ท่านอ๋องหันไปมองหน้าองครักษ์ และรีบสลับกลับมาดึงจอกชาขึ้นมาดื่มอีกครั้ง
“เอาล่ะเจ้ายังไม่ค่อยแข็งแรง รีบกลับไปพักเถอะ”
“ท่านพี่เพคะ เรื่องข่าวลือนั่นท่านเชื่อมากน้อยแค่ไหนเพคะ”
“อีกสองวันที่สกุลจางจะมีงานเลี้ยง เอาไว้เมื่อถึงวันนั้นเจ้าก็ไปดูด้วยตัวเองเถอะ”
“เพคะ เช่นนั้นหม่อมฉันขอตัว”
ซ่งจินหรูลุกขึ้นโดยมีสาวใช้คอยพยุงให้เดินกลับไป ท่านอ๋องวางจอกชาลงพร้อมกับเรียกนางไว้อีกครั้ง
“จริงสิจินหรู”
“เพคะท่านพี่”
“ข้าคิดว่าในเมื่อเจ้าเริ่มแข็งแรงแล้ว หลังจากงานเลี้ยงสกุลจางก็น่าจะกลับเข้าวังไปอยู่กับพระสนมหลันเหมือนเดิมได้แล้ว”
ซ่งจินหรูทำสายตาเศร้าและหันมามองพักตร์ท่านอ๋องอีกครั้ง
“พี่เว่ยเซียวนี่ท่าน... รังเกียจข้าหรือเพคะ”
“ไม่ใช่เช่นนั้น บัดนี้เจ้าหาใช่น้องสาวตัวน้อยที่เอาแต่ตามข้า ตอนนี้เจ้าผ่านพิธีปักปิ่นมาหลายเดือนแล้ว อีกอย่างจวนนี้ก็เป็นจวนพักของข้านอกวังไม่เหมาะที่เจ้าซึ่งเป็นสตรียังไม่ออกเรือนมาพักอยู่ด้วย”
“แต่ว่าข้าอยากจะอยู่ที่นี่เพื่อดูแลท่าน”
“เจ้าดูแลตัวเองก่อนเถอะ ตอนนี้แม้แต่เดินยังต้องมีคนคอยพยุง กลับไปพักในตำหนักพระสนามหลันข้าจะได้ไม่ต้องกังวล อีกอย่างในวังมีการอารักขาเข้มงวดกว่าที่นี่มากนัก”
“หากท่านพี่ต้องการเช่นนั้น จินหรูก็จะเชื่อฟังเพคะ”
“อืม เจ้าไปพักผ่อนเถอะ”
“จินหรูทูลลา”
ซ่งจินหรูเดินออกไปพร้อมกับสายตาเศร้า เมื่อนางออกไปแล้วท่านอ๋องจึงได้ยกชาขึ้นมาจิบอีกครั้งและสั่งให้ตันฉินไปปิดประตูทันที องครักษ์หนุ่มหันมาถามด้วยความสนใจ
“ท่านอ๋องทรงตรัสเช่นนั้น ไม่กลัวว่าคุณหนูซ่งจะเสียใจหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“เสียใจอันใดข้าคำนึงถึงความปลอดภัยของนางเป็นที่ตั้ง เหตุใดจะต้องเสียใจด้วย”
“แต่ว่าดูเหมือนว่าคุณหนูซ่งอยากจะอยู่กับพระองค์ที่นี่นะพ่ะย่ะค่ะ”
“ที่นี่ไม่ปลอดภัย อีกทั้งข้าก็คิดว่าไม่เหมาะเท่าใดนักเพราะนางยังมิได้ออกเรือน นางเป็นสตรีที่พระสนมหลันดูแลหลังจากเสด็จแม่ข้าสิ้นไปแล้ว ให้กลับไปอยู่ในวังจะเหมาะกับนางมากกว่า อย่าลืมเรื่องที่ข้าสั่ง”
“ท่านอ๋อง หรือว่าพระองค์… มิได้คิดอะไรกับคุณหนูซ่ง ทำเช่นนี้ไม่ต่างกับสงสัยนาง...”
