ตำหนักหมิงเฟิ่ง ยามค่ำคืนที่เรือนส่วนพระองค์ สายลมค่อนข้างเย็นสบาย เหมาะแก่การพักผ่อนย่อนใจนั่งมองดาวที่สุกสกาวบนท้องฟ้า
ราตรีที่มืดมิดเช่นนี้ย่อมมองเห็นดวงดาราชัดเจนยิ่ง
ฟ่านเจิ้งปรนนิบัติจ้าวหมิงอวี่รับมื้อเย็นเสร็จก็มาเฝ้าเจ้านายที่นี่เพื่อให้อีกฝ่ายทอดอารมณ์ผ่อนคลายตามวิสัย
“องค์ชายสี่ คุณหนูสวีผู้นั้นอาจสละสิทธิ์ไม่เข้าเรียนร่วมตำหนักกระมังพ่ะย่ะค่ะ เห็นว่ายังยุ่งวุ่นวายอยู่ที่จวน เมื่อเป็นเช่นนี้นางคงไม่ใช่นักฆ่าที่คิดจะปลอมตัวเข้าตำหนักแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
ฟ่านเจิ้งว่าพลางรวบแขนเสื้อ นั่งลงจุดเตากำยาน จากนั้นหันไปชงชาส่งให้ผู้เป็นนาย ท่วงท่าองอาจสง่างามเป็นธรรมชาติสมเป็นคุณชายตระกูลใหญ่ที่ได้รับสิทธิ์ติดตามเชื้อพระวงศ์สูงศักดิ์ เพียงแต่สายตากลับมิได้สุขุมสงบนิ่ง ยังคงแอบชำเลืองมองเจ้านาย คล้ายคนสอดรู้สอดเห็น
ในขณะที่จ้าวหมิงอวี่เพียงนั่งนิ่งพิงพนักเก้าอี้หลับตา
ท่าทางเย็นชาปานยอดหินผาภายใต้น้ำแข็งค้างเช่นนี้มีให้เห็นได้ตลอดเวลา ตั้งแต่ถูกนางมารสะบั้นรักในตอนนั้น ทำเอาบุรุษรูปงามที่เคยทรงพลังและเต็มไปด้วยความผยอง บัดนี้เปลี่ยนไปเป็นเงียบขรึมมืดมนเต็มขั้น
มากกว่าความโศกเศร้าเย็นชาไร้ความรู้สึกคือหัวใจเกิดหลุมลึกภายใต้อนธการไร้หนทางออก
ฟ่านเจิ้งร้องเฮ้อ อาการหนักไม่สร่างซาโดยแท้เจ้านายข้า
พระองค์เป็นบุรุษที่ดีเกินไป รักปักใจเพียงหญิงเดียว ถึงขั้นจมดิ่งอยู่ในห้วงทะเลทุกข์จนหัวใจของเขาเจ็บแทน
ฟ่านเจิ้งพึมพำถามต่อ “แต่ว่า นางจะไม่เรียนจริงๆ ใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
จ้าวหมิงอวี่ลืมตาขึ้นช้าๆ แค่นเสียงเรียบเย็นเยียบว่า “เหตุใดเจ้าถึงเอาแต่พูดถึงคุณหนูสวีผู้นั้น”
“อ่า” ฟ่านเจิ้งมุ่นคิ้ววูบ ผงกศีรษะยอมรับในที่สุด “นั่นน่ะสิ” แต่นางน่าสนใจจริงๆ อย่างมิอาจปฏิเสธได้ ทำไมกันนะ?
เขาสลัดความคิดไม่สมเหตุสมผลออกไปเมื่อฟ่านเจินพุ่งวูบเข้ามาดุจวายุเงา เยี่ยมหน้าทักทายพี่ชายเหมือนภูตผี
“ข้ากลับมาแล้วเจ้าค่ะ คิดถึงหรือไม่?”
