จวนตระกูลหนิง
"คุณหนูรอง อย่าวิ่งสิเจ้าคะ เดี๋ยวก็ถูกฮูหยินใหญ่ดุเอาได้นะเจ้าคะ"
ผิงผิง สาวใช้วัยสิบเจ็ดปี กำลังวิ่งตาม หนิงซือซือ พร้อมกับเอ่ยปากห้ามปรามนางเหมือนเช่นทุกวัน หนิงซือซือเพียงหันมาส่งยิ้มให้ผิงผิง ก่อนจะวิ่งตรงไปที่ห้องครัว แต่แล้วนางกลับวิ่งเข้าไปชนกับใครบางคนเข้า
"เดินเช่นไรของเจ้ากัน หนิงซือซือ วิ่งมาชนข้าเช่นนี้ ไม่แหกตาดูหรือไรกัน!!!"
หนิงซือซือหยุดชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะทำความเคารพสตรีตรงหน้าอย่างขอไปที
"คารวะพี่หญิงเจ้าค่ะ"
"ข้าบอกเจ้ากี่คราแล้ว ให้เรียกข้าว่าคุณหนูใหญ่ เจ้าเป็นเพียงบุตรสาวของอนุต่ำศักดิ์ คิดจะมาตีสนิทกับข้า ช่างไม่เจียมตน!!!"
หนิงเซียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ดูแคลนอย่างไม่ปิดบัง แต่ไหนแต่ไรนางก็ไม่ชอบน้องสาวต่างมารดาผู้นี้เท่าใดนัก ด้วยเพราะหนิงซือซือนั้นทั้งขี้โรคมาตั้งแต่วัยเด็ก กิริยามารยาทก็ทำให้นางขายหน้าได้ไม่เว้นวัน นางจึงเกลียดชังหนิงซือซือเป็นอย่างมาก
"ขออภัยด้วยเจ้าค่ะคุณหนูใหญ่ หากไม่มีสิ่งใดแล้ว ข้าขอตัวก่อน"
"หึ!!!"
หนิงเซียนปรายตามองหนิงซือซืออีกครา ก่อนจะเดินมุ่งหน้าไปที่เรือนดอกกุ้ยฮวาซึ่งเป็นเรือนของไท่ฮูหยินในทันที หนิงซือซือลอบเบ้ปากใส่หนิงเซียนคราหนึ่ง ก่อนจะเดินตรงไปที่ห้องครัวอย่างไม่รอช้า
เมื่อมาถึงภายในห้องครัว หนิงซือซือก็รีบเดินเข้าไปหาป้าเจิน ซึ่งเป็นแม่ครัวใหญ่ในจวนทันที
"ป้าเจิน!!!"
"คุณหนูรอง! หิวแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ"
"ป้าเจินรู้ใจข้าที่สุดเลย วันนี้ข้าจะต้องกินเต้าหู้เหม็นโรยหน้าด้วยหอมซอยฝีมือป้าเจินให้ได้"
"ได้สิเจ้าคะ รอสักครู่ บ่าวจะรีบทำให้เดี๋ยวนี้เลย"
"ข้ารักป้าเจินที่สุด"
หนิงซือซือยิ้มตาหยี ก่อนจะทิ้งกายนั่งลงตรงเก้าอี้ที่ป้าเจินจัดเตรียมเอาไว้ให้ ป้าเจินมองหนิงซือซือด้วยความเอ็นดูคราหนึ่ง ก่อนจะเริ่มลงมือทำเต้าหู้เหม็นอาหารจานโปรดให้กับนาง
