หนิงซือซือรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกคราก็เป็นเวลาย่ำค่ำเสียแล้ว นางค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นนั่ง รู้สึกปวดเนื้อปวดตัวไปทั่วทุกส่วน โดยเฉพาะบริเวณต้นคอ นางยกมือขึ้นจับที่ท้ายทอยพร้อมกับเบ้หน้าด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้นและมองไปโดยรอบ
ที่นี่ที่ใดกัน เหตุใดจึงมืดสลัวเช่นนี้!!!
หนิงซือซือพยายามตั้งสติ ก่อนจะครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เมื่อคิดได้เช่นนั้น นางก็มีท่าทีลนลานไม่น้อย
นางถูกโจรลักพาตัวมา!!!
หนิงซือซือพยายามมองสำรวจตนเองด้วยความตื่นตระหนก แสงตะเกียงเพียงน้อยนิดที่ให้แสงสว่าง ทำให้นางมองเห็นว่าเสื้อผ้าของนางยังอยู่ครบ มิได้มีส่วนใดที่ฉีกขาดไปเลยแม้แต่น้อย
แต่ว่านางกลับถูกมัดมือด้วยเชือก และถูกโซ่ตรวนตรึงข้อเท้าซ้ายเอาไว้ อีกทั้งที่ที่นางถูกจับมาขังก็มีสภาพซอมซ่อราวกับบ้านร้างก็ไม่ปาน
บัดซบ!!! นี่มันเรื่องอันใดกัน!!!
หนิงซือซือพยายามขยับข้อมือเพื่อหาทางแก้มัดเชือกนั้น แต่ทุกอย่างดูเหมือนจะไม่เป็นใจ ยิ่งนางขยับเท้ามากเท่าใด นางก็รู้สึกเจ็บมากเท่านั้น
แอ๊ด!!!
เสียงเปิดประตูทำให้หนิงซือซือหันไปมอง แสงจากดวงจันทร์ส่องเข้ามาทำให้นางมองเห็นบุรุษที่สวมชุดสีดำ บนใบหน้ามีหน้ากากเหล็กปิดบังใบหน้าเอาไว้ครึ่งหนึ่ง หนิงซือซือขยับกายจนชิดกับผนังด้วยความหวาดระแวง
นั่นมันโจรใจโฉดที่ลักพาตัวนางมา นางจำมันได้
มู่หรงเจวี๋ยก้าวเดินเข้ามาหาหนิงซือซือ ก่อนจะเอียงคอมองนางคราหนึ่ง
ใบหน้าอัปลักษณ์ เสื้อผ้าที่สวมใส่แม้จะดูงดงามแต่กลับไม่เข้ากับนางเลยแม้แต่น้อย ท่าทางที่ดูหวาดกลัวราวกับแมวน้อยนั้นคืออันใดกัน?
อ้อ!!! คงจะเสแสร้งทำเป็นคนดีน่าสงสาร เป็นแบบอย่างของกุลสตรีที่ดีงามน่าทะนุถนอมสิท่า
เหอะ!!! เสแสร้งเก่งกันทั้งตระกูล!!!
หนิงซือซือที่ถูกมู่หรงเจวี๋ยจ้องมองอย่างไม่วางตา นางก็ขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะรวบรวมความกล้าเอ่ยถามเขา
"จับข้ามาด้วยเหตุอันใดกันโจรบ้า ข้าไปทำสิ่งใดให้เจ้าแค้นเคืองหรือ!!!"
มู่หรงเจวี๋ยส่งเสียงเหอะในลำคอ ก่อนจะเอ่ยขึ้นมา
"เจ้าไม่ได้ทำหรอก แต่บิดาเจ้าน่ะสิเป็นคนทำ บิดาเจ้าชั่วช้าเกินคนเจ้าไม่รู้เลยหรือ?"
หนิงซือซือยิ่งงงเข้าไปใหญ่ ท่านพ่อน่ะหรือ ท่านพ่อมีความแค้นกับโจรพวกนี้หรือ ความแค้นเรื่องใดกัน นางจะไปรู้ได้อย่างไร ตั้งแต่เล็กจนโตนางอยู่แต่ในจวนไม่ค่อยได้ออกไปที่ใด
"ข้าไม่รู้!"
