คำถามซ้ำอีกครั้งย้ำให้แน่ใจ จ้าวจิ่นสือมิเคยหวาดกลัวสิ่งใด ยิ่งได้รับมอบหมายหน้าที่สำคัญนี้แล้วก็ยิ่งตระหนักได้ว่า ผู้เป็นพ่อไว้วางใจเขามากขึ้น มิใช่เพียงในฐานะพ่อกับลูก แต่ยังเป็นแม่ทัพกับรองแม่ทัพอีกด้วย
“ลูกพร้อมรับคำสั่ง”
“การศึกมิได้มีแค่จับดาบฟาดฟันศัตรู ตำราพิชัยยุทธ์จะใช้ได้ผลก็ต่อเมื่อผู้เรียนรู้เข้าใจถ่องแท้ แม้ปีนี้เจ้าจะอายุยี่สิบแล้วแต่ก็ยังมีนิสัยมุทะลุวู่วามขาดความสุขุม เจ้ารู้ข้อบกพร่องของตนหรือไม่”
“ลูกจะปรับปรุงตนเองขอรับ”
“ดีแล้ว” แม่ทัพจ้าวพยักหน้ารับ “กลับมาเรื่องกองคาราวาน พ่อรู้ว่าตระกูลเหวินไม่ชอบยุ่งทางการเมือง แม้จะค้าขายกับราชสำนักมาสามชั่วอายุคนแล้วก็ตาม แต่อาศัยว่าเจ้าเป็นสหายกับเหวินเฮ่าหลัน คิดว่าคงไม่ยากที่จะแฝงตัวไปกับกลุ่มพ่อค้า”
“เรื่องนี้ลูกพูดคุยกับเฮ่าหลันแล้ว เขายินดีรับรองลูกเข้าร่วมกับกองคาราวานขอรับ”
“เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว เจ้าไปพักผ่อนเถิด ”
“ขอรับท่านพ่อ”
เขาประสานมือคารวะท่านพ่อแล้วหมุนตัวเดินออกไป ตัดใจไม่ไปห้องของเคอหลิ่งหลินแล้วตรงดิ่งเข้าห้องของตนเอง ทั้งที่เคอหลิ่งหลินยังไม่ฟื้น ท่านพ่อกลับส่งเขาแฝงตัวไปกับกองคาราวานขนสินค้า ทำให้เขาต้องอยู่ไกลคนที่เขาเป็นห่วง หรือท่านพ่อพยายามผลักไสให้เขาไปไกลจากเคอหลิ่งหลินเพื่อจะได้ตัดไฟเสียแต่ต้นลม
ชายผู้นั้นเป็นใครกัน ชายที่ได้ครอบครองหัวใจของเคอหลิ่งหลิน สองปีมานี้เขารู้ว่านางคงมีใครสักคนที่นางอยากเปลี่ยนแปลงตนเองเพื่อเขาคนนั้น แม้นิสัยนางจะกระโดกกระเดกโผงผางไปบ้าง แต่ก็คล้ายว่าจะพยายามทำตัวให้สุภาพอ่อนหวาน แต่ก็ยังห่างไกลคำว่ากุลสตรีนัก แน่นอนว่าเขาหงุดหงิดทุกครั้งที่เห็นนางเพียรฝึกฝนท่องโคลงกลอน เขียนภาพหรือแม้แต่ฝึกเล่นดนตรีซึ่งนางเลือกขลุ่ย แรกๆ นางขอร้องให้เขาสอนให้ ซึ่งเขาก็ยินดีสอน เขาเติบโตในรั้วในวังมาก่อนจะใช้ชีวิตชายแดน ได้ร่ำเรียนกับเหล่าองค์ชายองค์หญิง เรื่องพวกนี้กลายเป็นเรื่องสามัญปกติไปแล้ว แต่สำหรับเคอหลิ่งหลินเป็นสิ่งใหม่ที่นางเพิ่งฝึกฝน และนางก็เป็นนักเรียนที่แสนจะโง่งมที่ไม่มีแววด้านนี้เอาเสียเลย
“แล้วเจ้าเล่าไปถูกตาต้องใจบุรุษบ้านไหนเข้า ถึงขนาดฝึกเป่าขลุ่ย เขียนภาพ แถมยังอ่านตำราโคลงกลอนต่างๆ อีก”
จ้าวจิ่นสือยังจำได้ว่าเขาล้อนางในวันหนึ่ง ก่อนที่นางจะหลับใหลไม่ตื่นฟื้นเช่นนี้ เขายังจำแววตาเคืองโกรธของนาง ซ้ำยังถลึงตาใส่แถมยกหมัดขึ้นข่มขู่ แต่เขากลับหัวเราะร่าด้วยความดีใจที่ทำให้นางรู้ว่าเขารู้ความลับของนาง อย่างนางนะรึจะอยู่ดีๆ ลุกขึ้นมาทำตัวเป็นกุลสตรี ท่วงท่าการเดินหรือรับประทานอาหาร ตลอดจนฝึกดนตรีหรือเขียนภาพ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ท่านแม่เคยหาอาจารย์มาฝึกสอน แต่นางก็แทบไม่สนใจเลยสักนิด จนท่านแม่อ่อนใจยอมตามใจนาง ไม่ส่งใครมาอบรมนางอีก
“เอาน่าพี่สาว อยากให้ข้าส่งเกี้ยวขนาดแปดคนหามไปรับเจ้าบ่าวบ้านไหน ข้าก็ยินดีช่วยเหลือให้พี่สาวได้แต่งงานออกเรือน”
นางแสร้งก้มหน้ายกหลังมือขึ้นเช็ดที่ขอบตา เขาเพียงปรายตามองก็รู้ว่านางมารยาไปอย่างนั้น พอรู้ว่าลูกไม้ของนางใช้ไม่ได้กับเขาก็กลับมาเป็นเคอหลิ่งหลินคนเดิม นางกำมือแน่นข่มความโกรธ ก็แน่ละ เขามันทำตัวรู้ดีเกินไปแล้ว เคอหลิ่งหลินหันมาแล้วค่อยๆ ฉีกยิ้มหวานอย่างฝืนใจ แล้วเดินตรงออกไปโดยไม่ทันเห็นสีหน้าของเขา เขาเป็นห่วงนางเช่นพี่น้องห่วงใยกัน หลายปีมานี้เขาคอยเฝ้ามองดูนางเสมอ แม้คนอื่นจะไม่กล้ามองเต็มสองตาเพราะหวาดกลัวชื่อเสียงของนาง แต่กระนั้นนางก็เป็นคนที่จิตใจอ่อนโยนและขี้สงสารคนเป็นที่สุด นางยอมเจ็บตัวเองเสียดีกว่าจะต้องลงมือฆ่าใคร หากแต่เมื่อใดที่ต้องพรากลมหายใจของมันผู้นั้น นางก็กลับสงบนิ่งและดูเหี้ยมโหดอย่างที่ใครต่อใครลือกันไป
ชายหนุ่มถอนหายใจหนักหน่วงแล้วเดินตรงดิ่งกลับห้องพักไม่แวะไปที่ใดอีก เมื่อไปถึงก็สั่งบ่าวรับใช้ให้เตรียมน้ำสำหรับอาบ เพราะทำตัวให้คุ้นชินกับการอยู่ค่ายทหาร แม้ตอนนี้จะอยู่ในจวนแต่เขาก็จัดการผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยตนเอง ขณะนั้นเขากลับคิดถึงดวงตาที่ถลึงตาจ้องมองอย่างไม่พอใจของหญิงสาวคนนั้น
“ใช่! ข้า-ต้อง-การ-งู-เป็น-เป็น”
เสียงของนางแว่วเข้ามาในสมองของเขา เรียกเสียงหัวเราะออกมาอย่างไม่รู้ตัว ก่อนหน้านี้นางพูดจาอ่อนน้อมเรียกแทนตนเองว่า ‘ข้าน้อย’ ทุกคำ แสดงให้เห็นว่านางรู้ฐานะที่ต่ำกว่าเขา ก่อนหน้านี้นางอาจไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่เมื่อรู้แล้ว กลับไม่มีท่าทีจะยอมนอบน้อมเคารพเขาสักนิด ยิ่งสีหน้าที่เขาจัดการงูตัวนั้น เขากลับยิ่งประหลาดใจว่ามีหญิงสาวที่ไม่หวีดร้องยามเจออสรพิษ
อ้อ...ไม่นับเคอหลิ่งหลินที่เที่ยวนับคนนั้นคนนี้เป็นพี่เป็นน้องไปทั่ว
กำลังจะเดินไปแช่ตัวในน้ำอุ่นก็นึกถึงบางสิ่งที่รบกวนเขาอยู่ เขาเดินไปที่ตู้เก็บของใช้ส่วนตัว เก็บของสะสมต่างๆ มือใหญ่ดึงลิ้นชักออกมาแล้วหยิบกลองป๋องแป๋งขึ้นมาดู เกือบครึ่งปีก่อน เขาได้ของขวัญประหลาดชิ้นนี้มาจากมือของเคอหลิ่งหลิน ภาพในอดีตก็หวนคืนอีกครั้ง
“อะไร?”
เขาถามด้วยความประหลาดใจที่จู่ๆ วันนั้น เคอหลิ่งหลินกลับมาจากที่ไหนสักที่ที่นางไม่เคยบอกผู้ใด เย็นนั้นเขากำลังซ้อมยิงธนูอยู่ตามลำพัง แล้วนางก็เดินตรงมาพร้อมยื่นสิ่งนี้ให้
“อะไรกัน เป็นถึงรองแม่ทัพดูไม่ออกว่านี่คืออะไรรึ” นางแกว่งมือไปมา เสียงกลองป๋องแป๋งก็ดังขึ้น
“ข้ารู้ว่ามันคือกลองป๋องแป๋ง แต่ยื่นให้ข้าทำไม” เขาหงุดหงิดในท่าทางพูดจากำกวมของนางนัก
“ของฝาก...มีคนฝากมาให้”
“ของฝาก? ฝากให้ข้านี่นะ!” เขาส่ายหน้าไปมา ไม่ยอมรับกลองป๋องแป๋งที่นางยื่นมาให้
“ไม่ได้นะ มีคนฝากมาให้เจ้า ข้ามีหน้าที่นำมาส่งให้เจ้า ก็ต้องทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ที่สุด”
องค์ชายไท่หยางมักมีรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าซีดเซียวเสมอ ซึ่งมองเพียงผิวเผินจะเข้าใจว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ใครเลยจะรู้ว่าเบื้องหลังใบหน้าและร่างกายอ่อนแอนี้กุมความลับที่ใช้ต่อรองกับเขาได้ดียิ่งนัก เขาเองก็ได้สัญญาการซื้อขายกับทางการหลายรายการเพราะการแนะนำของคุณชายเฉิน“แล้วนี่คุณชายเฉิน อ้อ! ไม่สิ! องค์ชายไท่หยางนึกสนุกอย่างไรถึงอยากได้หน้ากากอสูรที่ดูน่ากลัวเช่นนี้”“ก็คงไม่ต่างจากเจ้าที่เบื้องหน้าเป็นคุณชายเจ้าสำราญเช่นกัน”“พระองค์กล่าวเช่นนี้ เห็นทีว่ากระหม่อมคงไม่มีทางหลีกเลี่ยงแล้วกระมัง” เหวินเฮ่าหลันกลับรู้สึกพอใจกับท่าทางเปิดเผยขององค์ชายไท่หยาง“ร่างกายของข้าไม่ค่อยแข็งแรงนัก จึงมีเรื่องที่ต้องทำให้เรียบร้อยก่อน... แต่การเคลื่อนไหวในฐานะขององค์ชายไท่หยางทำได้ลำบากนัก จึงอยากจะรบกวนเจ้าหาช่างดีๆ ทำหน้ากากอสูรนี่ให้ข้า”“พระองค์จะเอาไว้ใช้เอง?”เหวินเฮ่าหลันได้คำตอบเป็นรอยยิ้มที่มุมปาก หลังจากนั้นเขาหาช่างที่ไว้ใจได้สั่งทำหน้ากากอสูร แต่ไม่รู้สิ่งใดดลใจเขาให้ช่างทำสองอัน เมื่อส่งมอบหน้ากากอสูรนั่นให้องค์ชายไท่หยาง ไม่นานนักก็ได้ยินข่าวว่ามีบุรุษลึกลับภายใต้หน้ากากอสูรออกอาละวาดเล่น
ปีศาจน้อย! จ้าวจิ่นสือขบกรามแน่น นางเรียนรู้ที่จะหยอกล้อเขาเช่นเดียวกับที่เขาทำกับนาง เขาไม่อาจทานทนไฟปรารถนาที่เผาไหม้อยู่นี้ได้อีก ขยับร่างกายรวดเร็วรุนแรงและลึกล้ำ เป็นนางที่พาเขาให้เตลิดโบยบินไปในค่ำคืนวิวาห์ที่อุ่นร้อน ราวกับวิหคคู่ที่โบยบินในเวิ้งฟ้า หยอกล้อราวกับทั้งโลกมีเพียงแค่เขากับนางเท่านั้น ร่างสองร่างสอดประสานแทบเป็นหนึ่งเดียว ชายหนุ่มส่งเสียงคำราม ในขณะที่หญิงสาวหวีดร้องออกมาอย่างสุขสม แล้วเขาจึงผ่อนร่างนางลงนอนกอดอย่างรักใคร่นางปิดเปลือกตาหอบใจแรงแล้วค่อยๆ ผ่อนลมหายใจตัวเองจนเกือบจะเป็นปกติจ้าวจิ่นสือมองหญิงคนในรักในวงแขน ยกมือขึ้นเกลี่ยเส้นผมของนางให้พ้นใบหน้า หนึ่งชีวิตได้พานพบผู้คนมากมาย แต่มีเพียงหนึ่งเดียวที่เป็นเจ้าของเสียงในหัวใจ เขาก้มหน้าสูดกลิ่นหอมของนางให้กลิ่นกายของนางไหลเวียนในตัวเขา นางคือหญิงสาวของเขาแต่เพียงผู้เดียว“ฟางเหนียง ข้ารักเจ้า”ผ่านเรื่องราวมากมายฟันฝ่ามาด้วยกันจนมีวันนี้ แต่แท้จริงแล้วทุกอย่างมันเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น นางคิดถึงกลองป๋องแป๋งอันนั้น นางจะเก็บรักษาเอาไว้ให้ลูกๆ ได้ดู ของขวัญล้ำค่าที่เชื่อมโยงหัวใจของคนสองคนให้ได้มาใกล้ชิดกั
“ท่าน...” นางถูกดวงตาร้อนแรงของเขาจ้องมองจนลืมคำพูดตัวเองไปเสียสิ้น “อืม”เขาจ้องมองนาง ไม่เคยรู้สึกเบื่อหน่ายที่ได้มองใบหน้านี้เลยสักคราเดียว คิดไม่ออกเลยว่าหากไม่มีนางเคียงข้างแล้ว เขาจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร เห็นทีเรื่องนี้คงต้องเก็บเป็นความลับไว้ให้ลึกที่สุด ไม่เช่นนั้นนางจะเอาแต่ใจตัวเองเกินไป รู้ว่าอย่างไรเขาก็ต้องจำนนยอมแพ้พ่ายต่อสายตาคู่นี้ของนาง “ข้า... ข้าต้องปรนนิบัติท่าน... พี่” คืนนี้นางเป็นภรรยาของเขาอย่างถูกต้องแล้ว ควรทำหน้าที่ของตนเองถึงจะถูก แต่มือเล็กก็สั่นเทา ยื่นไปหมายจะช่วยเขาเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่อาการเงอะงะของนางเรียกเสียงหัวเราะเบาๆ ออกมา ทำให้นางฉุนกึกขึ้นมา แล้วเงยหน้าขึงตาใส่อย่างดุดัน “ใช่สิ! ข้าทำไม่เก่งนี้ เรื่องแบบนี้ข้าคุ้นเคยเสียเมื่อไหร่ล่ะ” นางหงุดหงิดโมโห อารมณ์นางช่วงนี้ขึ้นๆ ลงๆ แปรปรวนชอบกล “ไม่เป็นไร น้องหญิงอยากทำอะไรก็ตามใจเจ้าเถิด” เขากลั้นหัวเราะแต่กลายเป็นยิ้มกรุ้มกริ่มแทน ปล่อยให้มือเล็กช่วยถอดเสื้อตัวนอก พอนางลุกขึ้นจะเอาเสื้อของเขาไปแขวน ตัวเองก็เสียหลักเพราะนั่งตัวเกร็งอยู่ตั้งนา
หญิงสาวนั่งก้มหน้า มองปลายเท้าที่สวมรองเท้าสีแดงสดสวยปักรูปหงส์อย่างงดงามประณีต เสียงครื้นเครงด้านนอกไม่ได้ช่วยให้นางลดอาการตื่นเต้นลงได้เลย ยามมองผ่านผ้าคลุมหน้าสีแดงสดนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างในห้องหอราวกับถูกย้อมด้วยสีแดง นางจึงหลุบตาลงก้มมองปลายเท้าของตนแทน เพียงหนึ่งเดือนหลังเสร็จภารกิจลับของจ้าวจิ่นสือ ด้วยความช่วยเหลือขององค์ชายไท่หยาง ทำให้ทั้งสองได้รับราชโองการพระราชทานสมรส แม้มู่ฟางเหนียงจะเป็นเพียงหญิงสาวสามัญชน แต่ด้วยความรักใคร่ที่รองแม่ทัพจ้าวจิ่นสือมีให้นางนั้นเป็นที่เลื่องลือกันไปทั่ว นางทั้งเขินทั้งอาย แต่ก็ดีใจที่ฮูหยินอี้ซิ่วรักและเอ็นดูนางราวกับเป็นลูกสาวแท้ๆ ท่านพ่อของนางก็พลอยวางใจว่านางจะอยู่ที่จวนแม่ทัพจ้าวได้อย่างไม่ทุกข์ร้อนใจอันใด “เจ้าไม่ใช่เด็กแล้ว ต่อไปนี้ทำอะไรก็เชื่อฟังพ่อแม่สามีของเจ้าให้ดี” “ท่านพ่อ” นางกลั้นน้ำตา คราวนี้ได้แยกกันอยู่แล้วจริงๆ ท่านพ่อของนางมีใจรักใคร่น้าเสี่ยวหลิว เสร็จงานแต่งงานของนางแล้วก็จะกลับไปเมืองหลวง ช่วยน้าเสี่ยวหลิวดูแลโรงเตี๊ยมหมื่นบุปผาและรักษาคนเจ็บป่วยเช่นเคย ส่วนนางเองก็ได้รั
“ท่าน... ระ.. รักข้า..” นางแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยินเขาหัวเราะเบาๆ อาศัยจังหวะที่นางไม่เป็นตัวของตัวเองลอกคราบเสื้อผ้าออกเหลือเพียงเอี๊ยมปิดบังทรวงอกที่สะท้อนหอบหายใจแรงกับกางเกงชั้นในตัวน้อย มือกร้านลูบไล้เรียวขาของนาง ไอร้อนจากกายของเขาทำให้นางแทบไม่รู้สึกว่าตัวเองเกือบจะเปลือยเปล่าอยู่แล้ว“ข้า... เข้าใจว่า... ท่าน ระ รัก พี่หลิ่งหลิน” นางรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีพูดออกไปเขาผงกศีรษะรับแล้วกลับยิ้มให้นาง “ก่อนนั้นข้าคิดเช่นนั้น แต่เมื่อเจอเจ้า ข้าก็รู้ว่าความรักที่แท้จริงเป็นเช่นไร”หัวใจของนางแทบหยุดเต้นไป แต่กระนั้นก็ยังหวาดหวั่นอยู่ “แต่ท่านเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ ท่านจะรับข้าไว้ในฐานะใดเล่า”“ข้าย่อมให้เจ้าเป็นภรรยา” มือใหญ่เลื่อนขึ้นจากต้นขาด้านในสู่กลีบบุปผาอ่อนบาง “ข้าจ้าวจิ่นสือจะมีภรรยาเพียงผู้เดียวก็คือเจ้า”“ท่านจะไม่มีหญิงอื่นอีกหรือ?” นางกะพริบตามองหน้าเขา ค้นหาความจริงใจในทุกถ้อยคำ “ข้าไม่ได้หวังตำแหน่งใด ข้าเพียงไม่อาจแบ่งสามีกับผู้อื่นได้”“เจ้าทำให้ข้ารักเจ้าจนไม่มีที่ว่างให้ผู้อื่นแล้ว” แตะกลีบดอกไม้เบาๆ แล้วกระซิบเสียงพร่า แท่งศิลาใต้ตักของนางเริ่มร้อนระอุ“อย
“นึกแล้วเชียว” นางพึมพำ ไม่รอถามอะไรเขาทั้งนั้น ขยับเสื้อของเขาออกกว้างเพื่อจะได้จัดการล้างแผลและใส่ยาให้ใหม่ ขณะนั้นเอง เสียงเรียกชื่อนางอย่างเกรงใจก่อนที่จะเปิดประตูเข้ามา เสี่ยวเอ้อที่รอพานางไปส่งที่พักก็ต้องตกใจเพราะเห็นมู่ฟางเหนียงกำลังเปลื้องผ้าชายหนุ่มอยู่ แต่เขามองไม่เห็นบาดแผลจึงคิดไปเองว่าทั้งสองกำลัง...“ข้าจะรอข้างนอก แม่นางมู่เสร็จธุระแล้วโปรดเรียก”นางเพียงหันไปพยักหน้ารับ เพราะใจจดจ่อกับบาดแผล พอเหลือบตาขึ้นมองก็เห็นสายตาของเขาก้มมองนางอยู่ก่อนแล้วผู้หญิงคนนี้ วุ่นวายกับเขานัก! จ้าวจิ่นสือได้แต่บ่นในใจ แต่ก็ยอมให้นางแกะผ้าพันแผลและทำความสะอาดที่บริเวณชายโครงซ้ายของเขา“โรคทางใจรักษายากนัก” นางรำพึง“อย่ามาทำเป็นรู้ดี” เขาแค่นเสียงในลำคอ รินสุราใส่จอกให้ตนเอง แต่นางกลับยื่นมือไปคว้าแย่งไว้“ระหว่างที่รักษาแผลนี้อยู่ งดดื่มสุราทุกชนิด” นางถลึงตาสั่งเขา “ข้ารักษาให้ท่านได้เพียงบาดแผลภายนอก แต่ในใจที่เจ็บปวดของท่านนั้น ท่านคงต้องใช้เวลาเยียวยารักษาเอง”“ข้าจะดื่ม” เขาท้าทายนาง“ถือว่าข้าเตือนแล้ว ท่านอยากให้แผลเน่าอยู่ภายในก็ตามใจท่านเถิด” นางปิดบาดแผลให้เขาเรียบร้อย “ท่าน