ชายหนุ่มเปรยเสียงเรียบ “ข้าไม่รู้สึกเช่นนั้น”
ฟ่านเจินก็คิดเช่นกัน นางพยักหน้าเห็นด้วย
“องค์ชาย หากนางเป็นนักฆ่าแฝงตัวมาจริง แล้วผู้ใดส่งมาหรือเพคะ”
ฟ่านเจิ้งที่ร่วมฟังอยู่ด้วยตีไหล่น้องสาวดังเพียะ
“เจ้าช่างกล้าถาม เคยมือสังหารคนใดเขียนป้ายแปะหน้าผากเอาไว้บ้างเล่าว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง”
“อ้อ จริงด้วย” ฟ่านเจินกะพริบตานิ่วหน้าวิเคราะห์ “แต่ท่าทางของนางคล้ายไม่คิดลงมือวันนี้นะพี่ใหญ่”
“คงเข้ามาดูลาดเลานั่นล่ะ”
“อืม นั่นก็ย่อมใช่”
สองพี่น้องกระซิบกระซาบ ช่วยกันขบคิดเคร่งเครียด
ฟ่านเจินกล่าวกับพี่ชาย “รอนางลงมือแล้วโต้กลับหรือจับนางมารีดเค้นเดี๋ยวนี้ดีล่ะพี่ใหญ่”
ฟ่านเจิ้งส่ายหน้าไม่เห็นด้วย “พี่คิดว่ามันไม่ได้ผล คงไม่แคล้วชิงฆ่าตัวตาย สุดท้ายเราก็ไม่ได้อะไรเช่นเคย”
“เช่นนี้ มิสู้...” สองพี่น้องว่าพลางหันมองเจ้านายก่อนโพล่งอย่างพร้อมเพรียง “แสร้งเป็นเหยื่อลอบจับเสือ!”
จ้าวหมิงอวี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ดวงตาหงส์เหลือบขึ้นมองสองพี่น้องอย่างเนือยๆ แวบหนึ่ง ยังไม่ลงความเห็นใด
ให้องค์ชายเช่นเขาแสร้งเป็นเหยื่อในอุ้งมือสาวน้อยเพื่อล่อเสือออกมาติดกับหรือ? เขาต้องซื่อบื้อปานใด?
ฟ่านเจิ้งนับเป็นกุนซือประจำตัวองค์ชายสี่ตั้งแต่เด็กจึงช่วยวางแผนอย่างจริงจังว่า “เรารับตัวนางไว้ข้างกาย แสร้งทำตัวตามน้ำลอบสืบผู้อยู่เบื้องหลังอย่างแนบเนียน จากนั้นใช้นางเป็นเครื่องมือถอนรากถอนโคนศัตรูพ่ะย่ะค่ะ”
จ้าวหมิงอวี่ขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม เสมองนอกหน้าต่าง เมินเฉยไม่พูดจา นานครู่ใหญ่ค่อยเบือนศีรษะมาตอบรับคำเสนออันโง่เง่านั้นว่า
“ได้...”
ยามเว่ย[1]เป็นการประกาศผลการแข่งขันคัดเลือกสหายร่วมเรียนขององค์ชายสี่
รายนามผู้ได้รับคัดเลือกมีทั้งบุรุษและสตรีหกคน ทุกคนล้วนมีฝีมือที่ดีล้ำเลิศไร้ที่ติไม่ว่าจะเป็นศาสตร์อักษร ศาสตร์ดนตรี บทกวี กาพย์กลอนและร่ายรำ
เสียงขันทีประกาศรายนามดังต่อเนื่องมาถึงคนที่สี่ “คุณชายฉู่เฉิง”
ฉู่เฉิงยกยิ้มมุมปากอย่างหยิ่งผยอง เขาต้องได้อยู่แล้ว ทุกคนพยักหน้ามิได้เห็นต่าง
ขันทีประกาศชื่อคนที่ห้า “คุณหนูว่านลู่ชิง”
ว่านลู่ชิงยิ้มหวาน ลอบช้อนตามององค์ชายสี่บนตำแหน่งประธานอย่างต้องการหว่านเสน่ห์ในท่าทีเต็มที่
ในบรรดาศิษย์ที่ได้รับคัดเลือกมีคนเก่งหลายคนซึ่งไม่น่าแปลกใจอันใด ทุกคนยินดี กระทั่งขันทีประกาศรายนามคนสุดท้าย
“คุณหนูสวีหลิงเยี่ยน”
หา...