"หนิงเซียน เจ้านี่มันเสแสร้งเก่งไม่แพ้บิดาของเจ้าเลยจริง ๆ"
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หนิงซือซือก็จ้องมองมู่หรงเจวี๋ยในทันที
หนิงเซียน?
นั่นมันชื่อพี่หญิงนี่?
หรือว่า? คนที่มันต้องการจับคือพี่หญิง แต่มันจับผิดตัว กลับมาจับนางแทน
เมื่อคิดได้เช่นนั้น หนิงซือซือจึงรีบเอ่ยขึ้นมาทันที
"นี่ ท่านโจรหน้ากากเหล็ก ข้าไม่ใช่พี่หญิงหนิงเซียน ข้าชื่อหนิงซือซือ เป็นน้องสาวของนาง หากท่านจะจับนาง ก็ไปจับที่จวนสิ แล้วปล่อยข้าไป ข้าคือน้องสาวนาง ข้าไม่ใช่พี่หญิงหนิงเซียน ได้ยินหรือไม่?"
มู่หรงเจวี๋ยไม่เอ่ยสิ่งใด เขาหันไปเรียกโจวเซิงให้เข้ามา ก่อนจะเอ่ยถาม
"โจวเซิง เจ้าแน่ใจใช่หรือไม่ว่านี่คือหนิงเซียน"
โจวเซิงจ้องมองหนิงซือซือคราหนึ่ง ก่อนจะครุ่นคิด
ตอนที่เขาแอบปีนดูพวกนางบนกำแพงจวนตระกูลหนิง ก็เห็นพวกนางยืนหันหลังทั้งคู่ สวมชุดสีขาวเหมือนกัน ทรงผมเหมือนกัน
เวรละสิ!!! เขาเองก็จำไม่แม่น ยามนั้นมัวแต่แอบเหล่แม่ค้าขายหมู!!!
"โจวเซิง!!! เจ้าไม่มีปากหรือ?"
"คนนี้แหละขอรับลูกพี่ ไม่ผิดแน่ นางคือหนิงเซียน ข้ารับรองว่าเป็นนาง ข้าจำได้ขอรับ"
หนิงซือซืออยากจะกระโดดถีบลูกน้องโจรตาถั่วผู้นี้ยิ่งนัก มารดาเจ้าสิ ข้าไม่ใช่พี่หญิง!!!
"เจ้าได้ยินหรือยัง ลูกน้องข้าบอกว่าเป็นเจ้า หยุดเสแสร้งสักทีหนิงเซียน เจ้านี่ ชั่วช้าถึงขนาดเอาน้องสาวที่ป่วยหนักของเจ้ามาอ้างเชียวหรือ? ข้ามองออก ได้ยินว่าน้องสาวเจ้าป่วยปางตาย แต่ที่ข้าเห็นในตอนนี้เจ้าก็แข็งแรงดี เจ้าคิดว่าข้าโง่หรือ?"
เออ!!! โง่มาก
มู่หรงเจวี๋ยทิ้งกายนั่งลงตรงหน้าหนิงซือซือ พร้อมกับจ้องมองนางด้วยแววตาที่เกลียดชัง
"ก็บอกว่าข้าไม่ใช่พี่หญิง เจ้าเป็นหัวหน้าโจรประสาอะไรกัน สมองกลวง โง่ยิ่งกว่าสุกร เชื่อลูกน้องปัญญาอ่อนของเจ้าน่ะ โอ๊ะ!!!"
"อย่ามาขึ้นเสียงใส่ข้า มิเช่นนั้นข้าจะตัดลิ้นเจ้า ควักตาเจ้า แล้วดองใส่โหลส่งไปให้บิดาเจ้ากิน"
มู่หรงเจวี๋ยยื่นมือไปบีบปลายคางของหนิงซือซือจนนางเบ้หน้าด้วยความเจ็บปวด พร้อมทั้งข่มขู่นางสารพัด
"อีกเดี๋ยวข้าจะให้โจวเซิงนำอาหารมาให้เจ้า ทุกวันเจ้าจะได้กินอาหารแค่สองมื้อ คือมื้อเช้าและเย็น งานทุกอย่างในรังโจร ไม่ว่าจะเป็นซักผ้า หาบน้ำ ข้าจะให้เจ้าเป็นคนทำ หากเจ้าไม่ทำก็ไม่ต้องกินข้าว นี่นับว่าข้าเมตตาเจ้ามากพอแล้ว"
"ป่าเถื่อนเกินไปแล้วนะ!!!"
