โดยปกติทั่วไปนักปรุงโอสถฝึกหัดจะมีอายุตั้งเเต่สิบปีถึงยี่สิบห้าปีโดยเสียส่วนใหญ่ ขึ้นอยู่กับระดับพลังวิญญาณรวมไปถึงความเเข็งแกร่งของวิญญาณยุทธ์ปราณธาตุไฟต้นกำเนิดและจะต้องมีจิตวิญญาณของนักปรุงโอสถที่มากพอจึงจะสามารถเข้าสู่เส้นทางนี้ได้
นักปรุงโอสถคนหนึ่งจะต้องประกอบไปด้วยทั้งสามสิ่งนี้ไปในทิศทางเดียวกัน หากไม่เป็นไปดังนี้เเล้วย่อมถือว่านักปรุงโอสถฝึกหัดผู้นั้นขาดคุณสมบัติที่จะเลื่อนระดับเป็นนักปรุงโอสถระดับหนึ่ง คงเป็นได้เพียงนักปรุงโอสถฝึกหัดต่อไปจนกว่าจะมีคุณสมบัติที่เพียบพร้อมในทั้งสามด้านนี้จึงจะสามารถเข้าร่วมสอบเลื่อนระดับเป็นนักปรุงโอสถระดับหนึ่งได้นั่นเอง
ดังนั้นการที่เหวินหวู่ได้บอกแก่สหายของตนถึงเหตุผลในการเดินทางมายังสมาคมสมาพันธ์นักปรุงโอสถในครั้งนี้ ว่าต้องการพาศิษย์คนล่าสุดมาสอบเลื่อนระดับจึงสร้างความตกใจแก่จ้าวเสวี่ยถังเป็นอย่างมาก ก่อนหน้าหลายปีที่ผ่านมาอีกฝ่ายได้เคยพาศิษย์ลำดับหกที่มีอายุเพียงสิบแปดสิบเก้าปีเท่านั้นมาสอบเลื่อนระดับเป็นนักปรุงโอสถระดับหนึ่ง ก็นับว่าในตอนได้สร้างความตกตะลึงแก่ผู้คนในเมืองนี้รวมไปถึงสร้างชื่อเสียงเป็นที่ร่ำลือไปทั่วที่อีกฝ่ายสามารถบ่มเพาะศิษย์ที่มากไปด้วยความสามารถเช่นนี้ตั้งเเต่อายุยังน้อย
อย่างไรก็ตามรูปลักษณ์ภายนอกเป็นหนุ่มน้อยคนหนึ่งที่คาดว่าอายุคงอยู่ที่สิบห้าสิบหกปีโดยประมาณที่ยืนอยู่ตรงหน้า อีกฝ่ายเป็นศิษย์คนล่าสุดที่ทางเหวินหวู่รับเข้าสังกัดในตำหนักศาสตร์เเห่งการรักษาในรอบหลายปี เพียงเวลาไม่ถึงสิบวันนับจากการเข้าร่วมทดสอบสำนักที่พึ่งเสร็จสิ้น
ทว่าเด็กหนุ่มคนนี้กลับเพรียบพร้อมไปด้วยคุณสมบัติที่สามารถสอบเลื่อนขั้นเป็นนักปรุงโอสถระดับหนึ่งได้เเล้ว นับว่าเหวินหวู่ได้เก็บเกี่ยวสุดยอดรุ่นเยาว์อัจฉริยะคนนี้มาครอบครองอยู่ในการดูเเลของตนช่างโชคดียิ่งนัก…
"ศิษย์ของข้าสามารถปรุงโอสถระดับหนึ่งได้ความบริสุทธิ์ถึงสิบส่วนตั้งเเต่ครั้งเเรก สามสี่วันให้หลังก็สามารถปรุงโอสถระดับสองได้ แม้สองสามครั้งเเรกความบริสุทธิ์จะยังไม่มากนักก็จริง คาดว่าโอสถระดับสองหากไม่ได้มีความพิเศษหรือมีสูตรโอสถพิศดารที่มากเกินไปย่อมสามารถหลอมสร้างปรุงโอสถระกับสองออกมาได้ความบริสุทธิ์ไม่ต่ำกว่าเจ็ดส่วนอย่างแน่นอน..."เหวินหวู่เอ่ยโอ้อวดศิษย์ของตนคนนี้ให้กับสหายด้วยความภูมิใจ