“ข้าเห็นจินหรูเป็นน้องสาวแท้ ๆ มาโดยตลอด อีกอย่างในเวลานี้นางก็ได้เวลาที่จะออกเรือนแล้ว ข้าแม้มิใช่พี่ชายแท้ ๆ ของนางแต่ก็หวังว่าจะให้จินหรูได้แต่งงานกับคนดีและเหมาะสม หาากว่านาง... จะคิดได้”
“แต่ว่าคุณหนูซ่งไม่มองชายใดเลยนอกจากพระองค์”
“อย่าพูดจาเหลวไหล ข้าไม่เคยคิดกับนางเกินกว่าฐานะน้องสาวและไม่มีทางเป็นไปได้”
“หรือว่าพระองค์…ยังไม่ลืม... สตรีผู้นั้น”
ท่านอ่องนิ่งอึ้งไป เมื่อเห็นว่าพระองค์ไม่ตอบตันฉินจึงได้ถามอีกครั้ง
"หรือว่าพระองค์จะเลิกสงสัยคุณหนูกงเพราะ..."
“เจ้าเพ้อเจ้ออันใด ข้าน่ะหรือจะคิดถึงสตรี…”
เมื่อตรัสถึงตอนนี้ กลับมีใบหน้าของสตรีผู้หนึ่งผุดขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ สายตาที่เกรี้ยวกราด ดื้อดึงและไม่ยอมคนทำให้หัวใจของท่านอ๋องหนุ่มกระตุกขึ้นมาอย่างรุนแรงโดยไม่ทันรู้ตัว เขาไม่เคยมองนางเช่นนั้นมาก่อนแต่เหตุใดเมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้กลับไปนึกถึงนางได้
“หยุดเพ้อเจ้อแล้วสืบเรื่องนี้ต่อ เจ้าบอกว่านางรับสาวใช้มาใหม่คนหนึ่งที่มีวรยุทธ์ด้วยงั้นหรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ ดูเหมือนว่าจะได้มาจากหอหลัวต๋า”
“หอหลัวต๋างั้นหรือ นี่นางรู้จักคนในยุทธภพงั้นหรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“นางไปหอหลัวต๋าที่มีแต่สายข่าวและนักฆ่า เรื่องนี้น่าสงสัยยิ่งนัก”
“ท่านอ๋อง! แต่ว่าพวกเราจับนางมาสอบสวนแล้ว แต่นางปฏิเสธอย่างแข็งขัน..”
“ข้ามิได้หมายถึงเรื่องเกี่ยวกับจินหรู แค่กำลังสงสัยว่าเหตุใดนางจึงไปที่หอหลัวต๋าเท่านั้น”
"เช่นนั้นพระองค์ก็ไม่คิดที่จะสงสัยนางแล้วงั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ เรื่องที่คุณหนูซ่งถูกปองร้ายในวัง..."