ทุกคนต่างตกตะลึงพรึงเพริดด้วยคาดไม่ถึง ไม่เว้นแม้แต่หลิ่งหลินเอง
“เป็นไปได้อย่างไร”
ศิษย์หญิงคนหนึ่งถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจแม้แต่น้อย
“คงใช้เส้นสายกระมัง พี่ชายของนางยังได้ร่วมเรียนกับท่านอ๋องในสำนักศึกษาหลวงนี่” อีกคนบอก
“อ่า...นั่นสินะ” ทุกคนเห็นด้วย พร้อมพากันหันมองมาทางสวีหลิงเยี่ยนเป็นตาเดียวกัน
หลิ่งหลินย่อมรับรู้ได้ถึงสายตาเดียดฉันท์เหล่านั้น แต่นางยังคงเมินเฉย ไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย
เพราะนางเองก็ไม่คิดว่าจะผ่านปะไร เพิ่งฝึกเองนะ
แต่ได้รับคัดเลือกด้วยเหตุผลใดก็ช่างเถอะ
ได้เป็นสหายร่วมเรียนกับองค์ชายสูงศักดิ์มีสิ่งใดไม่ดี คบหาคนมีเงินมีอำนาจ ไม่แน่นางอาจได้เงินเป็นกอบเป็นกำ ร่ำรวยมหาศาลภายในชั่วข้ามคืน
คิดไปคิดมาหลิ่งหลินพลันตระหนักได้บางสิ่งขึ้นมา
ใช่แล้ว...ตอนนี้นางไร้พันธะ ไม่ได้แต่งงานกับใคร ข้างกายว่างเปล่ากระทั่งคู่หมาย ไม่มีพันธะกับใครทั้งนั้น อยากทำตามใจอันใดก็ย่อมได้แล้ว
อ๊ะ! ไม่ใช่ๆ ต้องคิดเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าสิ
หญิงสาวสลัดความคิดเก่าแล้วคิดใหม่ ใช่! ตอนนั้นนางรู้ว่าเขาเป็นองค์ชายสูงศักดิ์แต่มิรู้ว่าเขามาจากแคว้นใด
หลิ่งหลินเผลอเบิกตากว้างทันที
จ้าวหมิงอวี่! แคว้นต้าอัน!
เขาดั้นด้นกลับมาแคว้นนี้ได้ก็ต้องย้อนกลับไปจนถึงหุบเขาปีศาจได้อีกเช่นกัน
แสงสว่างแห่งความหวังของหลิ่งหลินเริ่มเห็นรำไร
นางเห็นควรต้องพึ่งพาจ้าวหมิงอวี่นำทางกลับบ้าน เพราะความทรงจำเกี่ยวกับหุบเขาปีศาจพร่าเบลอไปหมด ถ้าจำได้ยามนี้คงเร่งเดินทางกลับสำนักไพรีพิฆาตไปนานแล้ว ไฉนต้องมาอยู่ที่เส็งเคร็งแบบนี้ต้องทนทำตัวสงบเสงี่ยมทำไม
[1]ยามเว่ย (未:wèi) คือ 13.00 – 14.59 น.
