หลิ่งหลินจึงเดินนวยนาดเข้าไปนั่งยังโต๊ะเก้าอี้ที่ว่างโดยไม่สนใจมองสีหน้าผู้ใดทั้งนั้น
ยังคงเป็นว่านลู่ชิงที่ยื่นปากยื่นคางจากโต๊ะด้านข้าง “เยี่ยนเอ๋อร์ เจ้าควรกลับจวนสวีไปดีกว่า หากยังฝืนมาเรียนทั้งที่ตัวเองล่าช้า อาจจะเป็นการเพิ่มภาระให้ศิษย์คนอื่น ข้าขอเตือนด้วยหวังดีหรอกนะ”
แท้จริงนางอยากไล่สวีหลิงเยี่ยนให้ไปไกลๆต่างหาก ทั้งฉู่เฉิงและองค์ชายสี่มองนางนานปานนั้น! ฮึ!
ว่านลู่ชิงเหยียดปากว่าต่อ “เยี่ยนเอ๋อร์สหายรัก ข้าเป็นห่วงเจ้าเหลือเกิน”
หลิ่งหลินจึงเหยียดปากยิ้มอย่างเสแสร้งเฉกเดียวกัน ขณะกระซิบกลับ “ชิงเอ๋อร์คนดี ไม่ควรมารยาสาไถยเกินไป ประเดี๋ยวปากฉีกเลือดสาดไม่รู้ตัวนะ”
“...!?” ว่านลู่ชิงตาโต สมองตื้อไปชั่วขณะ “จ่ะ เจ้า” โมโหก็โมโหแต่แปลกใจมากกว่า
สวีหลิงเยี่ยนเปลี่ยนแปลงเกินไปแล้ว
นอกจากลุกขึ้นมาแต่งตัวสีสันฉูดฉาดยังไร้มารยาท พูดจาดุดัน แค่นางเปิดเผยเรื่องที่แอบคบหากับฉู่เฉิงเท่านั้น ทำสตรีปวกเปียกกลายเป็นแข็งกร้าวได้ปานนี้เชียวหรือ?
เฮอะ! แต่ก็แน่ล่ะ ใต้หล้านี้มีสตรีใดบ้างเมื่อถูกแย่งชายในดวงใจจะไม่เสียสติไปน่ะ
หลิงเยี่ยนกลายเป็นหญิงบ้าที่ยังโง่อยู่ปะไร!
ว่านลู่ชิงแสยะยิ้มไม่ยอมแพ้ นางหันไปทางหน้าห้อง ยกมือขึ้นกล่าว “ท่านอาจารย์เฉาเจ้าคะ ขออภัยที่ขัดจังหวะ ศิษย์มีเรื่องต้องพูดเจ้าค่ะ”
เฉาเฉิงเต๋อจำต้องเงยหน้าจากตำราในมือ
“เชิญคุณหนูว่านกล่าว”
ว่านลู่ชิงตีสีหน้าอึดอัดกระอักกระอ่วนใจ น้ำเสียงเจือความห่วงใยปานนั้น “สวีหลิงเยี่ยนเพิ่งมาเรียนวันแรก ศิษย์รู้สึกเป็นกังวลกลัวนางเรียนไม่ทันสหายคนอื่น จึงอยากเสนอให้ท่านอาจารย์สอนช้าลงหน่อย เนื้อหาก่อนหน้านั้นรบกวนท่านอาจารย์สอนช่วยซ้ำสักสองรอบด้วยเจ้าค่ะ”
วาจานางทำศิษย์คนอื่นส่งเสียงพร่ำบ่นพึมพำอย่างไม่ชอบใจ ช่างเสียเวลาเรียนจริงๆ
ว่านลู่ชิงจึงทำเสียงอ่อย สีหน้ารู้สึกผิด ลำบากใจที่จะพูดยิ่งนัก “อ้อ.. ข้าต้องขออภัยสหายร่วมชั้นทุกคนด้วย”
ท่าทางของว่านลู่ชิงดูเกรงอกเกรงใจเสียเต็มประดา ขณะกล่าวต่อ “พวกเจ้าช่วยทำความเข้าใจให้ช้าลงหน่อย หลิงเยี่ยนของข้าเรียนรู้ได้ช้า เกรงว่าจะเป็นที่ขบขันแล้ว”
ยิ่งพูดยิ่งตอกย้ำให้สวีหลิงเยี่ยนเป็นตัวตลกนั่นแล สมควรถูกครหาไปชั่วกัปชั่วกัลป์
แต่เฉาเฉิงเต๋อนั้นเป็นอาจารย์ผู้ชื่นชอบการพร่ำสอนโดยสายเลือดจึงไม่ใช่ปัญหา ต้องสอนกี่ครั้งกี่คราก็ได้ทั้งสิ้น เขาพลิกหน้าตำรากลับมาหน้าแรกทำท่าสอนซ้ำบทเดิมอย่างใจเย็นเชื่องช้า
ทว่าศิษย์คนอื่นกลับเผยสีหน้าไม่พอใจออกมา
มีใครไม่รู้บ้างว่าสวีหลิงเยี่ยนโง่เง่าไร้สมองปานใด มาช้าสู้ไม่มายังดีกว่า คงไม่แคล้วเป็นขยะไร้ค่าเป็นตัวถ่วงของชั้นเรียน ไฉนไม่ไสหัวกลับไป!
แม้มิเอ่ยทางวาจาแต่แววตาที่เผยออกมาค่อนข้างเหยียดหยามถ้วนหน้า
หลิ่งหลินไม่สนใจสายตาสื่อนัยนั่นเพียงลุกขึ้นยืน กล่าวฉะฉาน “เรียนท่านอาจารย์ตามตรง ข้ามีปัญหาที่บ้านต้องสะสางเล็กน้อย แต่ถึงกระนั้นก็ยังอ่านตำรามิได้ละเลย ตำราที่อ่านล่วงหน้านอกชั้นเรียนล้วนเป็นของอาจารย์เฉา และข้าก็ได้พบว่าบทกวีที่อาจารย์รังสรรค์ออกมาช่างน่าทึ่ง สำนวนละเมียดละไม สะสวยราวบุปผาผลิบาน ข้าอ่านแล้วให้รู้สึกจิตใจเบิกบานเหลือเกิน สุขสำราญเสียจนสามารถคลายทุกข์ที่เพิ่งประสบพบเจอที่บ้าน ข้าจึงเร่งสะสางปัญหา แล้วรีบมาทันที ยามนี้แม้เหนื่อยล้าแทบขาดใจก็ยังต้องการเข้ามาเรียนวิชากับท่านให้จงได้เจ้าค่ะ”กล่าวจบก็ไม่เว้นช่วงปล่อยเวลาชักช้ามากความ นางร่ายกลอนในบทกวีที่ท่องมาทันที “เหมันต์ผุดเกล็ดน้ำแข็งค้างกระจ่างขาว ราตรีไร้ดาว ทิวาไร้ตะวัน ไม่มีแสงเฉิดฉายกระจ่างใจ เพียงสกุณนาขับขานระรานรื่น ย่อมปลุกจิตวิญญาณปราชญ์ให้ฟื้นตื่นคืนสติ”หลิ่งหลินร่ายกลอนบทต่อบทไปเรื่อยๆ “บุปผาจันทรา ลมบูรพา ธาราหลั่งไหลเคียงคีรี คืนวันหมุนเวียน คนชรา สกุณาปีกกล้า ท้านภา โผผินบินทะยาน มิหวนมา วิญญูชนผงาดกล้า นำคุณธรรมค้ำฟ้า โลกามิไร้ผู้ค้ำจุน...” นางท่องได้ทุกบทด้วยสีหน้าภาคภูมิใจเป็นล้นพ้น จนคนแต่งบท
หลิ่งหลินจึงเดินนวยนาดเข้าไปนั่งยังโต๊ะเก้าอี้ที่ว่างโดยไม่สนใจมองสีหน้าผู้ใดทั้งนั้นยังคงเป็นว่านลู่ชิงที่ยื่นปากยื่นคางจากโต๊ะด้านข้าง “เยี่ยนเอ๋อร์ เจ้าควรกลับจวนสวีไปดีกว่า หากยังฝืนมาเรียนทั้งที่ตัวเองล่าช้า อาจจะเป็นการเพิ่มภาระให้ศิษย์คนอื่น ข้าขอเตือนด้วยหวังดีหรอกนะ” แท้จริงนางอยากไล่สวีหลิงเยี่ยนให้ไปไกลๆต่างหาก ทั้งฉู่เฉิงและองค์ชายสี่มองนางนานปานนั้น! ฮึ!ว่านลู่ชิงเหยียดปากว่าต่อ “เยี่ยนเอ๋อร์สหายรัก ข้าเป็นห่วงเจ้าเหลือเกิน”หลิ่งหลินจึงเหยียดปากยิ้มอย่างเสแสร้งเฉกเดียวกัน ขณะกระซิบกลับ “ชิงเอ๋อร์คนดี ไม่ควรมารยาสาไถยเกินไป ประเดี๋ยวปากฉีกเลือดสาดไม่รู้ตัวนะ”“...!?” ว่านลู่ชิงตาโต สมองตื้อไปชั่วขณะ “จ่ะ เจ้า” โมโหก็โมโหแต่แปลกใจมากกว่า สวีหลิงเยี่ยนเปลี่ยนแปลงเกินไปแล้วนอกจากลุกขึ้นมาแต่งตัวสีสันฉูดฉาดยังไร้มารยาท พูดจาดุดัน แค่นางเปิดเผยเรื่องที่แอบคบหากับฉู่เฉิงเท่านั้น ทำสตรีปวกเปียกกลายเป็นแข็งกร้าวได้ปานนี้เชียวหรือ? เฮอะ! แต่ก็แน่ล่ะ ใต้หล้านี้มีสตรีใดบ้างเมื่อถูกแย่งชายในดวงใจจะไม่เสียสติไปน่ะหลิงเยี่ยนกลายเป็นหญิงบ้าที่ยังโง่อยู่ปะไร!ว่านลู่ชิงแสยะยิ้มไม
เสี่ยวปาไม่ล่วงรู้ นางเล่าต่ออย่างออกรสออกชาติว่า “ตอนแรกคุณหนูสวีไม่ยินยอม แต่พอคุณหนูว่านลู่ชิงผู้นั้นยกองค์ชายสี่มากล่าวอ้าง บอกว่าเป็นการฉุดองค์ชายสี่ให้เรียนช้าลงด้วย นางจึงยอมออกมาแต่โดยดีเพคะ ตอนนี้คงกำลังหาวิธีเข้าเรียนอยู่ แต่คงยังคิดไม่ออกนั่นเอง”ประโยคทั้งหมดของเสี่ยวปาทำจ้าวหมิงอวี่อึ้งงัน บอกไม่ถูกว่าควรต้องรู้สึกอย่างไร “เจ้ามานี่”เสี่ยวปาขยับเข้ามาตามเสียงสั่งทุ้มต่ำเย็นชานั้นชายหนุ่มล้วงกล่องใส่ตำราของตน “นำบทกวีเล่มนี้ไปให้นางท่องจำก็พอ บอกนางให้รีบกลับมาเรียนต่อทันที”เสี่ยวปารับไว้ “เพคะ”ตำราเล่มนี้เป็นบทกวีหนึ่งในหลายบทที่อาจารย์เฉาเรียบเรียงขึ้นมา แต่เป็นบทที่อีกฝ่ายโปรดปรานที่สุด ภาคภูมิใจที่สุด หากใครท่องได้ย่อมทำให้อาจารย์เฉาพึงใจจ้าวหมิงอวี่ส่งคนไปสืบจนทราบจึงท่องจำไว้ เขาคิดสงบศึกกับตาเฒ่าเฉาแล้ว วันนี้จึงคิดว่าจะเอาหน้าเสียหน่อยแต่ยามนี้จำต้องเปิดทางให้ผู้อื่นก่อนเมื่อชะตาพลิกผันมีปัญหาเข้ามามิหยุดหย่อน มีชีวิตไม่แน่นอน การเอาตัวรอดได้นั้นจำต้องมีสติปัญญาหลิ่งหลินยิ่งไม่เคยมีปัญหากับการต้องใช้สมองเท่าใด แต่ไหนแต่ไรนางก็เป็นคนเรียนรู้ได้เร็ว มีทักษะห
วันนี้หิมะยังคงตกลงมา อากาศเย็นยิ่งกว่าเมื่อวาน ส่วนตำราวิชาที่ต้องเรียนยังน่าเบื่อยิ่งกว่าเมื่อวานฟ่านเจินเดินเข้ามา “องค์ชาย ข้าสืบมาว่าวิชาเรียนปราชญ์อารยเช้านี้เป็นท่านอาจารย์เฉานะเพคะ”จ้าวหมิงอวี่นิ่วหน้าเล็กน้อยอาจารย์เฉาเป็นตาเฒ่าคร่ำครึที่บ้ากระดาษถึงขนาดชอบพิสูจน์ชนิดและเนื้อของกระดาษด้วยการใส่ปากเคี้ยว มักเป่าหูเขาตั้งแต่เด็กว่าเป็นโอรสขององค์จักรพรรดิต้องเก่งกาจด้านวรรณกรรม เรียบร้อยสำรวมถึงสง่างาม ตอนนั้นเขายังเยาว์จึงไม่เก็บอารมณ์ตวาดเถียงไปว่าเป็นองค์ชายต้ององอาจผึ่งผายตามไล่ล่าฆ่าศัตรูทุกคนให้ตายนับหมื่นแสนด้วยวิชาต่อสู้อันสูงส่งถึงจะถูก ตาเฒ่าเฉาไม่เห็นด้วยจึงลงโทษเขาโดยการเชิญออกไปนอกชั้นเรียน ให้กางแขนยืนขาเดียวกลางแดดแผดจ้าท่องบทกวีจนเย็นย่ำเขาที่มุทะลุบ้าระห่ำได้แต่จำใจทำตัวสงบเสงี่ยม อึดอัดแทบกระอักเลือด เพราะเสด็จพ่อส่งขันทีมาคุมด้วยส่วนบทกวีที่ต้องกัดฟันท่องจำเป็นบทที่ตาเฒ่าเฉาเป็นคนแต่ง เนื้อหาล้วนพรรณนาคล้ายยกยอปอปั้นตัวเอง เปรียบตนดุจปรมาจารย์เหนือปรมาจารย์ด้านวรรณกรรมคิดแล้วสีหน้าจ้าวหมิงอวี่ก็เผยความเอือมระอาคล้ายอยากอาเจียน บุรุษที่ชอบร่ำเรียนการ
“คุณหนูที่เจ้าว่าคงเป็นว่านลู่ชิงกระมัง”เสี่ยวปาเบิกตา “ใช่เจ้าค่ะ คุณหนูสวีเพิ่งเข้ามาเรียน รู้ได้อย่างไร? แต่ช่างเถอะเจ้าค่ะ” เสี่ยวปาทำเสียงกระซิบขยิบตายุกยิกพูดต่อ “แต่หากคุณหนูสวีคิดว่าองค์ชายสี่จะหลงกลก็อย่าได้กังวล เพราะข้ารายงานพระองค์ทุกกิริยาตามความเป็นจริงทุกประการเจ้าค่ะ”“เจ้าถูกส่งไปจับตาดูว่านลู่ชิงหรือ?”“เปล่าเจ้าค่ะ ข้าแค่ไปคอยรับใช้ตามหน้าที่ชั่วคราวแทนนางกำนัลอีกคนที่ลาป่วย”“อ้อ...” หลิ่งหลินพลิกตัวห่มผ้าถึงคอหันหลังหนี “แต่กับข้า เจ้าถูกส่งมาจับตาดูโดยตรงกระมัง?”“หะ?” เสี่ยวปากะพริบตาปริบๆ “คุณหนูรู้หรือ?”หลิ่งหลินร้องเฮอะ “ปากเจ้าพูดไม่หยุด แต่ตาจ้องมองทุกอิริยาบถของข้าอย่างแน่วแน่ปานนั้น ขนาดยามนี้ยังนั่งเกาะขอบเตียงแน่น นับกระทั่งข้ากระพริบตากี่ครั้ง ไม่หลับไม่นอนหรือไร?”“...!?” “ไปเอาฟูกมานอนข้างเตียงข้าไป เฝ้าข้าใกล้ๆ นี่ล่ะ จะได้ไม่คลาดสายตา ดีหรือไม่?”เสี่ยวปายิ้มแห้ง “คุณหนู ข้าเองก็ไม่ได้อยากทำ ท่านก็แค่อย่าไปไหนไกลตา ข้าจะได้ไม่ลำบากใจเจ้าค่ะ”“นอนเถอะ ข้าไม่ไปที่ใดหรอก ง่วงจะตาย”“เจ้าค่ะๆ”เสี่ยวปารีบลุกขึ้นไปเปิดตู้หอบเครื่องนอนมาตามสั่ง หลังจา
หลิ่งหลินไม่คิดว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดที่บ่าวระดับล่างจะมีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเจ้านายชั้นสูงโดยไม่คิดเลื่อนฐานะตัวเองอีกอย่าง อาเป่าคงเป็นคนจำพวกเย่อหยิ่งเย็นชาและสมถะไม่สนฐานะทางสังคม ทุกคนย่อมมีเหตุผลแห่งตน ตัวอย่างมีให้เห็นเยอะแยะ เฒ่าทารกเครายาวที่วันๆ เอาแต่ร่ำสุราเมามายริมถนน ทำตัวเหมือนยาจกเร่ร่อนไร้หลัก ยังเป็นถึงผู้เยี่ยมยุทธไร้แซ่ไร้นามแต่ฝีมือเก่งกล้าสามารถเป็นที่เลื่องลือแต่จะว่าไปแล้ว จ้าวหมิงอวี่เองก็กำพร้ามารดานี่นา คงมีปมในใจเดียวกันกระมังถึงมิแบ่งแยกชนชั้น แบบนี้ล่ะ นางถึงชอบเขา คิดไปคิดมา หลิ่งหลินนึกตกใจตัวเองอ๊ะ! ข้ากำลังคิดอันใด? ไม่ใช่เสียหน่อย! ไม่ได้ชอบ!“ส่วนนางกำนัลชิงเอ๋อร์ จวนสกุลหูรังเกียจอย่างยิ่ง” เสี่ยวปาถูกส่งมาให้จับตาดูคุณหนูสกุลสวีทุกย่างก้าว แต่ด้วยนิสัยช่างจำนรรจาจึงพูดคุยไม่หยุดนางทำปากยื่นเล่าต่ออีกว่า “แม้จะรับเป็นอนุให้บุตรชายก็จริงแต่ก็ทำอย่างจำใจ ชีวิตนางหลังจากนี้ย่อมไม่ดี เห็นว่าตอนนี้นายท่านหูกับฮูหยินหูจ้างบรรดาแม่สื่อเฟ้นหาภรรยาคนใหม่ให้หูซั่วอย่างยากเย็นแสนเข็นจนเลือดตาแทบกระเด็น ไม่มีบ้านใดอยากให้บุตร