"ข้าบอกเจ้าแล้วว่าอย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น ตอนนี้จำเป็นต้องแกล้งโง่ไปก่อน คนของเราเริ่มสืบไปถึงไหนแล้ว"
"หากเป็นเรื่องในวังกระหม่อมสั่งให้เริ่มทำการค้นหาเบาะแสแล้วพ่ะย่ะค่ะ"
"อืม ดีแล้ว ทางสกุลกงเล่า"
“นอกจากเรื่องที่รับสาวใช้คนใหม่ก็แทบจะไม่มีความเคลื่อนไหวอื่นเลย อีกอย่างนางก็แทบจะไม่ออกจากจวนสกุลกงเลย นี่นับว่าแปลกมากนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน เอาเถอะอีกสองวันจะมีงานเลี้ยงที่สกุลจาง เจ้าคอยให้คนจับตาดูนางเอาไว้สักหน่อยก็แล้วกัน ข้าเองก็อยากจะรู้ว่านางจะก่อเรื่องอะไรขึ้นมาอีกหรือไม่”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ตันฉินเดินออกไปจากห้องแล้ว ท่านอ๋องจึงได้หันกลับมานั่งจิบชาอีกครั้ง เมื่อมองขนมและคิดถึงเรื่องที่ตันฉินมารายงานเขาเมื่อครู่นี้ก็เริ่มคิดอีกครั้ง
“พลิกวิกฤติที่เสียเปรียบกลับมาเอาคืนฝ่ายตรงข้ามได้ในทันที กลยุทธ์เช่นนี้นาน ๆ ทีจะได้เห็น เจ้าร้ายกาจไม่เบาเลยนี่กงเหรินซิน ข้าอยากจะดูสิว่าเจ้ายังซ่อนความร้ายกาจไว้อีกมากเพียงใดกันแน่ หวังว่าเจ้าจะไม่ก่อเรื่องอะไรขึ้นอีกนะ.... ซ่งจินหรู”
สองวันถัดมา / งานเลี้ยงสกุลจาง
ข่าวลือเท็จที่จางลี่เหมยเที่ยวปล่อยข่าวถูกกงเหรินซินจับได้ และบัดนี้เรื่องราวที่นางใช้เงินจ้างคนให้ร้ายกงเหรินซินเป็นที่รู้กันโดยทั่ว แต่ข่าวนั้นยังไม่ค่อยแพร่หลายเข้ามาในหมู่บรรดาขุนนาง ใต้เท้าจางรีบใช้เงินปิดข่าวเสียก่อน แต่ก็ยังมีซุบซิบกันในวงแคบ ๆ แม้ว่าวันนี้สกุลจางจะจัดงานเลี้ยงขึ้นแต่เรื่องข่าวที่บุตรสาวของเขากระทำไปก็ยังคงถูกพูดถึง
“ยินดีต้อนรับ เชิญด้านใน เชิญ ๆ”
“จางซื่อ” เจ้ากรมขุนนางออกมารับแขกด้วยตัวเอง เพียงเพราะป้องกันมิให้ผู้ที่มาร่วมงานเอ่ยถึงเรื่องอื้อฉาวของบุตรสาวก่อนหน้านี้ ซึ่งทุกคนที่มาร่วมงานต่างก็รู้และให้เกียรติเจ้าของงานเช่นกัน
“นายท่าน รถม้าสกุลกงมาแล้วขอรับ”
“เร็วเข้า ข้าจะต้องไปต้อนรับด้วยตัวเอง”
ใต้เท้าจางรีบเดินมาที่รถม้าของสกุลกง เมื่อคุณชายรองและคุณหนูสามพร้อมกับสาวใช้สองคนของนางเดินตามมา เขาก็รีบเข้ามาต้อนรับด้วยความนอบน้อม
“ท่านรองเจ้ากรมกงยินดีต้องรับ เชิญด้านในขอรับ”
“ใต้เท้าจางเกรงใจเกินไปแล้วผู้เยาว์มิอาจรับคารวะนี้ได้ ข้ามีของขวัญเล็กน้อยมามอบให้ขอท่านรับเอาไว้ด้วย”
“ขอบคุณมาก เช่นนั้นเชิญใต้เท้ากงและคุณหนูกงด้านในเลย”
