"พับสีฟ้ากับสีชมพู ใช้ตัดเป็นชุดสตรี ส่วนพับสีน้ำเงินกับสีเขียวนั่น ใช้ตัดเป็นชุดบุรุษก็แล้วกัน"
อวี้หลันเอ่ยเสียงเรียบ ขณะใช้สายตากวาดมองผ้าพับที่กางเรียงอยู่ตรงหน้า
นางกำลังสั่งให้ ฉิงอี ฉิงซื่อ และฉิงลิ่ว ซึ่งเป็นบ่าวที่พึ่งรับเข้ามา ช่วยกันคัดเลือกผ้าเพื่อส่งให้ร้านอาภรณ์ประจำจวน ตัดเย็บให้กับบ่าวทุกคนในเรือนฮวาหงคนละห้าชุด
คนที่นางเลือกเข้ามา เป็นบุรุษหกคนและสตรีสี่คน พวกเขาต่างเป็นคนหนุ่มสาวที่ดูปราดเปรียว กระฉับกระเฉง ทั้งหมดล้วนมีสายตาซื่อตรง ไหวพริบดี และมีวินัยในการวางตัว
และเพื่อให้เรียกขานได้สะดวก สามารถจดจำได้ง่าย นางจึงมอบชื่อใหม่ให้แก่ทุกคน โดยขึ้นต้นด้วยคำว่า “ฉิง” ซึ่งหมายถึงความบริสุทธิ์ผ่องใส เช่นเดียวกับฉิงหว่าน
ฉิงอี ฉิงเอ้อ ฉิงซาน ฉิงซื่อ ฉิงอู่ ฉิงลิ่ว ฉิงชี ฉิงปา ฉิงจิ่ว และฉิงสือ ชื่อเรียกตามลำดับจากหนึ่งถึงสิบ เป็นชื่อที่ฟังง่าย จดจำง่ายอย่างยิ่ง
"คุณหนูน้ำชากับของว่างเจ้าค่ะ"
ฉิงจิ่ว เด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรา น้องน้อยที่สุดในบรรดาบ่าวทั้งหมด ยกถาดน้ำชาและของว่างเข้ามาให้ผู้เป็นนายด้วยรอยยิ้มน่ารัก
มองๆ ไปเด็กคนนี้ก็ละม้ายคล้ายคลึงกับฉิงหว่านของนางอยู่ไม่น้อย ทั้งนิสัยใจคอและหน้าตา
นี่กระมังสิ่งที่ทำให้นางตัดสินใจเลือกเด็กสาวนุ่มนิ่มผู้นี้มา ทั้งที่อีกฝ่ายไม่ตรงตามเจตนาของนางแม้แต่น้อย
"ขอบใจเจ้ามาก"
อวี้หลันยิ้มให้อีกฝ่าย ก่อนจะยกน้ำชาที่ฉิงจิ่วรินให้ขึ้นจิบ ตามด้วยขนมหน้าตาน่าทานอีกหนึ่งชิ้น
"คุณหนู! คุณหนูเจ้าคะ"
เสียงเรียกดังมาก่อนตัว ฉิงหว่านวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในเรือน ใบหน้าแดงก่ำเพราะแรงวิ่ง ดวงตากลมโตเปล่งประกายราวกับเพิ่งได้ยินเรื่องอะไรตื่นเต้นมาหมาดๆ
อวี้หลันวางจอกชาที่พึ่งจะยกขึ้นจิบล้างคอลง เหลือบมองบ่าวคนสนิทที่ตอนนี้กลายเป็นเหมือนแม่นกน้อยที่ชอบโฉบไปทั่วเรือน
"วันนี้หวานหว่านมีเรื่องอะไรมาเล่าให้ข้าฟังอีกเล่า"
นางถามพลางยิ้มบาง
นับตั้งแต่รับบ่าวใหม่เข้ามา นอกจากดูแลเรื่องส่วนตัวของนาง ฉิงหว่านก็แทบไม่มีงานให้ทำอีก อีกฝ่ายจึงชอบออกเดินสำรวจไปทั่ว ทั้งในเรือน นอกเรือน บางครั้งถึงกับออกไปนอกจวน และมักจะกลับมาพร้อมข่าวลือ ข่าวซุบซิบนินทา หรือเรื่องแปลกใหม่ที่ได้ยินมา