“คุณหนูที่เจ้าว่าคงเป็นว่านลู่ชิงกระมัง”เสี่ยวปาเบิกตา “ใช่เจ้าค่ะ คุณหนูสวีเพิ่งเข้ามาเรียน รู้ได้อย่างไร? แต่ช่างเถอะเจ้าค่ะ” เสี่ยวปาทำเสียงกระซิบขยิบตายุกยิกพูดต่อ “แต่หากคุณหนูสวีคิดว่าองค์ชายสี่จะหลงกลก็อย่าได้กังวล เพราะข้ารายงานพระองค์ทุกกิริยาตามความเป็นจริงทุกประการเจ้าค่ะ”“เจ้าถูกส่งไปจับตาดูว่านลู่ชิงหรือ?”“เปล่าเจ้าค่ะ ข้าแค่ไปคอยรับใช้ตามหน้าที่ชั่วคราวแทนนางกำนัลอีกคนที่ลาป่วย”“อ้อ...” หลิ่งหลินพลิกตัวห่มผ้าถึงคอหันหลังหนี “แต่กับข้า เจ้าถูกส่งมาจับตาดูโดยตรงกระมัง?”“หะ?” เสี่ยวปากะพริบตาปริบๆ “คุณหนูรู้หรือ?”หลิ่งหลินร้องเฮอะ “ปากเจ้าพูดไม่หยุด แต่ตาจ้องมองทุกอิริยาบถของข้าอย่างแน่วแน่ปานนั้น ขนาดยามนี้ยังนั่งเกาะขอบเตียงแน่น นับกระทั่งข้ากระพริบตากี่ครั้ง ไม่หลับไม่นอนหรือไร?”“...!?” “ไปเอาฟูกมานอนข้างเตียงข้าไป เฝ้าข้าใกล้ๆ นี่ล่ะ จะได้ไม่คลาดสายตา ดีหรือไม่?”เสี่ยวปายิ้มแห้ง “คุณหนู ข้าเองก็ไม่ได้อยากทำ ท่านก็แค่อย่าไปไหนไกลตา ข้าจะได้ไม่ลำบากใจเจ้าค่ะ”“นอนเถอะ ข้าไม่ไปที่ใดหรอก ง่วงจะตาย”“เจ้าค่ะๆ”เสี่ยวปารีบลุกขึ้นไปเปิดตู้หอบเครื่องนอนมาตามสั่ง หลังจา
หลิ่งหลินไม่คิดว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดที่บ่าวระดับล่างจะมีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเจ้านายชั้นสูงโดยไม่คิดเลื่อนฐานะตัวเองอีกอย่าง อาเป่าคงเป็นคนจำพวกเย่อหยิ่งเย็นชาและสมถะไม่สนฐานะทางสังคม ทุกคนย่อมมีเหตุผลแห่งตน ตัวอย่างมีให้เห็นเยอะแยะ เฒ่าทารกเครายาวที่วันๆ เอาแต่ร่ำสุราเมามายริมถนน ทำตัวเหมือนยาจกเร่ร่อนไร้หลัก ยังเป็นถึงผู้เยี่ยมยุทธไร้แซ่ไร้นามแต่ฝีมือเก่งกล้าสามารถเป็นที่เลื่องลือแต่จะว่าไปแล้ว จ้าวหมิงอวี่เองก็กำพร้ามารดานี่นา คงมีปมในใจเดียวกันกระมังถึงมิแบ่งแยกชนชั้น แบบนี้ล่ะ นางถึงชอบเขา คิดไปคิดมา หลิ่งหลินนึกตกใจตัวเองอ๊ะ! ข้ากำลังคิดอันใด? ไม่ใช่เสียหน่อย! ไม่ได้ชอบ!“ส่วนนางกำนัลชิงเอ๋อร์ จวนสกุลหูรังเกียจอย่างยิ่ง” เสี่ยวปาถูกส่งมาให้จับตาดูคุณหนูสกุลสวีทุกย่างก้าว แต่ด้วยนิสัยช่างจำนรรจาจึงพูดคุยไม่หยุดนางทำปากยื่นเล่าต่ออีกว่า “แม้จะรับเป็นอนุให้บุตรชายก็จริงแต่ก็ทำอย่างจำใจ ชีวิตนางหลังจากนี้ย่อมไม่ดี เห็นว่าตอนนี้นายท่านหูกับฮูหยินหูจ้างบรรดาแม่สื่อเฟ้นหาภรรยาคนใหม่ให้หูซั่วอย่างยากเย็นแสนเข็นจนเลือดตาแทบกระเด็น ไม่มีบ้านใดอยากให้บุตร