“ขอบคุณ น้องสามไปกันเถอะ”
“เจ้าค่ะ ขอบคุณคำเชิญของใต้เท้าจางด้วยเจ้าค่ะ”
“ยินดี ๆ เชิญด้านในเลย”
เมื่อเดินเข้าไปนั่งในงาน กงอวี้หานก็แยกไปคุยกับเหล่าขุนนางที่เข้ามาทักทายเขา กงเหรินซินจึงนั่งอยู่ที่โต๊ะของเหล่าสตรีที่อยู่ด้านใน โดยมีสาวใช้ทั้งสองนั่งอยู่ด้วย ไม่นานก็ได้ยินเสียงประกาศดังขึ้นอีกครั้ง
ท่านอ๋องและซ่งจินหรูมาถึงที่งานแล้ว ผู้คนต่างรีบลุกขึ้นไปต้อนรับ บางคนก็ไม่ได้ไป เหรินซินพึ่งจะสังเกตเห็นว่าจางลี่เหมยวิ่งออกไปต้อนรับพร้อมกับจางฮูหยินด้วยท่าทางเร่งรีบ
“คุณหนูท่านไม่ไปรับเสด็จท่านอ๋องหรือเจ้าคะ”
“อีกเดี๋ยวเขาก็เข้ามาข้างในเหมือนกัน เหตุใดข้าต้องเสียเวลาเดินไปเดินมาด้วยเล่า อาเจิงเจ้าชิมนี่สิ อร่อยใช้ได้เลย”
“คุณหนูเจ้าคะ พวกนางซุบซิบกันตั้งแต่ท่านเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะแล้วนะเจ้าคะ”
“อ่ะเจ้าก็ลองชิมดูสิอันเมี่ยน”
กงเหรินซินสังเกตเห็นตั้งแต่แรกแล้วก่อนที่อันเมี่ยนจะบอกนางเสียอีก เหล่าสตรีในเมืองหลวงเริ่มจับกลุ่มซุบซิบกันอย่างเปิดเผยและยังหันมามองนางเป็นครั้งคราว แต่นางก็ไม่ได้ใส่ใจคนเหล่านี้เท่าใดนักเพราะวันนี้คนที่นางอยากพบมากที่สุดไม่ใช่คนสกุลจาง แต่เป็นคู่กรณีที่เคยตกน้ำไปพร้อมกับนางต่างหาก
“คุณหนูเจ้าคะ ท่านอ๋องกับคุณหนูซ่งเข้ามาแล้วเจ้าค่ะ”
กงเหรินซินวางจอกชาลงและค่อย ๆ หันไปมอง ท่านอ๋องที่เดินนำสตรีตัวเล็กสวมชุดสีชมพูอ่อนที่ประดับตกแต่งด้วยมุกหรูหรา ใบหน้าของนางงดงามดุจบุปผาแรกแย้ม แต่เมื่อหันมาเห็นนางที่นั่งอยู่กลับรีบจับแขนท่านอ๋องเอาไว้แน่น
“ตายจริงเพียงแค่เห็นหน้าคุณหนูกงก็กลัวจนตัวสั่น น่าสงสารคุณหนูซ่งยิ่งนักพวกเจ้าว่าหรือไม่”
“นั่นสิคนอะไรหน้าด้านยิ่งนัก ยังกล้ามางานเลี้ยงอย่างเปิดเผย ไม่กลัวสิ่งชั่วร้ายที่ทำเอาไว้ถูกเปิดโปงหรืออย่างไรกัน”
“คุณหนูเจ้าคะ”
“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ข้ายังไม่รู้สึกอะไรพวกเจ้าก็อยู่เฉย ๆ เถอะ นี่น่ะหรือซ่งจินหรู ช่างดูบอบบางและน่าทะนุถนอมดั่งดอกบัวขาวในสระโคลนเสียจริง”
