หญิงสาวยังคงนั่งคุดคู้อยู่ตรงนั้น เนิ่นนานให้หลังค่อยลุกขึ้นเดินกะเผลกออกจากสำนักศึกษา
มองผ่านม่านน้ำตาเห็นเบื้องหน้าในระยะไม่ไกลนักคือสวนพฤกษา ภาพบาดตากรีดใจที่เกิดขึ้นตรงนั้นเมื่อวาน กระทั่งส่งผลให้จิตใจไม่อยู่กับตัวยังคงฉายชัดในห้วงภวังค์
บุรุษที่นางคบหาดูใจมากว่าสามปีกับสตรีต่างเมืองที่เพิ่งรู้จักเพียงหกเดือน
พวกเขาอยู่ด้วยกัน ท่าทีสนิทสนมเปิดเผยหวานชื่น และเหมือนตั้งใจให้นางเห็น เป็นเช่นนั้นหลายครั้งหลายครา หากแต่นางทำเพียงเพิกเฉย มิเอ่ยวาจาหรือโวยวายอันใด การยอมรับได้ในเรื่องสองภรรยาใช้สามีเดียวกันมิใช่ปัญหา แต่ว่า...หากครึ่งปีก่อนนางไม่พาสหายใหม่คนนี้มาแนะนำให้ท่านพี่ฉู่เฉิงรู้จักจะดีสักเพียงใด?
เขายังจะมีวาจาเช่นนั้นกับนางหรือไม่?
‘เยี่ยนเอ๋อร์ เจ้าอ่อนแอเกินไป ทำตัวน่าเบื่อยิ่งนัก ช่วยเปลี่ยนตัวเองเสียบ้างเถอะ ข้ามิอาจอยู่กับเจ้าได้ตลอดหรอกนะ’
ทั้งที่เมื่อก่อนไม่เห็นพูดแบบนี้ ยังบอกว่านางเป็นสตรีเรียบร้อยอ่อนโยน ปรารถนาดูแลปกป้องตลอดไป
นางได้แต่คิดทว่ามิกล้าเอ่ยออกมา
จังหวะนั้นสตรีที่ยืนข้างกายเขาพลันเอ่ยแทรก ‘อาเยี่ยน เจ้าอย่าบอกนะว่าไม่เคยเห็นข้ากับพี่ฉู่อยู่ด้วยกัน’
‘ลู่ชิง...’ นางได้แต่ครางชื่อสหายอย่างปวดใจ
ว่านลู่ชิงกล่าวต่อ ‘ข้าก็รอว่าเมื่อไรเจ้าจะโวยวาย ตีโพยตีพายให้แตกหัก ข้าจะได้ป่าวประกาศให้รู้ชัดๆ สุดท้ายเจ้ากลับเพิกเฉย อ้อ! หรือเจ้ายอมรับได้?’
แน่นอนนางพยักหน้า ทว่าเหมือนว่านลู่ชิงจะรับมิได้
ทั้งที่ ระหว่างนางกับฉู่เฉิง ว่านลู่ชิงมาทีหลัง
“ชิ! โง่งม!” ว่านลู่ชิงสบถ “ชอบทำให้ผู้อื่นลำบากใจ ข้าไม่รู้จะทำกับสหายซื่อบื้อเช่นเจ้าอย่างไรแล้วนะอาเยี่ยน เฮ้อ...เอาเถอะ เจ้าคงไม่อยากแตกหัก ถึงอย่างไรก็มีแค่ข้าเป็นสหายนี่นะ ต่อไปเราเป็นเช่นเดิมก็ได้ แต่เจ้ากับพี่ฉู่ก็ต้องเป็นแค่สหายเช่นกัน” นางส่ายหน้าระอา “ไอ่โยว อาเยี่ยน เจ้าน่าสมเพชเกินไปแล้ว”
สวีหลิงเยี่ยนยอมรับคำด่าทอนั้นอย่างจำนน
ในขณะที่ฉู่เฉิงมองนางด้วยแววตาว่างเปล่า ไร้ความรู้สึกเฉกวันวาน เขาถอนหายใจเบื่อหน่าย กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเอือมระอาว่า ‘ข้ายอมรับว่าชอบน้องลู่ชิง ส่วนเจ้า ข้าขอบอกตามตรง พวกเราไม่เหมาะสมกันหรอก จงอย่าเอ่ยถึงเรื่องหมั้นอีก’
แล้วพวกเขาสองคนก็พากันเดินจากไป ทิ้งเอาไว้ให้นางยืนเคว้งเวิ้งว้างอยู่ที่เดิมครู่ใหญ่
ในครรลองสายตาของหลิงเยี่ยนยังคงเห็นเพียงเขา ชายในดวงใจกับสหายคนนั้น ทั้งสองส่งยิ้มให้กันหน้าระรื่น มีเสียงหัวเราะสดใสดังคิกคักให้ได้ยินเป็นระยะ
แววตาของฉู่เฉิงที่มองว่านลู่ชิงยามนี้เต็มไปด้วยความเอ็นดูแฝงเสน่หาอันเร่าร้อน
ทั้งที่เมื่อก่อนในแววตานั้นของเขาล้วนมีเพียงนาง
พวกเราไม่เหมาะสมกันหรอก...
