เข้าสู่ระบบแน่นอนว่าพวกมันไม่ได้อยู่บริเวณนี้แล้ว แต่ไม่เป็นไร อย่าให้เจออีกแล้วกัน นางจะจัดการให้สาสมเลย คอยดู!
นอกจากความทรงจำ ยังมีทุกความรู้สึกจู่โจมถาโถม ทั้งเงียบเหงาเดียวดาย เปล่าเปลี่ยวอ้างว้าง โศกเศร้าอาดูร น้อยเนื้อต่ำใจ ด้อยค่าตัวเอง สรุปได้ว่า ‘ตัวคนเดียวไร้ที่พึ่ง’ จนอยากตายซ้ำๆ อีกสักร้อยหน
หลิ่งหลินยกมือขึ้นกุมหน้าอกตน รับรู้ถึงความรู้สึกอันหนึบหน่วงในหัวใจที่บอบช้ำ กระแสเย็นจัดชนิดหนึ่งแล่นลามจนหนาวเหน็บเข้าไปถึงกึ่งกลางขั้วหัวใจ
สตรีผู้หนึ่งถูกคาดหวังให้เกิดมาเป็นบุรุษ ท้ายที่สุด เมื่อมิได้ดังใจหมาย กลับกลายเป็นบุตรสาวไร้ค่า ไร้ตัวตน ไม่มีใครชายตามองนางอย่างรักใคร่ห่วงใยเลยสักคน มีเพียงผลักไสให้ไกลตา
นางจึงทำได้เพียงยอมรับชะตา กลายเป็นคนอ่อนแอและยอมแพ้แม้แต่เรียกร้องวาสนาที่ควรเป็นของตนยังมิกล้า
คิดไปคิดมาจากนั้นพลันส่ายหน้าพรืด ไม่ยินดีสักนิด บ้าไปแล้ว มัวแต่รู้สึกแบบนั้นช่างเสียเวลาชีวิตยิ่งนัก
สาวน้อยเอ๋ย ผู้อื่นไม่รัก เราก็แค่รักตัวเองสิ!
นอกจากรักตัวเองแล้วยังต้องทำตนให้ยิ่งใหญ่ด้วย...
หลิ่งหลินแค่นเสียงเฮอะ มัวแต่เศร้าช่างโง่เขลา เราต้องไต่เต้าเกริกไกรรอวันกลับมาเอาคืนปะไรหึหึ! ฟุ้งซ่านเสร็จ หญิงสาวหลับตาลงอย่างต้องการใช้ความคิดต่อ
ชีวิตนี้ นางควรตกใจสิ่งใดก่อนดี ถูกคนสนิทสังหารแย่งชิงสำนักมารและถูกโชคชะตาเล่นตลก ตายแต่ไม่ตาย กลายเป็นวิญญาณร้ายเข้าสิงสาวน้อยผู้ต่ำต้อยน่าสงสาร
ที่สำคัญ นางไม่ได้อยู่แดนนักรบในหุบเขาปีศาจ! แต่อยู่ในแคว้นต้าอันที่ไกลโพ้น
หลิ่งหลินลืมตาพรึบ มองซ้ายมองขวาเร็วๆ อีกครา
ยามนี้นังเจียเย่คงยึดร่างของนางเอาไว้สินะ!
ช่างบัดซบสิ้นดี!
แน่นอนนางต้องการกลับไปยังสถานที่แห่งตน ที่นั่นมีสำนักไพรีพิฆาตที่ยิ่งใหญ่ มีสมุนมารนับหมื่นใต้อาณัติ มีอาณาจักรต้องปกครอง มีอำนาจให้ครอบครอง
ฝ่ามือน้อยๆ กำเป็นหมัดแน่น ดวงตาหลิ่งหลินหรี่ลง คงต้องยอมเป็นสวีหลิงเยี่ยนไปก่อน แค่ย้ายร่างไม่นับว่าตาย เมื่อไม่ตาย ชีวิตก็ยังต้องดำเนินต่อไป ค่อยๆเป็นค่อยๆไป
ค่อยหาวิธีกลับไปแก้แค้น...