“ใครจะคิดถึงเจ้ากัน มิใช่สาวงามเสียหน่อย”
“พี่ใหญ่! ข้าย่อมงามไม่แพ้ใคร”
“ใช่ๆ เจ้างามที่สุด” ฟ่านเจิ้งชมน้องสาวเสียงขัน ถามต่อด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป “แล้วเป็นอย่างไร อุตส่าห์แอบเฝ้าสตรีผู้นั้นทั้งคืน ได้ความหรือไม่?”
สตรีผู้นั้นที่ฟ่านเจิ้งว่าคือสวีหลิงเยี่ยน ฟ่านเจินรู้สึกค้างคาใจในตัวสวีหลิงเยี่ยนจึงถือวิสาสะตามไปเฝ้าที่จวนสวี
ฟ่านเจินถอนหายใจยาว “ไม่ได้อะไรนอกจากสิ่งที่รายงานไปก่อนหน้านี่หรอก”
“อ้อ...” ฟ่านเจิ้งหัวเราะ “นึกแล้วเชียว”
ฟ่านเจินส่ายหน้าถอนหายใจ “เรื่องของหลิงเยี่ยนเอาไว้ก่อน” นางหันไปทางเจ้านายที่นั่งนิ่งเย็นชาจนชินตา “องค์ชาย หม่อมฉันมีข่าวด่วนมารายงานเพคะ”
ฟ่านเจินรับน้ำชาจากพี่ชายมาจิบก่อนอึกหนึ่ง
จ้าวหมิงอวี่ปรายตามองเป็นเชิงคำถาม “ว่ามา”
ฟ่านเจินสีหน้าเคร่งเครียดไร้วี่แววซุกซนเฉกปกติ “จะมีขุนนางระดับสูงจากวังอ๋องแดนเหนือกลับมาประจำที่สำนักศึกษาหลวง คาดว่าต้องมาเป็นอาจารย์องค์ชายสี่ด้วย คนผู้นั้นคือใต้เท้าไป๋มู่เพคะ”
ม่านตาจ้าวหมิงอวี่หดแคบในขณะที่ฟ่านเจิ้งร้องห๊ะ!
ฟ่านเจินให้รู้สึกเห็นใจสวีหลิงเยี่ยนขึ้นมาอย่างแท้จริง อีกฝ่ายแลดูจะเป็นคนกตัญญูรักครอบครัวเสียด้วย ก่อนนี้สตรีอื่นต่างเร่งร้อนมาเข้าตำหนักก่อนใคร เพื่อหวังให้เข้าตาองค์ชายสี่โดยเร็วที่สุด แต่นางกลับมาเข้าเรียนช้าเพราะอยู่เรือนช่วยมารดา ครานี้ต้องช่วยบิดา ต่อให้มิใช่นักฆ่าก็คงจำเป็นต้องหาวิธีฆ่าคนแล้วฟ่านเจิ้งเองก็คิดไม่ต่าง นางช่างน่าเห็นใจ แต่ว่า...“แผนการของพวกเราก็ไม่ควรเปลี่ยนนะพ่ะย่ะค่ะ” ฟ่านเจิ้งว่า “แม้พระองค์รังเกียจนางและไม่ชอบวิธีการนี้ แต่ยังคงต้องแสร้งเป็นเหยื่อลอบจับเสือต่อไป เพราะไม่นานฝ่ายเราจะได้หลักฐานและมีพยานเอาผิดองค์ชายรองส่งให้ฝ่าบาทเสียที”ฟ่านเจินพยักหน้าเห็นด้วยกับพี่ชายเฉกเดิม “ใช่ๆ เร่งเปิดทางให้นางเข้าหาแล้วรับตัวมาไว้ข้างกายเลยเพคะ”ลูกน้องคนสนิทคิดกันไป ในขณะที่จ้าวหมิงอวี่เพียงปิดตำรา อิงแผ่นหลังกว้างกับพนักเก้าอี้แล้วหลับตาลงช้าๆ ท่าทางเงียบงันเย็นชา พาให้คู่แฝดลอบมองอย่างลุ้นระทึก ด้วยมิอาจคาดเดาความคิดของเจ้านายท้ายที่สุดจ้าวหมิงอวี่ยืดตัวลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูง กล่าวเสียงเรียบอย่างเกียจคร้าน “ข้ารังเกียจนางจริง หน้าที่เข้าหานางข้าให้พวกเจ้า วั