"สวรรค์ช่วย!! เด็กน้อย อาจารย์ของเจ้าก่อนที่จะเป็นตาเฒ่าเหวินเป็นผู้ใดกัน??" จ้าวเสวี่ยถังถามกลับเด็กหนุ่มไป เพราะว่าความสามารถเช่นนี้ย่อมมีอาจารย์มาก่อนเป็นแน่
"ข้าไม่เคยฝากตัวเป็นศิษย์ของผู้ใดมาก่อนขอรับ เพียงเเต่ตั้งเเต่เด็กข้าชื่นชอบศึกษาตำราในเรื่องของสมุนไพรและตำราโอสถต่าง ๆ จึงพอให้รับรู้มาบ้าง เป็นท่านอาจารย์ที่เมตตาสั่งสอน ข้าจึงสามารถทำให้เช่นนี้ขอรับ..." หนิงอ้ายตอบอีกฝ่ายไปด้วยความอ่อนน้อม สร้างความประทับใจแก่อีกฝ่ายเป็นอย่างมาก
สิ่งที่หนิงอ้ายตอบไปนั้นก็เป็นความจริงอยู่มาก เพราะว่าหนิงอ้ายคนเก่าชื่นชอบในตำราสมุนไพรและเรื่องของโอสถต่าง ๆ เป็นอย่างมาก ประกอบกับที่เขานั้นในโลกเดิมก็พอมีความรู้ในเรื่องนี้อยู่บ้างแม้จะเชี่ยวชาญในเรื่องยาพิษมากกว่า เมื่อนำองค์ความรู้สองสิ่งนี้มาผนวกกับสิ่งที่ได้เรียนรู้จากเหวินหวู่ผู้เป็นอาจารย์ ดังนั้นการหลอมสร้างปรุงโอสถในเเต่ละครั้งจึงไม่ใช่เรื่องยากไปสักเท่าไหร่นัก
"เฮ้อ!!! ความจริงข้าก็ควรชินได้เเล้ว ลูกศิษย์ของเจ้าเเต่ละคนต่างยอดเยี่ยมด้วยกันทั้งสิ้น ยิ่งกับเด็กน้อยคนนี้ที่เจ้ารับเขาเป็นศิษย์ในสำนักในรอบหลายปีอีกทั้งยังมอบตำแหน่งศิษย์ผู้สืบทอดให้กับอีกฝ่ายไปเด็กน้อยคนนี้จะธรรมดาได้อย่างไรกัน สายตาเจ้ายังคงเเหลมคมเช่นเดิมเลยนะตาเฒ่า..." จ้าวเสวี่ยถังบ่นขึ้นคล้ายกับคุยกับตนเองเสียมากกว่าก่อนที่หันไปคุยกับสหายของตน
ตั้งเเต่ไหนมาเหวินหวู่สหายของเขามีสายตาและความคิดที่พิเศษมากกว่าคนอื่นทั่วไปมาก เห็นได้ว่าแม้อีกฝ่ายจะเป็นเจ้าตำหนักที่มีศิษย์ในสังกัดเพียงเจ็ดคนก็จริง เเต่ถึงอย่างไรต่างโดดเด่นด้วยกันทั้งสิ้น แล้วยิ่งกับเด็กหนุ่มคนนี้จะธรรมดาสามัญได้อย่างไรกัน
สองสหายต่างพูดคุยกันในเรื่องต่าง ๆ มากมายด้วยเพราะต่างเป็นนักปรุงโอสถระดับสูงทั้งคู่ ดังนั้นเรื่องราวที่พูดคุยกันจึงเต็มไปด้วยสิ่งที่ทำให้หนิงอ้ายประหลาดใจและเก็บเกี่ยวสิ่งเหล่านี้มาเพิ่มในองค์ความรู้ของตน มีบ้างที่เด็กหนุ่มสงสัยในบางเรื่อง เเต่ก็ได้จ้าวเสวี่ยถังที่ให้คำตอบจนกระจ่างไร้ซึ่งคำถามต่อไป เเสดงให้เห็นว่าตำแหน่งหนึ่งในสามผู้ดูเเลสูงสุดอีกฝ่ายนั้นได้มาเป็นเพราะความสามารถที่เเท้จริง
