“ใต้เท้าไป๋มู่รึ? อย่าบอกนะว่า เป็นเจ้าบ้าไป๋มู่เจ๋อ?” ฟ่านเจิ้งโวยวาย “เขากลับที่นี่ด้วยเหตุใด? มิใช่ขอย้ายตัวเองไปเป็นอาจารย์ประจำตัวท่านอ๋องน้อยหรอกหรือ?”
“จะมาด้วยเหตุใดได้ หากมิใช่คิดร้ายน่ะ” ฟ่านเจินให้รู้สึกเข่นเคี้ยวเขี้ยวฟันแต่ก็รู้สึกครั่นคร้ามเช่นเดียวกัน “ต้องเป็นเพราะองค์ชายรองแน่เจ้าค่ะ พวกเขาต้องการกลับมาจับตาดูทุกความเคลื่อนไหวขององค์ชายสี่นั่นล่ะ” พูดไปพูดมาก็อยากร้องไห้อีกแล้ว แค่นี้เจ้านายของนาง ก็ใช้ชีวิตลำบากมากพอแล้วนะ
คู่แฝดพี่น้องตีโพยตีพายสีหน้าเคร่งเครียด
ในขณะที่จ้าวหมิงอวี่แค่นั่งนิ่งเงียบงัน มิเอ่ยคำใด เพียงจิบชาด้วยกิริยาเยือกเย็นดุจน้ำแข็งค้างเช่นเดิม
ชั่วครู่ให้หลัง เขาค่อยสั่งเสียงเรียบ “เพิ่มเวรยาม และคนคุ้มกันตำหนักให้แน่นหนาขึ้นแล้วกัน”
ฟ่านเจิ้งยังไม่วางใจ “แล้วที่สำนักศึกษาเล่าขอรับ”
“ธารกำนัลมีหลายดวงตาจ้องมอง เขาย่อมไม่ทำ พวกเจ้าอย่าได้กังวล” จ้าวหมิงอวี่เอ่ยเนิบนาบไร้อารมณ์
แต่ทว่าฟ่านเจินยังไม่เห็นด้วยนัก “องค์ชายสี่เพคะ พวกเราย้ายสถานที่เรียนดีหรือไม่?”
“เสด็จพ่อลงทัณฑ์ข้าให้อยู่ที่นี่ ยังจะย้ายได้หรือไร?”
“แล้วพวกเราจะทำอย่างไรดีเพคะ?”
จ้าวหมิงอวี่เปรยเสียงนิ่ง “ที่นี่เป็นเมืองหลวง หูตาของเสด็จพ่อมีมาก ต่อให้อยากฆ่าข้าให้ตายก็ใช่ว่าจะทำได้”
ฆ่าน่ะคงไม่ง่ายและไม่อาจทำ แต่หากเพื่อปองร้ายให้กลายเป็นสภาพอนาถาเล่า! ดูองค์ชายอื่นเป็นตัวอย่างได้
คู่แฝดรู้สึกขนลุกซู่ เช่นนี้มิใช่ว่าเป็นเป้านิ่งให้ศัตรูรึ? ต่อให้มิอาจลอบปลงพระชนม์แต่คนชั่วย่อมมีวิธีการมากมายทำร้ายให้อยู่มิสู้ตาย ไม่อาจแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทได้อีก
ฟ่านเจินพร่ำบ่นอย่างอดใจมิได้ “เมื่อก่อนองค์ชายสี่คือสุดยอดนักรบ ย่อมไม่คณามือเท่าใด แต่ตอนนี้...ฮึ! เพราะนางมารหลิ่งหลินแท้ๆ หลอกให้รักแล้วก็ทำลายชีวิต ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น”
“ไป๋มู่เจ๋อจะมาเมื่อใด?” ฟ่านเจิ้งชิงถามน้องสาว เขาไม่อยากให้นางพูดถึงสตรีผู้นั้น แสลงหูยิ่งนัก!
มันสะกิดใจเจ้านายให้ยิ่งบอบช้ำรู้หรือไม่?
ฟ่านเจินสงบสติแล้วตอบพี่ชาย “เดินทางมาจากแดนเหนือแล้ว ไม่กี่วันก็ถึงที่นี่เจ้าค่ะ”
“เร็วเกินไป ข้าเสาะหายอดฝีมือเพิ่มทันหรือไม่?” ฟ่านเจิ้งเครียดหนักกว่าเดิม แค่ตัวเขากับน้องเอาไม่อยู่แน่!
