Home / รักโบราณ / บุปผาสีชาด / ตอนที่20กองกำลังของอวี้หลัน

Share

ตอนที่20กองกำลังของอวี้หลัน

last update Last Updated: 2025-08-01 20:43:52

ศึกภายนอกก็เข้มข้น ศึกภายในก็ดุเดือด 

อวี้หลันได้แต่นั่งกุมขมับ ถอนหายใจเงียบๆ อย่างคิดไม่ตก เพราะไม่รู้ว่าปัญหาจะหล่นใส่หัวของนางวันไหน รู้ดีว่าตนไม่อาจอยู่เฉยได้อีกต่อไป ต่อให้ไม่อยากเล่นเกมนี้ ต่อให้ไม่อยากเกี่ยวข้องกับอำนาจ แต่โลกใบนี้ก็ไม่มีที่ให้สตรีอย่างนางได้ยืนอย่างปลอดภัย โดยไม่ถือดาบอยู่ในมือ 

อวี้หลันยกถ้วยชาแนบปลายริมฝีปาก รสขมของมันทำให้นางตื่นเต็มตา

หากต้องอยู่ในกระดาน ก็จงเป็นผู้ที่ เดินหมาก ไม่ใช่ หมากที่ถูกเดิน

ช่วงนี้แม้ภายในจวนจะดูสงบ เซิ่งซื่อกับอวี้เหมยต่างก็เก็บเนื้อเก็บตัว เก็บหัวเก็บหางเงียบสงบอยู่แต่ในเรือนไม่ออกมาเพ่นพ่าน แต่นั่นแหละที่ทำให้นางยิ่งไม่ไว้ใจ

ยิ่งเงียบ... ยิ่งน่ากลัว

เพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังวางแผนใดกันอยู่หรือไม่ นางรู้ดีว่าเซิ่งซื่อไม่มีทางยอมวางมือง่ายๆ แน่ ดังนั้นตอนนี้นางจึงส่ง ฉิงอู่ เด็กหนุ่มที่ช่างสังเกต ปราดเปรียว มีสายตาเฉียบไวและไหวพริบยอดเยี่ยม คอยจับตาความเคลื่อนไหวของฝั่งนั้นอย่างใกล้ชิด 

หลังจากรับบ่าวทั้งสิบเข้ามา อวี้หลันก็ได้รู้จักตัวตนของพวกเขาแต่ละคน ยิ่งได้ฟังเรื่องราวในอดีต ยิ่งทำให้นางประหลาดใจไม่หยุด ใครจะไปคิดว่าแต่ละคนล้วนมีที่มาไม่ธรรมดา

ชีวิตของพวกเขาล้วนผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านอันตรายมาไม่น้อย ภายในใจรู้สึกพึงใจและภูมิใจในการมองคนของตนอยู่เงียบๆ 

การมองคนของนางครั้งนี้ยอดเยี่ยมที่สุด นับว่านางค้นพบขุมทรัพย์และโชคดีอย่างยิ่งที่ได้พวกเขามายืนเคียงข้าง หรือไม่ก็สวรรค์ส่งพวกเขาเพื่อมาช่วยเหลือนางก็เป็นได้

เจ้าห้า ฉิงอู่ ผู้นี้ เติบโตในตรอกหลังตลาดกลางเมือง เป็นเด็กเร่ร่อนที่เอาตัวรอดด้วยการลักเล็กขโมยน้อย สังเกตพฤติกรรมของแม่ค้า พ่อค้า ทหารยาม และผู้คนตลอดทั้งวัน เขาเรียนรู้ด้วยตนเองว่า ใครถือเงินมาก ใครเผลอ ใครโกหก ใครพกอาวุธ เพียงแค่สบตาไม่นาน

ต่อมา ได้ติดตามพวกนักพนัน นักต้มตุ๋น และขอทานที่มีฝีมือในการหลอกลวง เขาจึงฝึกอ่านสีหน้า จับจังหวะการพูด และรู้ทันเล่ห์เหลี่ยมของคน จนแม้แต่นักต้มตุ๋นยังยอมรับว่า เด็กคนนี้ตาไวเหมือนเหยี่ยว