“แต่ว่า… ใคร ๆ ต่างก็คิดว่านางเป็นคนทำ จะมีผู้ใดที่เลวร้ายและมีนิสัยแย่แบบนางอีก ท่านพี่เองก็ทราบว่านางไม่ชอบหม่อมฉันเพราะว่าอยู่เคียงข้างท่านพี่ นางจึงอยากกำจัด”"แต่เจ้าจะเอาเรื่องนี้มาใส่ร้ายนางโดยไร้หลักฐานไม่ได้ ข้าสอบสวนนางมาแล้วหลายครั้ง ทุกครั้งกงเหรินซินยืนยันหนักแน่น อีกอย่างนางเองก็ตกน้ำไปกับเจ้าหากว่านางอยากจะเอาชีวิตเจ้าจริง ๆ เหตุใดต้องทำให้ตัวเองเกือบตายไปด้วยเล่า""แต่ว่านางมักจะกลั่นแกล้งข้าอยู่ตลอดท่านก็ทราบ ท่านจะบอกว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนางอย่างนั้นหรือเพคะ"“เช่นนั้นเจ้าบอกข้ามาหน่อยว่าเหตุใด เรื่องที่เจ้าถูกขังไว้ที่ห้องเก็บฟืนในคืนไหว้พระจันทร์จึงใส่ความนาง ทั้ง ๆ ที่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พระสนมลี่ที่คิดจะแกล้งเจ้า”“หม่อมฉัน! … นี่พระองค์”“ข้ารู้มาว่าเจ้ากับพระสนมลี่เคยมีปัญหากันเพราะเรื่องการดีดพิณหน้าพระที่นั่ง ก่อนที่จะถูกกงเหรินซินกลั่นแกล้งวางกบย่างในจานอาหารในงานคล้ายวันเกิดของสนมลี่จนทำให้นางโกรธและคิดเอาคืนเจ้า แต่เหตุใดจึงไปโทษว่ากงเหรินซินเป็นผู้ขังเจ้าในห้องฟืนเพียงเพราะนางอยู่ในงานวันนั้นด้วย”“ระ เรื่องนี้ พระสนมอยู่ในวัง อีกทั้งมีพรรคพวกมากมายด
“ท่านอ๋อง! แต่ว่าก่อนหน้านั้นพระองค์เองก็ปักพระทัยเชื่อว่าเป็นนาง อีกอย่างคุณหนูซ่งก็บอกว่า...”“ข้าเฝ้าใคร่ครวญคิดแล้วคิดอีกจนกระทั่งได้ไปพบนางหลังจากเกิดเรื่องขึ้น ทุกครั้งจะปฏิเสธเสียงแข็ง สายตานั่นบอกข้าว่านางไม่ได้โกหก อีกอย่างครั้งก่อนนำยาต้านชวนไปให้ นางก็ปฏิเสธไปแล้วครั้งหนึ่งเห็นทีครั้งนี้… เป็นข้าที่เข้าใจนางผิดไปจริง ๆ”“หากว่าไม่ใช่นาง เช่นนั้น...”“กำชับให้คนของเราเร่งกระจายการค้นหา และเรื่องนี้จะให้ผู้ใดล่วงรู้ไม่ได้เด็ดขาด”"ท่านอ๋องในเมื่อพระองค์มิได้สงสัยนางแล้ว ทำไมยังส่งของขวัญไปให้นางอีกเล่าพ่ะย่ะค่ะ""แกล้งโง่แล้วหลังจากนี้ก็ต้องหลอกล่อ หากอีกฝ่ายรู้ว่าข้าส่งของขวัญมากมายไปที่จวนสกุลกงย่อมไม่อยุ่เฉย ๆ แน่ สั่งให้คนของเราเร่งมือค้นหาให้ทั่วข้าไม่เชื่อว่าคนร้ายจะไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้"“รับทราบพ่ะย่ะค่ะ”ตันฉินเดินออกไปแล้วท่านอ๋องจึงได้คิดทบทวนหลาย ๆ เรื่องที่ผ่านมา ทั้งคำพูด การกระทำและกงเหรินซินที่หลังจากหายดีนางก็ไม่ได้มาวุ่นวายและตามติดเขาเช่นเดิมเหมือนครั้งก่อนแม้ว่าจะเคยสงสัยว่าที่นางหายไปเป็นเพราะไม่อยากเป็นผู้ต้องสงสัย แต่จากที่ดูพฤติกรรมของกงเหรินซินในตอนนี