เรือนดอกกุ้ยฮวา
"เซียนเอ๋อร์ เจ้าจะใส่ใจไปไยกัน นางก็มีนิสัยเช่นนั้นมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เจ้าน่ะกิริยางดงามกว่านางมากนัก ปล่อยนางไปเถิด"
"ท่านแม่ ลูกไม่ชอบนางเลยเจ้าค่ะ ทุกคราที่ได้เห็นหน้านางลูกก็สะอิดสะเอียนแทบทนไม่ไหว"
"เซียนเอ๋อร์!!! อย่าเอ่ยวาจาดูแคลนซือเอ๋อร์ให้ย่าได้ยินอีกนะ"
"ท่านย่า"
หนิงเซียนและหนิงฮูหยินที่กำลังพูดถึงเรื่องหนิงซือซืออย่างออกรส แต่แล้วทั้งสองก็ต้องเงียบปากเสีย เมื่อไท่ฮูหยิน ผู้เป็นท่านย่าของนางก้าวเดินเข้ามาในเรือนดอกกุ้ยฮวาพอดี
ไท่ฮูหยินคุมอำนาจในจวนตระกูลหนิงตั้งแต่สามีของนางตายจากไป ซึ่งก็คือนายท่านใหญ่ของจวน อดีตรองแม่ทัพผู้ทำความดีความชอบช่วยฮ่องเต้รวบรวมแผ่นดินไท่เหลียงให้เป็นปึกแผ่นมั่นคง จนสามีของนางล้มป่วยตายจากไป บุตรชายเพียงคนเดียวของนาง ก็ได้รับตำแหน่งรองแม่ทัพต่อจากบิดา และไม่นานมานี้ก็ได้เลื่อนขั้นเป็นแม่ทัพใหญ่ ถือเป็นเกียรติยศให้แก่ตระกูลหนิงเป็นอย่างมาก
"คารวะท่านย่า"
"คารวะท่านแม่"
ไท่ฮูหยินปรายตามองลูกสะใภ้และหลานสาวของตนคราหนึ่ง ก่อนจะเดินตรงไปนั่งที่โต๊ะใหญ่กลางเรือน หนิงเซียนไม่ได้เอ่ยสิ่งใดอีก นางเพียงนั่งลงและยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างเงียบ ๆ
"ข้าเพียงออกไปรับลมด้านนอกกลับมาก็ได้ยินเจ้าสองแม่ลูกเอ่ยวาจาให้ไม่สบายใจเสียแล้ว เซียนเอ๋อร์เจ้าน่ะปล่อยซือซือไปบ้างเถิด อย่าตั้งแง่รังเกียจนางนัก เจ้าน่ะเก่งศิลปะทั้งสี่แขนง อีกทั้งหลักสามเชื่อฟังสี่จรรยาเจ้าก็ไม่ขาดตกบกพร่อง ในไท่เหลียงแห่งนี้มีสตรีใดบ้างจะเทียบเจ้าได้ แม้แต่ซือเอ๋อร์ก็ยังไม่เก่งเท่าเจ้า"
"หลานเข้าใจแล้วเจ้าค่ะท่านย่า"
"เข้าใจก็ดี"
"หลานเพียงแค่อยากสั่งสอนหนิงซือซือให้นางรู้จักการวางตัวที่ดีกว่านี้ หลานรู้ว่ามารดาของนางเป็นสตรีบ้านป่าไร้การอบรมสั่งสอน..."
"หนิงเซียน!!! อย่าพูดจาเช่นนี้อีกนะ!!!"
