เขาเหลียนหยาง
"นายท่านขอรับ วันนี้เราปล้นมาได้หลายจวนเลยขอรับ ระยะนี้อากาศค่อนข้างร้อน เหล่าขุนนางเดินทางมาที่บ้านสวนบนเขากันเยอะเหมือนเช่นที่นายท่านบอกเอาไว้จริง ๆ"
"ดี จำให้ขึ้นใจ ปล้นจวนขุนนางที่ชอบโกงกินราษฎร เอาให้มันหลาบจำ พวกเจ้าต้องระวังตัวด้วยเล่า ยามนี้เราควรหยุดพักเสียก่อน ไว้ข้าสั่งให้ออกปล้นจวนใด ค่อยไปทำ"
"ขอรับนายท่าน"
"ออกไปได้"
สิ้นคำพูดที่ดุดันและน่าเกรงขาม ลูกน้องโจรที่เข้ามารายงานความเป็นไป ก็รีบเดินออกไปจากเรือนทันที
หานอวี้ที่เห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยขึ้นมา
"นายน้อยขอรับ เวลาเพียงไม่กี่เดือน ท่านก็สามารถขึ้นเป็นหัวหน้าโจรภูเขาได้สำเร็จ ข้านับถือท่านยิ่งนัก"
"เจ้าอย่าชมข้าให้มากนัก ข้าเบื่อจริง ๆ คำชมจอมปลอมพวกนี้"
หานอวี้ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มตาหยี ก่อนจะเอ่ยกับมู่หรงเจวี๋ยอีกครา
"องครักษ์เงาที่นายน้อยส่งให้ไปสืบความ ได้เรื่องมาแล้วนะขอรับ"
"ว่าอย่างไร?"
"อีกหนึ่งเดือนข้างหน้า เหล่าไท่ฮูหยิน และคุณหนูของจวนตระกูลหนิงจะเดินทางมาไหว้พระขอพรที่วัดเหลียนซาน เพื่อเป็นฤกษ์ดีก่อนที่คุณหนูใหญ่หนิงเซียนจะอภิเษกกับองค์รัชทายาทขอรับ"
"ดี จงเตรียมการให้พร้อม ข้าจะจัดการลักพาตัวหนิงเซียนมาในวันนั้น ข้าจะทำให้รองแม่ทัพหนิง อ้อ ไม่ใช่สิ ยามนี้ต้องเรียกว่าแม่ทัพใหญ่หนิง เจ็บปวดทรมานใจที่ได้รู้ว่าบุตรสาวอันเป็นที่รัก หายตัวไปก่อนวันแต่งงานอย่างไร้ร่องรอย รอให้เวลาผ่านพ้นไป เราค่อยส่งนางกลับจวนในสภาพที่ทุเรศเสียหน่อย ผู้ใดจะเชื่อกันเล่าว่านางยังบริสุทธิ์อยู่"
มู่หรงเจวี๋ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยียบ ก่อนจะแสยะยิ้มชวนขนหัวลุกออกมา
เริ่มจากบุตรสาวอันเป็นที่รักก่อน จากนั้นคนในจวนตระกูลหนิงก็จะทยอยล่มจมไปทีละคน!!!
ในเมื่อกฎของศาลต้าหลี่เอาผิดคนชั่วไม่ได้ เขาก็จะใช้กฎเถื่อนจัดการพวกมันด้วยตนเอง!!!