แม้บางเรื่องจะไร้สาระไปบ้าง แต่อวี้หลันกลับไม่เคยรำคาญเลยสักครั้ง เพราะหลายครั้ง เรื่องพวกนั้นก็กลายเป็นประโยชน์อยู่ไม่น้อย
"ข่าวใหม่ ข่าวใหญ่เลยเจ้าค่ะ"
เสียงตื่นเต้นของฉิงหว่านดังขึ้น
ฉิงอีกสี่นางต่างก็หันมามองต้นเสียงเป็นตาเดียว ก่อนจะแอบอมยิ้มน้อยๆ กับท่าทางกระตือรือร้นของอีกฝ่าย
"พวกเจ้าก็อยากรู้ใช่หรือไม่"
ฉิงหว่านหันไปมองสี่ฉิงด้วยสายตากรุ้มกริ่ม พลางยืดอกอย่างภูมิใจกับข่าวที่ตนรู้มา
"พี่ฉิงหว่าน เล่ามาเถิดเจ้าค่ะ ข้าอยากรู้จนจะทนไม่ไหวแล้ว"
เสียงเจื้อยแจ้วของฉิงจิ่วน้อยดังขึ้นก่อนใคร ใบหน้ากลมอมชมพูของนางดูตื่นเต้นไม่น้อยไปกว่าคนที่หอบข่าวมา
อวี้หลันนั่งมองภาพตรงหน้าอย่างขบขัน นางส่ายหน้าเบาๆ พลางยกถ้วยชาขึ้นเป่าไล่ไอร้อน แล้วจิบเบาๆ ขณะรอฟังเรื่องเล่าประจำวันจากบ่าวคนสนิท
ฉิงหว่านยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ เห็นทุกคนตั้งอกตั้งใจรอฟังข่าวจากตน นางก็ยิ่งได้ใจเข้าไปใหญ่ รีบสาวเท้าเข้ามาใกล้ ย่อตัวนั่งลงตรงหน้าของผู้เป็นนาย จากนั้นก็เริ่มเล่าเรื่องที่ตนไปแอบรู้มา จากการไปตีสนิทกับบ่าวจวนโหวผู้หนึ่ง พร้อมสีหน้าและน้ำเสียงที่ชวนให้ผู้ฟังต้องตั้งใจฟังไปด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้
"มีราชสารจากชายแดนเหนือส่งกลับมาถึงวังหลวงเจ้าค่ะ"
ฉิงหว่านกดเสียงต่ำลงเล็กน้อย เพิ่มความขรึมขลังให้น้ำเสียงของตน
"กล่าวว่ากองทัพหลวงที่นำโดยองค์ชายใหญ่ หลี่เหวินหลง สามารถตีฝ่าข้าศึก เข้ายึดเมืองป้อมหลักของแคว้นศัตรูได้สำเร็จ"
เสียงฮือฮาเบาๆ ดังขึ้นจากฉิงทั้งสี่นาง ใบหน้าของแต่ละคนล้วนมีแววตื่นเต้นไม่แพ้กัน
"ศึกใหญ่ทางเหนือที่กินเวลาหลายปี บัดนี้จบลงแล้วเจ้าค่ะ และยังจบลงด้วยชัยชนะที่งดงามเสียด้วย"
ฉิงหว่านยกมือประกอบคำพูด สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ดวงตาวาววับยิ่งกว่าเดิม
"ตอนนี้ข่าวชัยชนะขององค์ชายใหญ่ดังสะเทือนไปทั่วทั้งท้องพระโรงเลยนะเจ้าคะ อีกไม่นานคงมีประกาศออกมาให้ชาวเมืองรับรู้ นับได้ว่าพวกเรารู้ข่าวก่อนใคร และข้ายังรู้มาอีกด้วยว่า กองทัพขององค์ชายใหญ่กำลังเดินทางกลับเมืองหลวงเจ้าค่ะ"
ข่าวชัยชนะขององค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงสะเทือนเลือนลั่นไปทั่ววังหลวง
ท่ามกลางเสียงฮือฮาของสาวใช้ทั้งห้านาง อวี้หลันยังคงนั่งนิ่ง ดวงตาสงบนิ่งแต่ทอประกายบางอย่าง ก่อนจะจิบชาช้าๆ อย่างใจเย็น