นับได้ว่าความสามารถของเขาไม่อาจดูเบา เพราะแค่ได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบา ได้กลิ่นแปลกปลอม ก็รู้ได้ว่าเสียงขยับเท้านั้นเป็นของผู้มีวรยุทธ์หรือคนธรรมดา เดินผ่านใครเพียงครั้งเดียวก็สามารถบรรยายเสื้อผ้า ลักษณะการพูด หรือแม้กระทั่งว่าคนนั้นมีแผลตรงไหน ทั้งยังปีนหลังคา ลอดท่อ แทรกฝูงชน ใช้เส้นทางซอกซอยที่คนทั่วไปไม่รู้จักได้อย่างเก่งกาจ

เหมาะกับการเป็น ด่านหน้าที่ไม่โดดเด่นแต่ขาดไม่ได้

ส่วนอุปนิสัยนั้น...พูดไว คิดเร็ว ปากดีเล็กน้อย ชอบแหย่ผู้อื่น แต่รู้กาลเทศะ ท่าทีอาจดูไร้พิษภัย แต่มีสายตาที่เฉียบคมเกินวัย ภายนอกเหมือนลูกหมา ข้างในเป็นหมาป่าตาไว

ยามสายแสงแดดอ่อนสาดผ่านยอดไม้ลงมายังลานกว้างหลังเรือนฮวาหง ลานแห่งนี้แต่เดิมใช้ตากผ้าและที่รวมกลุ่มทำงานเล็กๆ น้อยๆ ของบ่าวไพร่ แต่ในวันนี้กลับถูกปรับเปลี่ยนให้โล่งเรียบ กลางลานมีเงาของชายหนุ่มห้าคนกำลังฝึกซ้อมร่างกายกันอย่างขยันขันแข็ง

เจ้าสอง ฉิงเอ้อ อดีตพรานป่า ผู้ที่เชี่ยวชาญการยิงธนูและวางกับดัก เติบโตกลางป่าลึกตั้งแต่เด็ก บิดาเป็นพรานป่า มารดาเสียชีวิตตั้งแต่ยังเล็ก การอยู่รอดคือบทเรียนแรกในชีวิต เขารู้จักธรรมชาติอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงมองเห็น แต่ฟัง และ รู้สึก ได้ว่าสัตว์ตัวใดกำลังเคลื่อนไหวอยู่รอบตัว

มีสัญชาตญาณการเล็งเป้าที่ไม่พลาด แม้จะเป็นเป้าเคลื่อนไหว หรือมีสิ่งบดบัง ก็ยังสามารถ ฟังเสียงลมหายใจ ของศัตรูได้

สามารถใช้กิ่งไม้ ใบหญ้า ก้อนหิน ทำเป็นกับดักร้ายแรงได้ในเวลาอันสั้น เช่น หลุมพราง ขดเชือกกระชาก หรือแม้แต่กับดักที่ซ่อนเข็มพิษ รู้จังหวะการเคลื่อนไหวของสัตว์และคน สังเกตจากรอยเท้า กลิ่น ร่องรอยในดิน รู้ว่ามีใครผ่านไปหรือกำลังแอบซุ่ม

อุปนิสัยนั้น เป็นคนนิ่งๆ ชอบอยู่เงียบๆ ไม่สุงสิงกับใครมาก มองอะไรด้วยแววตารอบคอบและระแวดระวัง ดุเหมือนเสือ แต่ซื่อสัตย์ราวหมาป่า

เจ้าสาม ฉิงซาน พ่อยอดดวงใจของฉิงหว่านของนาง อดีตทหารเวรยาม มีฝีมือในการใช้ทวน วิชาตัวเบาไม่นับว่าแย่ เคยรับราชการในเมืองชายแดน เมื่อยังเยาว์เคยพลัดหลงเข้าไปในค่ายโจร ต้องฝึกเอาตัวรอดกลางหมู่โจรที่ใช้กำลังเป็นใหญ่ ต่อมาเมื่อเติบโตจึงสมัครเข้ารับราชการเป็นทหารแนวหน้า ประจำหน้าที่เวรยามยามราตรี

