เสี่ยวปาไม่ล่วงรู้ นางเล่าต่ออย่างออกรสออกชาติว่า “ตอนแรกคุณหนูสวีไม่ยินยอม แต่พอคุณหนูว่านลู่ชิงผู้นั้นยกองค์ชายสี่มากล่าวอ้าง บอกว่าเป็นการฉุดองค์ชายสี่ให้เรียนช้าลงด้วย นางจึงยอมออกมาแต่โดยดีเพคะ ตอนนี้คงกำลังหาวิธีเข้าเรียนอยู่ แต่คงยังคิดไม่ออกนั่นเอง”
ประโยคทั้งหมดของเสี่ยวปาทำจ้าวหมิงอวี่อึ้งงัน บอกไม่ถูกว่าควรต้องรู้สึกอย่างไร
“เจ้ามานี่”
เสี่ยวปาขยับเข้ามาตามเสียงสั่งทุ้มต่ำเย็นชานั้น
ชายหนุ่มล้วงกล่องใส่ตำราของตน “นำบทกวีเล่มนี้ไปให้นางท่องจำก็พอ บอกนางให้รีบกลับมาเรียนต่อทันที”
เสี่ยวปารับไว้ “เพคะ”
ตำราเล่มนี้เป็นบทกวีหนึ่งในหลายบทที่อาจารย์เฉาเรียบเรียงขึ้นมา แต่เป็นบทที่อีกฝ่ายโปรดปรานที่สุด ภาคภูมิใจที่สุด หากใครท่องได้ย่อมทำให้อาจารย์เฉาพึงใจ
จ้าวหมิงอวี่ส่งคนไปสืบจนทราบจึงท่องจำไว้ เขาคิดสงบศึกกับตาเฒ่าเฉาแล้ว วันนี้จึงคิดว่าจะเอาหน้าเสียหน่อย
แต่ยามนี้จำต้องเปิดทางให้ผู้อื่นก่อน
เมื่อชะตาพลิกผันมีปัญหาเข้ามามิหยุดหย่อน มีชีวิตไม่แน่นอน การเอาตัวรอดได้นั้นจำต้องมีสติปัญญา
หลิ่งหลินยิ่งไม่เคยมีปัญหากับการต้องใช้สมองเท่าใด แต่ไหนแต่ไรนางก็เป็นคนเรียนรู้ได้เร็ว มีทักษะหลายด้าน แค่ท่องจำบทกวีที่เพ้อพกนี้มีอันใดยากเย็นแสนเข็ญไปกว่าการท่องตำราวิชามารอันโหดร้ายกันล่ะ
ดังนั้นหลังจากได้รับตำราเล่มนั้นจากเสี่ยวปา หลิ่งหลินจึงไม่รู้สึกว่าลำบากอันใด
“เป็นคำสั่งองค์ชายสี่เจ้าค่ะ ให้ท่านท่องจำ”
เพราะเป็นคำสั่งของใครคนนั้นนางจึงตั้งใจท่องยิ่ง ใช้เวลาไม่นานก็จดจำได้แม่นยำทั้งหมดทุกบททุกกลอน
เสี่ยวปาที่นั่งเฝ้าไม่ห่างเอ่ยปากว่า “คุณหนูเจ้าคะ หากท่านท่องบทกวีนี้ได้แล้ว รีบกลับเข้าเรียนเถอะเจ้าค่ะ”
“ได้”
อาจเพราะนึกถึงท่าทางเย็นชาไร้สุขกับแววตามืดมนของจ้าวหมิงอวี่ ความรู้สึกผิดยิ่งตกตะกอนในใจ หลิ่งหลินจึงค่อนข้างเชื่อฟังเขามากทีเดียว
ยามซื่อสี่เค่อ[1] ในห้องเรียน
ศิษย์ทุกคนหันไปทางเดียวกันทันทีเมื่อมีสตรีเผยโฉมด้วยรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไป
นางงดงามและโดดเด่นผิดหูผิดตาจากเมื่อก่อนยิ่งนัก ชุดแดงปากแดงมาแต่ไกล แลดูทรงเสน่ห์และเปี่ยมพลังยิ่ง ผิดจากอดีตที่เคยจืดชืดไร้สีสัน ดูชุดสีแดงที่จัดจ้านถึงขั้นฉูดฉาดนั่นปะไร
จะเป็นใครไปมิได้ นอกจากสวีหลิงเยี่ยน
ฉู่เฉิงมองนางตาละห้อย นึกเสียใจภายหลังไม่น้อย เขาควรหาโอกาสคุยกับหลิงเยี่ยนดีๆ อย่างไรเสียก็คนเคยรัก
แววตาฉู่เฉิงวูบไหว มีประกายแสงแห่งความหวัง นางเคยหลงใหลเขามานาน การคืนดีกันย่อมไม่ยากเย็น ขอเพียงจัดสรรเวลาระหว่างนางกับลู่ชิงให้เหมาะสมก็พอ
ในชั้นเรียน ศิษย์ทุกคนนั่งนิ่งจมดิ่งความคิดตน
เนื่องจากมีทั้งองค์ชายสี่และอาจารย์เฉาที่เข้ามาแล้ว จึงไม่มีใครสามารถลุกขึ้นรุมล้อมเพื่อกีดกันสวีหลิงเยี่ยนอีก
หลิ่งหลินเองก็ย่อมรู้มารยาทขั้นพื้นฐานของคนที่นี่ นางประสานมือยอบกายทำความเคารพอาจารย์เฉาและจ้าวหมิงอวี่ด้วยกิริยาดีงามเข้าที
เฉาเฉิงเต๋อคร่ำเคร่งจริงจังกับการสอนเหนืออื่นใด จึงเพียงโบกมือเบาๆ ให้ผู้มาใหม่ไปหาที่นั่งอย่างไม่ใส่ใจว่าเหตุใดถึงมาเข้าเรียนช้า
หลิ่งหลินไม่สนใจสายตาสื่อนัยนั่นเพียงลุกขึ้นยืน กล่าวฉะฉาน “เรียนท่านอาจารย์ตามตรง ข้ามีปัญหาที่บ้านต้องสะสางเล็กน้อย แต่ถึงกระนั้นก็ยังอ่านตำรามิได้ละเลย ตำราที่อ่านล่วงหน้านอกชั้นเรียนล้วนเป็นของอาจารย์เฉา และข้าก็ได้พบว่าบทกวีที่อาจารย์รังสรรค์ออกมาช่างน่าทึ่ง สำนวนละเมียดละไม สะสวยราวบุปผาผลิบาน ข้าอ่านแล้วให้รู้สึกจิตใจเบิกบานเหลือเกิน สุขสำราญเสียจนสามารถคลายทุกข์ที่เพิ่งประสบพบเจอที่บ้าน ข้าจึงเร่งสะสางปัญหา แล้วรีบมาทันที ยามนี้แม้เหนื่อยล้าแทบขาดใจก็ยังต้องการเข้ามาเรียนวิชากับท่านให้จงได้เจ้าค่ะ”กล่าวจบก็ไม่เว้นช่วงปล่อยเวลาชักช้ามากความ นางร่ายกลอนในบทกวีที่ท่องมาทันที “เหมันต์ผุดเกล็ดน้ำแข็งค้างกระจ่างขาว ราตรีไร้ดาว ทิวาไร้ตะวัน ไม่มีแสงเฉิดฉายกระจ่างใจ เพียงสกุณนาขับขานระรานรื่น ย่อมปลุกจิตวิญญาณปราชญ์ให้ฟื้นตื่นคืนสติ”หลิ่งหลินร่ายกลอนบทต่อบทไปเรื่อยๆ “บุปผาจันทรา ลมบูรพา ธาราหลั่งไหลเคียงคีรี คืนวันหมุนเวียน คนชรา สกุณาปีกกล้า ท้านภา โผผินบินทะยาน มิหวนมา วิญญูชนผงาดกล้า นำคุณธรรมค้ำฟ้า โลกามิไร้ผู้ค้ำจุน...” นางท่องได้ทุกบทด้วยสีหน้าภาคภูมิใจเป็นล้นพ้น จนคนแต่งบท