ขันทีหวังก้าวเท้าสั้นๆ เดินยิกๆ หลิ่งหลินก็เดินตามเพียงแต่ฝีเท้าของนางยาวและมั่นคง ไม่เหมือนคุณหนูทั่วไปที่ก้าวสั้นแบบนั้น ตำหนักนี่กว้างมากทีเดียว มีเรือนเยอะแยะยิ่ง เดินอยู่นาน ขันทีหวังถึงได้มาหยุดยืนหน้าเรือนหลังหนึ่ง เขาเอียงหน้ามาทางนางโค้งกายเล็กน้อย เปล่งเสียงแหลม“นี่คือเรือนหงซิ่ว เป็นเรือนพักของคุณหนูสวี”หลิ่งหลินประสานมือยอบกายตามมารยาทอันพึงมีของคุณหนูลูกขุนนาง “ขอบคุณหวังกงกง”“เชิญคุณหนูสวีเข้าด้านใน” หวังกงกงเปิดประตู ผายมือ ส่งแขกด้วยใบหน้าไร้อารมณ์หญิงสาวเดินเข้าไปอย่างไม่อิดออดประตูห้องปิดลง หลิ่งหลินเห็นเพียงแผ่นหลังขันที อีกฝ่ายเดินเชิดหน้าซอยเท้าก้าวเล็กหายไปทางใดไม่ทราบ นางแค่เดินเข้าห้องไปสำรวจตรวจตราอย่างไม่ถือสาท่าทีของขันทีผู้นั้นในเรือนแม้ไม่กว้างแต่ครบครันยิ่ง หลิ่งหลินสำรวจ เห็นทิศตรงไปซึ่งชิดกำแพงด้านในสุดของห้องคือเตียงนอน ด้านซ้ายโต๊ะจิบชา ด้านขวาโต๊ะหนังสือ อีกฝั่งของเตียงคือฉากกั้นวางไว้เป็นสัดส่วนสำหรับเปลี่ยนอาภรณ์ ถัดออกไปคือห้องอาบน้ำ นอกหน้าต่างอากาศค่อนข้างเย็น แต่ด้านในห้องพักแม้ห้องมีขนาดกว้างขวางแต่กลับอบอุ่น แสงแดดสาดส่อง
เรื่องวุ่นวายในจวนสวียังคงดำเนินไปทั้งอย่างนั้นผลตรวจของท่านหมอลงความเห็นว่าสวีจงสือมีภาวะเลือดลมสูบฉีดขั้นรุนแรงส่งผลให้จุดป๋ายฮุ่ย[1]แตกซ่านนั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเป็นอัมพาตท่อนล่าง ปากบิดปากเบี้ยว พูดจาไม่รู้เรื่องนั่นเอง หลังจากนี้เกรงว่าคงมิอาจหาความสำราญจากเรือนร่างสตรีได้อีกนอกจากนั้นยังมิอาจจัดการงานในจวนได้อีกด้วย เหยาซื่อซึ่งมีตำแหน่งเป็นฮูหยินใหญ่จึงต้องรับหน้าที่บริหารจัดการงานในจวนสวีทั้งหมดโดยปริยายมิใช่มีสิทธิ์มีเสียงแค่เพียงหลังเรือนเหมือนเมื่อก่อน