การใช้ทวนของเขา ไม่ใช่แค่การแทงหรือฟาด แต่คือศิลปะการเคลื่อนตัวหมุนวนของปลายทวน คล้ายการร่ายรำในสนามรบ ใช้ได้ทั้งบุกและป้องกัน ควบคุมระยะได้ดีเยี่ยม

ส่วนวิชาตัวเบา ไม่ใช่เพียงการวิ่งเร็วหรือกระโดดสูง แต่คือความสามารถในการเคลื่อนกายไร้เสียง ฝ่าหลังคา ฝ่ากำแพง ไม่ต่างจากแมวเงียบที่ล่าเหยื่อยามค่ำคืน

เขาผ่านการฝึกทนหนาว ทนร้อน อดอาหาร ป้องกันได้แม้ยามบาดเจ็บ เพราะเคยเป็นเวรยามกลางคืนเป็นเวลาหลายปี ทำให้สายตาเคยชินกับความมืด จับความเคลื่อนไหวเล็กน้อยได้ในพริบตา

ดูเป็นคนสุขุมและหนักแน่น ไม่พูดมาก หากยังเป็นทหารคนเช่นนี้ย่อมที่จะไปได้ไกล เมื่อถึงเวลาออกรบ เขาคือกำแพงเหล็กที่กั้นศัตรูได้ทั้งกองทัพ หากใครได้เขาเป็นเพื่อนร่วมรบ มั่นใจได้ว่าจะไม่มีใครตีฝ่าแนวหลังได้ง่ายๆ

เจ้าเจ็ด ฉิงชี ผู้เชี่ยวชาญด้านยาพิษและสมุนไพร บุตรชายของหมอยาในหุบเขา เติบโตท่ามกลางสมุนไพร พืชมีพิษ และสูตรยาลับมากมาย ทั้งยาสลบ ยาพิษร้ายแรง 

มีความสามารถในการปรุงยา ทั้งยาพิษและยาถอนพิษ รู้จักพืชพรรณทุกชนิดในป่า สามารถซ่อนพิษในอาหาร และอาวุธได้แนบเนียน 

อวี้หลันมองอีกฝ่ายตาพราวระยับ ฉิงชีเหมาะมากกับการเป็นนักฆ่า แบบลอบฆ่าโดยไม่ทิ้งร่องรอยเป็นอย่างมาก เขาเป็นคนเงียบขรึม สุขุม วางแผนเก่ง รู้ลึกแต่ไม่ชอบพูดมาก

เจ้าแปด ฉิงปา ผู้เชี่ยวชาญด้านกลไกและกับดัก อดีตลูกศิษย์ช่างหลวงที่หลบหนีออกจากวังเพราะถูกใส่ร้าย ชื่นชอบการประดิษฐ์อุปกรณ์แปลกๆ ชำนาญการดัดแปลงเครื่องมือให้กลายเป็นอาวุธ สามารถสร้างกลไก กับดัก และเครื่องมือลับได้รวดเร็ว มีอุปกรณ์พกพาที่ใช้ได้หลากหลาย เช่น เข็มลมพิษ ตะขอปีนผา ระเบิดควัน ใช้ความคิดสร้างสรรค์ในสถานการณ์คับขัน

เขาเป็นชายร่างเล็ก แต่ว่องไว พูดมาก ขี้เล่น ชอบคิดนอกกรอบ

เจ้าสิบ ฉิงสือ ผู้เชี่ยวชาญด้านการแฝงตัวและล้วงความลับ เคยเป็นหัวขโมยในเมืองใหญ่ตั้งแต่เด็ก ถูกจับได้หลายครั้งแต่ไม่มีใครล่วงรู้ชื่อจริงของเขา จนวันหนึ่งมีการกวาดล้างจึงหายตัวไปจากโลกใต้ดิน

ฉิงสือมีความสามารถในการลอบเข้าออกสถานที่สำคัญ ถนัดการปลอมตัว ตีสนิท ขโมยข้อมูล สามารถอ่านริมฝีปาก พูดภาษาต่างถิ่น  และถ่ายทอดข้อมูลรวดเร็ว เก่งในการจับสังเกต อารมณ์ ท่าทีคน