มิน่าเล่า วันนี้บิดาถึงได้เข้าวังตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง กระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่กลับออกมา
ฉิงหว่านโน้มตัวเข้ามาหาผู้เป็นนายเล็กน้อย ลดเสียงให้เบาลงยิ่งกว่าเดิม คล้ายกำลังเล่าเรื่องลับเฉพาะ
"แต่ที่น่าสนใจเสียยิ่งกว่าชัยชนะก็คือ เรื่องราวขององค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลง และการกลับมาเมืองหลวงครั้งนี้ของพระองค์ต่างหากเจ้าค่ะ"
นางกวาดสายตามองซ้ายขวาเล็กน้อย ก่อนเอ่ยต่อ
"เพราะกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ เส้นทางของพระองค์หาได้โรยด้วยกลีบกุหลาบไม่"
องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลง โอรสองค์โตของฮ่องเต้ ผู้กำเนิดจากอดีตฮองเฮาผู้ล่วงลับ พระองค์เกิดมาพร้อมสายเลือดนักรบ ตั้งแต่วัยเยาว์พระองค์ไม่โปรดการละเล่น ไม่หลงใหลดนตรีหรือตำราปรัชญาดั่งชนชั้นสูงทั่วไป แต่กลับหลงใหลเสียงฝึกดาบ การฝึกยุทธ์ และบทเรียนยุทธศาสตร์จากตำราทหารของแม่ทัพรุ่นก่อนๆ
ร่ำลือกันว่าเมื่อครั้งยังเยาว์ทรงถูกปองร้ายจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดหลายต่อหลายครั้ง พออายุครบสิบสี่ชันษา พระองค์จึงทรงขอพระราชานุญาตจากฮ่องเต้เข้าร่วมกองทัพชายแดนเหนือในฐานะนายทหารฝึกหัด ท่ามกลางเสียงคัดค้านของเหล่าขุนนางผู้ใหญ่ แต่ฮ่องเต้กลับตอบรับด้วยสายตาหนักแน่น
"หากอยากแข็งแกร่ง ก็จำเป็นต้องเห็นเลือดและเหงื่อของผู้อื่นด้วยตาตนเอง"
องค์เหนือหัวตรัสเช่นนั้น ไหนเลยจะมีผู้ใดคัดค้านได้อีก
จากนายทหารผู้น้อยที่ไม่มีแม้กระทั่งผู้ติดตามเป็นส่วนตัว องค์ชายใหญ่กลับก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งแม่ทัพภาคเหนือตอนอายุเพียงยี่สิบปี ด้วยกำลัง ความเฉลียวฉลาด และหัวใจที่ไม่ยอมแพ้
พระองค์นำชัยชนะกลับมาได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งยังได้รับฉายาจากชายแดนเหนือว่า "มังกรเหมันต์" เพราะสามารถชิงชัยในช่วงฤดูหนาวที่ทุกกองทัพต่างหลีกเลี่ยง ไม่ว่าจะภูมิประเทศที่เย็นยะเยือก หรือสถานการณ์ที่พลิกผันยากควบคุม องค์ชายใหญ่กลับใช้สิ่งนั้นเป็นอาวุธ พระองค์เปลี่ยนความเสียเปรียบ ให้กลายเป็นชัยชนะจนศัตรูต้องถอยร่น