"ขออภัยเจ้าค่ะท่านย่า"
"ข้าไม่อยากอยู่สนทนากับพวกเจ้าสองแม่ลูกแล้ว เชิญพวกเจ้าสองคนอยู่กันตามสบายเถิด"
ไท่ฮูหยินเอ่ยเพียงเท่านั้น ก่อนจะให้สาวใช้พยุงนางเดินเข้าไปในห้องนอนของตน เมื่อเข้ามาในห้องนอนแล้ว ไท่ฮูหยินก็ถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่า
"เฮ้อ แต่เล็กจนโต ซือเอ๋อร์ก็มีชีวิตอย่างยากลำบากมาโดยตลอด มีมารดาก็เหมือนไม่มี "
ไท่ฮูหยินเอ่ยเพียงเท่านั้นก่อนจะหยุดชะงักไปครู่หนึ่งแล้วเปลี่ยนเรื่องทันที
"แล้วนี่ซือเอ๋อร์อยู่ที่ใด ไปตามนางมาพบข้าที"
"ได้ยินว่าอยู่ที่โรงครัวเจ้าค่ะ"
เมื่อได้ยินเช่นนั้นไท่ฮูหยินก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย
"เจ้าเด็กคนนี้ วัน ๆ ก็นึกห่วงแต่เรื่องของกิน"
ด้านหนิงซือซือที่กำลังจะยกจานแตงโมมุ่งหน้าไปหาไท่ฮูหยิน ก็ได้พบกับสาวใช้ของเรือนดอกกุ้ยฮวาที่มาตามนางพอดี หนิงซือซือยิ้มตาหยี ก่อนจะรีบเดินตรงไปหาท่านย่าที่เรือนดอกกุ้ยฮวาทันที
เมื่อมาถึงนางก็รีบตรงเข้าไปออดอ้อนไท่ฮูหยินอย่างเช่นทุกวัน
"ท่านย่าเจ้าขา หลานนำแตงโมมาให้เจ้าค่ะ ยามนี้อากาศค่อนข้างร้อน ท่านย่าต้องกินแตงโมเพื่อให้ร่างกายรู้สึกเย็นสบายนะเจ้าคะ"
"เจ้านี่ช่างพูดเอาใจย่าเสียจริง มานั่งข้างย่าเถิด"
หนิงซือซือพยักหน้า ก่อนจะเดินตรงเข้าไปนั่งข้างกายของไท่ฮูหยินอย่างว่าง่าย ไท่ฮูหยินยื่นมือไปลูบศีรษะของหลานสาวด้วยความเอ็นดู ก่อนจะเอ่ยขึ้นมา
"เจ้าอย่าได้ถือสาเซียนเอ๋อร์เลยนะ นางก็เป็นเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร"
"ข้าชินชาแล้วเจ้าค่ะ คำด่าของพี่หญิงไม่เข้าหูข้าหรอก"
"เจ้านี่นะ"
ไท่ฮูหยินตีมือหนิงซือซือคราหนึ่งพร้อมกับหัวเราะขบขัน ยิ่งได้มองใบหน้างดงามของหนิงซือซือ ก็ทำให้นางนึกถึงใครบางคนขึ้นมาได้
ใครบางคนที่ใจร้ายใจดำถึงขนาดทิ้งบุตรของตนเองได้ลงคอ!
เสียงบรรเลงดนตรีดังอึกทึกครึกโครม ผู้คนต่างมองดูเต็มสองข้างทาง เกี้ยวสีแดงสดกำลังเคลื่อนออกจากวังหลวงอย่างช้า ๆ โดยมีแม่ทัพใหญ่มู่หรงที่สวมชุดเจ้าบ่าวสีแดงนั่งอยู่บนหลังม้า นำขบวนเจ้าสาวด้วยท่าทีที่สง่างาม ฮ่องเต้หยางเฉวียนและหยางเซียวหลิ่นมองดูเกี้ยวของหยางซือหยวนจากไปจนลับสายตา ก่อนที่หยางเซียวหลิ่นจะหันมาเอ่ยกับผู้เป็นพระบิดา "เสด็จพ่อ น้องหญิงอยู่ใกล้ถึงเพียงนี้ ย่อมเข้าวังมาเยี่ยมเยียนเสด็จพ่อได้ทุกเมื่อพ่ะย่ะค่ะ""อืม เซียวหลิ่น เจ้าสั่งการลงไป ส่งหมอหลวงติดตามซือเอ๋อร์ไปให้มากหน่อย ได้ยินว่าหมอหลวงที่ชื่อจินเย่ว์นั่น สนิทสนมกับนาง ก็ให้ตามไปด้วยไม่ต้องเข้ามารับใช้ในวังหลวงแล้ว""พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อไม่ต้องทรงกังวล ทั้งหมอฝีมือดี และพ่อครัวที่ทำอาหารเลิศรส ล้วนติดตามน้องหญิงออกจากวังไปรับใช้หมดแล้ว""ดี ดี"หลังจากนั้นไม่กี่วัน ก็เป็นพิธีอภิเษกสมรสขององค์รัชทายาท และคุณหนูตระกูลมู่หรงขบวนสินเดิมยาวนับพันลี้ ผู้คนต่างแซ่ซ้องสรรเสริญไม่จบไม่สิ้น หลายเดือนต่อมา"โอ๊ย ข้าเจ็บจะตายอยู่แล้ว มู่หรงเจวี๋ย!!!""ซือเอ๋อร์เจ้าอดทนเถิด หายใจลึก ๆ""ข้าทำแล้ว แต่มัน โอ๊ย มู่หรงเจวี๋ยเป็นเพร
วังหลวงคล้ายจะมีงานมงคลถึงสองงาน งานแรกคืองานแต่งงานของหยางเซียวหลิ่นและมู่หรงหลิน ส่วนอีกงานหนึ่งก็คืองานแต่งของมู่หรงเจวี๋ยและหยางซือหยวน หยางซือหยวนคิดถึงวันนั้นก่อนที่หนิงอวี้หรงจะจากไป เขามาร่ำลานาง ใบหน้ามีแต่ความยินดี เขาบอกกับนางว่า ในที่สุดก็จะได้ทำสิ่งใดตามใจตนเองเสียทีแล้ว หยางซือหยวนยิ้มส่งเขาทั้งน้ำตา พี่ชายที่แสนดีของนาง นางจะรอวันที่เขาได้กลับมาที่ไท่เหลียงอีกคราก่อนจะมีการประหารเพียงหนึ่งวัน หยางซือหยวนให้มู่หรงเจวี๋ยพานางมาที่คุกหลวง เดิมทีแรกเริ่มเสด็จพ่อไม่เห็นด้วย แต่ทนนางทัดทานไม่ไหวจึงสั่งให้มู่หรงเจวี๋ยมาเป็นเพื่อนนาง ภายในคุกหลวงค่อนข้างมืดทึบและอับชื้น เหล่าผู้คุมต่างรีบจุดไฟเมื่อเห็นว่าองค์หญิงเสด็จมา เมื่อเข้ามาด้านใน นางก็จ้องมองไปที่คุกหลวง ในห้องขังหนึ่ง หนิงเซียนถูกขังเอาไว้กับมารดาของนาง ยามนี้สภาพของนางไม่หลงเหลือความเย่อหยิ่งเฉกเช่นแต่ก่อนอีก เมื่อรับรู้ได้ถึงสายตาที่มองมา หนิงเซียนจึงหันมาสบตากับหยางซือหยวน เมื่อเห็นเช่นนั้นนางก็ดวงตาลุกวาว ก่อนจะเอ่ยอย่างโกรธแค้น "นังน้องชั่ว เหตุใดเจ้าจึงได้ดีกว่าข้า ไม่จริง ข้าต่างหากที่เป็นองค์หญิง ข้าคือจวิ