แต่รวมถึงเรือนหน้าและอำนาจจวนสวีทั้งหมดที่เคยเป็นของสวีจงสือบัดนี้เป็นของเหยาซื่อโดยสมบูรณ์พอกัวเหมยรู้เรื่องก็กรีดร้องแทบบ้าคลั่งจนสลบไสล ครั้นตื่นขึ้นมาก็ร้องไห้โหยหวนเป็นลมอีกในขณะที่อวี้เสวี่ยจีดีใจแทบตายแล้ว นางมีอิสระ ได้รับเบี้ยหวัด ไม่ต้องทนนอนปรนนิบัติใต้ร่างบุรุษเฉกอดีต ยอดเยี่ยมที่สุดทั้งหมดทั้งมวลหลิ่งหลินเพียงทิ้งไว้เบื้องหลังยามนี้นางต้องเข้าไปเรียนในตำหนักหมิงเฟิ่งเสียที เพียงแต่ปล่อยเวลาล่วงเลยหลายวัน ยังจะเรียนทันหรือไม่ จะเข้าตำหนักได้หรือเปล่าไม่ใช่พยายามเข้าหาจ้าวหมิงอวี่ตามคำสั่งสวีจงสือ เพ
เรือนหลักของนายท่านใหญ่สวีจงสือหารือเสร็จก็ส่งแขกกลับ สวีจงสือให้รู้สึกโล่งใจ นึกอยากร่ำสำราญกับอนุภรรยาคนใหม่เหลือเกิน“ไปเชิญอนุอวี้มา”“ขอรับ” บ่าวชายรับคำค้อมกายออกไป สวีจงสือสั่งแล้วก็ผลัดผ้าเข้าห้องอาบน้ำแช่ตัวสบายใจ ครั้นชำระกายเสร็จก็ออกมานั่งจิบชาชื่นชมแสงจันทร์ช่างมีอารมณ์สุนทรีย์เสียจริง!นั่นคือความคิดในใจของหลิ่งหลินที่ยืนแฝงตัวนิ่งๆ ภายใต้ความมืดของห้องแห่งนี้ ในมือของนางมีห่อยาที่เพิ่งได้รับจากสาวใช้คนนั้นที่เพิ่งตายไปเพราะขนมติดคอส่วนผงยาน่ะหรือ? ถูกละลายในกาน้ำชาไปบางส่วน แอบใส่ตอนที่สวีจงสือนั่งแช่ตัวในห้องอาบน้ำปะไรหลิ่งหลินแค่อยากรู้ว่ามันคือยาบำรุงจริงหรือเปล่า หากใช่ ค่อยนำไปใส่ขนมส่งให้จ้าวหมิงอวี่ก็ยังไม่สาย เห็นว่าเป็นของดีมีค่าควรเมืองจากแขกพิเศษแดนไกลนี่นาว่าแต่เหตุใดพวกเขาไม่นำมันไปถวายองค์ชายเองล่ะ ย่อมได้หน้าได้ตามากกว่าส่งผ่านสวีหลิงเยี่ยนที่ไม่ได้ความนี่ น่าแปลกยิ่งนัก! ความคิดของหลิ่งหลินพลันสะดุดและหยุดลงทันที เมื่อมีเสียงถ้วยชาตกพื้นดังแกร๊ง ยังไม่ถึงขั้นแตกเพราะมิได้เขวี้ยงกระแทกพื้นห้อง แต่เป็นลักษณะตกลงจากมือลงบนโต๊ะหลิ่งหลินยืนกอดอกอยู
แต่หลิ่งหลินเพียงมองนิ่ง ไม่รู้สึกรู้สา ลอบพิจารณาบางสิ่งอย่างเงียบงัน แววตาเย็นชาปานนั้นสาวใช้ไม่สังเกตความเปลี่ยนแปลงนี้ เพียงเชิดหน้า กล่าววาจาฉะฉาน “นายท่านสวีสั่งมาว่าให้คุณหนูใหญ่คอยเอาอกเอาใจองค์ชายสี่ให้ดี ทำขนมให้พระองค์ด้วยตัวเอง และยาห่อนี้นำไปส่งให้องค์ชายสี่เพื่อแสดงความจริงใจ อย่าได้ขาดตกบกพร่องเด็ดขาด”หลิ่งหลินถามเสียงชืดชา “สกุลสวีปล่อยให้สาวใช้พูดจาเหมือนออกคำสั่งกับเจ้านายตั้งแต่เมื่อใด?”สาวใช้เพิกเฉยคำถามนั้น “คุณหนูใหญ่ควรรู้หน้าที่ว่าต้องทำสิ่งใด ส่วนข้าต้องทำหน้าที่ของตนเองเช่นกัน นายท่านสั่งมาบอกเช่นไรข้าก็แค่บอกท่านเช่นนั้น”คนฟังเลิกคิ้ว “อ้อ...มาเพราะเป็นคำสั่งท่านพ่อ จึงทำท่าโอหังต่อหน้าข้าได้สินะ”สาวใช้ไม่ตอบทางวาจาเพียงเงยหน้าสบตาตรงๆ แทนคำตอบนั้นแน่นอนว่าไม่มีจวนใดที่บ่าวไพร่กล้าบังอาจเช่นนี้! กล้าจ้องหน้าเจ้านายเนี่ยนะที่ผ่านมาตั้งแต่เด็กจนเติบโตคุณหนูน้อยสวีหลิงเยี่ยน ต้องทนกับบ่าวชั้นต่ำไม่รู้เท่าไรกระมังหลิ่งหลินเดาะลิ้น “อืม ข้าไม่ชอบท่าทางของเจ้าเลย ทำอย่างไรดีเล่า” นางทำท่าขบคิดจริงจัง “เอาเช่นนี้ดีไหม เจ้าไสหัวไปเสียตอนนี้ อย่าม
แต่ถ้าเป็นคนธรรมดาจะร้อนรุ่ม ยังไม่ทันได้เสพสมเลือดลมจะสูบฉีดเดือดพล่าน เส้นเลือดในร่างกายแตกซ่านจนกลายเป็นคนป่วยที่รักษาไม่หายในที่สุดแค่ยานี้ตัวเดียวเขาก็สามารถจัดการทุกสิ่งครอบคลุม หนึ่งพิสูจน์วรยุทธขององค์ชายสี่และทำลายมันลงซะ นักรบที่ไร้วรยุทธย่อมไม่ต่างจากคนพิการ แต่ทว่า...องค์ชายสี่ไม่ได้พิการ และหากพระองค์ทรงเสแสร้งแกล้งทำ...เขาทำให้เป็นจริงก็สิ้นเรื่อง! สองให้องค์ชายสี่มีสัมพันธ์สวาทกับคุณหนูใหญ่สวีเพื่อที่เขาจะนำหมากตัวนี้ไว้ข้างกายพระองค์ได้พอดี สกุลสวีก็มิได้ยิ่งใหญ่เกินไป สติปัญญาเหมาะแก่การชักไยและสุดท้าย...องค์ชายสี่ก็จะกลายเป็นวัวเป็นลา ต้องตกเป็นคนขององค์ชายรอง กองทัพที่ยิ่งใหญ่สกุลเต๋อซึ่งฟังเพียงคำสั่งองค์ชายสี่ก็จะตามมาทั้งหมดตระกูลเต๋อฝั่งมารดาขององค์ชายสี่ฝังรากหยั่งลึก เป็นรากฐานที่ไร้หัวใจ ดำรงอยู่หลายรัชสมัย กระทั่งฮ่องเต้องค์ปัจจุบันยังเกรงพระทัยนี่คือเหตุผลที่มิอาจเอาชีวิตองค์ชายสี่ได้ในเมื่อเอาชีวิตไม่ได้ ย่อมเหมาะจะเป็นหุ่นเชิดด้วยยาบุปผารัญจวนพันธนาการแห่งปรารถนา...แม้สรรพคุณจะรุนแรงปานนั้นแต่ไป๋มู่เจ๋อไม่คิดเอ่ย เพียงโน้มน้าวเฉพา