเน่น
"ขอบคุณท่านอาจารย์ที่เมตตาศิษย์คนนี้ ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง..." หนิงอ้ายตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่หนักเเน่นไปไม่แพ้กัน
"อาจารย์ว่าเจ้ารีบไปเก็บร่างไรวิญญาณและพิษของจักรพรรดิแมงมุมรัตติกาลเหมันต์เสีย การปะทะกันเมื่อครู่อาจจะสร้างความสนใจกับสัตว์อสูรก็เป็นไปได้ เมื่อไปถึงหมู่บ้านไร้นามเเล้วเจ้าค่อยทำการดูดซับกระดูกวิญญาณชิ้นนี้ก็เเล้วกัน..."
หนิงอ้ายเเยกตัวไปจัดการตามที่อาจารย์ของตนได้แนะนำในทันที ส่วนทางฝั่งของเหวินหวู่ได้ทำการเก็บสมุนไพรระดับสูงที่ขึ้นอยู่โดยรอบ โดยยังคงส่งกลิ่นอายอันเเข็งแกร่งของผู้ฝึกตนระดับเทวะวิญญาณขั้นสูงครึ่งก้าวระดับเทพยุทธ์วิญญาณเพื่อข่มขวัญเหล่าสัตว์อสูรโดยรอบไม่ให้ย่างกรายเข้ามาเมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย หนึ่งอาจารย์หนึ่งศิษย์จึงใช้วิชาตัวเบาเฉพาะของตนมุ่งไปทางหมู่บ้านไร้นามที่อยู่ในอีกฝั่งหนึ่งด้วยความรวดเร็ว
เพียงไม่กี่เค่อบุรุษต่างวัยทั้งสองคนก็มาถึงหน้าหมู่บ้านไร้นามเเห่งนี้ ด้วยเพราะก่อนหน้าชาวบ้านที่ถูกช่วยเหลือโดยฝีมือของพวกเขาได้มาถึงหมู่บ้านด้วยความปลอดภัย ทั้งสี่ห้าคนรวมไปถึงสมาชิกในครอบครัวต่างเข้ามาก้มกราบเพื่อขอบคุณในหนี้ชีวิตครั้งนี้ หากว่าชายชราและเด็กหนุ่มเข้าไปช่วยไม่ทันเเล้วพวกตนคงได้ตกตายไปอย่างแน่นอน เหวินหวู่ได้มอบโอสถรักษาให้กับอีกฝ่ายไปก่อนที่จะขอเเยกตัวคุยกับหัวหน้าหมู่บ้านที่ยืนรออยู่ไปไม่ไกลนัก
ดูจากท่าทางการพูดคุยนั้นหนิงอ้ายคาดเดาว่าอีกฝ่ายคงไม่ล่วงรู้ถึงฐานะที่เเท้จริงของอาจารย์ คงคิดเพียงว่าอีกฝ่ายเป็นสุดยอดฝีมือเพียงเท่านั้น ในโลกยุทธภพของผู้ฝึกตนความเเข็งแกร่งต่างเป็นตัวชี้วัดที่ควรแก่การเคารพนับถือจากคนทั่วไป หรือเพียงเเค่สามารถเข้าสู่วิถีของผู้ฝึกตนแม้จะเป็นเพียงระดับก่อเกิดวิญญาณก็ถือว่าเหนือชั้นกว่าคนธรรมดาทั่วไปเเล้ว อีกทั้งฐานะนักปรุงโอสถระดับเจ็ดของอีกฝ่ายถือว่าเป็นตัวตนระดับสูงสุดของนักปรุงโอสถในมหาทวีป ทว่าชายชราผู้เป็นอาจารย์ของเขาคงไม่ได้เปิดเผยตัวตนไป