หนึ่งชั่วยามหลัง เวลาของการสอบเลื่อนระดับนักปรุงโอสถจะเริ่มขึ้นในอีกไม่ช้านี้เเล้ว จ้าวเสวี่ยถังได้ขอตัวออกไปจัดการทางด้านนอกให้เรียบร้อยเนื่องจากว่าการสอบเลื่อนระดับในวันนี้นอกจากจะมีนักปรุงโอสถฝึกหัดเข้าร่วมเเล้ว ยังมีนักปรุงโอสถระดับต่าง ๆ ที่มายังที่นี่เพื่อสอบเลื่อนระดับถัดไปเช่นเดียวกัน
เหวินหวู่ได้ออกไปรอเด็กหนุ่มตรงด้านนอกเพื่อให้หนิงอ้ายได้จัดการตัวเอง เด็กหนุ่มได้ใส่ชุดสีเขียวขาวอันเป็นชุดประจำตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาพร้อมกับตรงข้างเอวนั้นได้มีป้ายหยกสีทองเเสดงถึงฐานะศิษย์ผู้สืบทอดที่อีกฝ่ายครอบครองอยู่ ทุกอย่างเรียบร้อยหนิงอ้ายจึงเดินไปหาอาจารย์ของตนที่ยืนรออยู่ ก่อนที่หนึ่งอาจารย์หนึ่งศิษย์จะมุ่งตรงไปยังสนามสอบในทันที…
สถานที่สอบเลื่อนระดับของนักปรุงโอสถฝึกหัดคือบริเวณลานกว้างส่วนหน้าของทางสมาคม โดยรอบนอกจากจะมีนักปรุงโอสถฝึกหัด นักปรุงโอสถระดับต่าง ๆ รวมไปถึงอาจารย์ที่มาส่งศิษย์ของตน ยังมีชาวบ้านธรรมดาและผู้ฝึกตนไม่น้อยที่สนใจเข้าร่วมรับชมการสอบเลื่อนระดับในวันนี้ ผู้คนที่ผ่านไปมาต่างเริ่มหลั่งไหลเข้ามาในพื้นที่สมาคมสมาพันธ์นักปรุงโอสถนี้ด้วยเพราะอยากร่วมเป็นสักขีพยานในความสำเร็จของรุ่นเยาว์เพราะถึงอย่างไรในวันข้างหน้าพวกเขาเหล่านี้ย่อมเป็นนักปรุงโอสถผู้หนึ่งเช่นกัน
การมาถึงของเหวินหวู่กับหนิงอ้ายต่างเรียกสายตาของทุกคนในที่นี้ให้มองมาด้วยความสนใจเป็นอย่างยิ่ง เหล่าอาจารย์และศิษย์นักปรุงโอสถในที่นี้ต่างล้วนรู้จักปรมจารย์โอสถเหวินหวู่ ด้วยเพราะในมหาทวีปบูรพาเเห่งนี้อีกฝ่ายเป็นถึงนักปรุงโอสถระดับเจ็ด ถือเป็นนักปรุงโอสถระดับสูงที่พบเห็นได้เพียงไม่กี่คนเท่านั้น
ฟังว่าแม้กระทั้งสามผู้นำสูงสุดของสมาคมสมาพันธ์นักปรุงโอสถยังต้องไหว้หน้าให้เกียรติอีกฝ่ายไปอีกหลายส่วน ส่วนเด็กหนุ่มหน้าตาน่าเอ็นดูที่เดินข้างกันคงเป็นศิษย์ลำดับที่เจ็ด ศิษย์คนล่าสุดที่อีกฝ่ายเข้ารับเข้าสังกัดในตำหนักเป็นเเน่
ข่าวลือที่ว่าในการทดสอบเข้าสำนักศึกษาที่พึ่งจบไปไม่กี่วันมานี้ ทางตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาถึงกับรับศิษย์คนล่าสุดในรอบสิบปีเลยทีเดียว อีกทั้งสิ่งที่ได้รับรู้มาเพิ่มเติมชวนให้รู้สึกตกใจและรู้สึกอิจฉาในโชคชะตาวาสนาของเด็กหนุ่มคือ อีกฝ่ายที่มีอายุเพียงสิบห้าสิบหกปีเท่านั้นเเต่กลับได้รับตำแหน่งศิษย์ผู้สืบทอดของตำหนักไป