มู่หรงเจวี๋ยใช้ชีวิตอยู่ในสนามรบร่วมสามเดือน จึงเดินทางกลับเมืองหลวงแคว้นไท่เหลียง ผู้คนต่างรอต้อนรับเขาเต็มสองข้างทาง แม่ทัพใหญ่มู่หรงผู้นำความสงบสุขมาแก่ราษฎร ฮ่องเต้หยางเฉวียนทรงพอพระทัยเป็นอย่างยิ่ง เมื่อได้ทราบว่าสงครามคราก่อนนั้น เป็นมู่หรงเจวี๋ยอีกเช่นกันที่ทำให้ทัพศัตรูแตกพ่ายไม่เป็นท่า จึงตกรางวัลให้มากมายราวกับสายน้ำ ยามนี้ตระกูลมู่หรงกลับมาคึกคักเช่นแต่ก่อนแล้ว เขาได้พาท่านพ่อท่านแม่กลับจวนอย่างสมเกียรติแล้วข่าวที่น่ายินดีมากกว่านั้นก็คือ มู่หรงหลินได้รับราชโองการให้เข้าวังหลวง และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นคู่หมั้นของหยางเซียวหลิ่นองค์รัชทายาทอีกครา ตำแหน่งว่าที่ไท่จื่อเฟยท้ายที่สุดก็ตกเป็นของนางอย่างชอบธรรม "ท่านพี่ ท่านดูสิ ผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวข้าเสร็จแล้ว ช่างงดงามยิ่งนัก ข้าน่ะฝีมือหยาบกร้านไม่อาจปักเองได้อย่างงดงามเท่านางกำนัลฝีมือดีในวังหลวงเลย"มู่หรงหลินเอ่ยด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า มู่หรงเจวี๋ยมองดูน้องสาวของตนด้วยความรักใคร่ ก่อนจะหวนนึกถึงหยางซือหยวนที่ยามนี้อยู่ในวังหลวงขึ้นมาได้ยินมาว่าท้องของนางเริ่มใหญ่โตแล้ว จึงเดินเหินมิค่อยสะดวกนัก เห็นทีเขาคงต้องเข้าวังไปพบฝ่
ระยะนี้มู่หรงเจวี๋ยมักจะใช้ชีวิตอยู่ที่ค่ายทหารเสียเป็นส่วนใหญ่ นอกจากฝึกฝนทหารแล้ว เขาก็จะแอบไปมองดูหนิงซือซือที่อุทยานหลวง พบว่านางมีชีวิตที่ดีไม่น้อย ใบหน้าดูดีขึ้นมากทีเดียว รวมถึงเหล่านางกำนัลก็ปรนนิบัติดูแลนางเป็นอย่างดี ฮ่องเต้หยางเฉวียนทรงรักพระธิดาองค์นี้เป็นอย่างมาก ทุกอย่างในแผ่นดินสิ่งใดที่นางอยากได้ ขอเพียงนางเอ่ยปาก ผู้เป็นพระบิดาก็หามาให้นางได้ทั้งหมด เพื่อชดใช้สิ่งที่นางขาดไปตั้งแต่วัยเยาว์ วันนี้ก็เช่นกัน เขามองดูนางกำลังนั่งดื่มชาชมสวนอยู่ที่อุทยานหลวง ยามนี้บุปผานานาพรรณเริ่มผลิดอก วังหลวงจึงดูงดงามราวกับแดนสวรรค์ก็ไม่ปาน เขายิ้มให้นางคราหนึ่ง นางยังคงมีนิสัยที่เหมือนเดิม รักสหาย ดีต่อทุกคน จินเย่ว์และโจวเซิงมีชีวิตที่ดีในวังหลวง เด็ก ๆ ในรังโจรได้เรียนหนังสือมีความรู้เพราะนางจัดการให้ ผู้คนที่นั่นก็สามารถเข้าเมืองหลวงมาทำการค้าหาเลี้ยงชีพได้ เขาได้ยินว่านางทูลต่อฝ่าบาทว่าจะขอสร้างสำนักศึกษาสำหรับเด็ก ๆ ที่ยากไร้และกำพร้าบิดามารดา อีกทั้งยังจะสร้างสถานสงเคราะห์ให้แก่เด็ก ๆ ที่ไร้ที่พึ่งพิงอีกด้วย ซึ่งฮ่องเต้หยางเฉวียนก็ไม่ได้คัดค้านนางแต่อย่างใด กลับเห็นด้วยเป็นอ