หลังจากที่พูดคุยกัน หัวหน้าหมู่บ้านได้เชื้อเชิญให้เหวินหวู่กับหนิงอ้ายไปพักที่เรือนของตนเเต่ทว่าก็ได้รับการปฏิเสธไป เหวินหวู่ได้มอบโอสถพื้นฐานหลายสิบขวดให้กับอีกฝ่าย พร้อมกับฝากให้กำชับคนในหมู่บ้านว่าหากไม่มีเรื่องจำเป็นไม่ควรที่จะไปในเขตป่ารอยต่อระหว่างป่าชั้นในกับป่าชั้นนอกดังกล่าว บริเวณนั้นเป็นที่อาศัยของสัตว์อสูรหลายเผ่าพันธุ์
ก่อนที่จะจากไปนั้นเหวินหวู่ได้เพิ่มพลังลมปราณไปตามหลักหมุดค่ายกลที่เคยได้วางไว้ในก่อนหน้า เมื่อเห็นเช่นนั้นเเล้วหนิงอ้ายจึงถ่ายเทพลังลมปราณของตนเขาเสริมไปพร้อมกันในทันที ซึ่งนี่จึงทำให้มั่นใจได้ว่าค่ายกลป้องกันนี้ยังคงอยู่ไปอีกหลายสิบปีอย่างแน่นอน
เหวินหวู่เอ่ยขึ้นกับหนิงอ้ายว่าหลังจากนี้ตนจะเพิ่มภารกิจล่าสัตว์อสูรโดยรอบของหมู่บ้านไร้นามแห่งนี้ เชื่อว่าหากได้มีการบรรจุภารกิจนี้ลงไปในอาคารส่วนกลางของสำนักเเล้วย่อมมีศิษย์สายใน ศิษย์สายนอกไม่น้อยที่สนใจในภารกิจนี้ หากเป็นเช่นนั้นจริงหมู่บ้านไร้นามเเห่งนี้ก็จะได้รับการปกป้องดูเเลไปอีกทางหนึ่งนับได้ว่าเป็นการเเก้ปัญหาในระยะยาวไปด้วยเช่นกัน...
หลังจากที่จัดการทุกอย่างเสร็จสิ้นเรียบร้อยเเล้ว เหวินหวู่ได้พาหนิงอ้ายมายังที่หนึ่งซึ่งอยู่ห่างไปจากหมู่บ้านไร้นามเเห่งนี้ไปไม่ไกลสักเท่าไหร่นัก ตรงหน้าของเด็กหนุ่มเป็นถ้ำขนาดใหญ่ที่ภายในเต็มไปด้วยสมุนไพรที่ให้ความรู้สึกเหมือนสวนสมุนไพรข้างเรือนของอาจารย์กลิ่นอายของลมปราณฟ้าดินที่ไหลเวียนอยู่โดยรอบเข้มข้นมีความบริสุทธิ์อยู่ไม่น้อย ฟังว่าถ้ำนี้เปรียบได้กับที่พักชั่วคราวในยามที่ท่านอาจารย์ผ่านทางมายังหมู่บ้านนี้ สมุนไพรโดยรอบที่เห็นเป็นระเบียนก็เป็นฝีมือของชายชราเช่นกันที่เลือกสรรนำมาปลูกไว้ในบริเวณถ้ำดั่งกล่าวนี้นั่นเอง"เจ้าจะพักผ่อนก่อนหรือไม่?" ชายชราถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง เพราะก่อนหน้านี้อีกฝ่ายคงเสียพลังวิญญาณไปอย่างมากจากการสังหารอสูรจักรพรรดิแมงมุมรัตติกาลเหมันต์เมื่อครู่ ในความคิดของผู้ที่มีอายุมากกว่าเห็นควรว่าเด็กหนุ่มควรจะพักเสียหน่อยจะเป็นการดีที่สุด"ข้ายังไหวอยู่ขอรับท่านอาจารย์อย่างไรข้าฝากท่านด้วยนะขอรับ..." หนิงอ้ายตอบกลับไปเพื่อให้อาจารย์สบายใจ อีกทั้งยังรบกวนอีกฝ่ายไปอีกด้วยการดูดซับกระดูกวิญญาณในเเต่ละครั้งหากว่าเกิดเหตุการ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น ผู้ฝึกตนที่กำลังอยู่ใน