"ชู่ว์! หนิงเซียน ระวังข้าจะตัดลิ้นเจ้าเอาได้นะ"
หนิงซือซือที่ได้ยินเช่นนั้นก็เม้มริมฝีปากแน่น เวรกรรมอะไรของนาง นี่นางเกิดมาผจญด่านเคราะห์เพื่อกลับไปเป็นเทพเซียนหรืออย่างไรกัน โดนดุด่าทุบตียังไม่พอ ยังต้องมารับกรรมแทนหนิงเซียนอีก
สวรรค์!!! เหตุใดชีวิตข้าจึงบัดซบเช่นนี้กันเล่า!!!
ว่าแต่เจ้าโจรป่าเถื่อนพวกนี้มันจะจับพี่หญิงมาทำไมกันนะ?
"โจวเซิง เฝ้านางกินข้าวให้หมด หากกินไม่หมด ก็จับยัดเข้าไปในปากนางเสีย"
"เมื่อใดจะปล่อยข้ากลับจวน อยากได้เงินเท่าใด ข้าจะให้ท่านย่าเอามาให้พวกเจ้า!!!"
เมื่อได้ยินเช่นนั้น มู่หรงเจวี๋ยก็ยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะเอ่ยตอบ
"เหอะ เจ้านี่ขยันใช้เงินแก้ปัญหาเสียจริง บิดาเจ้าคงสอนสั่งความชั่วให้เจ้าติดตัวมาตั้งแต่เกิดสินะ จำใส่หัวเจ้าเอาไว้ ข้าไม่ต้องการเงิน ข้าต้องการความอับอายความอัปยศของพวกเจ้าทั้งตระกูล ข้าจะทำให้คนในตระกูลเจ้าเจ็บปวดเจียนตายทีละคน ในเมื่อกฎหลวงใช้ทำอะไรคนอย่างพวกเจ้าไม่ได้ ข้าก็จะใช้กฎเถื่อนจัดการกับพวกเจ้าแทน ส่วนเจ้า ข้าจะปล่อยเจ้าเมื่อใด ก็แล้วแต่อารมณ์ของข้า อ้อ ไม่ต้องกังวลไปนะ ข้าไม่ได้จับเจ้ามาเพราะพิศวาสเจ้าหรอก!!! ข้าไม่มีวันแตะต้องสิ่งของสกปรกให้ระคายมือ"
คนบ้า!!! คนชั่ว!!! โจรชั่ว!!! โอ๊ย!!! หมดคำจะสรรหามาด่า!!!