ไป๋มู่เจ๋อฉายาบัณฑิตหน้าหยกคือคนขององค์ชายรอง ฉากหน้าถูกยกให้เป็นนักปราชญ์พรากวิญญาณทรราช แต่ฉากหลังคือมัจจุราชหน้าหยกพรากทุกคนลงนรกต่างหาก
ส่วนองค์ชายรองจ้าวจื่อหวนเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ ฝ่าบาททรงวางพระทัยมาก
หากแต่พวกเขารู้ องค์ชายรองที่เก่งกาจแต่สุภาพและเป็นกลางระหว่างองค์ชายทุกคนผู้นี้แท้จริงมีนิสัยเช่นไร หมายมาดครอบครองตำแหน่งรัชทายาทแค่ไหน
เพียงแต่นั่นเป็นแค่ความรู้สึกมิอาจนำหลักฐานมาชี้แจงต่อพระพักตร์ได้
ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นโอรสของจักรพรรดิเช่นกัน ความรักความผูกพันและไว้วางใจล้วนเท่าเทียม ที่สำคัญ การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นในโอรสนับเป็นเรื่องถูกต้องเหมาะสม
ฟ่านเจินให้รู้สึกเห็นใจสวีหลิงเยี่ยนขึ้นมาอย่างแท้จริง อีกฝ่ายแลดูจะเป็นคนกตัญญูรักครอบครัวเสียด้วย ก่อนนี้สตรีอื่นต่างเร่งร้อนมาเข้าตำหนักก่อนใคร เพื่อหวังให้เข้าตาองค์ชายสี่โดยเร็วที่สุด แต่นางกลับมาเข้าเรียนช้าเพราะอยู่เรือนช่วยมารดา ครานี้ต้องช่วยบิดา ต่อให้มิใช่นักฆ่าก็คงจำเป็นต้องหาวิธีฆ่าคนแล้วฟ่านเจิ้งเองก็คิดไม่ต่าง นางช่างน่าเห็นใจ แต่ว่า...“แผนการของพวกเราก็ไม่ควรเปลี่ยนนะพ่ะย่ะค่ะ” ฟ่านเจิ้งว่า “แม้พระองค์รังเกียจนางและไม่ชอบวิธีการนี้ แต่ยังคงต้องแสร้งเป็นเหยื่อลอบจับเสือต่อไป เพราะไม่นานฝ่ายเราจะได้หลักฐานและมีพยานเอาผิดองค์ชายรองส่งให้ฝ่าบาทเสียที”ฟ่านเจินพยักหน้าเห็นด้วยกับพี่ชายเฉกเดิม “ใช่ๆ เร่งเปิดทางให้นางเข้าหาแล้วรับตัวมาไว้ข้างกายเลยเพคะ”ลูกน้องคนสนิทคิดกันไป ในขณะที่จ้าวหมิงอวี่เพียงปิดตำรา อิงแผ่นหลังกว้างกับพนักเก้าอี้แล้วหลับตาลงช้าๆ ท่าทางเงียบงันเย็นชา พาให้คู่แฝดลอบมองอย่างลุ้นระทึก ด้วยมิอาจคาดเดาความคิดของเจ้านายท้ายที่สุดจ้าวหมิงอวี่ยืดตัวลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูง กล่าวเสียงเรียบอย่างเกียจคร้าน “ข้ารังเกียจนางจริง หน้าที่เข้าหานางข้าให้พวกเจ้า วั
ขันทีหวังก้าวเท้าสั้นๆ เดินยิกๆ หลิ่งหลินก็เดินตามเพียงแต่ฝีเท้าของนางยาวและมั่นคง ไม่เหมือนคุณหนูทั่วไปที่ก้าวสั้นแบบนั้น ตำหนักนี่กว้างมากทีเดียว มีเรือนเยอะแยะยิ่ง เดินอยู่นาน ขันทีหวังถึงได้มาหยุดยืนหน้าเรือนหลังหนึ่ง เขาเอียงหน้ามาทางนางโค้งกายเล็กน้อย เปล่งเสียงแหลม“นี่คือเรือนหงซิ่ว เป็นเรือนพักของคุณหนูสวี”หลิ่งหลินประสานมือยอบกายตามมารยาทอันพึงมีของคุณหนูลูกขุนนาง “ขอบคุณหวังกงกง”“เชิญคุณหนูสวีเข้าด้านใน” หวังกงกงเปิดประตู ผายมือ ส่งแขกด้วยใบหน้าไร้อารมณ์หญิงสาวเดินเข้าไปอย่างไม่อิดออดประตูห้องปิดลง