โดยปกติทั่วไปนักปรุงโอสถฝึกหัดจะมีอายุตั้งเเต่สิบปีถึงยี่สิบห้าปีโดยเสียส่วนใหญ่ ขึ้นอยู่กับระดับพลังวิญญาณรวมไปถึงความเเข็งแกร่งของวิญญาณยุทธ์ปราณธาตุไฟต้นกำเนิดและจะต้องมีจิตวิญญาณของนักปรุงโอสถที่มากพอจึงจะสามารถเข้าสู่เส้นทางนี้ได้นักปรุงโอสถคนหนึ่งจะต้องประกอบไปด้วยทั้งสามสิ่งนี้ไปในทิศทางเดียวกัน หากไม่เป็นไปดังนี้เเล้วย่อมถือว่านักปรุงโอสถฝึกหัดผู้นั้นขาดคุณสมบัติที่จะเลื่อนระดับเป็นนักปรุงโอสถระดับหนึ่ง คงเป็นได้เพียงนักปรุงโอสถฝึกหัดต่อไปจนกว่าจะมีคุณสมบัติที่เพียบพร้อมในทั้งสามด้านนี้จึงจะสามารถเข้าร่วมสอบเลื่อนระดับเป็นนักปรุงโอสถระดับหนึ่งได้นั่นเองดังนั้นการที่เหวินหวู่ได้บอกแก่สหายของตนถึงเหตุผลในการเดินทางมายังสมาคมสมาพันธ์นักปรุงโอสถในครั้งนี้ ว่าต้องการพาศิษย์คนล่าสุดมาสอบเลื่อนระดับจึงสร้างความตกใจแก่จ้าวเสวี่ยถังเป็นอย่างมาก ก่อนหน้าหลายปีที่ผ่านมาอีกฝ่ายได้เคยพาศิษย์ลำดับหกที่มีอายุเพียงสิบแปดสิบเก้าปีเท่านั้นมาสอบเลื่อนระดับเป็นนักปรุงโอสถระดับหนึ่ง ก็นับว่าในตอนได้สร้างความตกตะลึงแก่ผู้คนในเมืองนี้รวมไปถึงสร้างชื่อเสียงเป็นที่ร่ำลือไปทั่วที่อีกฝ่ายสามารถบ่มเพาะ
ครึ่งชั่วยามผ่านไปอย่างเชื่องช้าในความรู้สึกของผู้ที่รับชมการสอบเลื่อนระดับของนักปรุงโอสถฝึกหัดในครั้งนี้ ทว่ารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ที่กำลังหลอมสร้างปรุงโอสถด้วยความกดดันต่างรู้สึกว่าเวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วในความรู้สึกเป็นอย่างมากเสียงระเบิดปะทุดังขึ้นจากมุมต่าง ๆ ของสนามสอบที่เกิดจากการหลอมสมุนไพรที่ผิดพลาดในการคำนวณเวลา หรือการแตกหักของเตาหลอมโอสถที่เกิดจากการใช้ความร้อนแรงของเปลวเพลิงที่มากจนเกินไปจำนวนสมุนไพรที่ได้รับในทดสอบนี้ทุกคนต่างได้รับอย่างเท่าเทียมกันเพียงสองชุด จึงต้องมีความระมัดระวังเเต่ละขั้นตอนเป็นอย่างมาก เเต่กับบางคนอาจจะด้วยความคุ้นชินหรือเพราะได้รับสูตรโอสถที่ง่ายดายจึงทำให้ด้วยเวลาที่ผ่านไปเพียงครึ่งของการทดสอบพวกเขาเหล่านี้ต่างอยู่ในขั้นตอนขึ้นรูปโอสถเม็ดกันเเล้วทั้งสิ้น โอสถเหลวในเตาหลอมได้ส่งกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของโอสถระดับหนึ่งต่าง ๆ ลอยฟุ้งไปทั่วบริเวณนี้เเต่ใช่ว่าการขึ้นรูปเม็ดโอสถจะง่ายดายตามที่สายตาของคนทั่วไปมองเห็น หากเป็นเช่นนั้นจริงขอเพียงมีวิญญาณยุทธ์ปราณธาตุไฟก็สามารถหลอมสร้างปรุงโอสถกันได้ทั้งสิ้น เเต่ละขั้นตอนของการหลอมสร้างปรุงโอสถต้อง