หลิ่งหลินคิดเรื่อยเปื่อยขณะพาร่างเปียกชื้นกลับเข้าจวนสกุลสวีแล้วถือโอกาสสำรวจรอบๆ ก่อนเข้าเรือนพักของร่างใหม่
หญิงสาวลอบมองซ้ายมองขวา มองประตูทุกบาน ทางทุกเส้นในจวนสกุลสวี กระทั่งเข้ามาถึงเรือนด้านใน แน่นอนว่าทุกทิศล้วนติดตรึงในความทรงจำของร่างนี้ แต่ยังต้องสังเกตให้ละเอียดรอบคอบอีกทีอยู่ดี
นางตั้งใจทำตัวเสมือนงูพิษในทะเลทราย ฝังกายใต้ผืนผสุธา กลืนกินไปกับฝุ่นดินและเม็ดทรายเสมือนมายา รอวันชูคอผงาดกล้าขึ้นมา เมื่อวันนั้นมาถึงจะฉกกัดศัตรูให้ตายอย่างทรมานสาสมเลยคอยดู!
ในห้องมีสาวใช้อยู่หนึ่งคน กำลังนั่งหลับสัปหงก คล้ายรอเจ้านายด้วยท่าทางเกียจคร้าน
หลิ่งหลินยืนมอง เห็นแล้วก็ว่าไม่แปลกที่ก่อนนี้สาวใช้ไม่ได้ติดตามสวีหลิงเยี่ยน กระทั่งสวีหลิงเยี่ยนตกน้ำ ดูท่านอนขี้เซานั่นปะไร เหมือนไม่เคยคิดจะลุกขึ้นมาทำงาน เจ้านายเป็นแค่สาวน้อยที่อ่อนแอขี้ขลาดขนาดนี้ แต่สาวใช้กลับไม่ปรนนิบัติอย่างจริงใจ ไม่คอยดูแล ไม่ตามปกป้องใดๆ
จะมีไว้ทำไม?
“ไปตายซะ” เขาลุกขึ้นพุ่งร่างเข้ามาตะปบจูรั่วซีแล้วตบตีฉาดใหญ่ “โอ๊ย! เฉินอี้ ท่านบ้าไปแล้วเรอะ”“ข้าจะฆ่าเจ้า”“กรี๊ด!”ทั้งสองตบตีพัลวันยิ่งกว่าสุนัขกัดกันเสียอีก สภาพยามนี้ทั้งเสื้อผ้าหน้าผมและบุคลิกเฉพาะบุคคลยิ่งกว่าขมุกขมัวมอมแมม เรียกว่าไม่เหลือสง่าราศีใดหวังเหลียนหรงนั่งมองภาพนั้นอย่างเวทนา พลางโบกมือส่งสัญญาณ “ไปจับแยกเสียหน่อย รำคาญยิ่ง”“ขอรับ”เมื่อสมุนสงบศึกด้วยการกดตัวจับมือไพล่หลังทั้งชายหญิงให้คุกเข่านิ่งๆ อยู่คนละมุมห้องขังได้แล้ว หวังเหลียนหรงหรี่ตาลงขณะเอ่ยกับจูรั่วซีต่ออีกว่า “เรื่องความโง่งมเกินบรรยายของเขานั้นช่างเถิด ตอนนั้นข้าถูกเนรเทศก็ปลงตกยอมจำนนคิดเพียงว่าขออยู่อย่างสงบสุขแดนไกล แต่เป็นเจ้าเองที่ไม่รามือ!”นางวางถ้วยชาลงบนโต๊ะดังปึกน้ำชากระชอก จูรั่วซีพลันสะดุ้งโหยง“เจ้าอย่าคิดว่าข้าไม่อาจสืบจนล่วงรู้ ครั้งที่ข้าถูกเนรเทศ เจ้าส่งนักฆ่ามาลอบสังหารข้าระหว่างทางอย่างจงใจให้ใกล้รังโจรพอดิบพอดี ข้าไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามีเพียงสองทางเลือก คือยอมตายกับหนีตายเข้าป่า และใช่ ข้าหนีตาย ถูกโจรป่าเถื่อนจับตัวไป ถูกทำให้หายตัวอย่างไร้ร่องรอย สตรีเลวทรามเช่นเจ้า ข้าสมควรป