“คุณหนู นี่ท่านจำอะไรไม่ได้เลยจริง ๆ หรือเจ้าคะ”อาเจิงถึงกับตกใจ เมื่ออีกฝ่ายหันมามองนางราวกับพึ่งเคยรู้เรื่องนี้เป็นครั้งแรก“อาเจิง เจ้าบอกว่าข้า…”“ใช่เจ้าค่ะคุณหนู ไม่ว่าจะเป็นคุณชายใหญ่ คุณชายรองและท่าน ทุกคนต่างก็เคยไปศึกษาที่สำนักไป๋ซานมาทุกคน แม้แต่ท่านอ๋องและองค์ชายคนอื่น ๆ ก็เคยไปที่นั่นมาหมดแล้วเช่นกัน”“อะไรนะ แม้แต่ท่านอ๋องหรือ… อาเจิงเจ้าช่วยเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ข้าฟังอีกทีสิ”“คุณหนู เหตุใดท่านจึงได้อยากฟังเรื่องนี้ขึ้นมาเจ้าคะ เมื่อก่อนเพียงแค่พูดคำว่าสำนักไป๋ซานท่านก็กรีดร้องออกมาและห้ามมิให้ข้าพูด”“ตอนนี้ข้าโตแล้ว อีกอย่างเจ้าก็เห็นแล้วนะว่าตกน้ำครั้งนี้ข้าก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด ดังนั้นควรจะต้องฝึกยุทธ์สักหน่อยแล้ว หากว่าไม่มีวิชายุทธ์ข้าก็แทบจะช่วยตัวเองไม่ได้เลย เราจะเอาแต่พึ่งอันเมี่ยนไม่ได้เข้าใจหรือไม่”“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ตอนนั้นคุณชายใหญ่เดินทางไปสำนักไป๋ซานพร้อมกับองค์ชาย…”เรื่องนี้ค่อนข้างทำให้เหรินซินรู้สึกแปลกใจไม่น้อย เพราะไม่คิดว่ากงเหรินซินและคุณชายสกุงกงทั้งหมดจะเคยไปศึกษาที่ไป๋ซาน แต่เมื่อฟังจากที่อาเจิงเล่าให้ฟังนางก็เริ่มจดจำพวกเขาแต่
เหรินซินแค่คิดว่าเจ้าของร่างคงจะเป็นนางร้ายที่ดูงี่เง่า แต่เท่าที่ฟังจากที่อาเจิงเล่า... มันมากกว่านั้นมากนัก จากนั้นอาเจิงจึงได้เล่าว่านางทำทุกทางให้ท่านอ๋องหันมาสนใจทั้งแอบเข้าไปในจวนอ๋องกลางดึก แอบวางยาในน้ำชาแต่ท่านอ๋องรู้ทันและออกคำสั่งห้ามนางเข้าไปในจวนอ๋องอีกแต่นางก็ไม่ยอมแพ้ ยังคงเฝ้าติดตามและใช้อำนาจของบุตรสาวแม่ทัพ ข่มขู่สตรีทุกคนที่คิดจะเข้าใกล้ท่านอ๋องมีเพียงคนเดียวที่เหรินซินทำอะไรไม่ได้ก็คือซ่งจินหรูที่เป็นน้องสาวของเขา นางจึงได้เกลียดและคอยหาเรื่องกลั่นแกล้งซ่งจินหรูอยู่เสมอเมื่อมีโอกาสแต่ก็ไม่เคยคิดจะเอาชีวิตนางเลยสักครั้ง“ก่อนหน้านี้ท่านก็เป็นคนที่ค่อนข้างจะรักมั่นคงเอามาก ๆ เลยนะเจ้าคะ เหตุใดจู่ ๆ ท่านก็ไม่ชอบท่านอ๋องแล้วเล่าเจ้าคะ”อันเมี่ยนเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นว่าคุณหนูของนางที่นั่งฟังเรื่องราวที่อาเจิงเล่า มีท่าทางละเหี่ยใจอยู่ไม่น้อยเมื่อได้ฟังเรื่องก่อนหน้านี้ที่เกิดขึ้น“นี่ข้าเคยบ้าผู้ชายถึงเพียงนี้เชียวหรือนี่ มิน่าเล่าถึงได้… เกือบตายเพียงเพราะบุรุษเพียงคนเดียว”“คุณหนูเจ้าคะ คุณชายรองมาแล้ว”“พวกเจ้าออกไปก่อนเถอะ”""เจ้าค่ะ""เมื่อเห็นหน้าคุณชายรองสกุลจาง