ผ่านไปร่วมหลายวัน ในที่สุดหนิงซือซือก็สามารถมองเห็นได้แล้ว ยามนี้ร่างกายของนางดีขึ้นมาก เพราะได้ยาชั้นดีจากหมอหลวงทำให้ร่างกายของนางฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว "องค์หญิงเพคะ ทรงเสวยโอสถก่อนเถิดเพคะ""อืม"นางกำนัลนามว่าอิงเถา เป็นนางกำนัลที่เสด็จพ่อส่งมาคอยรับใช้นาง อิงเถาเป็นสาวใช้ที่มีอายุไม่น้อยแล้ว นางรู้งานเป็นอย่างดี อีกทั้งยังแนะนำสอนสั่งเรื่องกฎระเบียบในวังหลวงให้แก่นางอย่างตั้งใจอีกด้วย ไม่กี่วันต่อมานางก็ได้พบกับหนิงอวี้หรง เมื่อได้เห็นว่าพี่ชายสบายดี นางก็ดีใจเป็นอย่างมาก แต่เมื่อได้ยินว่าหนิงอวี้หรงจะต้องถูกเนรเทศไปแดนไกล นางก็ทุกข์ใจไม่น้อย หนิงอวี้หรงบอกกับนางว่าไม่ต้องกังวล เขาจะต้องกลับมาพบกับนางอีกอย่างแน่นอนหนิงซือซือยกถ้วยยาขึ้นดื่ม ก่อนจะหันไปเอ่ยกับอิงเถา "ข้าอยากจะเข้าเฝ้าเสด็จพ่อเสียหน่อย ยามนี้คงประชุมยามเช้าเสร็จแล้วกระมัง""เพคะ ยามนี้ฝ่าบาท กำลังพักผ่อนอยู่ที่ห้องทรงอักษร""เช่นนั้นเจ้าช่วยพาข้าไปทีเถิด""เพคะองค์หญิง"หนิงซือซือถูกอิงเถาประคองนางเดินลงมาอย่างระมัดระวัง เมื่อเดินออกมานอกตำหนัก นางก็มองดูไปโดยรอบ ยามนี้อากาศไม่หนาวมากแล้ว อีกทั้งต้นไม้ก็กำลังผ
หนิงซือซือลืมตาตื่นขึ้นมาอีกคราในวันที่สาม นางสลบไม่ได้สติไปถึงสามวันเต็ม ๆ เมื่อได้สติฟื้นคืนขึ้นมาจึงรู้สึกว่าดวงตาพร่าเลือน หัวสมองมึนงง อีกทั้งยังอ่อนเพลียมากอีกด้วย "อุแหวะ""องค์หญิง เร็วเข้า องค์หญิงทรงฟื้นแล้ว ตามหมอหลวงเร็วเข้า"หนิงซือซือลุกขึ้นมานั่งก่อนจะอาเจียนออกมาจนหมดท้อง เมื่อนางค่อย ๆ มองไปโดยรอบ ก็เห็นเป็นเพียงภาพพร่าเลือน ใจของนางพลันเต้นตึก ๆ อย่างหวาดหวั่น มิใช่ว่านางตาบอดหรอกนะ แล้วที่นี่คือที่ใดกันนางพยายามจะขยับกายลุก แต่ทว่าราวกับโลกหมุนเคว้งคว้างจนทรงตัวเอาไว้ไม่อยู่ ต้องล้มกายลงนอนไปบนเตียงที่นุ่มนิ่มอีกครา พลันได้ยินเสียงของสตรีนางหนึ่งเอ่ยขึ้น "องค์หญิง อย่าทรงขยับพระวรกายอีกเลยเพคะ ยามนี้ร่างกายพระองค์อ่อนแอนัก"องค์หญิง?หนิงซือซือแค่นเสียงหัวเราะออกมาคราหนึ่ง นี่นางตายแล้วเลอะเลือนหรือไร จึงได้ยินวาจาแปลกประหลาดเช่นนี้"ที่นี่ที่ใด พวกท่านเป็นใครหรือ?"หนิงซือซือเอ่ยถามในขณะที่หลับตานอน นางกำนัลผู้นั้นยิ้มพลางมองนางคราหนึ่ง ก่อนจะหยิบผ้าห่มขึ้นมาห่มให้นางอย่างใส่ใจ"ที่นี่คือวังหลวงเพคะ หม่อมฉันเป็นนางกำนัลขององค์หญิง หากมีสิ่งใดที่ทรงต้องการเรียกใ