เสียงบรรเลงดนตรีดังอึกทึกครึกโครม ผู้คนต่างมองดูเต็มสองข้างทาง เกี้ยวสีแดงสดกำลังเคลื่อนออกจากวังหลวงอย่างช้า ๆ โดยมีแม่ทัพใหญ่มู่หรงที่สวมชุดเจ้าบ่าวสีแดงนั่งอยู่บนหลังม้า นำขบวนเจ้าสาวด้วยท่าทีที่สง่างาม ฮ่องเต้หยางเฉวียนและหยางเซียวหลิ่นมองดูเกี้ยวของหยางซือหยวนจากไปจนลับสายตา ก่อนที่หยางเซียวหลิ่นจะหันมาเอ่ยกับผู้เป็นพระบิดา "เสด็จพ่อ น้องหญิงอยู่ใกล้ถึงเพียงนี้ ย่อมเข้าวังมาเยี่ยมเยียนเสด็จพ่อได้ทุกเมื่อพ่ะย่ะค่ะ""อืม เซียวหลิ่น เจ้าสั่งการลงไป ส่งหมอหลวงติดตามซือเอ๋อร์ไปให้มากหน่อย ได้ยินว่าหมอหลวงที่ชื่อจินเย่ว์นั่น สนิทสนมกับนาง ก็ให้ตามไปด้วยไม่ต้องเข้ามารับใช้ในวังหลวงแล้ว""พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อไม่ต้องทรงกังวล ทั้งหมอฝีมือดี และพ่อครัวที่ทำอาหารเลิศรส ล้วนติดตามน้องหญิงออกจากวังไปรับใช้หมดแล้ว""ดี ดี"หลังจากนั้นไม่กี่วัน ก็เป็นพิธีอภิเษกสมรสขององค์รัชทายาท และคุณหนูตระกูลมู่หรงขบวนสินเดิมยาวนับพันลี้ ผู้คนต่างแซ่ซ้องสรรเสริญไม่จบไม่สิ้น หลายเดือนต่อมา"โอ๊ย ข้าเจ็บจะตายอยู่แล้ว มู่หรงเจวี๋ย!!!""ซือเอ๋อร์เจ้าอดทนเถิด หายใจลึก ๆ""ข้าทำแล้ว แต่มัน โอ๊ย มู่หรงเจวี๋ยเป็นเพร
วังหลวงคล้ายจะมีงานมงคลถึงสองงาน งานแรกคืองานแต่งงานของหยางเซียวหลิ่นและมู่หรงหลิน ส่วนอีกงานหนึ่งก็คืองานแต่งของมู่หรงเจวี๋ยและหยางซือหยวน หยางซือหยวนคิดถึงวันนั้นก่อนที่หนิงอวี้หรงจะจากไป เขามาร่ำลานาง ใบหน้ามีแต่ความยินดี เขาบอกกับนางว่า ในที่สุดก็จะได้ทำสิ่งใดตามใจตนเองเสียทีแล้ว หยางซือหยวนยิ้มส่งเขาทั้งน้ำตา พี่ชายที่แสนดีของนาง นางจะรอวันที่เขาได้กลับมาที่ไท่เหลียงอีกคราก่อนจะมีการประหารเพียงหนึ่งวัน หยางซือหยวนให้มู่หรงเจวี๋ยพานางมาที่คุกหลวง เดิมทีแรกเริ่มเสด็จพ่อไม่เห็นด้วย แต่ทนนางทัดทานไม่ไหวจึงสั่งให้มู่หรงเจวี๋ยมาเป็นเพื่อนนาง ภายในคุกหลวงค่อนข้างมืดทึบและอับชื้น เหล่าผู้คุมต่างรีบจุดไฟเมื่อเห็นว่าองค์หญิงเสด็จมา เมื่อเข้ามาด้านใน นางก็จ้องมองไปที่คุกหลวง ในห้องขังหนึ่ง หนิงเซียนถูกขังเอาไว้กับมารดาของนาง ยามนี้สภาพของนางไม่หลงเหลือความเย่อหยิ่งเฉกเช่นแต่ก่อนอีก เมื่อรับรู้ได้ถึงสายตาที่มองมา หนิงเซียนจึงหันมาสบตากับหยางซือหยวน เมื่อเห็นเช่นนั้นนางก็ดวงตาลุกวาว ก่อนจะเอ่ยอย่างโกรธแค้น "นังน้องชั่ว เหตุใดเจ้าจึงได้ดีกว่าข้า ไม่จริง ข้าต่างหากที่เป็นองค์หญิง ข้าคือจวิ