“กงเหรินซินเหตุใดเจ้าจึงถามเช่นนี้ ตัวเจ้าเองก็รู้อยู่แก่ใจ”“ใช่! ตัวข้าย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจว่าข้ามิได้ทำ แต่เจ้าเล่ากล้ายอมรับความจริงได้หรือไม่ซ่งจินหรู ว่าเรื่องในวันนั้นเกิดอะไรขึ้น!!”“เฮือก!” “น้องหญิง! กงเหรินซินเจ้าหยุดหยาบคายได้แล้ว”ซ่งจินหรูเพียงแค่เห็นสายตาดุของเหรินซินก็ทรุดตัวล้มลงทันที จางลี่เหมยรีบวิ่งมาพยุงตัวซ่งจินหรูทันทีพร้อมกับหันมาตวาดกงเหรินซิน ตอนนี้แขกในงานเริ่มเข้ามาดูในห้องโถง ท่านอ๋องเมื่อเห็นว่าซ่งจินหรูล้มลงก็รีบวิ่งเข้ามาทันที“จินหรู! เกิดอะไรขึ้น…กงเหรินซิน”เหรินซินหันไปมองพักตร์ท่านอ๋องที่หันมาถามนางอีกครั้ง นางจึงหันไปหัวเราะขำในโชคชะตาของตัวเอง ไม่ว่าชาติใดแม้แต่นางเพียงแค่ยืนหายใจก็ผิดแล้ว“ข้าอีกแล้วงั้นหรือ ดูเหมือนว่าพระองค์จะทรงตัดสินเพียงแค่ตาเห็นสินะ ไม่แปลกใจเลยสักนิดที่จะหูเบาถึงเพียงนี้”“เจ้าหมายความว่าอย่างไร ข้ายังไม่ทันได้พูดอันใดเลย”ท่านอ๋องหันมาจับแขนของนางอย่างแรง แต่กงเหรินซินที่เชิดหน้าขึ้นพร้อมกับสะบัดแขนออกมาทันที ใบหน้านี้ทำให้เว่ยเซียวรู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งที่ได้เห็น“ปล่อย! ท่านไม่มีสิทธิ์มาแตะต้องข้า”“เจ้าจะทำสิ่งใด…”“ข้
แม้ว่าจะไม่อยากทักทาย แต่ผู้ที่กำลังเข้ามาก็จงใจจะเดินมายังที่นั่งของกงเหรินซินอย่างตั้งใจ ดังนั้นนางจึงจำเป็นจะต้องวางจอกชาและลุกขึ้นมาถวายความเคารพ“ถวายบังคมหมิงชินอ๋องเพคะ”“กงเหรินซิน ดูเหมือนว่าเจ้าจะหายดีแล้ว”“ขอบพระทัยที่ทรงถามไถ่ หม่อมฉันหายดีแล้วเพคะ”“ข้ามิได้ถามไถ่ เพียงแค่พูดตามสิ่งที่เห็นเท่านั้น”กงเหรินซินเงยหน้าขึ้นมามองพักตร์ที่ถือดีตรงหน้า อีกทั้งสตรีที่เกาะแขนของชินอ๋องเอาไว้แน่นอยู่ข้าง ๆ ด้วยสีหน้าตื่นกลัวจนเกินพอดี“เช่นนั้นหม่อมฉันก็จะคิดว่า เป็นเพียงการสนทนาที่ไร้ซึ่งแก่นสารเท่านั้น”“คุณหนูกง เหตุใดเจ้าจึงกล้าหยาบคายกับท่านพี่เช่นนี้ มิใช่ว่าเจ้า...”“ช่างเถอะจินหรู เจ้าก็น่าจะรู้ดีถึงนิสัยของนางมิใช่หรือ”กงเหรินซินเชิดจมูกขึ้นมองท่านอ๋อง แม้ว่าคุณชายรองจะรีบเดินเข้ามาห้ามแต่ก็ดูเหมือนว่าจะทัดทานศึกนี้มิได้เสียแล้ว“นั่นสิเพคะหม่อมฉันเองก็ยังไม่มีทางลืม “มารยาท” ของคนจวนอ๋องที่เคยเชิญหม่อมฉันไปที่จวนเช่นกัน”ท่านอ๋องพักตร์แดงถึงใบหูเพราะความโกรธ แต่สีหน้าของพระองค์กลับนิ่งพร้อมกับรอยยิ้มประหลาดที่สุดเท่าที่ซ่งจินหรูเคยเห็น นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีวันที่