LOGINหลิ่งหลินไม่รู้ว่าเจียเย่แอบฝึกวิชามารนี้ตั้งแต่เมื่อใด ยิ่งมิอาจคาดคิดว่าบุปผาวารีที่เลี้ยงไว้มีผลกับอวิชาโดยตรง
เพียงเสี้ยวเวลา ยามที่ร่างกายกำลังอยู่ช่วงกึ่งหลุดพ้นกึ่งบรรลุไปสู่ขั้นตบะแห่งปราณบริสุทธิ์ขั้นสูง ทั้งตัวเสมือนอยู่ในใยไหมบางเบาภายใต้ผลึกแก้วยึดตรึง เพื่อแผ่ซ่านม่านพลัง กลับถูกสมุนอ่อนเยาว์คนสนิทหักหลัง
นางซึ่งกำลังอยู่ในช่วงเวลาแห่งสภาวะอ่อนแอที่สุดเพื่อไปสู่ความแข็งแกร่งที่สุดในหล้าย่อมเสียท่าอย่างง่ายดาย
ขณะที่หลิ่งหลินมิอาจขยับเขยื้อนได้ เจียเย่พุ่งเข้ามา ใช้วิชาปักษาธาราวายุหมุนผสานเมฆาไร้ฝน กระแทกฝ่ามือใส่ใยไหมผลึกแก้วของหลิ่งหลินไม่ยั้ง
เสียงปริแตกเกิดขึ้นก่อนจะพังพาบทลายลงมาพริบตา ไร้เสียงไร้ฝุ่น มีเพียงหมอกควันสีขาวกับไอหนาวแผ่กระจายรอบกายอย่างเงียบงัน
หลิ่งหลินเบิกตา เห็นเพียงเจียเย่เข้ามาประชิดและรีบยัดยาถอนพิษใส่ปากนางอย่างรวดเร็ว
ยาถอนพิษออกฤทธิ์ในขณะที่เสี้ยวลมหายใจขาดห้วง อึก! หลิ่งหลินกลืนก้อนสะอึกของลมหายใจสุดท้ายลงคอ
ชั่วแวบเดียว สบจังหวะวิญญาณหลิ่งหลินลอยละลิ่วออกมาจากร่าง พลันมีแสงสีทองสว่างวาบ ทั้งร่างของเจียเย่ที่ยืนตระหง่านเบื้องหน้าพลันล้มตึง และแน่นิ่งไป อึดใจต่อมา วิญญาณของเจียเย่ก็พุ่งออกมาในเสี้ยวเวลา
เป้าหมายคือย้ายร่างสลับวิญญาณ
เจียเย่ต้องเข้ามาอยู่ในร่างของหลิ่งหลินเท่านั้น ทั้งสมุนนับหมื่นและสามีรูปงามก็จะตกเป็นของนางทั้งหมด
พริบตานั้นหลิ่งหลินก็มาในอยู่ร่างของสมุนทรยศ และเจียเย่ซึ่งอยู่ในร่างของนางก็สำเร็จวิชาขั้นสุดท้าย
เป็นการคำนวณเวลาได้เหมาะเจาะสุดยอดขั้นสุด
เมื่อเข้ามาในร่างที่เต็มไปด้วยพลังตบะและปราณที่กำลังไหลวนอย่างเข้มข้นได้แล้ว เจียเย่ในร่างของนายหญิงพลันตะเบ็งเสียงอย่างโอหังใส่หลิ่งหลินในร่างเดิมของตน
“ต่อไปข้าคือนายหญิงใหญ่ เจ้าสำนักไพรีพิฆาต ร่างกายนี้เป็นของข้า สามีเจ้าคือสามีข้า ส่วนเจ้าคือเจียเย่!”