วังหลวง
"ทูลองค์รัชทายาท ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้พระองค์เสด็จไปเข้าเฝ้าที่ห้องทรงอักษรโดยด่วนพ่ะย่ะค่ะ"
"ข้ารู้แล้ว"
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ขันทีที่มารายงานจึงรีบจากไปทันที
หยางเซียวหลิ่นยืนเหม่อมองออกไปที่ด้านนอกหน้าต่างของตำหนัก ในมือของเขาถือผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งที่ปักตัวอักษรคำว่าหลินเอาไว้
มู่หรงหลิน สตรีอันเป็นที่รักของเขา
สตรีที่เขาหมายมั่นตั้งใจว่าจะต้องแต่งงานกับนางให้ได้ เขาจะเป็นฮ่องเต้ ส่วนนางจะต้องได้เป็นมารดาของแผ่นดิน ใช้ชีวิตเคียงคู่กันตราบชั่วนิจนิรันดร์
แต่สุดท้ายนางก็ถูกประหารจนต้องตายจากเขาไป เขาเฝ้าตามหาศพของนางแต่กลับไม่พบ
เขาไม่เชื่อว่าตระกูลมู่หรงจะคิดก่อกบฏ เขาไม่เคยเชื่อเลยแม้แต่น้อย แต่เขาไม่อาจทำสิ่งใดได้ นอกจากทนมองดูคนที่ตนรักตายจากไป
เขาเก็บผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นเอาไว้ในแขนเสื้อ ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังห้องทรงอักษรของผู้เป็นบิดาในทันที
"ถวายพระพรเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ"
"เซียวหลิ่นเจ้ามาก็ดีแล้ว พ่อหาฤกษ์ยามอภิเษกสมรสให้เจ้ากับหนิงเซียนได้แล้ว ต้นวัสสานฤดูที่กำลังจะมาถึง ถือเป็นฤกษ์ดี เจ้าเห็นเป็นอย่างไร"
หยางเซียวหลิ่นยืนฟังด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยไม่ยินดียินร้ายต่อสิ่งใดทั้งสิ้น ฮ่องเต้หยางเฉวียนที่ได้เห็นเช่นนั้น จึงเอ่ยกับพระโอรสด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
"เซียวหลิ่น สตรีที่เจ้าอยากแต่งด้วย ยามนี้นางไร้ศักดิ์ บิดานางเป็นกบฏ ไม่คู่ควรกับเจ้าเลยแม้แต่น้อย"
"เสด็จพ่อคิดว่าตระกูลมู่หรงเป็นกบฏจริง ๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ!!!"
"เซียวหลิ่น เจ้าอย่ารื้อฟื้นเรื่องเก่าขึ้นมาอีกเลย"
"เสด็จพ่อทรงเชื่อแต่หนิงฮองเฮา!!! แต่ไม่เชื่อทหารคู่ใจที่ร่วมรบกับเสด็จพ่ออย่างนั้นหรือ!"
"เซียวหลิน!!! หนิงฮองเฮานางเป็นมารดาของเจ้า!!!"
"นางไม่ใช่มารดาของลูก เสด็จพ่อก็รู้ว่ามารดาที่แท้จริงของลูกคืออดีตฮองเฮาที่ป่วยตายหลังจากคลอดลูกออกมา หนิงฮองเฮาเองก็เพิ่งเสียบุตรในครรภ์ไปในยามนั้นเช่นเดียวกัน นางจึงรับลูกมาเลี้ยง เพราะหวังจะใช้ผลประโยชน์จากลูกให้ตนเองได้ขึ้นเป็นฮองเฮาแทนเสด็จแม่ของลูก!!!"
เพียะ!!!
"หุบปากของเจ้าเสีย ที่เจ้ามาถึงตำแหน่งองค์รัชทายาทได้เพราะผู้ใดกัน ไม่ใช่เพราะนางเลี้ยงดูเจ้ามาหรอกหรือ! เจ้าควรขอบคุณน้องชายของเจ้าที่ชิงตายไปเสียก่อน เจ้าจึงได้มาอยู่ในตำแหน่งพระโอรสของฮองเฮาแทน!!!"
"ขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณพ่ะย่ะค่ะ ลูกจะจำเอาไว้ไม่ลืม"