หลังจากการสอบเลื่อนระดับนักปรุงโอสถระดับหนึ่งได้จบลง หนิงอ้ายตั้งใจว่าจะสอบเลื่อนขั้นเป็นนักปรุงโอสถระดับสองรอบช่วงบ่ายในทันที ทางฝั่งของเหวินหวู่ผู้เป็นอาจารย์นอกจากที่จะไม่ห้ามปรามเเล้วยังส่งเสริมด้วยการมอบสูตรโอสถระดับสองให้กับเด็กหนุ่มอีกด้วยการสอบเลื่อนระดับของนักปรุงโอสถระดับสองเป็นต้นไป ผู้ที่เข้าร่วมการทดสอบจะต้องทำการปรุงโอสถระดับสองชนิดใดก็ได้ออกมาหนึ่งชนิด เงื่อนไขคือสมุนไพรที่ต้องใช้ในสูตรโอสถจะต้องจัดเตรียมมาด้วยตนเอง อีกทั้งความบริสุทธิ์ของเม็ดโอสถที่ปรุงออกมาจะต้องมีความบริสุทธิ์อยู่ที่เจ็ดส่วนเป็นต้นไปจึงจะผ่านการทดสอบเป็นนักปรุงโอสถระดับสองได้สำหรับสูตรโอสถระดับสองที่หนิงอ้ายได้รับมาจากเหวินหวู่มีนามว่าโอสถฤทัยอัคคีพิสุทธิ์ระดับสอง เป็นหนึ่งในสูตรโอสถที่ถูกบันทึกไว้และสร้างชื่อเสียงของเหวินหวู่ในฐานะของปรมจารย์โอสถระดับสูงแห่งทวีปบูรพาเเห่งนี้ แม้จะเป็นเพียงโอสถระดับสองก็จริงเเต่หากเทียบกันเเล้วไม่ต่างไปจากโอสถระดับสามขั้นต้นเสียด้วยซ้ำ เป็นโอสถที่สามารถช่วยเพิ่มให้ความเข้มข้นในวิญญาณยุทธ์ธาตุไฟมีความเข้มข้นบริสุทธิ์เพิ่มมากขึ้นพึงทราบว่านักปรุงโอสถฝึกหัด แม้จะมีคว
หลังจากที่หนิงอ้ายผ่านการสอบเลื่อนระดับเป็นนักปรุงโอสถระดับสองและได้ป้ายหยกประจำตัวเสร็จเรียบร้อยเเล้วท่ามกลางความตกตะลึงไปทั่วทั้งสนามสอบเเห่งนี้ เส้นทางของนักปรุงโอสถกว่าจะผ่านแต่ละระดับได้ย่อมมีหลายปัจจัยที่เข้ามาข้องเกี่ยวอยู่ไม่น้อย จะเห็นว่าแม้ในยุทธภพจะสามารถพบเห็นตัวตนของนักปรุงโอสถฝึกหัดหรือนักปรุงโอสถระดับหนึ่งได้ไม่ยากนักก็จริง เเต่ทว่าสำหรับนักปรุงโอสถระดับสองเป็นต้นไปนั้นกว่าที่จะบ่มเพาะออกมาได้เเต่ละคนนั้นย่อมใช้เวลาหลายปีเลยทีเดียวมีจำนวนไม่น้อยในกลุ่มผู้ที่ร่วมการสอบเลื่อนระดับในครั้งนี้ที่เคยสอบเลื่อนระดับเป็นนักปรุงโอสถระดับสองมาเเล้วหลายครั้ง บ้างก็ใช้เวลาหลายปีกว่าที่จะเข้าใจในเเต่ละขั้นตอนของการหลอมสร้างปรุงโอสถ อีกทั้งยังต้องอาศัยความร้อนแรงของเปลวเพลิงและความละเอียดอ่อนในญาณสัมผัสเป็นอย่างยิ่งแน่นอนว่าต่อให้พวกเขาเหล่านี้จะซุ่มฝึกซ้อมอย่างหนักหน่วงตลอดหลายปีที่ผ่านมาหรือก็ต่างมั่นใจเป็นอย่างมากว่าตนนั้นจะประสบความสำเร็จในการสอบเลื่อนระดับครั้งนี้ เเต่ถึงอย่างไรก็ตามระดับพลังวิญญาณก็เป็นตัวแปรที่สำคัญไม่แพ้กัน ด้วยเพราะว่าการจะเป็นนักปรุงโอสถระดับสองได้นั้นนอกจ
หนิงอ้ายเกือบลืมไปเเล้วว่าโลกยุทธภพนี้นอกจากจะเเบ่งการปกครองดูเเลเป็นเมืองน้อยใหญ่ที่อยู่ภายใต้การดูเเลของเเต่ละแคว้นในมหาทวีปทั้งหกแห่งนี้เเล้ว ประชากรส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้ฝึกตนชาวยุทธภพรวมไปถึงชาวบ้านธรรมดาที่ตั้งรกรากอาศัยกันมาอย่างยาวนานนับร้อยนับพันปี ซึ่งเป็นพื้นที่ราบลุ่มหรือพื้นที่ติดเเม่น้ำสายใหญ่เกือบทั้งหมดตามแนวเทือกเขาสูงหรือตามมหาพงไพรต่าง ๆ ล้วนเป็นถิ่นอาศัยของสัตว์ป่าหรือสัตว์อสูรกันทั้งสิ้น ได้เเบ่งเขตการปกครองไปไม่ต่างจากเมืองผู้ฝึกตนสักเท่าไหร่นัก อีกทั้งยังคงยึดตามหลักของธรรมชาติที่ว่าผู้ที่เเข็งแกร่งเท่านั้น จึงจะอยู่รอดถือได้ว่าเป็นการคัดสรรจากธรรมชาติอย่างเเท้จริงยังเชื่อกันว่าตรงพื้นที่สุดชายแดนทางใต้เป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าปีศาจอสูรชั้นต่ำ เหล่าหมู่มารระดับสูง ได้มีบันทึกเอาไว้ว่าในครั้งอดีตกาลตั้งเเต่ยุคเเรกเริ่ม ว่าในครั้งนั้นผู้ฝึกตนและเหล่ามารปีศาจต่างได้อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างผาสุกปรองดอง เเต่ด้วยสัญชาติญาณดั้งเดิมจึงหล่อหลอมให้เหล่ามารปีศาจได้เสพติดการฆ่าฟันเป็นอย่างมากแม้ว่าในช่วงเเรกจะเป็นเพียงการสังหารเหล่าสัตว์อสูรเพื่อนำมาเป็นอาหารหรือการต่อสู้แย่งชิ
สายตาของศิษย์สายในศิษย์สายนอกชายหญิงโดยรอบต่างพากันจ้องมองเด็กหนุ่ม เนื่องจากในตอนนี้ข่าวลือที่ว่าศิษย์คนล่าสุดของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาที่เพียงเข้าสำนักได้เพียงไม่กี่วันเเต่อีกฝ่ายกลับสามารถสอบเลื่อนระดับเป็นนักปรุงโอสถระดับสองได้สำเร็จครั้งเเรกข่าวคราวนี้ไม่ได้มีคนเชื่อเท่าไหร่นักเพราะถึงแม้พวกเขาจะยึดถือเส้นทางของผู้ฝึกตนเเต่ก็พอรับรู้อยู่บ้างว่าเส้นทางของนักปรุงโอสถนั้นหาได้ง่ายดาย