เวลาผ่านไปหลายปี ใบหน้าและแววตาของพระองค์เฉียบคมเหมือนคมดาบที่เพิ่งลับ ดวงตาคมดุดันสะท้อนความมุ่งมั่นของบุรุษที่ผ่านการลิ้มรสโลหิตและความเป็นความตายมานับครั้งไม่ถ้วน
ว่ากันว่าพระองค์สง่างามในชุดเกราะดำสะท้อนแสงดั่งเหล็กกล้า ดาบยาวข้างกายดื่มโลหิตของศัตรูมานับพันนับหมื่น เรือนกายของพระองค์ล้วนเต็มไปด้วยบาดแผล และเกือบไปเยือนประตูปรโลกมาหลายครั้ง แต่ก็กลับมายืนหยัดได้อย่างสง่างาม ราวกับพญาอินทรีที่ไม่เคยหวั่นเกรงสายลม
วันนี้ พระองค์ไม่ได้กลับมาในฐานะองค์ชายผู้อาภัพที่ห่างไกลวังหลวง หากกลับมาในฐานะ "วีรบุรุษของแผ่นดิน" ชายหนุ่มผู้เปลี่ยนโชคชะตาของแคว้นด้วยสองมือของตนเอง
"และเกรงว่าการกลับมาของพระองค์ในครั้งนี้"
ฉิงหว่านลดเสียงลง สีหน้าจริงจังขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
"ไม่เพียงแต่จะก่อให้เกิดคลื่นลมในราชสำนัก แต่ยังอาจเปลี่ยนชะตาชีวิตของใครอีกหลายคนเลยทีเดียวเจ้าค่ะ"
ทันทีที่สิ้นเสียง บรรยากาศในเรือนเงียบลงทันตา คำพูดของฉิงหว่านเปรียบเสมือนสายลมเย็นที่พัดวูบผ่าน ไม่มีใครกล้าเอ่ยสิ่งใดต่อ
อวี้หลันนิ่งฟังเงียบๆ ปลายนิ้วค่อยๆ หมุนขอบถ้วยชาในมืออย่างใช้ความคิด ดวงตาคู่งามเรียบนิ่งราวกับไม่ได้รู้สึกอะไร แต่แท้จริงแล้วทุกคำที่ได้ยินกลับซึมซาบลงลึกในใจอย่างเงียบงัน
ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะส่งผลถึงจวนรองเสนาบดีมากน้อยเพียงใด และที่สำคัญ การหมั้นหมายของอวี้เหมยกับองค์ชายห้า จะนับได้ว่าเป็นการ "เลือกข้าง" ของบิดาหรือไม่
และหากใช่... ก็อดตั้งคำถามไม่ได้ว่า
บิดาเลือกข้างได้ถูกจริงหรือ
หากทุกอย่างเป็นดังที่ฉิงหว่านเล่ามา องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงผู้นี้... ก็น่ากลัวไม่น้อยเลย
ค่ำคืนนี้ แสงจันทร์ซ่อนอยู่หลังม่านเมฆ บรรยากาศทั่วจวนตระกูลอวี้เงียบงัน ทุกคนต่างหลับสนิท ราตรีช่างสงบเงียบเสียจนได้ยินเสียงลมพัดไหวปลายไม้ได้อย่างชัดเจนแต่ภายในห้องนอนใหญ่ของเรือนฮวาหง กลับยังมีความเคลื่อนไหว แสงตะเกียงริบหรี่เพียงพอให้เห็นเงาร่างบางที่กำลังยืนหน้ากระจกอวี้หลันอยู่ในชุดผ้าฝ้ายสีดำสนิท แขนยาวคลุมข้อมือ ชายเสื้อแนบลำตัว ปกปิดรูปร่างโดยสมบูรณ์ ปิดหน้าครึ่งล่างด้วยผ้าคลุมสีดำมิดชิด เส้นผมถูกรวบสูงอย่างคล่องตัว