หยางเซียวหลิ่นรู้สึกชาที่ใบหน้าของตนไม่น้อย เขาไม่คิดว่าเสด็จพ่อจะตบหน้าเขาได้ลงคอ แต่เขาก็ไม่ใส่ใจ รีบหันหลังเดินออกจากห้องทรงอักษรไปทันที
ระหว่างทางเขาครุ่นคิดหลายสิ่งหลายอย่าง ไม่นานมานี้เขาเพิ่งรู้มาว่า หนิงฮองเฮาแอบบังคับให้นางสนมทุกคนดื่มน้ำแกงคุมกำเนิด และหากสนมนางใดที่ตั้งครรภ์ขึ้นมาย่อมไม่ตายดีสักคน ท่านพ่อก็เอาแต่ยุ่งราชกิจไม่สนใจความเป็นไปในวังหลังเลยแม้แต่น้อย นั่นยิ่งทำให้หนิงฮองเฮาเหิมเกริมขึ้นทุกวัน
เดิมทียามอยู่ต่อหน้าเสด็จพ่อ หนิงฮองเฮาก็เสแสร้งทำดีกับเขา ยามที่ลับสายตาของเสด็จพ่อนางก็มักจะลงโทษเขาอยู่เสมอ ยามวัยเยาว์เขาเฝ้าคิดอยู่เสมอ ว่าเหตุใดเสด็จแม่ต้องลงโทษเขา เสด็จแม่ไม่รักเขาหรือ แล้ววันหนึ่งเขาก็ได้รู้ความจริงบางอย่างเข้า
ยามนั้นเขามีอายุได้สิบสองปี กำลังกลับจากห้องตำรา เพื่อมุ่งหน้ามาหาเสด็จแม่ของตน แต่เขากลับได้ยินเสด็จแม่กำลังพูดจากับแม่ทัพใหญ่หนิง
"ข้าต้องฝืนทนเลี้ยงดูพระโอรสที่ไม่ใช่ลูกของตนมาร่วมหลายสิบปี ข้าเบื่อพี่ใหญ่"
"ฮองเฮาทรงอดทนหน่อยเถิด อีกไม่นานพระองค์ก็จะได้เป็นไทเฮาแล้ว"
"อีกเมื่อใดกัน หยางเซียวหลิ่นไม่ใช่บุตรแท้ ๆ ของข้า เขาเป็นพระโอรสที่เกิดจากอดีตฮองเฮาที่ข้าเกลียดชัง ส่วนบุตรของข้า...หึ!!! สวรรค์ช่างไม่ยุติธรรม ข้าอยากจะฆ่าหยางเซียวหลิ่นอยู่ทุกวัน หากไม่ใช่เพราะยังต้องใช้ประโยชน์จากมันทำให้ข้าได้มีอำนาจข้าไม่มีทางทน พี่ใหญ่ ตั้งแต่ครานั้นข้าก็ไม่ตั้งครรภ์อีกเลย จะทำเช่นไรดี"
"กระหม่อมจะหาหมอฝีมือดีมารักษาพระองค์ให้ได้พ่ะย่ะค่ะ"
"คงต้องรบกวนพี่ใหญ่แล้ว"
คำพูดในวันนั้นคล้ายมีดแทงใจของเขาราวหมื่นเล่ม เสด็จแม่ที่เขาเฝ้าเทิดทูนมาโดยตลอด แท้จริงต้องการจะสังหารเขาทุกวินาที
นางไม่ใช่มารดาบังเกิดเกล้าของเขา!!!
นับแต่วันนั้นมา เขาก็เย็นชาใส่หนิงฮองเฮามาโดยตลอด อีกทั้งยังให้ทหารคนสนิทไปตามสืบเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้าอย่างลับ ๆ จนได้รู้ว่าหนิงฮองเฮาได้ให้ประสูติพระโอรสเช่นเดียวกัน แต่เลือดเนื้อเชื้อไขของนางกลับตายไปเสียก่อน อีกทั้งยังเร่งรัดให้ทำพิธีฝังอย่างน่าประหลาดใจ
เขานำเรื่องนี้ไปเล่าให้เสด็จพ่อฟัง แต่คำตอบที่ได้มีเพียง
"เรื่องเก่าแต่หนหลังเจ้าจะรื้อฟื้นไปทำไมกัน จำไว้ นางคือมารดาที่เลี้ยงดูเจ้ามาอย่างยากลำบาก"
เขาไม่ยอมแพ้ยังคงให้องครักษ์ตามสืบหาศพพระโอรสที่ตายจากไปของหนิงฮองเฮาแต่กลับไม่พบร่องรอยใดใด แม้แต่หมอหลวงที่ทำคลอดก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ครั้นจะขุดหลุมศพขึ้นมาพิสูจน์มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรกระทำ และเขาก็ไม่มีอำนาจมากพอที่จะทำเช่นนั้น
เขาจึงจำต้องใช้ชีวิตอยู่ภายใต้การดูแลของหนิงฮองเฮาและเรียกนางว่าเสด็จแม่อย่างกล้ำกลืนฝืนทน แล้วนางยังจะยัดเยียดหนิงเซียนหลานสาวของตนให้เข้าวังมาเป็นชายารัชทายาทอีก เขาแทบจะกระอักเลือดตายอยู่ทุกวัน!!!