จูรั่วซียิ่งตัวสั่นน้ำตาไหลพราก ปากละล่ำละลักว่า “เป็นเฉินอี้ที่โง่เอง เขาเบาปัญหาถึงเพียงนั้น ข้าใส่ความเจ้าแค่ผิวเผินเขาก็เชื่อ ทุกแผนการที่ข้าทำเพราะเขาไร้ปัญญา ข้าจึงแทบไม่ต้องเปลืองแรง”“อ้อ...เฉินอี้เขลาปานนั้นเชียว?”“ใช่ เขาโง่จะตาย” หวังเหลียนหรงยิ้ม “อา...เพราะเขารักเจ้าปะไรถึงเชื่อเจ้าอย่างหมดใจ”จูรั่วซีรู้สึกได้ถึงมีดเย็นเฉียบที่ข้างแก้มของตน “เขาหน้ามืดตาบอดเอง ทุกอย่างเป็นความผิดของเขา เจ้าปล่อยข้าไปเถอะ” นางพูดจนลิ้นแทบพันกัน “สาเหตุที่เจ้าต้องตกระกำลำบากล้วนเป็นเพราะเขา ไม่เกี่ยวกับข้า”เสียงของสองสตรีพูดคุยไปมาทำเฉินอี้หน้าคล้ำหวังเหลียนหรงหันมาถามเขา “ท่านได้ยินหรือไม่?”“รั่วซี เจ้า!”“ไม่เอาน่า” หวังเหลียนหรงหันกลับมาทางเขา ไล้มีดเล่มเดิมตรงสันกรามอีกครา “บุรุษหูเบาหน้ามืดตาบอดต้องถูกลงโทษอย่างไรดีเล่า?”“เจ้าจะทำอะไรอีก อย่า!” เฉินอี้เสียงเครียดหวังเหลียนหรงหรี่ตา “หูเบานักก็ต้องตัดหูซะ”ฉับ! “อ๊า....”ทันทีที่มีดสะบัด หูของเฉินอี้พลันขาดกระเด็น“ดวงตามืดบอดไม่มองสิ่งใดให้กระจ่างก็ไม่ต้องมองอีกต่อไป”ขวับ!หวังเหลียนหรงกรีดตาข้างหนึ่งของเฉินอี้“อ๊ากกกก”เสีย
“บุตรชายที่ท่านอุ้มชูหมายให้สืบบัลลังก์ทองเป็นเพียงลูกนอกสายเลือดที่นังหญิงชั่วนำมาสวมรอยตอนตั้งครรภ์ปลอม”ม่านตาเฉินอี้พลันหดแคบลงอย่างที่สุด “อ่ะ อะไรนะ?”หวังเหลียนหรงยังคงยิ้ม “ท่านถามนางดูสิ”“จูรั่วซี!” เฉินอี้หันไปตวาดถามสตรีด้านข้าง “เป็นจริงอย่างที่นางพูดหรือไม่?” คนถูกถามได้แต่บื้อใบ้ นางเอาแต่เบิกตามองหวังเหลียนหรงอย่างไม่อยากเชื่อว่าอีกฝ่ายรู้ได้อย่างไร ไม่ ไม่จริง เป็นไปไม่ได้ นี่คือความลับอย่างที่สุด นางทำอย่างแยบยลที่สุด หลายปีไม่มีใครรู้เลยสักคนจูรั่วซีส่ายหน้าระรัว ทว่าในดวงตาที่สั่นไหวกลับเผยความนัยชัดเจนและนั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับคำตอบเฉินอี้พยายามดึงแขนออกจากแท่นตรึงไปเขย่าร่างของจูรั่วซีมาเค้นถามให้รู้เรื่องมากกว่านี้แต่ทำไม่ได้ เขาจึงหันมาคำรามใส่อดีตชายาเสียงเข้ม “ปล่อยข้า!”หวังเหลียนหรงไม่ทำตามเพียงแย้มยิ้มเฉิดฉาย “ไม่เจอกันนานเลยนะสามีข้า นิสัยของท่านก็เช่นนี้ หลายปีไม่เคยเปลี่ยน หยิ่งยโสทระนงคิดว่าตนยิ่งใหญ่เหนือใครในใต้หล้าเสียเต็มประดา ยามนี้ยังกล้าสั่งข้า? ฮึ! ช่างไม่เจียมตน!” วาจาปลายประโยคของนางเย็นชาพลางยกมีดขึ้นไล้ตามสันกรามคมคายที่เคยหล่อเหลาขาว
ในคุกใต้ดิน บุรุษและสตรีถูกตรึงไว้บนไม้ทั้งสองแม้จะอยู่ภายใต้อาภรณ์สีขมุกขมัว และเนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือดเปรอะเปื้อนเกรอะกรัง แต่ก็ยังพอมองออกว่ารูปงามปานใด ผิวพรรณขาวกระจ่างอย่างคนสุภาพดีแค่ไหนหวังเหลียนหรงพลันนึกตัวเองที่ตรงกันข้าม ผิวพรรณของนางเดิมทีดีมาก หากแต่เพราะอยู่รังโจรหลายปีนั้นผิวนางทั้งหยาบกระด้างและหม่นหมองสุขภาพก็ไม่สมบูรณ์แข็งแรงดุจเก่า ถูกชำเราถูกย่ำยีจนนับครั้งไม่ถ้วน ผลพวงจากการถูกเคี่ยวกรำทำให้ทุกวันนี้มีโรคเรื้อรังติดกาย แม้อยู่สุขสบายดีขึ้นแต่จะตายวันตายพรุ่งก็ยังไม่รู้ยิ่งคิดถึงเรื่องเหล่านี้ คิดถึงคืนวันที่บัดซบสิ้นดี หวังเหลียนหรงก็ยิ่งมองอดีตสามีกับหญิงชู้ของเขาด้วยสายตาชิงชังเคียดแค้นเป็นหมื่นเท่าพันทวี“เจ้าจงมองให้ดี สองคนนี้คือคนที่ทำให้ชีวิตพวกเราแม่ลูกอัปยศยิ่งกว่าตกนรกทั้งเป็นยี่สิบกว่าปี”หลิ่งเฮ่อยืนด้านข้างมารดามองผู้เป็นบิดาอย่างเย็นชา “ได้พบหน้าเสียที ข้าไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะมีใบหน้าเหมือนเขาถึงเพียงนี้”ชายหนุ่มไม่เคยมีความคิดเรียกเฉินอี้ว่าท่านพ่อ สรรพนามจึงห่างเหินปานนั้นสวีหลิงเยี่ยนในร่างหลิ่งหลินก็อยู่ด้วยนางว่า“ยิ่งมองยิ่งเหมือน ไม่บ
นานร่วมเดือนจึงพากันออกมาประลองยุทธที่ลานฝึกด้านนอก บางครั้งยังพากันออกไปฝึกฝนบนยอดภูผา ใช้ทักษะการเอาชีวิตรอดกลางป่ากินคน ดำดิ่งลงสู้ก้นทะเลสาบมรณะ ระหว่างนั้นยังฝึกทักษะการเผชิญหน้าต่อสถานการณ์เลวร้ายรูปแบบต่างๆ เรียกว่าสอนสั่งอย่างครบถ้วนยิ่งกว่าศิษย์อาจารย์ระหว่างหลิ่งหลินกับสวีหลิงเยี่ยนนั้นเรียกว่ายอดฝีมือปะทะยอดฝีมือโดยแท้ ร่างเก่าของหลิ่งหลินฝึกสรรพวิชาจนสำเร็จขั้นสุดยอดเพียงถ่ายทอดให้วิญญาณได้รู้จักนำพลังที่แท้จริงออกมาใช้ก็เท่านั้น ส่วนร่างของสวีหลิงเยี่ยน เมื่อได้วิญญาณหลิ่งหลินครอบครองพร้อมปราณพิเศษที่ตามติดมาด้วยกัน ทำให้นางที่เป็นคนสอนกลับพัฒนาพลังให้ร่างกายตนได้เช่นกัน สตรีสองคนจึงกลายร่างเป็นนางมารสองตัว ความน่ากลัวในฝีมือยุทธไต่ระดับขึ้นสูงจนทัดเทียมริมลานฝึกนั้น หลิ่งเฮ่อกับจ้าวหมิงอวี่กำลังนั่งจิบชาเดินหมาก สนทนาอย่างไม่มีเบื่อหน่ายในฐานะสามี บุรุษทั้งสองล้วนต้องอยู่ให้กำลังใจภรรยา คอยดูแลส่งข้าวส่งน้ำมิขาดสาย “องค์ชายดูสบายอกสบายใจเหลือเกินนะ” หลิ่งเฮ่อเอ่ยกับอีกฝ่ายที่เดินหมากด้วยกันจ้าวหมิงอวี่คลี่ยิ้มมุมปาก หากเป็นเมื่อก่อน เขาไม่มีทางอารมณ์ดียามอยู่กับหลิ่
ท้องนภากว้างมืดมิด ดวงดาวระยิบระยับ สาดส่องทั่วพสุธา ลมหนาวดุจคมมีด กรีดเฉือนเนื้อคนลานฝึกขนาดใหญ่กลางพงไพรไร้ศาสตรา บริเวณนี้เป็นเชิงเขาชายป่าเชื่อมลานฝึกยุทธวิถี หลิ่งหลินในร่างดรุณีตัวเล็กอายุสิบหกปียืนตระหง่านเบื้องหน้าสตรีตัวสูงวัยยี่สิบห้าอย่างท้าทายนางสูงเพียงครึ่งศีรษะของอีกฝ่าย ทั้งยังต้องเงยหน้าจนเมื่อยลำคอไปหมด“ว่าอย่างไร? หากเจ้าไม่สู้ ข้าจะเก็บตัวฝึกวิชาอสูรผลัดกายแล้วนะ รับรองได้ว่าใช้เวลาเพียงไม่นาน ข้าจะสามารถเรียกร่างของตัวเองคืนมาได้ในพริบตา”สวีหลิงเยี่ยนก้มมองร่างเก่าของตนเงียบงัน ความหมายนั้นมิใช่เรียกสามีคืนด้วยหรือไร?ในที่สุดสวีหลิงเยี่ยนก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด “ได้ ข้าจะสู้”“ดี” หลิ่งหลินเสียงเข้มขึ้น “เจ้าจงสาบาน! ไม่ว่าเจ็บเจียนตาย จะรักษาร่างนี้เอาไว้ให้ดีที่สุด”“ได้ ข้าสาบาน” สวีหลิงเยี่ยนสูดลมหายใจลึก เริ่มฮึกเหิมโดยไม่รู้ตัว เพื่อได้อยู่กับหลิ่งเฮ่อต่อไป นางจะต้องสู้“ลงมือ!”หลิ่งหลินพาร่างเล็กของตนพุ่งกระโจนใส่อีกคนที่ตัวโตสูงกว่า การต่อสู้เกิดขึ้นกลางลานกว้างนั้นทันที เพียงแต่มิได้รุนแรงดังที่สวีหลิงเยี่ยนนึกหวาดหวั่น“ท่านออมแรงให้ข้าหรือ?” สวี