เขาเป็นคนมีเสน่ห์ นุ่มนวล เจ้าสำราญเล็กๆ แต่สายตาแหลมคมไม่พลาดรายละเอียด

อวี้หลันปรายตามองบ่าวชายทั้งห้าอย่างเงียบๆ แต่ละคนล้วนมีพื้นฐานที่ไม่เลวเลย แววตาแต่ละคนต่างมุ่งมั่นไม่แพ้กัน และความแน่วแน่ในจิตใจ ล้วนไม่ด้อยกว่าผู้ใด 

ไม่มีใครอ่อนแอ ไม่มีใครลังเล แม้บางคนจะดูเงียบขรึม บางคนดูเรียบง่าย แต่ในสายตาของนาง ทุกคนล้วนมีแวว นางไม่คิดหวังให้พวกเขากลายเป็นยอดฝีมือในชั่วข้ามคืน หรือเป็นยอดฝีมือที่เลื่องชื่อ การฝึกฝนของพวกเขา ไม่ใช่เพียงเพื่อเอาชนะใคร สิ่งที่นางต้องการ มีเพียงแค่ให้พวกเขาแข็งแกร่งพอจะปกป้องกันและกันได้

ไม่มีใครจำเป็นต้องเด่นที่สุด ไม่มีใครต้องเหนือกว่าใคร ขอเพียงขยับไปในจังหวะเดียวกัน เข้าใจบทบาทของตน และพร้อมเติมเต็มจุดอ่อนของอีกฝ่าย เมื่อคนหนึ่งลงมือ อีกคนพร้อมสนับสนุน เมื่อคนหนึ่งล้ม อีกคนพร้อมพยุง นั่นแหละ...คือทีมที่นางต้องการ

พวกเขาต่างมีพื้นฐานแตกต่างกันไป แต่เมื่อยืนรวมกัน กลับประสานกันได้อย่างน่าอัศจรรย์

ในสายตาคนทั่วไป พวกเขาอาจเป็นแค่บ่าวรับใช้ธรรมดา แต่ในสายตาของอวี้หลัน พวกเขาคือ ขุมกำลังลับ คือดาบในเงามืด โล่ในยามค่ำคืน และเงาที่เฝ้าระวังหลังให้นางในยามเผชิญหน้าอันตราย

ไม่ใช่เพื่อชัยชนะในการต่อสู้ยิ่งใหญ่ แต่เพื่อความปลอดภัยในยามเผชิญภัยร้ายที่อาจมาเมื่อไรก็ไม่รู้ เพราะในโลกที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมและภัยซ่อนเร้น ความแข็งแกร่งเพียงลำพังนั้นไม่พอ แต่การยืนหยัดร่วมกัน ต่างหาก...ที่จะพานางรอด

 

 

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • บุปผาสีชาด   ตอนที่21ลอบออกจากจวน

    ค่ำคืนนี้ แสงจันทร์ซ่อนอยู่หลังม่านเมฆ บรรยากาศทั่วจวนตระกูลอวี้เงียบงัน ทุกคนต่างหลับสนิท ราตรีช่างสงบเงียบเสียจนได้ยินเสียงลมพัดไหวปลายไม้ได้อย่างชัดเจนแต่ภายในห้องนอนใหญ่ของเรือนฮวาหง กลับยังมีความเคลื่อนไหว แสงตะเกียงริบหรี่เพียงพอให้เห็นเงาร่างบางที่กำลังยืนหน้ากระจกอวี้หลันอยู่ในชุดผ้าฝ้ายสีดำสนิท แขนยาวคลุมข้อมือ ชายเสื้อแนบลำตัว ปกปิดรูปร่างโดยสมบูรณ์ ปิดหน้าครึ่งล่างด้วยผ้าคลุมสีดำมิดชิด เส้นผมถูกรวบสูงอย่างคล่องตัว ดวงตาคมเรียบนิ่งกวาดมองตนเองจากศีรษะจรดปลายเท้าอย่างพอใจ มือหนึ่งเหน็บกริชสั้นไว้แนบเอว อีกมือถือแผนที่เล็กๆ ของจวนอวี้และแผนที่เมืองหลวงที่ฉิงอีวาดขึ้นมา อย่างที่บอกว่าคนของนางแต่ละคนล้วนมีฝีมือไม่ธรรมดา แม้กระทั่งสตรีฉิงอี บุตรสาวของบัณฑิตที่ถูกปล้นฆ่ายกตระกูลจนเหลือเพียงนางผู้เดียว หญิงสาวผู้รู้หนังสือ วาดแผนที่ได้ดุจช่างหลวง รูปลักษณ์ของนางดูเรียบง่าย ผิวขาวจัด มือเรียวยาวนั้นเต็มไปด้วยรอยหมึกเก่าใหม่ปะปนกัน แม้จะมิใช่ผู้ฝึกวรยุทธ์ แต่ความสามารถของนางกลับทำให้ทุกคนต้องเหลียวมองฉิงอีอ่านออกเขียนได้คล่องแคล่ว ใช้พู่กันอย่างคนที่เคยผ่านตำราไม่ต่ำกว่าร้อยเล่ม