มู่หรงเจวี๋ยสหายรักของข้า ข้าได้ยินว่าเจ้าหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย ข้าจะต้องตามหาเจ้าให้พบ ข้าเชื่อมั่นในตัวเจ้า ว่าเจ้าไม่ใช่กบฏอย่างที่คนตระกูลหนิงกล่าวหา ข้าจะต้องหาเจ้าให้พบ แล้วล้างมลทินเลวร้ายครั้งนี้ให้กับเจ้าและคนตระกูลมู่หรงให้จงได้
เสียงบรรเลงดนตรีดังอึกทึกครึกโครม ผู้คนต่างมองดูเต็มสองข้างทาง เกี้ยวสีแดงสดกำลังเคลื่อนออกจากวังหลวงอย่างช้า ๆ โดยมีแม่ทัพใหญ่มู่หรงที่สวมชุดเจ้าบ่าวสีแดงนั่งอยู่บนหลังม้า นำขบวนเจ้าสาวด้วยท่าทีที่สง่างาม ฮ่องเต้หยางเฉวียนและหยางเซียวหลิ่นมองดูเกี้ยวของหยางซือหยวนจากไปจนลับสายตา ก่อนที่หยางเซียวหลิ่นจะหันมาเอ่ยกับผู้เป็นพระบิดา "เสด็จพ่อ น้องหญิงอยู่ใกล้ถึงเพียงนี้ ย่อมเข้าวังมาเยี่ยมเยียนเสด็จพ่อได้ทุกเมื่อพ่ะย่ะค่ะ""อืม เซียวหลิ่น เจ้าสั่งการลงไป ส่งหมอหลวงติดตามซือเอ๋อร์ไปให้มากหน่อย ได้ยินว่าหมอหลวงที่ชื่อจินเย่ว์นั่น สนิทสนมกับนาง ก็ให้ตามไปด้วยไม่ต้องเข้ามารับใช้ในวังหลวงแล้ว""พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อไม่ต้องทรงกังวล ทั้งหมอฝีมือดี และพ่อครัวที่ทำอาหารเลิศรส ล้วนติดตามน้องหญิงออกจากวังไปรับใช้หมดแล้ว""ดี ดี"หลังจากนั้นไม่กี่วัน ก็เป็นพิธีอภิเษกสมรสขององค์รัชทายาท และคุณหนูตระกูลมู่หรงขบวนสินเดิมยาวนับพันลี้ ผู้คนต่างแซ่ซ้องสรรเสริญไม่จบไม่สิ้น หลายเดือนต่อมา"โอ๊ย ข้าเจ็บจะตายอยู่แล้ว มู่หรงเจวี๋ย!!!""ซือเอ๋อร์เจ้าอดทนเถิด หายใจลึก ๆ""ข้าทำแล้ว แต่มัน โอ๊ย มู่หรงเจวี๋ยเป็นเพร
วังหลวงคล้ายจะมีงานมงคลถึงสองงาน งานแรกคืองานแต่งงานของหยางเซียวหลิ่นและมู่หรงหลิน ส่วนอีกงานหนึ่งก็คืองานแต่งของมู่หรงเจวี๋ยและหยางซือหยวน หยางซือหยวนคิดถึงวันนั้นก่อนที่หนิงอวี้หรงจะจากไป เขามาร่ำลานาง ใบหน้ามีแต่ความยินดี เขาบอกกับนางว่า ในที่สุดก็จะได้ทำสิ่งใดตามใจตนเองเสียทีแล้ว หยางซือหยวนยิ้มส่งเขาทั้งน้ำตา พี่ชายที่แสนดีของนาง นางจะรอวันที่เขาได้กลับมาที่ไท่เหลียงอีกคราก่อนจะมีการประหารเพียงหนึ่งวัน หยางซือหยวนให้มู่หรงเจวี๋ยพานางมาที่คุกหลวง เดิมทีแรกเริ่มเสด็จพ่อไม่เห็นด้วย แต่ทนนางทัดทานไม่ไหวจึงสั่งให้มู่หรงเจวี๋ยมาเป็นเพื่อนนาง ภายในคุกหลวงค่อนข้างมืดทึบและอับชื้น เหล่าผู้คุมต่างรีบจุดไฟเมื่อเห็นว่าองค์หญิงเสด็จมา เมื่อเข้ามาด้านใน นางก็จ้องมองไปที่คุกหลวง ในห้องขังหนึ่ง หนิงเซียนถูกขังเอาไว้กับมารดาของนาง ยามนี้สภาพของนางไม่หลงเหลือความเย่อหยิ่งเฉกเช่นแต่ก่อนอีก เมื่อรับรู้ได้ถึงสายตาที่มองมา หนิงเซียนจึงหันมาสบตากับหยางซือหยวน เมื่อเห็นเช่นนั้นนางก็ดวงตาลุกวาว ก่อนจะเอ่ยอย่างโกรธแค้น "นังน้องชั่ว เหตุใดเจ้าจึงได้ดีกว่าข้า ไม่จริง ข้าต่างหากที่เป็นองค์หญิง ข้าคือจวิ
มู่หรงเจวี๋ยใช้ชีวิตอยู่ในสนามรบร่วมสามเดือน จึงเดินทางกลับเมืองหลวงแคว้นไท่เหลียง ผู้คนต่างรอต้อนรับเขาเต็มสองข้างทาง แม่ทัพใหญ่มู่หรงผู้นำความสงบสุขมาแก่ราษฎร ฮ่องเต้หยางเฉวียนทรงพอพระทัยเป็นอย่างยิ่ง เมื่อได้ทราบว่าสงครามคราก่อนนั้น เป็นมู่หรงเจวี๋ยอีกเช่นกันที่ทำให้ทัพศัตรูแตกพ่ายไม่เป็นท่า จึงตกรางวัลให้มากมายราวกับสายน้ำ ยามนี้ตระกูลมู่หรงกลับมาคึกคักเช่นแต่ก่อนแล้ว เขาได้พาท่านพ่อท่านแม่กลับจวนอย่างสมเกียรติแล้วข่าวที่น่ายินดีมากกว่านั้นก็คือ มู่หรงหลินได้รับราชโองการให้เข้าวังหลวง และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นคู่หมั้นของหยางเซียวหลิ่นองค์รัชทายาทอีกครา ตำแหน่งว่าที่ไท่จื่อเฟยท้ายที่สุดก็ตกเป็นของนางอย่างชอบธรรม "ท่านพี่ ท่านดูสิ ผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวข้าเสร็จแล้ว ช่างงดงามยิ่งนัก ข้าน่ะฝีมือหยาบกร้านไม่อาจปักเองได้อย่างงดงามเท่านางกำนัลฝีมือดีในวังหลวงเลย"มู่หรงหลินเอ่ยด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า มู่หรงเจวี๋ยมองดูน้องสาวของตนด้วยความรักใคร่ ก่อนจะหวนนึกถึงหยางซือหยวนที่ยามนี้อยู่ในวังหลวงขึ้นมาได้ยินมาว่าท้องของนางเริ่มใหญ่โตแล้ว จึงเดินเหินมิค่อยสะดวกนัก เห็นทีเขาคงต้องเข้าวังไปพบฝ่
ระยะนี้มู่หรงเจวี๋ยมักจะใช้ชีวิตอยู่ที่ค่ายทหารเสียเป็นส่วนใหญ่ นอกจากฝึกฝนทหารแล้ว เขาก็จะแอบไปมองดูหนิงซือซือที่อุทยานหลวง พบว่านางมีชีวิตที่ดีไม่น้อย ใบหน้าดูดีขึ้นมากทีเดียว รวมถึงเหล่านางกำนัลก็ปรนนิบัติดูแลนางเป็นอย่างดี ฮ่องเต้หยางเฉวียนทรงรักพระธิดาองค์นี้เป็นอย่างมาก ทุกอย่างในแผ่นดินสิ่งใดที่นางอยากได้ ขอเพียงนางเอ่ยปาก ผู้เป็นพระบิดาก็หามาให้นางได้ทั้งหมด เพื่อชดใช้สิ่งที่นางขาดไปตั้งแต่วัยเยาว์ วันนี้ก็เช่นกัน เขามองดูนางกำลังนั่งดื่มชาชมสวนอยู่ที่อุทยานหลวง ยามนี้บุปผานานาพรรณเริ่มผลิดอก วังหลวงจึงดูงดงามราวกับแดนสวรรค์ก็ไม่ปาน เขายิ้มให้นางคราหนึ่ง นางยังคงมีนิสัยที่เหมือนเดิม รักสหาย ดีต่อทุกคน จินเย่ว์และโจวเซิงมีชีวิตที่ดีในวังหลวง เด็ก ๆ ในรังโจรได้เรียนหนังสือมีความรู้เพราะนางจัดการให้ ผู้คนที่นั่นก็สามารถเข้าเมืองหลวงมาทำการค้าหาเลี้ยงชีพได้ เขาได้ยินว่านางทูลต่อฝ่าบาทว่าจะขอสร้างสำนักศึกษาสำหรับเด็ก ๆ ที่ยากไร้และกำพร้าบิดามารดา อีกทั้งยังจะสร้างสถานสงเคราะห์ให้แก่เด็ก ๆ ที่ไร้ที่พึ่งพิงอีกด้วย ซึ่งฮ่องเต้หยางเฉวียนก็ไม่ได้คัดค้านนางแต่อย่างใด กลับเห็นด้วยเป็นอ