หลิ่งหลินเห็นเพียงแผ่นหลังขันที อีกฝ่ายเดินเชิดหน้าซอยเท้าก้าวเล็กหายไปทางใดไม่ทราบ นางแค่เดินเข้าห้องไปสำรวจตรวจตราอย่างไม่ถือสาท่าทีของขันทีผู้นั้นในเรือนแม้ไม่กว้างแต่ครบครันยิ่ง หลิ่งหลินสำรวจ เห็นทิศตรงไปซึ่งชิดกำแพงด้านในสุดของห้องคือเตียงนอน ด้านซ้ายโต๊ะจิบชา ด้านขวาโต๊ะหนังสือ อีกฝั่งของเตียงคือฉากกั้นวางไว้เป็นสัดส่วนสำหรับเปลี่ยนอาภรณ์ ถัดออกไปคือห้องอาบน้ำ นอกหน้าต่างอากาศค่อนข้างเย็น แต่ด้านในห้องพักแม้ห้องมีขนาดกว้างขวางแต่กลับอบอุ่น แสงแดดสาดส่อง
เรื่องวุ่นวายในจวนสวียังคงดำเนินไปทั้งอย่างนั้นผลตรวจของท่านหมอลงความเห็นว่าสวีจงสือมีภาวะเลือดลมสูบฉีดขั้นรุนแรงส่งผลให้จุดป๋ายฮุ่ย[1]แตกซ่านนั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเป็นอัมพาตท่อนล่าง ปากบิดปากเบี้ยว พูดจาไม่รู้เรื่องนั่นเอง หลังจากนี้เกรงว่าคงมิอาจหาความสำราญจากเรือนร่างสตรีได้อีกนอกจากนั้นยังมิอาจจัดการงานในจวนได้อีกด้วย เหยาซื่อซึ่งมีตำแหน่งเป็นฮูหยินใหญ่จึงต้องรับหน้าที่บริหารจัดการงานในจวนสวีทั้งหมดโดยปริยายมิใช่มีสิทธิ์มีเสียงแค่เพียงหลังเรือนเหมือนเมื่อก่อน แต่รวมถึงเรือนหน้าและอำนาจจวนสวีทั้งหมดที่เคยเป็นของสวีจงสือบัดนี้เป็นของเหยาซื่อโดยสมบูรณ์พอกัวเหมยรู้เรื่องก็กรีดร้องแทบบ้าคลั่งจนสลบไสล ครั้นตื่นขึ้นมาก็ร้องไห้โหยหวนเป็นลมอีกในขณะที่อวี้เสวี่ยจีดีใจแทบตายแล้ว นางมีอิสระ ได้รับเบี้ยหวัด ไม่ต้องทนนอนปรนนิบัติใต้ร่างบุรุษเฉกอดีต ยอดเยี่ยมที่สุดทั้งหมดทั้งมวลหลิ่งหลินเพียงทิ้งไว้เบื้องหลังยามนี้นางต้องเข้าไปเรียนในตำหนักหมิงเฟิ่งเสียที เพียงแต่ปล่อยเวลาล่วงเลยหลายวัน ยังจะเรียนทันหรือไม่ จะเข้าตำหนักได้หรือเปล่าไม่ใช่พยายามเข้าหาจ้าวหมิงอวี่ตามคำสั่งสวีจงสือ เพ
เรือนหลักของนายท่านใหญ่สวีจงสือหารือเสร็จก็ส่งแขกกลับ สวีจงสือให้รู้สึกโล่งใจ นึกอยากร่ำสำราญกับอนุภรรยาคนใหม่เหลือเกิน“ไปเชิญอนุอวี้มา”“ขอรับ” บ่าวชายรับคำค้อมกายออกไป สวีจงสือสั่งแล้วก็ผลัดผ้าเข้าห้องอาบน้ำแช่ตัวสบายใจ ครั้นชำระกายเสร็จก็ออกมานั่งจิบชาชื่นชมแสงจันทร์ช่างมีอารมณ์สุนทรีย์เสียจริง!นั่นคือความคิดในใจของหลิ่งหลินที่ยืนแฝงตัวนิ่งๆ ภายใต้ความมืดของห้องแห่งนี้ ในมือของนางมีห่อยาที่เพิ่งได้รับจากสาวใช้คนนั้นที่เพิ่งตายไปเพราะขนมติดคอส่วนผงยาน่ะหรือ? ถูกละลายในกาน้ำชาไปบางส่วน แอบใส่ตอนที่สวีจงสือนั่งแช่ตัวในห้องอาบน้ำปะไรหลิ่งหลินแค่อยากรู้ว่ามันคือยาบำรุงจริงหรือเปล่า หากใช่ ค่อยนำไปใส่ขนมส่งให้จ้าวหมิงอวี่ก็ยังไม่สาย เห็นว่าเป็นของดีมีค่าควรเมืองจากแขกพิเศษแดนไกลนี่นาว่าแต่เหตุใดพวกเขาไม่นำมันไปถวายองค์ชายเองล่ะ ย่อมได้หน้าได้ตามากกว่าส่งผ่านสวีหลิงเยี่ยนที่ไม่ได้ความนี่ น่าแปลกยิ่งนัก! ความคิดของหลิ่งหลินพลันสะดุดและหยุดลงทันที เมื่อมีเสียงถ้วยชาตกพื้นดังแกร๊ง ยังไม่ถึงขั้นแตกเพราะมิได้เขวี้ยงกระแทกพื้นห้อง แต่เป็นลักษณะตกลงจากมือลงบนโต๊ะหลิ่งหลินยืนกอดอกอยู