นับว่าเป็นเรื่องที่น่าอิจฉาในตัวของเด็กหนุ่มยิ่งนัก เพราะพวกเขาทุกคนต่างต้องการให้ลูกหลานของตนที่เข้าศึกษาในสำนักนั้นได้รับเลือกเป็นศิษย์ผู้สืบทอดทั้งสิ้น จากที่พวกเขาเห็นอีกฝ่ายก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ดูธรรมดาสามัญทั่วไป มีเพียงหน้าตาที่ชวนให้เอ็นดูนอกจากนั้นก็ไม่เห็นสิ่งใดพิเศษอีก การที่ปรมจารย์เหวินหวู่ได้พาเด็กหนุ่มมายังที่นี่คาดว่าเพียงพาอีกฝ่ายมาสังเกตการณ์เพียงเท่านั้น
เสียงสัญญาณดังขึ้นหนึ่งครั้งดังกังวาลไปทั่ว เสียงประกาศให้เหล่านักปรุงโอสถฝึกหัดเข้าแถวเตรียมตัวเข้าทดสอบ ครั้งนี้มีมากถึงห้าสิบคนรุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้มีอยู่ทุกช่วงวัยทีเดียว หนิงอ้ายที่ได้รับคำอวยพรจากอาจารย์ของตนแล้วจึงเดินไปรวมกลุ่มของผู้เข้าร่วมทดสอบในนักปรุงโอสถฝึกหัด ซึ่งได้เรียกความสนใจจากทุกคนเป็นอย่างมาก เพราะต่างคิดเห็นตรงกันว่าเด็กหนุ่มนั้นเพียงติดตามอาจารย์ของตนมาร่วมรับชมการทดสอบของนักปรุงโอสถเเต่เพียงเท่านั้นหาใช่ร่วมลงทดสอบเช่นนี้
'เด็กคนนั้นที่เป็นศิษย์ของปรมจารย์เหวินหวู่เหตุใดจึงลงไปยังสนามทดสอบด้วยเล่า?? ไม่ใช่ว่าพึ่งเข้าร่วมสำนักเพียงไม่กี่วันเพียงเท่านั้นไม่ใช่รึ...'
'เจ้าดูป้ายหยกตรงข้างเอวของเด็กหนุ่มนั่น ไม่ผิดแน่ป้ายหยกเเทนฐานะศิษย์ผู้สืบทอดของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาอย่างแน่นอน...'
'ข้าไม่เห็นว่าเจ้าเด็กนั่นจะมีความพิเศษที่โดดเด่นอะไร สงสัยคงคิดว่าการทดสอบเลื่อนระดับของนักปรุงโอสถฝึกหัดนั้นเป็นการละเล่นกระมัง...'
'เจ้าเด็กนี่คงคิดว่าตนเป็นศิษย์ของปรมจารย์โอสถเหวินหวู่เเล้วจะได้สิทธิพิเศษที่มากกว่าผู้อื่น หากเจ้าเด็กนี่ผ่านการทดสอบโดยที่ไร้ซึ่งคุณสมบัติเหมาะสมของนักปรุงโอสถข้าไม่ยอม...'
'ข้าก็คิดเห็นเช่นเดียวกับเจ้า พวกเรามาช่วยกันจับตาดูเจ้าเด็กอวดดีคนนี้กัน!!'
เสียงพูดคุยดังขึ้นอย่างคึกคักซึ่งมีผู้ที่รับชมโดยรอบจำนวนไม่น้อยที่เห็นด้วยกับถ้อยคำเหล่านี้ การพูดคุยหลังจากนั้นถึงเด็กหนุ่มจึงเต็มไปด้วยอคติ มีไม่น้อยเช่นกันที่ต่างพากันอิจฉาเด็กหนุ่มที่ได้รับโอกาสเป็นศิษย์ของปรมจารย์โอสถเหวินหวู่และได้รับเลือกเป็นถึงศิษย์ผู้สืบทอด เพราะในสายตาที่ไร้แววของพวกเขานั้นต่างรู้สึกว่าเด็กหนุ่มคนนี้ช่างธรรมดาไร้ซึ่งความโดดเด่นใดใดทั้งสิ้น...