ผ่านไปร่วมหลายวัน ในที่สุดหนิงซือซือก็สามารถมองเห็นได้แล้ว ยามนี้ร่างกายของนางดีขึ้นมาก เพราะได้ยาชั้นดีจากหมอหลวงทำให้ร่างกายของนางฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว "องค์หญิงเพคะ ทรงเสวยโอสถก่อนเถิดเพคะ""อืม"นางกำนัลนามว่าอิงเถา เป็นนางกำนัลที่เสด็จพ่อส่งมาคอยรับใช้นาง อิงเถาเป็นสาวใช้ที่มีอายุไม่น้อยแล้ว นางรู้งานเป็นอย่างดี อีกทั้งยังแนะนำสอนสั่งเรื่องกฎระเบียบในวังหลวงให้แก่นางอย่างตั้งใจอีกด้วย ไม่กี่วันต่อมานางก็ได้พบกับหนิงอวี้หรง เมื่อได้เห็นว่าพี่ชายสบายดี นางก็ดีใจเป็นอย่างมาก แต่เมื่อได้ยินว่าหนิงอวี้หรงจะต้องถูกเนรเทศไปแดนไกล นางก็ทุกข์ใจไม่น้อย หนิงอวี้หรงบอกกับนางว่าไม่ต้องกังวล เขาจะต้องกลับมาพบกับนางอีกอย่างแน่นอนหนิงซือซือยกถ้วยยาขึ้นดื่ม ก่อนจะหันไปเอ่ยกับอิงเถา "ข้าอยากจะเข้าเฝ้าเสด็จพ่อเสียหน่อย ยามนี้คงประชุมยามเช้าเสร็จแล้วกระมัง""เพคะ ยามนี้ฝ่าบาท กำลังพักผ่อนอยู่ที่ห้องทรงอักษร""เช่นนั้นเจ้าช่วยพาข้าไปทีเถิด""เพคะองค์หญิง"หนิงซือซือถูกอิงเถาประคองนางเดินลงมาอย่างระมัดระวัง เมื่อเดินออกมานอกตำหนัก นางก็มองดูไปโดยรอบ ยามนี้อากาศไม่หนาวมากแล้ว อีกทั้งต้นไม้ก็กำลังผ
หนิงซือซือลืมตาตื่นขึ้นมาอีกคราในวันที่สาม นางสลบไม่ได้สติไปถึงสามวันเต็ม ๆ เมื่อได้สติฟื้นคืนขึ้นมาจึงรู้สึกว่าดวงตาพร่าเลือน หัวสมองมึนงง อีกทั้งยังอ่อนเพลียมากอีกด้วย "อุแหวะ""องค์หญิง เร็วเข้า องค์หญิงทรงฟื้นแล้ว ตามหมอหลวงเร็วเข้า"หนิงซือซือลุกขึ้นมานั่งก่อนจะอาเจียนออกมาจนหมดท้อง เมื่อนางค่อย ๆ มองไปโดยรอบ ก็เห็นเป็นเพียงภาพพร่าเลือน ใจของนางพลันเต้นตึก ๆ อย่างหวาดหวั่น มิใช่ว่านางตาบอดหรอกนะ แล้วที่นี่คือที่ใดกันนางพยายามจะขยับกายลุก แต่ทว่าราวกับโลกหมุนเคว้งคว้างจนทรงตัวเอาไว้ไม่อยู่ ต้องล้มกายลงนอนไปบนเตียงที่นุ่มนิ่มอีกครา พลันได้ยินเสียงของสตรีนางหนึ่งเอ่ยขึ้น "องค์หญิง อย่าทรงขยับพระวรกายอีกเลยเพคะ ยามนี้ร่างกายพระองค์อ่อนแอนัก"องค์หญิง?หนิงซือซือแค่นเสียงหัวเราะออกมาคราหนึ่ง นี่นางตายแล้วเลอะเลือนหรือไร จึงได้ยินวาจาแปลกประหลาดเช่นนี้"ที่นี่ที่ใด พวกท่านเป็นใครหรือ?"หนิงซือซือเอ่ยถามในขณะที่หลับตานอน นางกำนัลผู้นั้นยิ้มพลางมองนางคราหนึ่ง ก่อนจะหยิบผ้าห่มขึ้นมาห่มให้นางอย่างใส่ใจ"ที่นี่คือวังหลวงเพคะ หม่อมฉันเป็นนางกำนัลขององค์หญิง หากมีสิ่งใดที่ทรงต้องการเรียกใ