มู่หรงเจวี๋ยใช้ชีวิตอยู่ในสนามรบร่วมสามเดือน จึงเดินทางกลับเมืองหลวงแคว้นไท่เหลียง ผู้คนต่างรอต้อนรับเขาเต็มสองข้างทาง แม่ทัพใหญ่มู่หรงผู้นำความสงบสุขมาแก่ราษฎร ฮ่องเต้หยางเฉวียนทรงพอพระทัยเป็นอย่างยิ่ง เมื่อได้ทราบว่าสงครามคราก่อนนั้น เป็นมู่หรงเจวี๋ยอีกเช่นกันที่ทำให้ทัพศัตรูแตกพ่ายไม่เป็นท่า จึงตกรางวัลให้มากมายราวกับสายน้ำ ยามนี้ตระกูลมู่หรงกลับมาคึกคักเช่นแต่ก่อนแล้ว เขาได้พาท่านพ่อท่านแม่กลับจวนอย่างสมเกียรติแล้วข่าวที่น่ายินดีมากกว่านั้นก็คือ มู่หรงหลินได้รับราชโองการให้เข้าวังหลวง และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นคู่หมั้นของหยางเซียวหลิ่นองค์รัชทายาทอีกครา ตำแหน่งว่าที่ไท่จื่อเฟยท้ายที่สุดก็ตกเป็นของนางอย่างชอบธรรม "ท่านพี่ ท่านดูสิ ผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวข้าเสร็จแล้ว ช่างงดงามยิ่งนัก ข้าน่ะฝีมือหยาบกร้านไม่อาจปักเองได้อย่างงดงามเท่านางกำนัลฝีมือดีในวังหลวงเลย"มู่หรงหลินเอ่ยด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า มู่หรงเจวี๋ยมองดูน้องสาวของตนด้วยความรักใคร่ ก่อนจะหวนนึกถึงหยางซือหยวนที่ยามนี้อยู่ในวังหลวงขึ้นมาได้ยินมาว่าท้องของนางเริ่มใหญ่โตแล้ว จึงเดินเหินมิค่อยสะดวกนัก เห็นทีเขาคงต้องเข้าวังไปพบฝ่
ระยะนี้มู่หรงเจวี๋ยมักจะใช้ชีวิตอยู่ที่ค่ายทหารเสียเป็นส่วนใหญ่ นอกจากฝึกฝนทหารแล้ว เขาก็จะแอบไปมองดูหนิงซือซือที่อุทยานหลวง พบว่านางมีชีวิตที่ดีไม่น้อย ใบหน้าดูดีขึ้นมากทีเดียว รวมถึงเหล่านางกำนัลก็ปรนนิบัติดูแลนางเป็นอย่างดี ฮ่องเต้หยางเฉวียนทรงรักพระธิดาองค์นี้เป็นอย่างมาก ทุกอย่างในแผ่นดินสิ่งใดที่นางอยากได้ ขอเพียงนางเอ่ยปาก ผู้เป็นพระบิดาก็หามาให้นางได้ทั้งหมด เพื่อชดใช้สิ่งที่นางขาดไปตั้งแต่วัยเยาว์ วันนี้ก็เช่นกัน เขามองดูนางกำลังนั่งดื่มชาชมสวนอยู่ที่อุทยานหลวง ยามนี้บุปผานานาพรรณเริ่มผลิดอก วังหลวงจึงดูงดงามราวกับแดนสวรรค์ก็ไม่ปาน เขายิ้มให้นางคราหนึ่ง นางยังคงมีนิสัยที่เหมือนเดิม รักสหาย ดีต่อทุกคน จินเย่ว์และโจวเซิงมีชีวิตที่ดีในวังหลวง เด็ก ๆ ในรังโจรได้เรียนหนังสือมีความรู้เพราะนางจัดการให้ ผู้คนที่นั่นก็สามารถเข้าเมืองหลวงมาทำการค้าหาเลี้ยงชีพได้ เขาได้ยินว่านางทูลต่อฝ่าบาทว่าจะขอสร้างสำนักศึกษาสำหรับเด็ก ๆ ที่ยากไร้และกำพร้าบิดามารดา อีกทั้งยังจะสร้างสถานสงเคราะห์ให้แก่เด็ก ๆ ที่ไร้ที่พึ่งพิงอีกด้วย ซึ่งฮ่องเต้หยางเฉวียนก็ไม่ได้คัดค้านนางแต่อย่างใด กลับเห็นด้วยเป็นอ
ผ่านไปร่วมหลายวัน ในที่สุดหนิงซือซือก็สามารถมองเห็นได้แล้ว ยามนี้ร่างกายของนางดีขึ้นมาก เพราะได้ยาชั้นดีจากหมอหลวงทำให้ร่างกายของนางฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว "องค์หญิงเพคะ ทรงเสวยโอสถก่อนเถิดเพคะ""อืม"นางกำนัลนามว่าอิงเถา เป็นนางกำนัลที่เสด็จพ่อส่งมาคอยรับใช้นาง อิงเถาเป็นสาวใช้ที่มีอายุไม่น้อยแล้ว นางรู้งานเป็นอย่างดี อีกทั้งยังแนะนำสอนสั่งเรื่องกฎระเบียบในวังหลวงให้แก่นางอย่างตั้งใจอีกด้วย ไม่กี่วันต่อมานางก็ได้พบกับหนิงอวี้หรง เมื่อได้เห็นว่าพี่ชายสบายดี นางก็ดีใจเป็นอย่างมาก แต่เมื่อได้ยินว่าหนิงอวี้หรงจะต้องถูกเนรเทศไปแดนไกล นางก็ทุกข์ใจไม่น้อย หนิงอวี้หรงบอกกับนางว่าไม่ต้องกังวล เขาจะต้องกลับมาพบกับนางอีกอย่างแน่นอนหนิงซือซือยกถ้วยยาขึ้นดื่ม ก่อนจะหันไปเอ่ยกับอิงเถา "ข้าอยากจะเข้าเฝ้าเสด็จพ่อเสียหน่อย ยามนี้คงประชุมยามเช้าเสร็จแล้วกระมัง""เพคะ ยามนี้ฝ่าบาท กำลังพักผ่อนอยู่ที่ห้องทรงอักษร""เช่นนั้นเจ้าช่วยพาข้าไปทีเถิด""เพคะองค์หญิง"หนิงซือซือถูกอิงเถาประคองนางเดินลงมาอย่างระมัดระวัง เมื่อเดินออกมานอกตำหนัก นางก็มองดูไปโดยรอบ ยามนี้อากาศไม่หนาวมากแล้ว อีกทั้งต้นไม้ก็กำลังผ
หนิงซือซือลืมตาตื่นขึ้นมาอีกคราในวันที่สาม นางสลบไม่ได้สติไปถึงสามวันเต็ม ๆ เมื่อได้สติฟื้นคืนขึ้นมาจึงรู้สึกว่าดวงตาพร่าเลือน หัวสมองมึนงง อีกทั้งยังอ่อนเพลียมากอีกด้วย "อุแหวะ""องค์หญิง เร็วเข้า องค์หญิงทรงฟื้นแล้ว ตามหมอหลวงเร็วเข้า"หนิงซือซือลุกขึ้นมานั่งก่อนจะอาเจียนออกมาจนหมดท้อง เมื่อนางค่อย ๆ มองไปโดยรอบ ก็เห็นเป็นเพียงภาพพร่าเลือน ใจของนางพลันเต้นตึก ๆ อย่างหวาดหวั่น มิใช่ว่านางตาบอดหรอกนะ แล้วที่นี่คือที่ใดกันนางพยายามจะขยับกายลุก แต่ทว่าราวกับโลกหมุนเคว้งคว้างจนทรงตัวเอาไว้ไม่อยู่ ต้องล้มกายลงนอนไปบนเตียงที่นุ่มนิ่มอีกครา พลันได้ยินเสียงของสตรีนางหนึ่งเอ่ยขึ้น "องค์หญิง อย่าทรงขยับพระวรกายอีกเลยเพคะ ยามนี้ร่างกายพระองค์อ่อนแอนัก"องค์หญิง?หนิงซือซือแค่นเสียงหัวเราะออกมาคราหนึ่ง นี่นางตายแล้วเลอะเลือนหรือไร จึงได้ยินวาจาแปลกประหลาดเช่นนี้"ที่นี่ที่ใด พวกท่านเป็นใครหรือ?"หนิงซือซือเอ่ยถามในขณะที่หลับตานอน นางกำนัลผู้นั้นยิ้มพลางมองนางคราหนึ่ง ก่อนจะหยิบผ้าห่มขึ้นมาห่มให้นางอย่างใส่ใจ"ที่นี่คือวังหลวงเพคะ หม่อมฉันเป็นนางกำนัลขององค์หญิง หากมีสิ่งใดที่ทรงต้องการเรียกใ