หลิ่งหลินจึงเดินนวยนาดเข้าไปนั่งยังโต๊ะเก้าอี้ที่ว่างโดยไม่สนใจมองสีหน้าผู้ใดทั้งนั้นยังคงเป็นว่านลู่ชิงที่ยื่นปากยื่นคางจากโต๊ะด้านข้าง “เยี่ยนเอ๋อร์ เจ้าควรกลับจวนสวีไปดีกว่า หากยังฝืนมาเรียนทั้งที่ตัวเองล่าช้า อาจจะเป็นการเพิ่มภาระให้ศิษย์คนอื่น ข้าขอเตือนด้วยหวังดีหรอกนะ” แท้จริงนางอยากไล่สวีหลิงเยี่ยนให้ไปไกลๆต่างหาก ทั้งฉู่เฉิงและองค์ชายสี่มองนางนานปานนั้น! ฮึ!ว่านลู่ชิงเหยียดปากว่าต่อ “เยี่ยนเอ๋อร์สหายรัก ข้าเป็นห่วงเจ้าเหลือเกิน”หลิ่งหลินจึงเหยียดปากยิ้มอย่างเสแสร้งเฉกเดียวกัน ขณะกระซิบกลับ “ชิงเอ๋อร์คนดี ไม่ควรมารยาสาไถยเกินไป ประเดี๋ยวปากฉีกเลือดสาดไม่รู้ตัวนะ”“...!?” ว่านลู่ชิงตาโต สมองตื้อไปชั่วขณะ “จ่ะ เจ้า” โมโหก็โมโหแต่แปลกใจมากกว่า สวีหลิงเยี่ยนเปลี่ยนแปลงเกินไปแล้วนอกจากลุกขึ้นมาแต่งตัวสีสันฉูดฉาดยังไร้มารยาท พูดจาดุดัน แค่นางเปิดเผยเรื่องที่แอบคบหากับฉู่เฉิงเท่านั้น ทำสตรีปวกเปียกกลายเป็นแข็งกร้าวได้ปานนี้เชียวหรือ? เฮอะ! แต่ก็แน่ล่ะ ใต้หล้านี้มีสตรีใดบ้างเมื่อถูกแย่งชายในดวงใจจะไม่เสียสติไปน่ะหลิงเยี่ยนกลายเป็นหญิงบ้าที่ยังโง่อยู่ปะไร!ว่านลู่ชิงแสยะยิ้มไม
เสี่ยวปาไม่ล่วงรู้ นางเล่าต่ออย่างออกรสออกชาติว่า “ตอนแรกคุณหนูสวีไม่ยินยอม แต่พอคุณหนูว่านลู่ชิงผู้นั้นยกองค์ชายสี่มากล่าวอ้าง บอกว่าเป็นการฉุดองค์ชายสี่ให้เรียนช้าลงด้วย นางจึงยอมออกมาแต่โดยดีเพคะ ตอนนี้คงกำลังหาวิธีเข้าเรียนอยู่ แต่คงยังคิดไม่ออกนั่นเอง”ประโยคทั้งหมดของเสี่ยวปาทำจ้าวหมิงอวี่อึ้งงัน บอกไม่ถูกว่าควรต้องรู้สึกอย่างไร “เจ้ามานี่”เสี่ยวปาขยับเข้ามาตามเสียงสั่งทุ้มต่ำเย็นชานั้นชายหนุ่มล้วงกล่องใส่ตำราของตน “นำบทกวีเล่มนี้ไปให้นางท่องจำก็พอ บอกนางให้รีบกลับมาเรียนต่อทันที”เสี่ยวปารับไว้ “เพคะ”ตำราเล่มนี้เป็นบทกวีหนึ่งในหลายบทที่อาจารย์เฉาเรียบเรียงขึ้นมา แต่เป็นบทที่อีกฝ่ายโปรดปรานที่สุด ภาคภูมิใจที่สุด หากใครท่องได้ย่อมทำให้อาจารย์เฉาพึงใจจ้าวหมิงอวี่ส่งคนไปสืบจนทราบจึงท่องจำไว้ เขาคิดสงบศึกกับตาเฒ่าเฉาแล้ว วันนี้จึงคิดว่าจะเอาหน้าเสียหน่อยแต่ยามนี้จำต้องเปิดทางให้ผู้อื่นก่อนเมื่อชะตาพลิกผันมีปัญหาเข้ามามิหยุดหย่อน มีชีวิตไม่แน่นอน การเอาตัวรอดได้นั้นจำต้องมีสติปัญญาหลิ่งหลินยิ่งไม่เคยมีปัญหากับการต้องใช้สมองเท่าใด แต่ไหนแต่ไรนางก็เป็นคนเรียนรู้ได้เร็ว มีทักษะห
วันนี้หิมะยังคงตกลงมา อากาศเย็นยิ่งกว่าเมื่อวาน ส่วนตำราวิชาที่ต้องเรียนยังน่าเบื่อยิ่งกว่าเมื่อวานฟ่านเจินเดินเข้ามา “องค์ชาย ข้าสืบมาว่าวิชาเรียนปราชญ์อารยเช้านี้เป็นท่านอาจารย์เฉานะเพคะ”จ้าวหมิงอวี่นิ่วหน้าเล็กน้อยอาจารย์เฉาเป็นตาเฒ่าคร่ำครึที่บ้ากระดาษถึงขนาดชอบพิสูจน์ชนิดและเนื้อของกระดาษด้วยการใส่ปากเคี้ยว มักเป่าหูเขาตั้งแต่เด็กว่าเป็นโอรสขององค์จักรพรรดิต้องเก่งกาจด้านวรรณกรรม เรียบร้อยสำรวมถึงสง่างาม ตอนนั้นเขายังเยาว์จึงไม่เก็บอารมณ์ตวาดเถียงไปว่าเป็นองค์ชายต้ององอาจผึ่งผายตามไล่ล่าฆ่าศัตรูทุกคนให้ตายนับหมื่นแสนด้วยวิชาต่อสู้อันสูงส่งถึงจะถูก ตาเฒ่าเฉาไม่เห็นด้วยจึงลงโทษเขาโดยการเชิญออกไปนอกชั้นเรียน ให้กางแขนยืนขาเดียวกลางแดดแผดจ้าท่องบทกวีจนเย็นย่ำเขาที่มุทะลุบ้าระห่ำได้แต่จำใจทำตัวสงบเสงี่ยม อึดอัดแทบกระอักเลือด เพราะเสด็จพ่อส่งขันทีมาคุมด้วยส่วนบทกวีที่ต้องกัดฟันท่องจำเป็นบทที่ตาเฒ่าเฉาเป็นคนแต่ง เนื้อหาล้วนพรรณนาคล้ายยกยอปอปั้นตัวเอง เปรียบตนดุจปรมาจารย์เหนือปรมาจารย์ด้านวรรณกรรมคิดแล้วสีหน้าจ้าวหมิงอวี่ก็เผยความเอือมระอาคล้ายอยากอาเจียน บุรุษที่ชอบร่ำเรียนการ
“คุณหนูที่เจ้าว่าคงเป็นว่านลู่ชิงกระมัง”เสี่ยวปาเบิกตา “ใช่เจ้าค่ะ คุณหนูสวีเพิ่งเข้ามาเรียน รู้ได้อย่างไร? แต่ช่างเถอะเจ้าค่ะ” เสี่ยวปาทำเสียงกระซิบขยิบตายุกยิกพูดต่อ “แต่หากคุณหนูสวีคิดว่าองค์ชายสี่จะหลงกลก็อย่าได้กังวล เพราะข้ารายงานพระองค์ทุกกิริยาตามความเป็นจริงทุกประการเจ้าค่ะ”“เจ้าถูกส่งไปจับตาดูว่านลู่ชิงหรือ?”“เปล่าเจ้าค่ะ ข้าแค่ไปคอยรับใช้ตามหน้าที่ชั่วคราวแทนนางกำนัลอีกคนที่ลาป่วย”“อ้อ...” หลิ่งหลินพลิกตัวห่มผ้าถึงคอหันหลังหนี “แต่กับข้า เจ้าถูกส่งมาจับตาดูโดยตรงกระมัง?”“หะ?” เสี่ยวปากะพริบตาปริบๆ “คุณหนูรู้หรือ?”หลิ่งหลินร้องเฮอะ “ปากเจ้าพูดไม่หยุด แต่ตาจ้องมองทุกอิริยาบถของข้าอย่างแน่วแน่ปานนั้น ขนาดยามนี้ยังนั่งเกาะขอบเตียงแน่น นับกระทั่งข้ากระพริบตากี่ครั้ง ไม่หลับไม่นอนหรือไร?”“...!?” “ไปเอาฟูกมานอนข้างเตียงข้าไป เฝ้าข้าใกล้ๆ นี่ล่ะ จะได้ไม่คลาดสายตา ดีหรือไม่?”เสี่ยวปายิ้มแห้ง “คุณหนู ข้าเองก็ไม่ได้อยากทำ ท่านก็แค่อย่าไปไหนไกลตา ข้าจะได้ไม่ลำบากใจเจ้าค่ะ”“นอนเถอะ ข้าไม่ไปที่ใดหรอก ง่วงจะตาย”“เจ้าค่ะๆ”เสี่ยวปารีบลุกขึ้นไปเปิดตู้หอบเครื่องนอนมาตามสั่ง หลังจา
หลิ่งหลินไม่คิดว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดที่บ่าวระดับล่างจะมีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเจ้านายชั้นสูงโดยไม่คิดเลื่อนฐานะตัวเองอีกอย่าง อาเป่าคงเป็นคนจำพวกเย่อหยิ่งเย็นชาและสมถะไม่สนฐานะทางสังคม ทุกคนย่อมมีเหตุผลแห่งตน ตัวอย่างมีให้เห็นเยอะแยะ เฒ่าทารกเครายาวที่วันๆ เอาแต่ร่ำสุราเมามายริมถนน ทำตัวเหมือนยาจกเร่ร่อนไร้หลัก ยังเป็นถึงผู้เยี่ยมยุทธไร้แซ่ไร้นามแต่ฝีมือเก่งกล้าสามารถเป็นที่เลื่องลือแต่จะว่าไปแล้ว จ้าวหมิงอวี่เองก็กำพร้ามารดานี่นา คงมีปมในใจเดียวกันกระมังถึงมิแบ่งแยกชนชั้น แบบนี้ล่ะ นางถึงชอบเขา คิดไปคิดมา หลิ่งหลินนึกตกใจตัวเองอ๊ะ! ข้ากำลังคิดอันใด? ไม่ใช่เสียหน่อย! ไม่ได้ชอบ!“ส่วนนางกำนัลชิงเอ๋อร์ จวนสกุลหูรังเกียจอย่างยิ่ง” เสี่ยวปาถูกส่งมาให้จับตาดูคุณหนูสกุลสวีทุกย่างก้าว แต่ด้วยนิสัยช่างจำนรรจาจึงพูดคุยไม่หยุดนางทำปากยื่นเล่าต่ออีกว่า “แม้จะรับเป็นอนุให้บุตรชายก็จริงแต่ก็ทำอย่างจำใจ ชีวิตนางหลังจากนี้ย่อมไม่ดี เห็นว่าตอนนี้นายท่านหูกับฮูหยินหูจ้างบรรดาแม่สื่อเฟ้นหาภรรยาคนใหม่ให้หูซั่วอย่างยากเย็นแสนเข็นจนเลือดตาแทบกระเด็น ไม่มีบ้านใดอยากให้บุตร