  • บุปผาสีชาด   ตอนที่20กองกำลังของอวี้หลัน

    ศึกภายนอกก็เข้มข้น ศึกภายในก็ดุเดือด อวี้หลันได้แต่นั่งกุมขมับ ถอนหายใจเงียบๆ อย่างคิดไม่ตก เพราะไม่รู้ว่าปัญหาจะหล่นใส่หัวของนางวันไหน รู้ดีว่าตนไม่อาจอยู่เฉยได้อีกต่อไป ต่อให้ไม่อยากเล่นเกมนี้ ต่อให้ไม่อยากเกี่ยวข้องกับอำนาจ แต่โลกใบนี้ก็ไม่มีที่ให้สตรีอย่างนางได้ยืนอย่างปลอดภัย โดยไม่ถือดาบอยู่ในมือ อวี้หลันยกถ้วยชาแนบปลายริมฝีปาก รสขมของมันทำให้นางตื่นเต็มตาหากต้องอยู่ในกระดาน ก็จงเป็นผู้ที่ เดินหมาก ไม่ใช่ หมากที่ถูกเดินช่วงนี้แม้ภายในจวนจะดูสงบ เซิ่งซื่อกับอวี้เหมยต่างก็เก็บเนื้อเก็บตัว เก็บหัวเก็บหางเงียบสงบอยู่แต่ในเรือนไม่ออกมาเพ่นพ่าน แต่นั่นแหละที่ทำให้นางยิ่งไม่ไว้ใจยิ่งเงียบ... ยิ่งน่ากลัวเพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังวางแผนใดกันอยู่หรือไม่ นางรู้ดีว่าเซิ่งซื่อไม่มีทางยอมวางมือง่ายๆ แน่ ดังนั้นตอนนี้นางจึงส่ง ฉิงอู่ เด็กหนุ่มที่ช่างสังเกต ปราดเปรียว มีสายตาเฉียบไวและไหวพริบยอดเยี่ยม คอยจับตาความเคลื่อนไหวของฝั่งนั้นอย่างใกล้ชิด หลังจากรับบ่าวทั้งสิบเข้ามา อวี้หลันก็ได้รู้จักตัวตนของพวกเขาแต่ละคน ยิ่งได้ฟังเรื่องราวในอดีต ยิ่งทำให้นางประหลาดใจไม่หยุด ใครจะไปคิดว่าแต่ละค