ดวงตาคมเรียบนิ่งกวาดมองตนเองจากศีรษะจรดปลายเท้าอย่างพอใจ มือหนึ่งเหน็บกริชสั้นไว้แนบเอว อีกมือถือแผนที่เล็กๆ ของจวนอวี้และแผนที่เมืองหลวงที่ฉิงอีวาดขึ้นมา อย่างที่บอกว่าคนของนางแต่ละคนล้วนมีฝีมือไม่ธรรมดา แม้กระทั่งสตรีฉิงอี บุตรสาวของบัณฑิตที่ถูกปล้นฆ่ายกตระกูลจนเหลือเพียงนางผู้เดียว หญิงสาวผู้รู้หนังสือ วาดแผนที่ได้ดุจช่างหลวง รูปลักษณ์ของนางดูเรียบง่าย ผิวขาวจัด มือเรียวยาวนั้นเต็มไปด้วยรอยหมึกเก่าใหม่ปะปนกัน แม้จะมิใช่ผู้ฝึกวรยุทธ์ แต่ความสามารถของนางกลับทำให้ทุกคนต้องเหลียวมองฉิงอีอ่านออกเขียนได้คล่องแคล่ว ใช้พู่กันอย่างคนที่เคยผ่านตำราไม่ต่ำกว่าร้อยเล่ม
ศึกภายนอกก็เข้มข้น ศึกภายในก็ดุเดือด อวี้หลันได้แต่นั่งกุมขมับ ถอนหายใจเงียบๆ อย่างคิดไม่ตก เพราะไม่รู้ว่าปัญหาจะหล่นใส่หัวของนางวันไหน รู้ดีว่าตนไม่อาจอยู่เฉยได้อีกต่อไป ต่อให้ไม่อยากเล่นเกมนี้ ต่อให้ไม่อยากเกี่ยวข้องกับอำนาจ แต่โลกใบนี้ก็ไม่มีที่ให้สตรีอย่างนางได้ยืนอย่างปลอดภัย โดยไม่ถือดาบอยู่ในมือ อวี้หลันยกถ้วยชาแนบปลายริมฝีปาก รสขมของมันทำให้นางตื่นเต็มตาหากต้องอยู่ในกระดาน ก็จงเป็นผู้ที่ เดินหมาก ไม่ใช่ หมากที่ถูกเดินช่วงนี้แม้ภายในจวนจะดูสงบ เซิ่งซื่อกับอวี้เหมยต่างก็เก็บเนื้อเก็บตัว เก็บหัวเก็บหางเงียบสงบอยู่แต่ในเรือนไม่ออกมาเพ่นพ่าน แต่นั่นแหละที่ทำให้นางยิ่งไม่ไว้ใจยิ่งเงียบ... ยิ่งน่ากลัวเพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังวางแผนใดกันอยู่หรือไม่ นางรู้ดีว่าเซิ่งซื่อไม่มีทางยอมวางมือง่ายๆ แน่ ดังนั้นตอนนี้นางจึงส่ง ฉิงอู่ เด็กหนุ่มที่ช่างสังเกต ปราดเปรียว มีสายตาเฉียบไวและไหวพริบยอดเยี่ยม คอยจับตาความเคลื่อนไหวของฝั่งนั้นอย่างใกล้ชิด หลังจากรับบ่าวทั้งสิบเข้ามา อวี้หลันก็ได้รู้จักตัวตนของพวกเขาแต่ละคน ยิ่งได้ฟังเรื่องราวในอดีต ยิ่งทำให้นางประหลาดใจไม่หยุด ใครจะไปคิดว่าแต่ละค
"พับสีฟ้ากับสีชมพู ใช้ตัดเป็นชุดสตรี ส่วนพับสีน้ำเงินกับสีเขียวนั่น ใช้ตัดเป็นชุดบุรุษก็แล้วกัน"อวี้หลันเอ่ยเสียงเรียบ ขณะใช้สายตากวาดมองผ้าพับที่กางเรียงอยู่ตรงหน้านางกำลังสั่งให้ ฉิงอี ฉิงซื่อ และฉิงลิ่ว ซึ่งเป็นบ่าวที่พึ่งรับเข้ามา ช่วยกันคัดเลือกผ้าเพื่อส่งให้ร้านอาภรณ์ประจำจวน ตัดเย็บให้กับบ่าวทุกคนในเรือนฮวาหงคนละห้าชุดคนที่นางเลือกเข้ามา เป็นบุรุษหกคนและสตรีสี่คน พวกเขาต่างเป็นคนหนุ่มสาวที่ดูปราดเปรียว กระฉับกระเฉง ทั้งหมดล้วนมีสายตาซื่อตรง ไหวพริบดี และมีวินัยในการวางตัว และเพื่อให้เรียกขานได้สะดวก สามารถจดจำได้ง่าย นางจึงมอบชื่อใหม่ให้แก่ทุกคน โดยขึ้นต้นด้วยคำว่า “ฉิง” ซึ่งหมายถึงความบริสุทธิ์ผ่องใส เช่นเดียวกับฉิงหว่าน ฉิงอี ฉิงเอ้อ ฉิงซาน ฉิงซื่อ ฉิงอู่ ฉิงลิ่ว ฉิงชี ฉิงปา ฉิงจิ่ว และฉิงสือ ชื่อเรียกตามลำดับจากหนึ่งถึงสิบ เป็นชื่อที่ฟังง่าย จดจำง่ายอย่างยิ่ง"คุณหนูน้ำชากับของว่างเจ้าค่ะ"ฉิงจิ่ว เด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรา น้องน้อยที่สุดในบรรดาบ่าวทั้งหมด ยกถาดน้ำชาและของว่างเข้ามาให้ผู้เป็นนายด้วยรอยยิ้มน่ารักมองๆ ไปเด็กคนนี้ก็ละม้ายคล้ายคลึงกับฉิงหว่านของนางอยู่
หลังจากเรื่องสินเดิมของมารดาถูกสะสางเป็นที่เรียบร้อย เช้าวันรุ่งขึ้นอวี้หลันก็มาถึงเรือนหลักตั้งแต่เช้าตรู่ ก่อนที่บิดาของนางจะออกจากจวน ภายในห้องหนังสือกลิ่นชาหอมกรุ่นลอยคลุ้ง รองเสนาบดีอวี้จิ้งเพิ่งนั่งลงจิบชาร้อน ยังไม่ทันจะวางจอกชา บ่าวคนสนิทก็เดินเข้ามารายงาน"คุณหนูรองมาขอพบขอรับ"ซูถัวเอ่ยบอกผู้เป็นนายเสียงเรียบอวี้จิ้งเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ แต่ในแววตาก็เจือไปด้วยความรู้สึกยินดี ก่อนจะเอ่ยอนุญาตเสียงนุ่ม "ให้นางเข้ามาเถอะ"เมื่อเห็นบุตรีคนรองก้าวเข้ามาพร้อมท่าทีสงบ สุภาพเรียบร้อย ดวงตาของอวี้จิ้งก็เต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู"หลันเอ๋อร์ มีเรื่องอะไรหรือ ถึงได้มาหาพ่อแต่เช้า"น้ำเสียงของเขาอ่อนโยน ใบหน้าแฝงรอยยิ้มบาง เอ่ยถามอย่างกระตือรือร้นอวี้หลันย่อกายลงทำความเคารพ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน แต่แฝงไว้ด้วยความหนักแน่น"ลูกอยากขออนุญาตท่านพ่อ ออกไปหาซื้อทาสเข้าเรือนเจ้าค่ะ"อวี้จิ้งวางจอกชาลง มองบุตรีด้วยแววตาครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเมตตา"เจ้าไม่จำเป็นต้องออกไปด้วยตัวเองหรอก ประเดี๋ยวพ่อจะให้ซูถัวติดต่อพ่อค้าทาส แล้วให้พวกเขาพาทาสมาให้เจ้า
หลังจากงานเลี้ยงที่จวนรองเสนาบดีอวี้ผ่านพ้นไป ภายในเมืองหลวงก็ไม่มีใครไม่รู้จักชื่อของ คุณหนูรองสกุลอวี้ อวี้หลันหญิงสาวที่เคยเงียบงันและจืดจางในสายตาผู้คน ที่เดิมทีเป็นเพียงบุตรีของภรรยาเอกผู้ล่วงลับของท่านรองเสนาบดี และตระกูลเดิมของมารดาคือตระกูลขุนนางต้องโทษ ไม่มีผู้ใดใส่ใจว่านางหายหน้าหายตาไปตั้งแต่เมื่อใด หรือแม้แต่นึกถึงชื่อของนางด้วยซ้ำแต่ตอนนี้ ทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงชื่อของคุณหนูรองอวี้หลัน กลับกลายเป็นชื่อที่ถูกพูดถึงในทุกวงสนทนา ตั้งแต่โรงน้ำชา ร้านเครื่องหอม ร้านเครื่องประดับ ไปจนถึงหออาภรณ์ เรื่องราวของนางกลายเป็นหัวข้อโปรดในหมู่สตรีชนชั้นสูง และแม้แต่เหล่าขุนนางฝ่ายในก็ยังเอ่ยถึงโดยเฉพาะเมื่อมีคนขุดคุ้ยเรื่องเก่าเกี่ยวกับการหมั้นหมายในอดีตขององค์ชายห้าขึ้นมากระทั่งกลายเป็นเรื่องเล่าในหมู่ชาวบ้านชาวเมือง ผู้คนเริ่มเล่าเรื่องด้วยความตื่นเต้นสนุกสนาน แรกเริ่มก็พูดกันเพียงเล่นๆ ทว่าพอเล่ากันปากต่อปาก เรื่องราวกลับยิ่งทวีความเข้มข้น แต่งเติมสีสันกันไปคนละทาง จนสุดท้ายมันกลายเป็นตำนานรักสามเส้าระหว่างองค์ชายห้ากับบุตรีตระกูลอวี้ทั้งสองไปๆ มาๆ เรื่องราวเหล่านั้นก็ก
ในที่สุด หลี่จื้อหยวนก็ฝืนยกเท้าขึ้น ก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยใบหน้าสงบนิ่ง ทว่าภายในกลับเต็มไปด้วยคลื่นอารมณ์ที่โถมซัดไม่หยุด และเพียงก้าวเท้าเข้าไปเพียงไม่กี่ก้าว สายตาของเขาก็มองเห็นนางแต่ไกล โดยที่ไม่ต้องมองหาเลยด้วยซ้ำ หัวใจของเขากระตุกวูบ ความรู้สึกผิดปะปนกับความคิดถึงแล่นเข้ามาพร้อมกันอย่างโหดร้ายคนที่อยู่ภายในศาลาเมื่อรู้ว่าองค์ชายห้าหลี่จื้อหยวนเสด็จมาก็รีบออกมารอรับเสด็จ ยกโขยงกันออกไปรออย่างพร้อมเพรียง หนึ่งในนั้นย่อมมีอวี้หลัน ซึ่งเพิ่งจะทรุดกายนั่งลงได้ไม่นาน นางยังไม่ทันจะได้ยกชาขึ้นจิบดับกระหายเลยด้วยซ้ำ ก็ต้องฝืนลุกขึ้นอีกครั้งริมฝีปากภายใต้ผ้าคลุมหน้าจึงเม้มเข้าหากันแน่นด้วยความขัดเคืองใจปนหงุดหงิดคนโบราณนี่ช่างยุ่งยากจริงๆ ใครจะมาใครจะไป ก็ต้องยกโขยงออกไปต้อนรับกันให้วุ่นอวี้หลันสบถในใจอย่างเบื่อหน่ายแต่เหตุใด นามขององค์ชายผู้นี้จึงรู้สึกคุ้นหูนัก เหมือนจะเคยได้ยินที่ไหนมาก่อนคิ้วเรียวขมวดเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองฉิงหว่านที่ติดตามอยู่เบื้องหลัง คิดจะถามอีกฝ่ายว่าคนผู้นั้นเป็นใคร แต่พอเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอึดอัดคับข้องใจราวกับจะร้องไห้ของสาวใช้คนสนิทก็พลันกระจ่