ประโยคนั้นยังคงก้องกังวานในหัวใจของหลิงเยี่ยน
ฉู่เฉิงโดดเด่นเก่งกาจมากความสามารถแต่ไหนแต่ไรกับว่านลู่ชิงที่แม้จะเพิ่งเข้ามาฝึกฝน แต่ทักษะกลับเป็นเลิศแบบก้าวกระโดด ไม่นานก็ติดอันดับต้นๆในสำนักศึกษา
พวกเขาเหมาะสมกันแล้วล่ะ
หลิงเยี่ยนเงยหน้ามองท้องฟ้า เห็นเพียงมวลเมฆผ่านม่านน้ำตา ในสมองว่างเปล่าขาวโพลน สายลมเย็นจัดพัดมาวูบหนึ่ง พาอาภรณ์สีฟ้าสะบัดพลิ้วแนบกายระหงที่อ่อนแอแม้แต่ท่ายืนยังไม่มั่นใจ
นางผิดมากหรือไร ปรารถนาน้ำใจจากสหายใหม่ โหยหาความสุขเพียงเล็กน้อยแค่หนึ่งเดียวจากว่าที่สามี กลับได้รับการรวมหัวกันมอบความทุกข์ให้เช่นนี้
แม้ราตรีล่วงพ้นทว่าช่วงกาลวสันต์ไม่จบสิ้นจ้าวหมิงอวี่ไม่มีทางคลายวงแขนจากหลิ่งหลิน เขายังคงตระกองกอดนางเอาไว้ แนบชิดไม่ให้ห่าง เรือนกายทอดยาวพัวพันดุจงูสองตัวเลื้อยเป็นเกลียว เนตรคมดำขลับลุ่มลึกทอดมองร่างอ่อนแรงของนางอย่างมิวางตา ริมฝีปากจุมพิตอย่างมิว่างเว้น ซับเหงื่อไปทั่วเรือนกายไม่มีเบื่อหน่ายหลายเค่อต่อมายังคงบรรจงลูบไล้เนื้อเนียน เห็นเนินอกอวบอิ่มกระเพื่อมไหวตามแรงลมหายใจ ทำบุรุษปั่นป่วนอีกครั้ง พลังเร้นลับถูกปลุกให้ตื่นผงาด แข็งแกร่งดุจหิน ร้อนดุจไฟ จุดเพลิงให้มอดไหม้พร้อมละลายร่างหลอมรวมไปด้วยกันอีกคราและอีกคราครั้นเปลวเทียนมอดดับ หลิ่งหลินเปลือยเปล่า หางตาแดงเรื่อ หอบหายใจหนัก ส่งเสียงครวญแผ่วตอบสนองเป็นครั้งคราว นางปรือตามองอย่างอ่อนล้า สุ้มเสียงคล้ายไม้ใกล้ฝั่ง ความตายใกล้เข้ามาทุกที“หมิงอวี่ ท่านต้องการสังหารข้าใช่หรือไม่?”จ้าวหมิงอวี่จูบนางพลางยิ้ม “หาใช่สังหาร แต่เป็นการมอบความทรมานอันแสนสุขสม” ว่าพร้อมส่งตัวตนพานางไต่ทะยานบันไดสวรรค์อันสูงชันขึ้นไปแตะขอบฟ้า “อา...น้องหญิง สามีกำลังปรนเปรอเจ้า”สุ้มเสียงทุ้มแหบพร่าชวนเสียวท้องน้อยยิ่งนัก หลิ่งหลินรู้สึกได้ถึงกลุ่มผ