  • บุปผาสีชาด   ตอนที่19องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลง

    "พับสีฟ้ากับสีชมพู ใช้ตัดเป็นชุดสตรี ส่วนพับสีน้ำเงินกับสีเขียวนั่น ใช้ตัดเป็นชุดบุรุษก็แล้วกัน"อวี้หลันเอ่ยเสียงเรียบ ขณะใช้สายตากวาดมองผ้าพับที่กางเรียงอยู่ตรงหน้านางกำลังสั่งให้ ฉิงอี ฉิงซื่อ และฉิงลิ่ว ซึ่งเป็นบ่าวที่พึ่งรับเข้ามา ช่วยกันคัดเลือกผ้าเพื่อส่งให้ร้านอาภรณ์ประจำจวน ตัดเย็บให้กับบ่าวทุกคนในเรือนฮวาหงคนละห้าชุดคนที่นางเลือกเข้ามา เป็นบุรุษหกคนและสตรีสี่คน พวกเขาต่างเป็นคนหนุ่มสาวที่ดูปราดเปรียว กระฉับกระเฉง ทั้งหมดล้วนมีสายตาซื่อตรง ไหวพริบดี และมีวินัยในการวางตัว และเพื่อให้เรียกขานได้สะดวก สามารถจดจำได้ง่าย นางจึงมอบชื่อใหม่ให้แก่ทุกคน โดยขึ้นต้นด้วยคำว่า “ฉิง” ซึ่งหมายถึงความบริสุทธิ์ผ่องใส เช่นเดียวกับฉิงหว่าน ฉิงอี ฉิงเอ้อ ฉิงซาน ฉิงซื่อ ฉิงอู่ ฉิงลิ่ว ฉิงชี ฉิงปา ฉิงจิ่ว และฉิงสือ ชื่อเรียกตามลำดับจากหนึ่งถึงสิบ เป็นชื่อที่ฟังง่าย จดจำง่ายอย่างยิ่ง"คุณหนูน้ำชากับของว่างเจ้าค่ะ"ฉิงจิ่ว เด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรา น้องน้อยที่สุดในบรรดาบ่าวทั้งหมด ยกถาดน้ำชาและของว่างเข้ามาให้ผู้เป็นนายด้วยรอยยิ้มน่ารักมองๆ ไปเด็กคนนี้ก็ละม้ายคล้ายคลึงกับฉิงหว่านของนางอยู่

  • บุปผาสีชาด   ตอนที่18คัดเลือกบ่าวเข้าเรือน

    หลังจากเรื่องสินเดิมของมารดาถูกสะสางเป็นที่เรียบร้อย เช้าวันรุ่งขึ้นอวี้หลันก็มาถึงเรือนหลักตั้งแต่เช้าตรู่ ก่อนที่บิดาของนางจะออกจากจวน ภายในห้องหนังสือกลิ่นชาหอมกรุ่นลอยคลุ้ง รองเสนาบดีอวี้จิ้งเพิ่งนั่งลงจิบชาร้อน ยังไม่ทันจะวางจอกชา บ่าวคนสนิทก็เดินเข้ามารายงาน"คุณหนูรองมาขอพบขอรับ"ซูถัวเอ่ยบอกผู้เป็นนายเสียงเรียบอวี้จิ้งเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ แต่ในแววตาก็เจือไปด้วยความรู้สึกยินดี ก่อนจะเอ่ยอนุญาตเสียงนุ่ม "ให้นางเข้ามาเถอะ"เมื่อเห็นบุตรีคนรองก้าวเข้ามาพร้อมท่าทีสงบ สุภาพเรียบร้อย ดวงตาของอวี้จิ้งก็เต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู"หลันเอ๋อร์ มีเรื่องอะไรหรือ ถึงได้มาหาพ่อแต่เช้า"น้ำเสียงของเขาอ่อนโยน ใบหน้าแฝงรอยยิ้มบาง เอ่ยถามอย่างกระตือรือร้นอวี้หลันย่อกายลงทำความเคารพ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน แต่แฝงไว้ด้วยความหนักแน่น"ลูกอยากขออนุญาตท่านพ่อ ออกไปหาซื้อทาสเข้าเรือนเจ้าค่ะ"อวี้จิ้งวางจอกชาลง มองบุตรีด้วยแววตาครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเมตตา"เจ้าไม่จำเป็นต้องออกไปด้วยตัวเองหรอก ประเดี๋ยวพ่อจะให้ซูถัวติดต่อพ่อค้าทาส แล้วให้พวกเขาพาทาสมาให้เจ้า