จากนั้นก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ท่าทางคล้ายหญิงบ้า ดวงตาแดงเถือก โหนกแก้มแดงก่ำ น่าเกลียดมาก
หลิ่งหลินไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าตัวเองจะกลายเป็นสตรีที่อัปลักษณ์ได้ปานนั้น
ชั่วขณะตกตะลึงกับตัวเองที่มิใช่ตัวเองอีกต่อไป เหล่าสมุนมารพลันกรูเข้ามารอบทิศทางด้วยอาวุธพร้อมมือ
เป็นเจียเย่ในร่างหลิ่งหลินแอบกดศิลาสลักปักษาตรงผนังส่งสัญญาณจากกระดิ่งเงาเรียกสมุนมารที่เฝ้าคุมอยู่ด้านนอกให้พากันเข้ามา
นางให้รู้สึกสะใจยิ่งนัก รีบเยาะหยันเจ้านายเก่า
“ไม่มีใครช่วยเจ้า ยิ่งไม่มีใครเชื่อฟังเจ้าอีกต่อไป” ก่อนตะโกนขึ้นว่า “ฆ่าเจียเย่เสีย! นางคือคนทรยศ!”
บัดซบ!
หลิ่งหลินในร่างเจียเย่สบถคำหยาบออกมาได้แค่นั้น ก่อนจะโรมรันกับเหล่าสมุนพัลวัน การต่อสู้กับพวกเดียวกันเกิดขึ้นอย่างเหี้ยมโหด ไม่มีใครยอมใคร
เจียเย่ในร่างหลิ่งหลินยังคงชี้นิ้วสั่งตาย
“ฆ่ามัน!”
สมุนกรูกันเข้าหาพร้อมอาวุธคมกริบ “ฆ่า!”
หลิ่งหลินในร่างเจียเย่รีบพุ่งกายทะยานขึ้นสูง มิใช่เพื่อหลบหลีก แต่นางกำลังต่อสู้กับบางสิ่งในตัวเอง
ไม่มีทาง นางไม่ยอมตาย ยิ่งไม่มีทางอยู่ในร่างนี้
หลิ่งหลินสู้จนลมหายใจเสี้ยวสุดท้าย
นางมิได้สู้กับสมุนแต่กำลังสู้กับตัวเอง
พลังปราณมหาศาลที่ติดตรึงมากับวิญญาณส่งผลให้กลิ่นอายพญามารแผ่ซ่านครอบคลุมเรือนร่างของเจียเย่ที่มีจิตวิญญาณหลิ่งหลินอาศัย นางฝืนเดินลมปราณที่เพิ่งแตกฉาน จนกระทั่งแก่นวิญญาณที่ชั่วร้ายผุดพรายออกมาเป็นควันและกำลังต่อต้านร่างกายไม่พึงประสงค์
พลังจิตสังหารท่วมท้น กระชากวิญญาณผู้ทรยศอย่างบ้าคลั่ง
“กรี๊ด...”
เสียงกรีดร้องโหยหวนดังจากริมฝีปากของเจียเย่และร่างเก่าของหลิ่งหลิน ก่อนล้มตึงแน่นิ่งไป
“นายหญิง!”
ภายใต้ภาวะตึงเครียดและในถ้ำศักดิ์สิทธิ์ที่เย็นเยียบ เหตุการณ์นี้ล้วนเป็นปริศนา เหล่าสมุนมารมิรู้ว่าเกิดสิ่งใด
“ไปตายซะ” เขาลุกขึ้นพุ่งร่างเข้ามาตะปบจูรั่วซีแล้วตบตีฉาดใหญ่ “โอ๊ย! เฉินอี้ ท่านบ้าไปแล้วเรอะ”“ข้าจะฆ่าเจ้า”“กรี๊ด!”ทั้งสองตบตีพัลวันยิ่งกว่าสุนัขกัดกันเสียอีก สภาพยามนี้ทั้งเสื้อผ้าหน้าผมและบุคลิกเฉพาะบุคคลยิ่งกว่าขมุกขมัวมอมแมม เรียกว่าไม่เหลือสง่าราศีใดหวังเหลียนหรงนั่งมองภาพนั้นอย่างเวทนา พลางโบกมือส่งสัญญาณ “ไปจับแยกเสียหน่อย รำคาญยิ่ง”“ขอรับ”เมื่อสมุนสงบศึกด้วยการกดตัวจับมือไพล่หลังทั้งชายหญิงให้คุกเข่านิ่งๆ อยู่คนละมุมห้องขังได้แล้ว หวังเหลียนหรงหรี่ตาลงขณะเอ่ยกับจูรั่วซีต่ออีกว่า “เรื่องความโง่งมเกินบรรยายของเขานั้นช่างเถิด ตอนนั้นข้าถูกเนรเทศก็ปลงตกยอมจำนนคิดเพียงว่าขออยู่อย่างสงบสุขแดนไกล แต่เป็นเจ้าเองที่ไม่รามือ!”นางวางถ้วยชาลงบนโต๊ะดังปึกน้ำชากระชอก จูรั่วซีพลันสะดุ้งโหยง“เจ้าอย่าคิดว่าข้าไม่อาจสืบจนล่วงรู้ ครั้งที่ข้าถูกเนรเทศ เจ้าส่งนักฆ่ามาลอบสังหารข้าระหว่างทางอย่างจงใจให้ใกล้รังโจรพอดิบพอดี ข้าไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามีเพียงสองทางเลือก คือยอมตายกับหนีตายเข้าป่า และใช่ ข้าหนีตาย ถูกโจรป่าเถื่อนจับตัวไป ถูกทำให้หายตัวอย่างไร้ร่องรอย สตรีเลวทรามเช่นเจ้า ข้าสมควรป
จูรั่วซียิ่งตัวสั่นน้ำตาไหลพราก ปากละล่ำละลักว่า “เป็นเฉินอี้ที่โง่เอง เขาเบาปัญหาถึงเพียงนั้น ข้าใส่ความเจ้าแค่ผิวเผินเขาก็เชื่อ ทุกแผนการที่ข้าทำเพราะเขาไร้ปัญญา ข้าจึงแทบไม่ต้องเปลืองแรง”“อ้อ...เฉินอี้เขลาปานนั้นเชียว?”“ใช่ เขาโง่จะตาย” หวังเหลียนหรงยิ้ม “อา...เพราะเขารักเจ้าปะไรถึงเชื่อเจ้าอย่างหมดใจ”จูรั่วซีรู้สึกได้ถึงมีดเย็นเฉียบที่ข้างแก้มของตน “เขาหน้ามืดตาบอดเอง ทุกอย่างเป็นความผิดของเขา เจ้าปล่อยข้าไปเถอะ” นางพูดจนลิ้นแทบพันกัน “สาเหตุที่เจ้าต้องตกระกำลำบากล้วนเป็นเพราะเขา ไม่เกี่ยวกับข้า”เสียงของสองสตรีพูดคุยไปมาทำเฉินอี้หน้าคล้ำหวังเหลียนหรงหันมาถามเขา “ท่านได้ยินหรือไม่?”“รั่วซี เจ้า!”“ไม่เอาน่า” หวังเหลียนหรงหันกลับมาทางเขา ไล้มีดเล่มเดิมตรงสันกรามอีกครา “บุรุษหูเบาหน้ามืดตาบอดต้องถูกลงโทษอย่างไรดีเล่า?”“เจ้าจะทำอะไรอีก อย่า!” เฉินอี้เสียงเครียดหวังเหลียนหรงหรี่ตา “หูเบานักก็ต้องตัดหูซะ”ฉับ! “อ๊า....”ทันทีที่มีดสะบัด หูของเฉินอี้พลันขาดกระเด็น“ดวงตามืดบอดไม่มองสิ่งใดให้กระจ่างก็ไม่ต้องมองอีกต่อไป”ขวับ!หวังเหลียนหรงกรีดตาข้างหนึ่งของเฉินอี้“อ๊ากกกก”เสีย
“บุตรชายที่ท่านอุ้มชูหมายให้สืบบัลลังก์ทองเป็นเพียงลูกนอกสายเลือดที่นังหญิงชั่วนำมาสวมรอยตอนตั้งครรภ์ปลอม”ม่านตาเฉินอี้พลันหดแคบลงอย่างที่สุด “อ่ะ อะไรนะ?”หวังเหลียนหรงยังคงยิ้ม “ท่านถามนางดูสิ”“จูรั่วซี!” เฉินอี้หันไปตวาดถามสตรีด้านข้าง “เป็นจริงอย่างที่นางพูดหรือไม่?” คนถูกถามได้แต่บื้อใบ้ นางเอาแต่เบิกตามองหวังเหลียนหรงอย่างไม่อยากเชื่อว่าอีกฝ่ายรู้ได้อย่างไร ไม่ ไม่จริง เป็นไปไม่ได้ นี่คือความลับอย่างที่สุด นางทำอย่างแยบยลที่สุด หลายปีไม่มีใครรู้เลยสักคนจูรั่วซีส่ายหน้าระรัว ทว่าในดวงตาที่สั่นไหวกลับเผยความนัยชัดเจนและนั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับคำตอบเฉินอี้พยายามดึงแขนออกจากแท่นตรึงไปเขย่าร่างของจูรั่วซีมาเค้นถามให้รู้เรื่องมากกว่านี้แต่ทำไม่ได้ เขาจึงหันมาคำรามใส่อดีตชายาเสียงเข้ม “ปล่อยข้า!”หวังเหลียนหรงไม่ทำตามเพียงแย้มยิ้มเฉิดฉาย “ไม่เจอกันนานเลยนะสามีข้า นิสัยของท่านก็เช่นนี้ หลายปีไม่เคยเปลี่ยน หยิ่งยโสทระนงคิดว่าตนยิ่งใหญ่เหนือใครในใต้หล้าเสียเต็มประดา ยามนี้ยังกล้าสั่งข้า? ฮึ! ช่างไม่เจียมตน!” วาจาปลายประโยคของนางเย็นชาพลางยกมีดขึ้นไล้ตามสันกรามคมคายที่เคยหล่อเหลาขาว
ในคุกใต้ดิน บุรุษและสตรีถูกตรึงไว้บนไม้ทั้งสองแม้จะอยู่ภายใต้อาภรณ์สีขมุกขมัว และเนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือดเปรอะเปื้อนเกรอะกรัง แต่ก็ยังพอมองออกว่ารูปงามปานใด ผิวพรรณขาวกระจ่างอย่างคนสุภาพดีแค่ไหนหวังเหลียนหรงพลันนึกตัวเองที่ตรงกันข้าม ผิวพรรณของนางเดิมทีดีมาก หากแต่เพราะอยู่รังโจรหลายปีนั้นผิวนางทั้งหยาบกระด้างและหม่นหมองสุขภาพก็ไม่สมบูรณ์แข็งแรงดุจเก่า ถูกชำเราถูกย่ำยีจนนับครั้งไม่ถ้วน ผลพวงจากการถูกเคี่ยวกรำทำให้ทุกวันนี้มีโรคเรื้อรังติดกาย แม้อยู่สุขสบายดีขึ้นแต่จะตายวันตายพรุ่งก็ยังไม่รู้ยิ่งคิดถึงเรื่องเหล่านี้ คิดถึงคืนวันที่บัดซบสิ้นดี หวังเหลียนหรงก็ยิ่งมองอดีตสามีกับหญิงชู้ของเขาด้วยสายตาชิงชังเคียดแค้นเป็นหมื่นเท่าพันทวี“เจ้าจงมองให้ดี สองคนนี้คือคนที่ทำให้ชีวิตพวกเราแม่ลูกอัปยศยิ่งกว่าตกนรกทั้งเป็นยี่สิบกว่าปี”หลิ่งเฮ่อยืนด้านข้างมารดามองผู้เป็นบิดาอย่างเย็นชา “ได้พบหน้าเสียที ข้าไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะมีใบหน้าเหมือนเขาถึงเพียงนี้”ชายหนุ่มไม่เคยมีความคิดเรียกเฉินอี้ว่าท่านพ่อ สรรพนามจึงห่างเหินปานนั้นสวีหลิงเยี่ยนในร่างหลิ่งหลินก็อยู่ด้วยนางว่า“ยิ่งมองยิ่งเหมือน ไม่บ
นานร่วมเดือนจึงพากันออกมาประลองยุทธที่ลานฝึกด้านนอก บางครั้งยังพากันออกไปฝึกฝนบนยอดภูผา ใช้ทักษะการเอาชีวิตรอดกลางป่ากินคน ดำดิ่งลงสู้ก้นทะเลสาบมรณะ ระหว่างนั้นยังฝึกทักษะการเผชิญหน้าต่อสถานการณ์เลวร้ายรูปแบบต่างๆ เรียกว่าสอนสั่งอย่างครบถ้วนยิ่งกว่าศิษย์อาจารย์ระหว่างหลิ่งหลินกับสวีหลิงเยี่ยนนั้นเรียกว่ายอดฝีมือปะทะยอดฝีมือโดยแท้ ร่างเก่าของหลิ่งหลินฝึกสรรพวิชาจนสำเร็จขั้นสุดยอดเพียงถ่ายทอดให้วิญญาณได้รู้จักนำพลังที่แท้จริงออกมาใช้ก็เท่านั้น ส่วนร่างของสวีหลิงเยี่ยน เมื่อได้วิญญาณหลิ่งหลินครอบครองพร้อมปราณพิเศษที่ตามติดมาด้วยกัน ทำให้นางที่เป็นคนสอนกลับพัฒนาพลังให้ร่างกายตนได้เช่นกัน สตรีสองคนจึงกลายร่างเป็นนางมารสองตัว ความน่ากลัวในฝีมือยุทธไต่ระดับขึ้นสูงจนทัดเทียมริมลานฝึกนั้น หลิ่งเฮ่อกับจ้าวหมิงอวี่กำลังนั่งจิบชาเดินหมาก สนทนาอย่างไม่มีเบื่อหน่ายในฐานะสามี บุรุษทั้งสองล้วนต้องอยู่ให้กำลังใจภรรยา คอยดูแลส่งข้าวส่งน้ำมิขาดสาย “องค์ชายดูสบายอกสบายใจเหลือเกินนะ” หลิ่งเฮ่อเอ่ยกับอีกฝ่ายที่เดินหมากด้วยกันจ้าวหมิงอวี่คลี่ยิ้มมุมปาก หากเป็นเมื่อก่อน เขาไม่มีทางอารมณ์ดียามอยู่กับหลิ่
ท้องนภากว้างมืดมิด ดวงดาวระยิบระยับ สาดส่องทั่วพสุธา ลมหนาวดุจคมมีด กรีดเฉือนเนื้อคนลานฝึกขนาดใหญ่กลางพงไพรไร้ศาสตรา บริเวณนี้เป็นเชิงเขาชายป่าเชื่อมลานฝึกยุทธวิถี หลิ่งหลินในร่างดรุณีตัวเล็กอายุสิบหกปียืนตระหง่านเบื้องหน้าสตรีตัวสูงวัยยี่สิบห้าอย่างท้าทายนางสูงเพียงครึ่งศีรษะของอีกฝ่าย ทั้งยังต้องเงยหน้าจนเมื่อยลำคอไปหมด“ว่าอย่างไร? หากเจ้าไม่สู้ ข้าจะเก็บตัวฝึกวิชาอสูรผลัดกายแล้วนะ รับรองได้ว่าใช้เวลาเพียงไม่นาน ข้าจะสามารถเรียกร่างของตัวเองคืนมาได้ในพริบตา”สวีหลิงเยี่ยนก้มมองร่างเก่าของตนเงียบงัน ความหมายนั้นมิใช่เรียกสามีคืนด้วยหรือไร?ในที่สุดสวีหลิงเยี่ยนก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด “ได้ ข้าจะสู้”“ดี” หลิ่งหลินเสียงเข้มขึ้น “เจ้าจงสาบาน! ไม่ว่าเจ็บเจียนตาย จะรักษาร่างนี้เอาไว้ให้ดีที่สุด”“ได้ ข้าสาบาน” สวีหลิงเยี่ยนสูดลมหายใจลึก เริ่มฮึกเหิมโดยไม่รู้ตัว เพื่อได้อยู่กับหลิ่งเฮ่อต่อไป นางจะต้องสู้“ลงมือ!”หลิ่งหลินพาร่างเล็กของตนพุ่งกระโจนใส่อีกคนที่ตัวโตสูงกว่า การต่อสู้เกิดขึ้นกลางลานกว้างนั้นทันที เพียงแต่มิได้รุนแรงดังที่สวีหลิงเยี่ยนนึกหวาดหวั่น“ท่านออมแรงให้ข้าหรือ?” สวี