“นั่นชุดนางกำนัลขั้นหนึ่ง”หลิ่งหลินแขวนคืนราวตากผ้า มองหาชุดใหม่ ครานี้เป็นชุดสีฟ้า ได้ยินอาเป่าพูดอีกว่า “นั่นชุดนางกำนัลขั้นสาม”หลิ่งหลินหยิบใหม่เป็นชุดสีชมพูเข้ม อาเป่าก็พูด “นั่นชุดนางกำนัลรุ่นใหญ่”หยิบใหม่อีกชุดเป็นสีชมพูอ่อน“ชุดนางกำนัลขั้นสอง”อีกชุดเป็นสีน้ำเงิน“นั่นชุดขันทีขั้นหนึ่ง”อีกชุดเป็นสีเทา“ชุดทหารยาม”“...”หญิงสาวเริ่มหงุดหงิดแล้ว “ใส่ไม่ได้สักชุดเลย?”“ใช่! แต่ละชุดบอกถึงตำแหน่งในตำหนัก” “ไม่ว่าชุดไหนก็ใส่เข้าเรียนไม่ได้ทั้งนั้นด้วยสินะ”“หากใส่เข้าเรียน ย่อมถูกตรวจสอบ”หลิ่งหลินกะพริบตาปริบๆ “เหตุใดเจ้าถึงรู้ว่าข้าต้องเข้าเรียน”สายตาจ้าวหมิงอวี่สื่อนัยว่าแล้วเหตุใดเจ้าถามโง่ๆ “การแต่งกายของเจ้าชัดเจนว่าเป็นคุณหนูจากข้างนอก”“อ้อ...”จ้าวหมิงอวี่แค่นเสียงเตือนอีกว่า “หากถูกพบ แน่นอนมันไม่ยากที่จะถูกมองออกว่า ปลอม!”“...”เน้นคำว่าปลอมชัดเจนมาก หลิ่งหลินหมดคำจะเอ่ย “เอาอย่างไรดี? ข้าพลั้งมือทำร้ายคนเพราะช่วยเจ้านะ อาเป่า เจ้าต้องช่วยข้าคิดหาวิธีเอาตัวรอด”จ้าวหมิงอวี่หรี่ตา “ข้าไม่ได้ขอให้เจ้าช่วย” “แต่ข้าก็ช่วยไปแล้วไง” “...”หลิ่งหลินไม่ย
ตอนนั้นเขาพลาดท่าศัตรูบาดเจ็บสาหัสจากศึกหนักที่ถูกล่อหลอกเข้าทางตาจนและถูกลอบโจมตีไร้ทางหนีเมื่อหลุดพ้นจากคมธนูดุจห่าฝนจนเลือดอาบร่างกลับต้องผจญกับฝูงหมาป่าตัวเขื่องในถ้ำเร้นลับจู่ๆ สตรีชุดแดงผู้หนึ่งก็เข้ามา ฆ่าหมาป่าจนเหี้ยน แล้วยืนแสยะยิ้มสยองบนกองศพเหนือธารโลหิตแดงฉาน จากนั้นนางก็จับเขาขึ้นบ่า แล้วแบกออกมานอกถ้ำ พาฝ่าลูกธนูอันคมกริบอย่างบ้าระห่ำ สังหารมือธนูพวกนั้นอย่างอหังการจนตายเกลื่อน พื้นดินเจิ่งนองไปด้วยเลือด‘หนุ่มน้อย เดิมทีข้าไม่เคยช่วยเหลือใครมีแต่เข่นฆ่า เห็นแก่ที่เจ้ารูปงามหรอกนะ มารดาถึงช่วย’มารดา?ตอนนั้นเขารู้สึกเสียหน้าจนโกรธนางมาก แม้เพิ่งรู้ภายหลังว่านางแก่กว่าเขาถึงห้าปี แต่ครั้งแรกที่เจอกันใบหน้าที่อ่อนกว่าวัยของนางล้วนบ่งบอกได้ดีว่ามิควรกล้าบังอาจขนาดนี้! อีกทั้งไม่เคยมีใครเคยเห็นเขาที่เป็นจอมทัพระดับพระกาฬตกอยู่ในสภาพอนาถ นางเป็นคนแรกและคนเดียวท้ายที่สุดจ้าวหมิงอวี่ก็จนใจกับความบังอาจนั้น เหมือนเช่นในครั้งนี้ ที่รู้สึกจนใจกับสตรีตรงหน้าเช่นกัน น่าเจ็บใจที่แผลเก่ากำเริบ เจ็บจนชาไม่หาย ขยับไม่ได้เสียที“ไปทางนี้”เขาบอกทางเสียงเรียบเมื่อถูกถามอีกครั้งว่าท
คำสั่งจากผู้อาวุโสคือให้ล่อลวงจ้าวหมิงอวี่แล้วฆ่าทิ้งในหุบเขาปีศาจ นางที่ยังไม่แกร่งพอจึงทำได้เพียงรังเกียจและขับไล่เขาให้จากไปโดยไวเขาก็เอาแต่ทำตัวเสแสร้งบอกนางว่าสามีผู้แข็งแกร่งย่อมทำตัวอ่อนแอต่อหน้าภรรยาให้คอยปกป้องดังนั้นหากตัวนางเองแข็งแกร่งเปี่ยมอำนาจมากพอ ย่อมปฏิเสธคำสั่งได้ ทั้งยังสามารถปกป้องเขาอย่างผ่าเผยได้ แล้วยามนี้เป็นอย่างไร เพราะนาง จ้าวหมิงอวี่ต้องถูกทำลายวรยุทธจนบาดเจ็บเจียนตาย ...และเพราะนาง ตอนนี้ ที่แคว้นต้าอันนี่ เขาในฐานะองค์ชายสี่ต้องเสแสร้งเข้มแข็งต่อหน้าผู้คน มิอาจเผยอาการบาดเจ็บเรื้อรังออกมาได้คิดถึงตรงนี้หลิ่งหลินก็ย้อนนึกถึงภาพจ้าวหมิงอวี่ในวันคัดเลือกศิษย์เข้าร่วมชั้นเรียน วันนั้นเขาเดินมานั่งตำแหน่งประธานในพิธีอย่างสง่างาม ทว่านางสังเกตเห็น ขาของเขาคู่นั้น สั่นเทาเล็กน้อยดูเถิด นางอยากจะบ้า!ว่าแต่ นางคิดถึงจ้าวหมิงอวี่ทำไมเนี่ย?หญิงสาวรีบสลัดความคิดที่ทำให้รู้สึกผิดทิ้งไป หันมาพูดกับอาเป่า “เฮ้อ ช่างเถอะๆ พูดไปเจ้าก็คงไม่เข้าใจ” จ้าวหมิงอวี่ที่นั่งฟังประโยคก่อนนี้ของนางอย่างอึ้งๆพลันได้สติกลับมาเช่นกัน เขาสบถในลำคออย่างหัวเสียแต่แววตาหลิ่งหลิ
หลิ่งหลินฝังร่างตัวเองอยู่ในถ้ำจำลองอย่างมิดชิด ไม่มีใครเห็นเลยสักนิดนอกจาก....หญิงสาวเพิ่งนึกขึ้นได้ เหตุการณ์ทำร้ายองครักษ์กับนางกำนัลเมื่อครู่ ยังมีคนผู้หนึ่งเห็นอยู่ ไม่ได้การ ทิ้งพยานไว้โจ่งแจ้งมิได้ คิดแล้วก็รีบพุ่งตัวออกมาอีกรอบ แล้วจับตัวคนที่ยังคงนั่งนิ่งประหนึ่งเสาหินให้เข้าถ้ำไปด้วยอีกคนจ้าวหมิงอวี่ “...”ในถ้ำจำลอง หลิ่งหลินยังคงได้ยินเสียงผู้คนวุ่นวาย สุ้มเสียงเหล่านั้นกระจายไปทั่ว ตามหาคนร้ายจ้าละหวั่น นางเงี่ยหูฟังอย่างเงียบงัน ได้ยินคนด้านนอกถามตอบกันว่า“เจ้าเห็นสตรีผู้หนึ่งหรือไม่ นางอาจเป็นคนร้าย”“นางเป็นใคร”“ไม่รู้จัก ไม่เคยเห็นในตำหนักมาก่อน”“รูปพรรณสันฐานเป็นเช่นใด ข้าจะช่วยตามหา”“อายุราวสิบห้าสิบหก ผิวพรรณดี ใบหน้าสะสวย แตกต่างจากนางกำนัล จุดสังเกตปากแดง ดวงตากลมโต สวมชุดสีแดง”“ได้! ปากแดง ชุดแดง ไป! ช่วยกันตามหาให้ทั่ว”เสียงพูดคุยดังต่อเนื่อง คนกระจายตัว พร้อมข่าวนั้นที่กระจายออกไปอย่างทั่วถึงหลิ่งหลินนิ่วหน้า ชุดของนางโดดเด่นเกินไปเสียแล้ว จังหวะนั้นได้ยินคนด้านข้างถามเสียงขรึมว่า“เจ้าเป็นนักฆ่าปลอมตัวมาจริงหรือ?”หลิ่นหลินตอบเสียงเหนื่อย