ตำหนักหมิงเฟิ่งค่ำคืนมงคล ห้องหอตกแต่งสีแดงละลานตา เครื่องเรือนประณีตพิถีพิถันมากกว่าเก่าหลายเท่า ไม่ต้องเดาก็พอรู้ว่าจ้าวหมิงอวี่ตระเตรียมไว้เพื่อใคร ชายหนุ่มหวังเพียงเห็นสีหน้าพึงใจของเจ้าสาวเพื่อได้ยลแววตาปลื้มปริ่มของนางที่ทอดมอง จ้าวหมิงอวี่จึงไม่ยินยอมรั้งรอในโถงงานเลี้ยง ไม่คิดร่วมดื่มสุราอวยพรกับบรรดาเชื้อพระวงศ์สูงศักดิ์และเหล่าขุนนางน้อยใหญ่ให้เสียเวลาด้วยซ้ำ ชายหนุ่มรีบย่ำเท้าจ้ำอ้าวกลับเรือนหออย่างรวดเร็วทว่าเมื่อเดินเข้ามากลับพบเพียงสีแดงงามอร่ามกับความว่างเปล่าภายในห้องหอไร้เงาเจ้าสาวของเขา“หลินหลิน” เรียวคิ้วเข้มขมวดกวาดตามองหา “เจ้าอยู่ไหน?” ใบหน้าหล่อเหลาเริ่มเคร่งเครียดชายหนุ่มให้รู้สึกกลัวขึ้นมา หากว่าจู่ๆ วิชามารไม่คาดฝันทำนางหายไป ต้องทำอย่างไร? อสูรผลัดกายเปลี่ยนวิญญาณพานางมาที่นี่ได้ย่อมพานางไปที่อื่นได้ ใช่หรือไม่?ขณะความคิดโลดแล่นในเรื่องที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นที่สุดพลันได้ยินเสียงตอบอู้อี้จากผ้าม่านริมเตียง“ข้าอยู่นี่”จ้าวหมิงอวี่รับหันมอง เห็นหลิ่งหลินซ่อนตัวอยู่ในผ้าม่านนั้นอย่างกลมกลืนราวกับเปลี่ยนกายเป็นเนื้อเดียวกับผ้าม่านไปแล้ว“เข้าไปทำอันใดใน
หลังจากนั้นหนึ่งเดือน องค์ชายสามเดินทางกลับเข้าวังหลวงพร้อมผลงานความดีความชอบมากมายเป็นที่พึงพอพระทัยครึ่งเดือนต่อมาพิธีแต่งตั้งรัชทายาทก็เสร็จสิ้น องค์ชายสามจ้าวเฉิงหมิงรับตำแหน่งว่าที่ราชันดังคาด องค์ชายใหญ่ที่คิดจะเดินอย่างองอาจงามสง่าหมายประกาศก้องว่าตนเองเหมาะสมเป็นรัชทายาทเพียงหนึ่งเดียวกลับต้องตรมใจยอมเป็นคนป่วยต่อไปเหมือนที่ผ่านมา มิคาดว่านอกจากน้องสี่ยังมีน้องสามโผล่มา ต่อให้เขาเดินได้ก็ใช่ว่าจะสู้ด้วยไหวสี่เดือนให้หลัง แคว้นต้าอันมีงานอันเป็นมหามงคลยิ่งใหญ่ ผู้คนทั้งเมืองต่างรอชื่นชมอย่างครึกครื้นชื่นมื่น นั่นคืองานแต่งขององค์ชายสี่จ้าวหมิงอวี่เครื่องดนตรีประโคมดัง เสียงปะทัดดังกึกก้องไปทั่วทั้งถนน เสียงผู้คนชื่นชมยินดีไม่ขาดสาย ชายหนุ่มอาภรณ์แดงเป็นผู้นำขบวนเกี้ยวสีแดงขี่ม้ารอบเมืองไปรับตัวเจ้าสาวของเขาอย่างอลังการ ขบวนยิ่งใหญ่ยาวเหยียดตรงไปถึงจวนสวีตามฤกษ์งามยามดีทุกประการ งานแต่งของพวกเขาแม้รวดเร็วเพราะผู้เป็นเจ้าบ่าวใจร้อนแต่กลับเหมาะสมครบถ้วน ทุกขั้นตอน พิธีการล้วนถูกต้องไม่มีขาดตกบกพร่อง อีกทั้งคนเป็นเจ้าบ่าวยังแสดงออกชัดเจนอย่างเถรตรงจนเป็นที่กล่าว
“ใช่ องค์ชายทั้งหมดมีเพียงพี่สามที่เหมาะสม เสด็จพ่อเองก็คงเห็นพ้อง พระองค์ชอบความครึกครื้นเห็นโอรสแย่งชิง แต่แท้จริงมักมอบหมายงานสำคัญ ทั้งยังส่งองค์ชายสามไปทำการใหญ่ที่ได้ใจชาวประชา ก่อนนี้ที่มีข่าวหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยล้วนเป็นเพราะถูกพี่รองปองร้ายตามไล่ล่าไม่ว่างเว้น เมื่อข้ารู้ ข้าจึงซ้อนแผนพี่รอง และตอนนี้ข้าให้พี่สามกลับมา” เขาอธิบายเรียบเรื่อย ก่อนปิดท้ายด้วยวาจาโอ้อวดที่น่าฟังที่สุดในใต้หล้า “และช่วงนี้ข้าว่างมาก สามารถพาเจ้าท่องยุทธก็ยังได้”“หา!” หลิ่งหลินที่ได้ฟังทั้งหมด ทว่าพลันตาโตในประโยคสุดท้ายเท่านั้น “ท่าน พูดจริงหรือ?”“จริงแท้แน่นอน นอกจากพาท่องยุทธได้แล้วยังสามารถพาเจ้ากลับเข้าหุบเขาปีศาจไปสะสางสิ่งที่ค้างคาใจ ดีหรือไม่เล่า?”“โอ้ว!”หลิ่งหลินดีใจเป็นที่สุด ถึงขั้นเป็นฝ่ายเอื้อมมือดึงใบหน้าบุรุษเข้ามาแนบชิดแล้วจุมพิตไม่หยุด“ดีเหลือเกิน หมิงอวี่ ท่านยอดเยี่ยมยิ่งนัก”จ้าวหมิงอวี่ถูกนางจูบไปหลายทีจนตาลาย จำต้องขบกรามอดทนให้แก่ส่วนนั้นของร่างกาย ซึ่งกำลังรุ่มร้อนและแข็งแกร่งมากขึ้นทุกขณะ “อ่า...หยุดก่อน หลินหลิน เจ้าหยุด!”“ทำไมเล่า ท่านชอบแบบนี้นี่นา” ว่าแล้วจูบต่
เรือนหงซิ่วจ้าวหมิงอวี่คืบคลานขึ้นเตียงของหลิ่งหลิน ค่อยๆ สอดตัวเข้าผ้าห่มผืนเดียวกัน ทว่าทันใดนั้น สตรีบนเตียงมีท่าทางกระสับกระส่าย คล้ายคนฝันร้าย พริบตานางพลันตะโกนก้อง “สวีหลิ่งเยี่ยน ระวัง!” จบคำนางพลิกตัวออกกระบวนท่าพร้อมปกป้องโครม! บุรุษร่างสูงถูกฝ่าเท้าพิฆาตดุจสายฟ้าฟาดจนกลิ้งตกเตียง “อ่า...” ทั้งเจ็บทั้งจุก จังหวะนั้นหลิ่งหลินผุดลุกตามตะปบตบไม่ยั้ง “เจ้าคนชั่ว