หนิงอ้ายที่ได้ยินถ้อยคำไม่รื่นหูเหล่านี้ เเต่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้ให้ค่าหรือความสนใจทั้งสิ้น เมื่อรับสูตรโอสถระดับหนึ่งในการทดสอบเลื่อนระดับในครั้งนี้ หนิงอ้ายได้เลือกนั่งอยู่ตรงบริเวณหนึ่งที่อยู่ในระยะสายตาของท่านอาจารย์เพื่อสบายใจของตัวเอง โดยรอบสนามนั้นก็มีบรรดานักปรุงโอสถระดับต่างๆ ที่คอยมองเด็กหนุ่มด้วยความอยากรู้ว่า ศิษย์คนล่าสุดของท่านปรมจารย์เหวินหวู่จะมีดีมากเพียงใดกัน
บริเวณด้านหน้าสุด มีโตะพร้อมเก้าอี้นั่งที่ถูกตกแต่งสวยงามไว้สำหรับแขกผู้มีเกียรติหรือผู้อาวุโสกรรมการตัดสินในการสอบเลื่อนระดับครั้งนี้นั่งอยู่อย่างครบถ้วน โดยรอบต่างเต็มไปด้วยทหารผู้ฝึกตนรวมไปถึงองครักษ์ที่ซ่อนตัวอยู่ในเงาเพื่อคอยระวังและปกป้องนายของตนหากมีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้นที่ไม่คาดฝัน…
"รุ่นเยาว์ชายหญิงที่เป็นนักปรุงโอสถฝึกหัดทุกคน ในมือของพวกเจ้านั้นจะมีสูตรโอสถระดับหนึ่งที่แตกต่างกันออกไป ทุกคนจะได้รับสมุนไพรตามสูตรทั้งหมดสองชุดนั่นหมายความว่าพวกเจ้าจะมีโอกาสเพียงเเค่สองครั้งเท่านั้น หากว่าเตาโอสถระเบิด สมุนไพรตามสูตรโอสถเสียหาย เม็ดยาไม่ขึ้นรูป นั่นหมายความว่าพวกเจ้าย่อมสอบตกในวันนี้..."
"ให้เวลาเพียงหนึ่งชั่วยามเท่านั้น หากเกินเวลาเเล้วยังไม่ได้โอสถตามสูตรที่ได้รับไป ย่อมถือว่าสอบตกไปไม่ต่างเช่นกัน ขอให้พวกเจ้าทุกคนโชคดี..." ชายวัยกลางคนที่รับหน้าที่ในส่วนนี้ได้ประกาศเงื่อนไขให้แก่นักปรุงโอสถฝึกหัดรวมไปถึงผู้ที่รับชมอยู่โดยรอบให้รับทราบโดยทั่วกัน
สิ้นเสียงประกาสดังกล่าวนั้นทุกคนต่างเรียกเตาหลอมโอสถของตนออกมา หนิงอ้ายเห็นว่าต่างมีขนาดและคุณสมบัติแฝงกันทั้งสิ้น มือเรียวบางได้เปิดสูตรโอสถที่ได้รับมาก่อนหน้า เห็นสมุนไพรที่ใช้จึงพอคาดการณ์ได้ว่าโอสถที่ตนต้องปรุงในรอบนี้คือโอสถอนันตวิถี ซึ่งเป็นโอสถระดับหนึ่งขั้นสูงหรือจะเรียกได้ว่าเป็นโอสถระดับสองขั้นต่ำก็ไม่ต่างกันสักเท่าไหร่นัก
บางคนที่เห็นว่าสูตรโอสถที่ตนได้รับมานั้นเป็นโอสถง่าย ๆ ไม่ได้ซับซ้อนมากจึงยิ้มและหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข เเต่ก็มีไม่น้อยเช่นกันที่ได้โอสถระดับหนึ่งขั้นกลางที่ต้องใช้ความพิถีพิถันเป็นอย่างมาก เเต่กลับบางคนที่ได้สูตรโอสถเดียวกันกับหนิงอ้ายต่างหน้าซีดเซียวที่เรียกได้ว่าต่างหมดกำลังใจไปเเล้ว
หนิงอ้ายไม่สนใจท่าทางของนักปรุงโอสถฝึกหัดที่นั่งอยู่รอบตัวที่ต่างมีสีหน้าคิดไม่ตก เขาเพียงคิดว่าในการสอบเลื่อนระดับนี้คนต้องผ่านไปให้ได้ สองมือเรียวบางได้เรียกเตาหลอมขนาดกลางออกมาจากเเหวนมิติ พร้อมกันนั้นสมุนไพรสองชุดก็ได้ถูกวางตรงหน้าเสียเเล้ว ท่ามกลางความตกตะลึงของนักปรุงโอสถโดยรอบ
'เจ้าเด็กนั่นได้สูตรโอสถระดับหนึ่งอนันตวิถีนักปรุงโอสถเช่นพวกเราต่างรู้โดยทั่วกันว่าโอสถนี้ไม่ต่างไปจากโอสถระดับสองเสียด้วยซ้ำ ข้ารอดูเจ้าเด็กนี่ร้องไห้วิ่งกลับตำหนักไม่ไหว ฮ่าฮ่าฮ่า'
'สมุนไพรที่ใช้ในสูตรโอสถอนันตวิถี ต่างมีฤทธิ์ต่อต้านความร้อนเป็นอย่างมาก การสกัดเป็นของเหลวได้ก็ใช้เวลาไม่น้อย ด้วยเวลาเพียงครึ่งชั่วยามเช่นนี้ย่อมไม่ง่ายดายอย่างแน่นอน...'