  • บุปผาสีชาด   ตอนที่17เศรษฐีผู้หนึ่ง

    หลังจากงานเลี้ยงที่จวนรองเสนาบดีอวี้ผ่านพ้นไป ภายในเมืองหลวงก็ไม่มีใครไม่รู้จักชื่อของ คุณหนูรองสกุลอวี้ อวี้หลันหญิงสาวที่เคยเงียบงันและจืดจางในสายตาผู้คน ที่เดิมทีเป็นเพียงบุตรีของภรรยาเอกผู้ล่วงลับของท่านรองเสนาบดี และตระกูลเดิมของมารดาคือตระกูลขุนนางต้องโทษ ไม่มีผู้ใดใส่ใจว่านางหายหน้าหายตาไปตั้งแต่เมื่อใด หรือแม้แต่นึกถึงชื่อของนางด้วยซ้ำแต่ตอนนี้ ทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงชื่อของคุณหนูรองอวี้หลัน กลับกลายเป็นชื่อที่ถูกพูดถึงในทุกวงสนทนา ตั้งแต่โรงน้ำชา ร้านเครื่องหอม ร้านเครื่องประดับ ไปจนถึงหออาภรณ์ เรื่องราวของนางกลายเป็นหัวข้อโปรดในหมู่สตรีชนชั้นสูง และแม้แต่เหล่าขุนนางฝ่ายในก็ยังเอ่ยถึงโดยเฉพาะเมื่อมีคนขุดคุ้ยเรื่องเก่าเกี่ยวกับการหมั้นหมายในอดีตขององค์ชายห้าขึ้นมากระทั่งกลายเป็นเรื่องเล่าในหมู่ชาวบ้านชาวเมือง ผู้คนเริ่มเล่าเรื่องด้วยความตื่นเต้นสนุกสนาน แรกเริ่มก็พูดกันเพียงเล่นๆ ทว่าพอเล่ากันปากต่อปาก เรื่องราวกลับยิ่งทวีความเข้มข้น แต่งเติมสีสันกันไปคนละทาง จนสุดท้ายมันกลายเป็นตำนานรักสามเส้าระหว่างองค์ชายห้ากับบุตรีตระกูลอวี้ทั้งสองไปๆ มาๆ เรื่องราวเหล่านั้นก็ก

  • บุปผาสีชาด   ตอนที่16เมื่อต้องเผชิญหน้า

    ในที่สุด หลี่จื้อหยวนก็ฝืนยกเท้าขึ้น ก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยใบหน้าสงบนิ่ง ทว่าภายในกลับเต็มไปด้วยคลื่นอารมณ์ที่โถมซัดไม่หยุด และเพียงก้าวเท้าเข้าไปเพียงไม่กี่ก้าว สายตาของเขาก็มองเห็นนางแต่ไกล โดยที่ไม่ต้องมองหาเลยด้วยซ้ำ หัวใจของเขากระตุกวูบ ความรู้สึกผิดปะปนกับความคิดถึงแล่นเข้ามาพร้อมกันอย่างโหดร้ายคนที่อยู่ภายในศาลาเมื่อรู้ว่าองค์ชายห้าหลี่จื้อหยวนเสด็จมาก็รีบออกมารอรับเสด็จ ยกโขยงกันออกไปรออย่างพร้อมเพรียง หนึ่งในนั้นย่อมมีอวี้หลัน ซึ่งเพิ่งจะทรุดกายนั่งลงได้ไม่นาน นางยังไม่ทันจะได้ยกชาขึ้นจิบดับกระหายเลยด้วยซ้ำ ก็ต้องฝืนลุกขึ้นอีกครั้งริมฝีปากภายใต้ผ้าคลุมหน้าจึงเม้มเข้าหากันแน่นด้วยความขัดเคืองใจปนหงุดหงิดคนโบราณนี่ช่างยุ่งยากจริงๆ ใครจะมาใครจะไป ก็ต้องยกโขยงออกไปต้อนรับกันให้วุ่นอวี้หลันสบถในใจอย่างเบื่อหน่ายแต่เหตุใด นามขององค์ชายผู้นี้จึงรู้สึกคุ้นหูนัก เหมือนจะเคยได้ยินที่ไหนมาก่อนคิ้วเรียวขมวดเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองฉิงหว่านที่ติดตามอยู่เบื้องหลัง คิดจะถามอีกฝ่ายว่าคนผู้นั้นเป็นใคร แต่พอเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอึดอัดคับข้องใจราวกับจะร้องไห้ของสาวใช้คนสนิทก็พลันกระจ่

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status