บังอาจทำร้ายร่างเก่าข้า นี่แนะๆ”จ้าวหมิงอวี่เองก็ใช่ย่อย ครั้งแรกไม่ทันป้องกัน ทว่าตอนนี้เขาปัดป้องได้สำเร็จจากนั้นก็กอดนางไว้มั่น“หลินหลิน ข้าเอง”หลิ่งหลินที่สะลึมสะลือกึ่งหลับกึ่งตื่นจึงหยุดมือ “หือ?” เมื่อลืมตาแล้วเห็นว่าเป็นใครจึงตกใจนัก “จ้าวหมิงอวี่!”หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึกยาว เร่งครองสติ เมื่อสงบอารมณ์ได้ก็พลิกตัวหันไปโผกอดลำคอแกร่ง “หมิงอวี่!”“ข้าเองๆ”หญิงสาวซบหน้ากับแผงอกอันอบอุ่นของเขา แนบนิ่งอยู่เช่นนั้นจ้าวหมิงอวี่ให้รู้สึกใจคอไม่ดี รีบก้มหน้าจูบขมับหอมแก้มนางพัลวันอย่างต้องการปลอบขวัญ “เจ้ากำลังฝันร้ายกระมัง”“อืม...” นางพยักหน้าหงึกหงักตรงแผงอกหนา จนใบหน้าและจมูกบิดเบี้ยวเหมือนเด็กน้อยขี้กลัว
จ้าวหมิงอวี่ดึงมีดสั้นเปื้อนโลหิตแดงฉานออกมาจากสายคาดเอวสีดำ เชยคางมนของคนงาม ถามเสียงเย็นชา “เจ้ายังปรารถนาแต่งงานให้ข้าอยู่หรือไม่?”หย่งหนิงไม่กล้าส่ายหน้าได้แต่ร่ำไห้พูดละล่ำละลักขณะที่ตัวก็สั่นงันงกไปด้วยว่า “ไม่เพคะ ไม่อยากแต่งแล้ว”จ้าวหมิงอวี่ขยับใบมีดเย็นเฉียบไล้แก้มเนียนเบาๆขณะกล่าวยิ้มๆ “เรื่องที่ท่านย่ากับเจ้าทำลงไป ท่านปู่ไม่รู้กระมัง หากเขารู้เข้าจะเป็นเช่นไร”หย่งหน้าส่ายหน้าพรืด “อย่าบอกนะเพคะ”ชายหนุ่มร้องอ้อ “ได้ข่าวว่าท่านปู่ของเจ้าไม่มีอนุเพราะสัญญากับท่านย่าของเจ้า สามีภรรยารักใคร่ อยู่ด้วยกันทุกวัน ข้าเสนอต่อเสด็จพ่อให้ท่านปู่ของเจ้าเข้าร่วมทัศนาจรกับข้าสักสามปีดีหรือไม่ สามีภรรยาแยกกันเนิ่นนานอาจทำให้ท่านย่าของเจ้ามีสติปัญญามากขึ้น รู้การควรไม่ควรกว่านี้ เจ้าคิดเช่นนั้นหรือไม่”“อย่านะเพคะ ไม่นะเพคะ” ท่านย่าของนางไม่เคยห่างจากท่านปู่สักราตรี อีกฝ่ายต้องตรอมใจตายแน่“อืม...” จ้าวหมิงอวี่ยิ้มร้าย “ยามท่านปู่ไม่อยู่ ท่านย่าอยู่กับเจ้าแค่สองคน เจ้าสามารถยืมมือท่านย่าทำการเอาแต่ใจได้อีก ไม่ดีหรือไร? ท่านปู่ไม่รู้หรอก”“ไม่ๆ ไม่ดี หม่อมฉันไม่เอาแต่ใจแล้วเพคะ”จ้าวหมิ