แต่หลิ่งหลินเพียงมองนิ่ง ไม่รู้สึกรู้สา ลอบพิจารณาบางสิ่งอย่างเงียบงัน แววตาเย็นชาปานนั้นสาวใช้ไม่สังเกตความเปลี่ยนแปลงนี้ เพียงเชิดหน้า กล่าววาจาฉะฉาน “นายท่านสวีสั่งมาว่าให้คุณหนูใหญ่คอยเอาอกเอาใจองค์ชายสี่ให้ดี ทำขนมให้พระองค์ด้วยตัวเอง และยาห่อนี้นำไปส่งให้องค์ชายสี่เพื่อแสดงความจริงใจ อย่าได้ขาดตกบกพร่องเด็ดขาด”หลิ่งหลินถามเสียงชืดชา “สกุลสวีปล่อยให้สาวใช้พูดจาเหมือนออกคำสั่งกับเจ้านายตั้งแต่เมื่อใด?”สาวใช้เพิกเฉยคำถามนั้น “คุณหนูใหญ่ควรรู้หน้าที่ว่าต้องทำสิ่งใด ส่วนข้าต้องทำหน้าที่ของตนเองเช่นกัน นายท่านสั่งมาบอกเช่นไรข้าก็แค่บอกท่านเช่นนั้น”คนฟังเลิกคิ้ว “อ้อ...มาเพราะเป็นคำสั่งท่านพ่อ จึงทำท่าโอหังต่อหน้าข้าได้สินะ”สาวใช้ไม่ตอบทางวาจาเพียงเงยหน้าสบตาตรงๆ แทนคำตอบนั้นแน่นอนว่าไม่มีจวนใดที่บ่าวไพร่กล้าบังอาจเช่นนี้! กล้าจ้องหน้าเจ้านายเนี่ยนะที่ผ่านมาตั้งแต่เด็กจนเติบโตคุณหนูน้อยสวีหลิงเยี่ยน ต้องทนกับบ่าวชั้นต่ำไม่รู้เท่าไรกระมังหลิ่งหลินเดาะลิ้น “อืม ข้าไม่ชอบท่าทางของเจ้าเลย ทำอย่างไรดีเล่า” นางทำท่าขบคิดจริงจัง “เอาเช่นนี้ดีไหม เจ้าไสหัวไปเสียตอนนี้ อย่าม
แต่ถ้าเป็นคนธรรมดาจะร้อนรุ่ม ยังไม่ทันได้เสพสมเลือดลมจะสูบฉีดเดือดพล่าน เส้นเลือดในร่างกายแตกซ่านจนกลายเป็นคนป่วยที่รักษาไม่หายในที่สุดแค่ยานี้ตัวเดียวเขาก็สามารถจัดการทุกสิ่งครอบคลุม หนึ่งพิสูจน์วรยุทธขององค์ชายสี่และทำลายมันลงซะ นักรบที่ไร้วรยุทธย่อมไม่ต่างจากคนพิการ แต่ทว่า...องค์ชายสี่ไม่ได้พิการ และหากพระองค์ทรงเสแสร้งแกล้งทำ...เขาทำให้เป็นจริงก็สิ้นเรื่อง! สองให้องค์ชายสี่มีสัมพันธ์สวาทกับคุณหนูใหญ่สวีเพื่อที่เขาจะนำหมากตัวนี้ไว้ข้างกายพระองค์ได้พอดี สกุลสวีก็มิได้ยิ่งใหญ่เกินไป สติปัญญาเหมาะแก่การชักไยและสุดท้าย...องค์ชายสี่ก็จะกลายเป็นวัวเป็นลา ต้องตกเป็นคนขององค์ชายรอง กองทัพที่ยิ่งใหญ่สกุลเต๋อซึ่งฟังเพียงคำสั่งองค์ชายสี่ก็จะตามมาทั้งหมดตระกูลเต๋อฝั่งมารดาขององค์ชายสี่ฝังรากหยั่งลึก เป็นรากฐานที่ไร้หัวใจ ดำรงอยู่หลายรัชสมัย กระทั่งฮ่องเต้องค์ปัจจุบันยังเกรงพระทัยนี่คือเหตุผลที่มิอาจเอาชีวิตองค์ชายสี่ได้ในเมื่อเอาชีวิตไม่ได้ ย่อมเหมาะจะเป็นหุ่นเชิดด้วยยาบุปผารัญจวนพันธนาการแห่งปรารถนา...แม้สรรพคุณจะรุนแรงปานนั้นแต่ไป๋มู่เจ๋อไม่คิดเอ่ย เพียงโน้มน้าวเฉพา