'ใครจะผ่านการทดสอบนักปรุงโอสถระดับหนึ่งนี้ข้าไม่สนใจ ขอเเต่เพียงเจ้าเด็กนั่นไม่ผ่านการทดสอบข้าก็สมใจเเล้ว...'
เสียงพูดคุยจากทางฝั่งของนักปรุงโอสถระดับต่างๆ นั้นกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ยิ่งเห็นว่าเด็กหนุ่มผู้เป็นลูกศิษย์ของปรมจารย์เหวินหวู่ที่ผ่านมาเเล้วเกือบหนึ่งเค่อเเล้วเเต่อีกฝ่ายยังไม่เริ่มหลอมสร้างปรุงโอสถเสียที ท่าทางของเด็กหนุ่มจึงเรียกเสียงโห่และเสียงหัวเราะดังขึ้นทั่วทั้งบริเวณสนามสอบ...
หนิงอ้ายหลับตาลงก่อนที่จะเรียกญาณสัมผัสพร้อมกับเรียกวิญญาณยุทธ์ปราณธาตุไฟของตนออกมาเเผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งเตาหลอมโอสถตรงหน้า มือซ้ายนั้นได้ตวัดเอาสมุนไพรทั้งหมดเข้าสู่กลางเปลวเพลิงสีแดงส้มนี้โดยทันทีสร้างความตกใจแก่ผู้ที่พบเห็นยิ่ง พึงทราบว่าสมุนไพรเเต่ละชนิดนั้นต่างต้องใช้ความร้อนเเรงจากเปลวเพลิงวิญญาณยุทธ์ที่แตกต่างกันออกไป การที่เด็กหนุ่มทำเช่นนี้พวกเราต่างคิดว่าสมุนไพรชุดเเรกนี้คงไม่ต่างไปจากเป็นของเล่นไร้ค่าสำหรับเด็กน้อยคนนี้เสียอย่างนั้น
เปลวเพลิงสีแดงส้มของหนิงอ้ายได้เรียกสายตาและความประหลาดใจ โดยปกติวิญญาณยุทธ์ปราณธาตุไฟจะประกอบไปด้วยสีเหลือง สีเหลืองส้มและสีส้มโดยเรียงจากความร้อนแรงน้อยสุดไปถึงมากสุดตามลำดับ
ดังนั้นพวกเราที่เป็นนักปรุงโอสถย่อมคุ้นเคยจากเปลวเพลิงจากวิญญาณยุทธ์มาไม่น้อย ด้วยความแตกต่างนี้บางคนถึงกับคาดเดาได้ว่าอาจจะเป็นเปลวเพลิงที่ถูกประสานเข้ากับกระดูกวิญญาณก็ได้เช่นกัน หากว่าสิ่งที่พวกเขาคิดเห็นนั้นเป็นเรื่องจริงเเล้ว การที่เด็กหนุ่มที่มีอายุเพียงสิบห้าสิบหกปีเช่นนี้เเต่กับดูดซับประสานกระดูกวิญญาณเข้ากับร่างกายได้ เบื้องหลังสนับสนุนเด็กคนนี้คงไม่ธรรมดาสามัญ
หนิงอ้ายยังคงตั้งสมาธิใช้ญาณสัมผัสของตนควบคุมความร้อนแรงของเปลวเพลิงสีแดงส้มนี้ให้มีความสมดุล สมุนไพรเเต่ละชนิดนั้นต้องใช้ความละเอียดอ่อนเป็นอย่างมาก ยิ่งเวลาใกล้มาถึงครึ่งชั่วยามตามกำหนดก็ยิ่งสร้างความกดดันแก่นักปรุงโอสถฝึกหัดในที่นี้
มีไม่น้อยที่ระหว่างทางนั้นหากไม่ทำเตาหลอมระเบิดก็ต่างใช้สมุนไพรสองชุดที่ได้รับมาจนหมดสิ้น เมื่อเป็นเช่นนั้นกรรมการที่เป็นนักปรุงโอสถในสมาคมจึงเข้าไปดูเเลและตัดสิทธิกลุ่มคนเหล่านี้ให้ออกจากการทดสอบเลื่อนระดับไปอย่างน่าเสียดาย...
ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต