로그인สายน้ำไหลไม่หยุดฉันใด ชีวิตคนย่อมต้องไหลไปตามโชคชะตาและบุญกรรมนำพามิอาจหยุดนิ่งได้ฉันนั้น
วันนี้เป็นผู้ฆ่า วันหน้าอาจถูกฆ่าเช่นกัน ขึ้นอยู่กับว่าจะยอมพ่ายและตายอย่างง่ายดายหรือไม่เท่านั้น
จากสถานที่เร้นลับแก่นกลางคือหุบเขาปีศาจด้านในคือสำนักไพรีพิฆาต ผ่านเทือกเขาหลายชั้นกั้น ลักษณะเป็นภูผาหินแกร่งเรียงตัวสูงตระหง่านทอดตัวเป็นทิวแถวยาวเรียงรายทับซ้อนกับเทือกเขาต่างๆ อย่างสลับซับซ้อน
มาสู่สถานที่อันห่างไกลจากดินแดนนักรบราวฟ้ากั้น สู่แคว้นหมื่นนที ประหนึ่งมิใช่ใต้หล้าเดียวกัน
ท่ามกลางม่านน้ำอันนิ่งสงบเย็นเยียบริมตลิ่งชัน ร่างดรุณีน้อยผู้หนึ่งถูกน้ำซัดจนมาเกยตื้นริมธาร
นางนอนแน่นิ่งคล้ายสิ้นชีพอยู่ริมตลิ่งเนิ่นนาน
มิรู้ว่าผ่านเวลานานเท่าใด ทว่าก็นานพอที่ทำให้ร่างกายที่เย็นจัดกับจิตวิญญาณที่ร้อนแรงผสานแนบแน่น พลังแห่งหยินบริสุทธิ์มักเพรียกหาพลังหยางอันแข็งแกร่งมาเติมเต็ม และเมื่อหยางหยินผนึกรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ย่อมมิอาจสั่นคลอนจนเลื่อนหลุดแยกจากได้อีก[1]
เจ้าของนัยน์ตาเศร้าเริ่มขยับเขยื้อนปลายนิ้วก่อนที่ แพขนตาจะไหวระริกแผ่วเบา และเริ่มมีสติรับรู้ทุกสิ่ง นางสะดุ้งผวา
“เฮือก!”
หลิ่งหลินสำลักลมหายใจหอบใหญ่ ครั้นตื่นเต็มตาพลันลุกขึ้นนั่ง นางยังไม่ตาย! ลูบคลำเนื้อตัวอย่างลนลาน พบว่าเสื้อผ้าที่ใส่มิใช่ชุดเดิมที่เป็นสีดำ แต่เป็นชุดสีขาวซีดๆ หันซ้ายหันขวา สังเกตได้ว่าสถานที่มิใช่ในถ้ำ แต่เป็นริมน้ำ
หญิงสาวก้มหน้าลง เอียงคอกะพริบตาปริบๆ มองฝ่ามือเล็กเรียวที่ขาวจัดซีดเซียวซึ่งไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย ครั้นเงยหน้าขึ้นก็เห็นเป็นภาพของชายป่าริมธาราสายหนึ่ง
นางก้มหน้าอีกครา เพ่งมอง เห็นใบหน้าอ่อนเยาว์ผ่านผิวน้ำใสที่สะท้อนภาพของคนผู้หนึ่งดุจกระจกเงา
ดวงตาดำขลับดุจลูกกวางน้อยกวาดมองเชื่องช้า พิจารณาเรื่องน่าเหลือเชื่อทุกสิ่งอย่างมีสติแม้ในใจไร้สุขุม พบดรุณีน้อยวัยแรกแย้มอายุประมาณสิบห้าปีผู้หนึ่ง
ไม่ใช่เจียเย่และไม่ใช่ร่างเก่า
ใคร?
หลิ่งหลินถามตัวเองแล้วเร่งไตร่ตรองอย่างสับสน
ถูกแย่งชิงกายหยาบกระชากวิญญาณออกจากร่าง แต่ไม่ยอมตายทว่าสุดท้ายกลับมาโผล่ในร่างของสาวน้อยที่อ่อนเยาว์กว่าร่างเก่านับสิบปีเนี่ยนะ
ควรดีใจหรือเสียใจดีล่ะ
ริมฝีปากเม้มแน่นอย่างข่มอารมณ์มิให้พลุ่งพล่าน นางรีบลุกขึ้นนั่ง เร่งเดินพลังลมปราณ ปรารถนาสลับร่าง คืนวิญญาณ
ทว่าไม่ทันการแล้ว เพราะยามนี้มันผสานและผนึกหลอมรวมร่างกายกับวิญญาณเป็นหนึ่งเดียวกันโดยสมบูรณ์
หลิ่งหลินค่อยๆยกเรียวนิ้วบอบบางดุจลำเทียนขึ้นสูง ส่องสะท้อนแสงตะวันเพื่อเพ่งมองให้ชัดเจนกระจ่างตา มิได้ฝัน นางยังไม่ตายจริงๆ นี่คือร่างใหม่ ที่วิญญาณได้อาศัย
นามใด?
ความทรงจำของร่างพลันพร่างพรู นึกย้อนค่อยรู้ได้ในทุกห้วงเวลาแต่ละวันหมื่นพันเหตุการณ์
ดรุณีน้อยผู้นี้มีนามว่า สวีหลิงเยี่ยน
เจ้าของร่างนี้เพิ่งถูกทำร้ายจิตใจสารพัด ถูกตัดรอนจากชายคนรัก ถูกมารดาไล่ออกจากบ้านจนไม่มีที่ไป จากนั้นยังถูกเด็กเร่ร่อนเดินชนจนพลัดตกน้ำอย่างไม่ใยดี จนรู้สึกทดท้อไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อปล่อยวิญญาณหลุดลอย เหลือเพียงกายหยาบว่างเปล่า กระทั่งนางที่ไม่ถึงฆาตเข้ามา
ดวงตาหลิ่งหลินพลันหรี่แคบ นางกำหมัดลุกขึ้นพรึบ ปีนจากริมตลิ่งชันขึ้นมามองหาเจ้าเด็กต่ำช้าอย่างรวดเร็ว
“ไปตายซะ” เขาลุกขึ้นพุ่งร่างเข้ามาตะปบจูรั่วซีแล้วตบตีฉาดใหญ่ “โอ๊ย! เฉินอี้ ท่านบ้าไปแล้วเรอะ”“ข้าจะฆ่าเจ้า”“กรี๊ด!”ทั้งสองตบตีพัลวันยิ่งกว่าสุนัขกัดกันเสียอีก สภาพยามนี้ทั้งเสื้อผ้าหน้าผมและบุคลิกเฉพาะบุคคลยิ่งกว่าขมุกขมัวมอมแมม เรียกว่าไม่เหลือสง่าราศีใดหวังเหลียนหรงนั่งมองภาพนั้นอย่างเวทนา พลางโบกมือส่งสัญญาณ “ไปจับแยกเสียหน่อย รำคาญยิ่ง”“ขอรับ”เมื่อสมุนสงบศึกด้วยการกดตัวจับมือไพล่หลังทั้งชายหญิงให้คุกเข่านิ่งๆ อยู่คนละมุมห้องขังได้แล้ว หวังเหลียนหรงหรี่ตาลงขณะเอ่ยกับจูรั่วซีต่ออีกว่า “เรื่องความโง่งมเกินบรรยายของเขานั้นช่างเถิด ตอนนั้นข้าถูกเนรเทศก็ปลงตกยอมจำนนคิดเพียงว่าขออยู่อย่างสงบสุขแดนไกล แต่เป็นเจ้าเองที่ไม่รามือ!”นางวางถ้วยชาลงบนโต๊ะดังปึกน้ำชากระชอก จูรั่วซีพลันสะดุ้งโหยง“เจ้าอย่าคิดว่าข้าไม่อาจสืบจนล่วงรู้ ครั้งที่ข้าถูกเนรเทศ เจ้าส่งนักฆ่ามาลอบสังหารข้าระหว่างทางอย่างจงใจให้ใกล้รังโจรพอดิบพอดี ข้าไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามีเพียงสองทางเลือก คือยอมตายกับหนีตายเข้าป่า และใช่ ข้าหนีตาย ถูกโจรป่าเถื่อนจับตัวไป ถูกทำให้หายตัวอย่างไร้ร่องรอย สตรีเลวทรามเช่นเจ้า ข้าสมควรป
จูรั่วซียิ่งตัวสั่นน้ำตาไหลพราก ปากละล่ำละลักว่า “เป็นเฉินอี้ที่โง่เอง เขาเบาปัญหาถึงเพียงนั้น ข้าใส่ความเจ้าแค่ผิวเผินเขาก็เชื่อ ทุกแผนการที่ข้าทำเพราะเขาไร้ปัญญา ข้าจึงแทบไม่ต้องเปลืองแรง”“อ้อ...เฉินอี้เขลาปานนั้นเชียว?”“ใช่ เขาโง่จะตาย” หวังเหลียนหรงยิ้ม “อา...เพราะเขารักเจ้าปะไรถึงเชื่อเจ้าอย่างหมดใจ”จูรั่วซีรู้สึกได้ถึงมีดเย็นเฉียบที่ข้างแก้มของตน “เขาหน้ามืดตาบอดเอง ทุกอย่างเป็นความผิดของเขา เจ้าปล่อยข้าไปเถอะ” นางพูดจนลิ้นแทบพันกัน “สาเหตุที่เจ้าต้องตกระกำลำบากล้วนเป็นเพราะเขา ไม่เกี่ยวกับข้า”เสียงของสองสตรีพูดคุยไปมาทำเฉินอี้หน้าคล้ำหวังเหลียนหรงหันมาถามเขา “ท่านได้ยินหรือไม่?”“รั่วซี เจ้า!”“ไม่เอาน่า” หวังเหลียนหรงหันกลับมาทางเขา ไล้มีดเล่มเดิมตรงสันกรามอีกครา “บุรุษหูเบาหน้ามืดตาบอดต้องถูกลงโทษอย่างไรดีเล่า?”“เจ้าจะทำอะไรอีก อย่า!” เฉินอี้เสียงเครียดหวังเหลียนหรงหรี่ตา “หูเบานักก็ต้องตัดหูซะ”ฉับ! “อ๊า....”ทันทีที่มีดสะบัด หูของเฉินอี้พลันขาดกระเด็น“ดวงตามืดบอดไม่มองสิ่งใดให้กระจ่างก็ไม่ต้องมองอีกต่อไป”ขวับ!หวังเหลียนหรงกรีดตาข้างหนึ่งของเฉินอี้“อ๊ากกกก”เสีย
“บุตรชายที่ท่านอุ้มชูหมายให้สืบบัลลังก์ทองเป็นเพียงลูกนอกสายเลือดที่นังหญิงชั่วนำมาสวมรอยตอนตั้งครรภ์ปลอม”ม่านตาเฉินอี้พลันหดแคบลงอย่างที่สุด “อ่ะ อะไรนะ?”หวังเหลียนหรงยังคงยิ้ม “ท่านถามนางดูสิ”“จูรั่วซี!” เฉินอี้หันไปตวาดถามสตรีด้านข้าง “เป็นจริงอย่างที่นางพูดหรือไม่?” คนถูกถามได้แต่บื้อใบ้ นางเอาแต่เบิกตามองหวังเหลียนหรงอย่างไม่อยากเชื่อว่าอีกฝ่ายรู้ได้อย่างไร ไม่ ไม่จริง เป็นไปไม่ได้ นี่คือความลับอย่างที่สุด นางทำอย่างแยบยลที่สุด หลายปีไม่มีใครรู้เลยสักคนจูรั่วซีส่ายหน้าระรัว ทว่าในดวงตาที่สั่นไหวกลับเผยความนัยชัดเจนและนั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับคำตอบเฉินอี้พยายามดึงแขนออกจากแท่นตรึงไปเขย่าร่างของจูรั่วซีมาเค้นถามให้รู้เรื่องมากกว่านี้แต่ทำไม่ได้ เขาจึงหันมาคำรามใส่อดีตชายาเสียงเข้ม “ปล่อยข้า!”หวังเหลียนหรงไม่ทำตามเพียงแย้มยิ้มเฉิดฉาย “ไม่เจอกันนานเลยนะสามีข้า นิสัยของท่านก็เช่นนี้ หลายปีไม่เคยเปลี่ยน หยิ่งยโสทระนงคิดว่าตนยิ่งใหญ่เหนือใครในใต้หล้าเสียเต็มประดา ยามนี้ยังกล้าสั่งข้า? ฮึ! ช่างไม่เจียมตน!” วาจาปลายประโยคของนางเย็นชาพลางยกมีดขึ้นไล้ตามสันกรามคมคายที่เคยหล่อเหลาขาว
ในคุกใต้ดิน บุรุษและสตรีถูกตรึงไว้บนไม้ทั้งสองแม้จะอยู่ภายใต้อาภรณ์สีขมุกขมัว และเนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือดเปรอะเปื้อนเกรอะกรัง แต่ก็ยังพอมองออกว่ารูปงามปานใด ผิวพรรณขาวกระจ่างอย่างคนสุภาพดีแค่ไหนหวังเหลียนหรงพลันนึกตัวเองที่ตรงกันข้าม ผิวพรรณของนางเดิมทีดีมาก หากแต่เพราะอยู่รังโจรหลายปีนั้นผิวนางทั้งหยาบกระด้างและหม่นหมองสุขภาพก็ไม่สมบูรณ์แข็งแรงดุจเก่า ถูกชำเราถูกย่ำยีจนนับครั้งไม่ถ้วน ผลพวงจากการถูกเคี่ยวกรำทำให้ทุกวันนี้มีโรคเรื้อรังติดกาย แม้อยู่สุขสบายดีขึ้นแต่จะตายวันตายพรุ่งก็ยังไม่รู้ยิ่งคิดถึงเรื่องเหล่านี้ คิดถึงคืนวันที่บัดซบสิ้นดี หวังเหลียนหรงก็ยิ่งมองอดีตสามีกับหญิงชู้ของเขาด้วยสายตาชิงชังเคียดแค้นเป็นหมื่นเท่าพันทวี“เจ้าจงมองให้ดี สองคนนี้คือคนที่ทำให้ชีวิตพวกเราแม่ลูกอัปยศยิ่งกว่าตกนรกทั้งเป็นยี่สิบกว่าปี”หลิ่งเฮ่อยืนด้านข้างมารดามองผู้เป็นบิดาอย่างเย็นชา “ได้พบหน้าเสียที ข้าไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะมีใบหน้าเหมือนเขาถึงเพียงนี้”ชายหนุ่มไม่เคยมีความคิดเรียกเฉินอี้ว่าท่านพ่อ สรรพนามจึงห่างเหินปานนั้นสวีหลิงเยี่ยนในร่างหลิ่งหลินก็อยู่ด้วยนางว่า“ยิ่งมองยิ่งเหมือน ไม่บ
นานร่วมเดือนจึงพากันออกมาประลองยุทธที่ลานฝึกด้านนอก บางครั้งยังพากันออกไปฝึกฝนบนยอดภูผา ใช้ทักษะการเอาชีวิตรอดกลางป่ากินคน ดำดิ่งลงสู้ก้นทะเลสาบมรณะ ระหว่างนั้นยังฝึกทักษะการเผชิญหน้าต่อสถานการณ์เลวร้ายรูปแบบต่างๆ เรียกว่าสอนสั่งอย่างครบถ้วนยิ่งกว่าศิษย์อาจารย์ระหว่างหลิ่งหลินกับสวีหลิงเยี่ยนนั้นเรียกว่ายอดฝีมือปะทะยอดฝีมือโดยแท้ ร่างเก่าของหลิ่งหลินฝึกสรรพวิชาจนสำเร็จขั้นสุดยอดเพียงถ่ายทอดให้วิญญาณได้รู้จักนำพลังที่แท้จริงออกมาใช้ก็เท่านั้น ส่วนร่างของสวีหลิงเยี่ยน เมื่อได้วิญญาณหลิ่งหลินครอบครองพร้อมปราณพิเศษที่ตามติดมาด้วยกัน ทำให้นางที่เป็นคนสอนกลับพัฒนาพลังให้ร่างกายตนได้เช่นกัน สตรีสองคนจึงกลายร่างเป็นนางมารสองตัว ความน่ากลัวในฝีมือยุทธไต่ระดับขึ้นสูงจนทัดเทียมริมลานฝึกนั้น หลิ่งเฮ่อกับจ้าวหมิงอวี่กำลังนั่งจิบชาเดินหมาก สนทนาอย่างไม่มีเบื่อหน่ายในฐานะสามี บุรุษทั้งสองล้วนต้องอยู่ให้กำลังใจภรรยา คอยดูแลส่งข้าวส่งน้ำมิขาดสาย “องค์ชายดูสบายอกสบายใจเหลือเกินนะ” หลิ่งเฮ่อเอ่ยกับอีกฝ่ายที่เดินหมากด้วยกันจ้าวหมิงอวี่คลี่ยิ้มมุมปาก หากเป็นเมื่อก่อน เขาไม่มีทางอารมณ์ดียามอยู่กับหลิ่
ท้องนภากว้างมืดมิด ดวงดาวระยิบระยับ สาดส่องทั่วพสุธา ลมหนาวดุจคมมีด กรีดเฉือนเนื้อคนลานฝึกขนาดใหญ่กลางพงไพรไร้ศาสตรา บริเวณนี้เป็นเชิงเขาชายป่าเชื่อมลานฝึกยุทธวิถี หลิ่งหลินในร่างดรุณีตัวเล็กอายุสิบหกปียืนตระหง่านเบื้องหน้าสตรีตัวสูงวัยยี่สิบห้าอย่างท้าทายนางสูงเพียงครึ่งศีรษะของอีกฝ่าย ทั้งยังต้องเงยหน้าจนเมื่อยลำคอไปหมด“ว่าอย่างไร? หากเจ้าไม่สู้ ข้าจะเก็บตัวฝึกวิชาอสูรผลัดกายแล้วนะ รับรองได้ว่าใช้เวลาเพียงไม่นาน ข้าจะสามารถเรียกร่างของตัวเองคืนมาได้ในพริบตา”สวีหลิงเยี่ยนก้มมองร่างเก่าของตนเงียบงัน ความหมายนั้นมิใช่เรียกสามีคืนด้วยหรือไร?ในที่สุดสวีหลิงเยี่ยนก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด “ได้ ข้าจะสู้”“ดี” หลิ่งหลินเสียงเข้มขึ้น “เจ้าจงสาบาน! ไม่ว่าเจ็บเจียนตาย จะรักษาร่างนี้เอาไว้ให้ดีที่สุด”“ได้ ข้าสาบาน” สวีหลิงเยี่ยนสูดลมหายใจลึก เริ่มฮึกเหิมโดยไม่รู้ตัว เพื่อได้อยู่กับหลิ่งเฮ่อต่อไป นางจะต้องสู้“ลงมือ!”หลิ่งหลินพาร่างเล็กของตนพุ่งกระโจนใส่อีกคนที่ตัวโตสูงกว่า การต่อสู้เกิดขึ้นกลางลานกว้างนั้นทันที เพียงแต่มิได้รุนแรงดังที่สวีหลิงเยี่ยนนึกหวาดหวั่น“ท่านออมแรงให้ข้าหรือ?” สวี