และสำหรับที่ว่าอีกฝ่ายเป็นนักปรุงโอสถระดับสองก็คงเป็นเพียงเรื่องขบขันเท่านั้นทว่าการปรากฏตัวของเด็กหนุ่มร่างบางที่นอกจากจะมีป้ายหยกเเสดงเเทนฐานะศิษย์ผู้สืบทอดเเล้ว อีกป้ายหยกที่แขวนคู่กันก็ดึงดูดสายตาไปไม่แพ้กันที่เมื่อพบเห็นต่างหลุดอาการกันทั้งสิ้น พึงทราบว่าขอเพียงเเต่ก้าวเท้าเข้ามากลายเป็นผู้ฝึกตนได้สำเร็จ แม้จะเป็นเพียงระดับก่อเกิดเเต่ก็ทำให้ญาณสัมผัสทั้งห้าอยู่เหนือชั้นกว่าคนธรรมดาทั้งสิ้นดังนั้นแล้วจึงไม่ผิดแน่เด็กหนุ่มนามว่าหนิงอ้ายผู้นี้เป็นนักปรุงโอสถระดับสองอย่างเเท้จริง ด้วยเพราะมีป้ายหยกยืนยัน มีตราประทับของสมาคมสมาพันธ์นักปรุงโอสถเเห่งทวีปบูรพาอยู่นั่นเอง…ถึงอย่างไรก็ตามหนิงอ้ายกับลู่
เวลาได้หมุนเวียนเปลี่ยนผันไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้หนิงอ้ายถือได้ว่าเป็นศิษย์ของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ เป็นศิษย์ลำดับที่เจ็ดและศิษย์ผู้สืบทอดของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาครบสามเดือนเต็มเเล้ว เเต่ละวันหนิงอ้ายได้จัดสรรเเบ่งเวลาอย่างเป็นระเบียบเเบบแผนช่วงเช้าหลังจากที่ดูเเลสวนสมุนไพรที่ข้างเรือนเสร็จก็จะฝึกฝนเชิงยุทธ์รวมไปถึงเคล็ดวิชาตให้ความคล่องแคล่วมากยิ่งขึ้นโดยใช้เวลาไปจนถึงช่วงเย็น ยามกลางคืนนอกจากดูดซับหินปราณที่ได้รับมาก่อนหน้าและโคจรลมปราณตามเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาเเล้ว อีกฝ่ายได้นำโอสถระดับหนึ่ง โอสถระดับสองที่ได้ปรุงขึ้น เเลกเป็นสมุนไพรจากอาคารส่วนกลางของตำหนักเพื่อนำสมุนไพรเหล่านี้กลับมาหลอมเป็นโอสถตามสูตรต่าง ๆ รวมไปถึงเด็กหนุ่มได้ฝากผู้อาวุโสซุนให้นำโอสถไปขายที่เมืองหมอกทมิฬอีกด้วยนอกจากนั้นหนิงอ้ายยังคงศึกษาเรียนรู้ในเรื่องของสมุนไพรต่าง ๆ รวมไปถึงฝึกฝนการหลอมสร้างปรุงโอสถอย่างสม่ำเสมอ กล่าวได้ว่ายิ่งลงมือฝึกฝนมากเท่าใด ตอนนี้อีกฝ่ายยิ่งมีความคุ้นเคยเชี่ยวชาญในการปรุงโอสถระดับสองมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังสามารถปรุงโอสถระดับสามบางชนิดได้แล้วเช่นกัน ถือได้ว่าด้วยระยะเวลาเ
ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต
มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล
ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย