ค่ำคืนนี้ แสงจันทร์ซ่อนอยู่หลังม่านเมฆ บรรยากาศทั่วจวนตระกูลอวี้เงียบงัน ทุกคนต่างหลับสนิท ราตรีช่างสงบเงียบเสียจนได้ยินเสียงลมพัดไหวปลายไม้ได้อย่างชัดเจน
แต่ภายในห้องนอนใหญ่ของเรือนฮวาหง กลับยังมีความเคลื่อนไหว แสงตะเกียงริบหรี่เพียงพอให้เห็นเงาร่างบางที่กำลังยืนหน้ากระจก
อวี้หลันอยู่ในชุดผ้าฝ้ายสีดำสนิท แขนยาวคลุมข้อมือ ชายเสื้อแนบลำตัว ปกปิดรูปร่างโดยสมบูรณ์ ปิดหน้าครึ่งล่างด้วยผ้าคลุมสีดำมิดชิด เส้นผมถูกรวบสูงอย่างคล่องตัว ดวงตาคมเรียบนิ่งกวาดมองตนเองจากศีรษะจรดปลายเท้าอย่างพอใจ มือหนึ่งเหน็บกริชสั้นไว้แนบเอว อีกมือถือแผนที่เล็กๆ ของจวนอวี้และแผนที่เมืองหลวงที่ฉิงอีวาดขึ้นมา
อย่างที่บอกว่าคนของนางแต่ละคนล้วนมีฝีมือไม่ธรรมดา แม้กระทั่งสตรี
ฉิงอี บุตรสาวของบัณฑิตที่ถูกปล้นฆ่ายกตระกูลจนเหลือเพียงนางผู้เดียว หญิงสาวผู้รู้หนังสือ วาดแผนที่ได้ดุจช่างหลวง รูปลักษณ์ของนางดูเรียบง่าย ผิวขาวจัด มือเรียวยาวนั้นเต็มไปด้วยรอยหมึกเก่าใหม่ปะปนกัน แม้จะมิใช่ผู้ฝึกวรยุทธ์ แต่ความสามารถของนางกลับทำให้ทุกคนต้องเหลียวมอง
ฉิงอีอ่านออกเขียนได้คล่องแคล่ว ใช้พู่กันอย่างคนที่เคยผ่านตำราไม่ต่ำกว่าร้อยเล่ม และที่น่าทึ่งกว่านั้น นางสามารถวาดแผนที่ของเมืองทั้งเมืองออกมาได้จากความทรงจำ
"บ่าวเคยอยู่เรือนขุนนางผู้ดูแลกรมโยธาเจ้าค่ะ"
นางบอกอวี้หลันเรียบๆ ขณะยื่นแผนที่เมืองฉบับย่อที่นางวาดขึ้นด้วยมือตนเอง
"ได้ยินมามาก แต่เห็นมามากกว่า ยามพวกเขาวางแผนสร้างถนน สร้างประตูเมือง บ่าวก็นั่งอยู่ที่นั่น รับหน้าที่ฝนหมึก หั่นกระดาษ บ่าวจดจำได้หมดเจ้าค่ะ"
แผนที่ของฉิงอีไม่ใช่เพียงลายเส้นบนกระดาษ แต่มันบอกทางหนี บอกจุดอับสายตา เส้นทางขนของลับ แม้แต่ตรอกเล็กตรอกน้อยที่คนทั่วไปมองข้าม นางก็ไม่พลาด ทั้งยังสามารถปลอมลายมือ ปลอมเอกสารได้อย่างแนบเนียน
ส่วนนิสัยนั้น นางเป็นคนสุขุม เรียบง่าย ชอบอยู่นิ่งๆ ไม่ชอบความวุ่นวาย พูดน้อยแต่คิดมาก สายตาคมดั่งเห็นทะลุคน เก็บความรู้ไว้ในใจเหมือนคลังสมบัติซ่อนเร้น เมื่อใดที่พูดออกมา มักทำให้ทุกคนต้องเงียบฟัง
ตอนนี้อวี้หลันเริ่มวางแผนเพื่อป้องกันตัวเอง ไม่ให้กลายเป็นหมากของผู้อื่น
ศึกภายนอกนั้น นางยังไม่เข้าใจเรื่องการเมืองทั้งหมด แต่นางในฐานะบุตรีขุนนาง แม้เบื้องหลังจะไร้ตระกูลมารดาหนุนหลัง แต่ก็ได้ชื่อว่าเป็นคุณหนูคนสำคัญของจวนรองเสนาบดี ทั้งตอนนี้กำลังจะเกี่ยวดองกับราชวงศ์ ยากนักที่จะหลบเลี่ยงจากเกมการเมืองได้ ไม่ว่านางจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม
ยิ่งคิดก็ยิ่งเหมือนถูกบีบให้อยู่ท่ามกลางกองไฟที่ล้อมนางเอาไว้ทั้งสามด้าน
ด้านหนึ่งคือเซิ่งซื่อที่จ้องหาโอกาสกำจัดนาง อีกด้านคือชาติกำเนิดที่ผูกโยงนางเข้ากับเกมการเมืองที่ยากจะถอนตัว และสุดท้าย คือ เงาของเจ้าของร่าง ที่ทำให้นางไม่อาจก้าวออกมาจากปัญหาเหล่านั้นได้ เรื่องราวของอีกฝ่ายที่ยังไม่ได้สะสาง ทั้งการตายของมารดาที่นางคิดว่ามันไม่ปกติ ทั้งเรื่องที่นางถูกวางยาจนตาย แม้ว่าพอจะคาดเดาฝีมือคนทำได้ แต่นางยังไร้หลักฐาน และที่สำคัญที่สุดคือเรื่องของน้องชายฝาแฝดที่ไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน อยู่กับใคร
เรื่องนี้คล้ายจะติดอยู่ในใจของเจ้าของร่างจนไม่อาจปล่อยวาง จนนางรู้สึกและรับรู้ได้
แต่เหนือสิ่งอื่นใด ตอนนี้นางต้องมีทางหนีทีไล่เอาไว้ก่อน
ตั้งแต่มาอยู่ในร่างนี้ นางยังไม่เคยออกไปนอกจวนตระกูลอวี้เลยสักครั้ง และสำหรับใครคนหนึ่งที่เคยเป็นนักฆ่า การอยู่ในที่คับแคบ โดยไม่รู้ทางหนีทีไล่ ก็ไม่ต่างจากการเดินวนอยู่ในกับดักโดยสมัครใจ
คืนนี้นางจึงตั้งใจออกไปสำรวจรอบๆ เมืองหลวง และหาทางออกไว้สำหรับ วันที่เลวร้ายที่สุด ที่อาจมาถึง
อวี้หลันเปิดประตูห้องออกอย่างแผ่วเบา นางเดินลัดเลาะไปตามทางเดินด้านหลังเรือน ผ่านสวนเล็กๆ ที่ไร้ผู้คน นางรู้จังหวะเวรยามที่เปลี่ยนเวร รู้ว่าเมื่อใดเงาของต้นไม้ใหญ่จะบดบังตัวนางได้มิด
ดวงตาคู่งามกวาดมองทุกมุมกำแพง ต้นไม้ และบานหน้าต่างที่อยู่ในระดับกระโดดถึง เส้นทางซึ่งเชื่อมต่อกับด้านหลังของจวนที่ไม่ค่อยมีคนใช้ ไฟตามทางถูกดับหมดแล้ว บ่าวในจวนต่างพากันหลับใหล อวี้หลันเดินเบาเสียจนแทบไม่มีเสียงฝีเท้า ทุกย่างก้าวผ่านไปด้วยความเงียบสนิทและมั่นคง ฝีเท้านิ่งเงียบราวแมวป่า
จวนตระกูลอวี้ใหญ่มาก ยิ่งนางเดินลึกเข้าไปในเขตที่ไม่คุ้น ยิ่งรู้ว่ามีซอกหลืบและทางซ่อนมากมาย
กระทั่งมาถึงกำแพงทิศใต้ กำแพงเก่าที่มีเถาวัลย์ขึ้นคลุมจนหนาแน่น นางใช้ปลายกริชแหวกเถาวัลย์ออก พบว่ามีรอยแตกเล็กๆ ของอิฐที่สามารถใช้ปีนขึ้นได้ หากมีแรงพอ
อวี้หลันค่อยๆ ไต่ขึ้นกำแพงอย่างระมัดระวัง มือเกาะแน่นกับขอบอิฐเย็นเฉียบ ลมหายใจของนางแผ่วเบา ขณะสายตาก็กวาดมองไปรอบๆ อย่างไม่ประมาท ในหัวนึกถึงท่วงท่าการเคลื่อนไหวของฉิงซานตอนฝึกวิชาตัวเบา เขากระโจนขึ้นไปบนคานสูงได้อย่างเบาหวิว ราวกับไร้น้ำหนัก
หากข้าเรียนรู้ได้สักเสี้ยวหนึ่ง ก็คงคล่องตัวกว่านี้มาก
อวี้หลันคิดในใจขณะขยับตัวช้าๆ ขึ้นสู่ขอบกำแพง แม้นางจะฝึกวิชาการต่อสู้มามากมาย แต่กลับไร้วรยุทธ์เช่นคนในยุคนี้ นั่นเป็นเรื่องที่นางรู้สึกว่าตนเสียเปรียบเป็นอย่างมาก
เมื่อปีนขึ้นมาบนแนวกำแพงได้สำเร็จ ลมยามราตรีก็พัดโชยมากระทบใบหน้า เย็นเยียบจนขนอ่อนลุกชัน อวี้หลันสูดหายใจลึกครั้งหนึ่ง แล้วกระโดดลงมาอย่างแผ่วเบา ร่างเล็กของนางเคลื่อนไหวอย่างเงียบงันดุจเงา
ทว่าเพียงปลายเท้าแตะพื้นเท่านั้น อวี้หลันก็ชะงักงันทันที
เบื้องหน้าของนางกลับปรากฏเงาร่างหนึ่งยืนอยู่เงียบๆ สวมชุดดำตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ไม่รู้ว่าเขามาตั้งแต่เมื่อใด หน้าตาถูกบดบังด้วยผ้าคลุมสีเข้ม มีเพียงดวงตาคมกริบที่มองตรงมายังนางไม่กะพริบ
ลมพัดใบไม้ไหว เสียงเงียบสงัดรอบข้างกลับกลายเป็นความกดดันมหาศาล อวี้หลันกำมือแน่น ดวงตาไม่กระพริบ เตรียมพร้อมรับมือทุกสถานการณ์
อีกฝ่ายคือนักฆ่าที่เซิ่งซื่อส่งมาอย่างนั้นหรือ
อวี้หลันก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว สายตาไม่ละจากอีกฝ่าย มือขวาขยับช้าๆ ไปที่กริชสั้นซึ่งซ่อนอยู่ใต้ชายเสื้อ
อีกฝ่ายเองก็ดูจะตื่นตัวไม่น้อย
แววตาของทั้งสองแข็งกร้าว ต่างฝ่ายต่างจับจ้องกันอย่างระแวดระวัง ความเงียบชั่วขณะกลับกลายเป็นเชื้อเพลิงที่จุดชนวน
อวี้หลันขยับก่อน ร่างบางพุ่งเข้าหาอีกฝ่ายด้วยท่วงท่าที่แม่นยำ มือซ้ายปัด ส่วนมือขวาชักกริชสั้นฟาดเฉียดลำคอเป้าหมายอย่างไม่ลังเล
ชายชุดดำเบี่ยงตัวหลบวูบ แววตาเปลี่ยนเป็นขึงขัง เขาชักกระบี่สั้นจากแผ่นหลัง คมโลหะสะท้อนแสงจันทร์วาบ
เสียงเหล็กกระทบกันดังสนั่นท่ามกลางความเงียบงันของยามราตรี ร่างสองร่างเคลื่อนไหวเร็วราวภาพลวงตาทั้งสองพลิกตัวหลบ ปะทะ ตอบโต้กันอย่างต่อเนื่อง ท่วงท่าต่างฝ่ายล้วนเฉียบคมราวคนที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดีแต่ไม่มีใครยอมปริปาก ต่างคนต่างแน่ใจว่าอีกฝ่ายคือศัตรู เสียงลมพัดแรงขึ้น ใบไม้ร่วงโรยปลิวว่อนตามแรงปะทะชายชุดดำไม่พูดจา สีหน้าภายใต้ผ้าคลุมยังคงนิ่งสนิท แต่ท่วงท่าของเขากลับเฉียบขาดและทรงพลัง ทุกการโจมตีแฝงไว้ด้วยพลังลมปราณที่อัดแน่น ราวกับจะทะลวงทะลายสิ่งใดก็ตามที่ขวางทางดาบสั้นของเขาแหวกอากาศจนเกิดเสียงหวีด เส้นผมของอวี้หลันปลิวสะบัดจากแรงลมที่ตามมากับคมกระบี่แต่ถึงจะไร้วรยุทธ์ อวี้หลันกลับไม่หวั่นไหวร่างบางของนางพลิกหลบอย่างแม่นยำ ไม่มีพลังภายใน ไม่ได้เหินฟ้าหรือพุ่งตัวเหมือนยอดฝีมือในยุทธภพ หากแต่ทุกก้าว ทุกการเคลื่อนไหวล้วนแม่นยำและเฉียบขาดราวกับถูกฝึกมาเป็นพันครั้งมีดสั้นในมือนางเคลื่อนไหวรวดเร็วเฉียบคม เจาะจงจุดอ่อนของร่างกายมนุษย์ทุกส่วนโดยไม่ลังเลชายชุดดำขมวดคิ้วแน่น เขาไม่ได้คาดว่าจะเจอกับใครที่นี่ โดยเฉพาะโจรชุดดำท่าทางเฉียบคมในยามดึกสงัดเช่นนี้หมัดนั้นไม่หนัก แต่เฉือนเข้า
ค่ำคืนนี้ แสงจันทร์ซ่อนอยู่หลังม่านเมฆ บรรยากาศทั่วจวนตระกูลอวี้เงียบงัน ทุกคนต่างหลับสนิท ราตรีช่างสงบเงียบเสียจนได้ยินเสียงลมพัดไหวปลายไม้ได้อย่างชัดเจนแต่ภายในห้องนอนใหญ่ของเรือนฮวาหง กลับยังมีความเคลื่อนไหว แสงตะเกียงริบหรี่เพียงพอให้เห็นเงาร่างบางที่กำลังยืนหน้ากระจกอวี้หลันอยู่ในชุดผ้าฝ้ายสีดำสนิท แขนยาวคลุมข้อมือ ชายเสื้อแนบลำตัว ปกปิดรูปร่างโดยสมบูรณ์ ปิดหน้าครึ่งล่างด้วยผ้าคลุมสีดำมิดชิด เส้นผมถูกรวบสูงอย่างคล่องตัว ดวงตาคมเรียบนิ่งกวาดมองตนเองจากศีรษะจรดปลายเท้าอย่างพอใจ มือหนึ่งเหน็บกริชสั้นไว้แนบเอว อีกมือถือแผนที่เล็กๆ ของจวนอวี้และแผนที่เมืองหลวงที่ฉิงอีวาดขึ้นมา อย่างที่บอกว่าคนของนางแต่ละคนล้วนมีฝีมือไม่ธรรมดา แม้กระทั่งสตรีฉิงอี บุตรสาวของบัณฑิตที่ถูกปล้นฆ่ายกตระกูลจนเหลือเพียงนางผู้เดียว หญิงสาวผู้รู้หนังสือ วาดแผนที่ได้ดุจช่างหลวง รูปลักษณ์ของนางดูเรียบง่าย ผิวขาวจัด มือเรียวยาวนั้นเต็มไปด้วยรอยหมึกเก่าใหม่ปะปนกัน แม้จะมิใช่ผู้ฝึกวรยุทธ์ แต่ความสามารถของนางกลับทำให้ทุกคนต้องเหลียวมองฉิงอีอ่านออกเขียนได้คล่องแคล่ว ใช้พู่กันอย่างคนที่เคยผ่านตำราไม่ต่ำกว่าร้อยเล่ม
ศึกภายนอกก็เข้มข้น ศึกภายในก็ดุเดือด อวี้หลันได้แต่นั่งกุมขมับ ถอนหายใจเงียบๆ อย่างคิดไม่ตก เพราะไม่รู้ว่าปัญหาจะหล่นใส่หัวของนางวันไหน รู้ดีว่าตนไม่อาจอยู่เฉยได้อีกต่อไป ต่อให้ไม่อยากเล่นเกมนี้ ต่อให้ไม่อยากเกี่ยวข้องกับอำนาจ แต่โลกใบนี้ก็ไม่มีที่ให้สตรีอย่างนางได้ยืนอย่างปลอดภัย โดยไม่ถือดาบอยู่ในมือ อวี้หลันยกถ้วยชาแนบปลายริมฝีปาก รสขมของมันทำให้นางตื่นเต็มตาหากต้องอยู่ในกระดาน ก็จงเป็นผู้ที่ เดินหมาก ไม่ใช่ หมากที่ถูกเดินช่วงนี้แม้ภายในจวนจะดูสงบ เซิ่งซื่อกับอวี้เหมยต่างก็เก็บเนื้อเก็บตัว เก็บหัวเก็บหางเงียบสงบอยู่แต่ในเรือนไม่ออกมาเพ่นพ่าน แต่นั่นแหละที่ทำให้นางยิ่งไม่ไว้ใจยิ่งเงียบ... ยิ่งน่ากลัวเพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังวางแผนใดกันอยู่หรือไม่ นางรู้ดีว่าเซิ่งซื่อไม่มีทางยอมวางมือง่ายๆ แน่ ดังนั้นตอนนี้นางจึงส่ง ฉิงอู่ เด็กหนุ่มที่ช่างสังเกต ปราดเปรียว มีสายตาเฉียบไวและไหวพริบยอดเยี่ยม คอยจับตาความเคลื่อนไหวของฝั่งนั้นอย่างใกล้ชิด หลังจากรับบ่าวทั้งสิบเข้ามา อวี้หลันก็ได้รู้จักตัวตนของพวกเขาแต่ละคน ยิ่งได้ฟังเรื่องราวในอดีต ยิ่งทำให้นางประหลาดใจไม่หยุด ใครจะไปคิดว่าแต่ละค
"พับสีฟ้ากับสีชมพู ใช้ตัดเป็นชุดสตรี ส่วนพับสีน้ำเงินกับสีเขียวนั่น ใช้ตัดเป็นชุดบุรุษก็แล้วกัน"อวี้หลันเอ่ยเสียงเรียบ ขณะใช้สายตากวาดมองผ้าพับที่กางเรียงอยู่ตรงหน้านางกำลังสั่งให้ ฉิงอี ฉิงซื่อ และฉิงลิ่ว ซึ่งเป็นบ่าวที่พึ่งรับเข้ามา ช่วยกันคัดเลือกผ้าเพื่อส่งให้ร้านอาภรณ์ประจำจวน ตัดเย็บให้กับบ่าวทุกคนในเรือนฮวาหงคนละห้าชุดคนที่นางเลือกเข้ามา เป็นบุรุษหกคนและสตรีสี่คน พวกเขาต่างเป็นคนหนุ่มสาวที่ดูปราดเปรียว กระฉับกระเฉง ทั้งหมดล้วนมีสายตาซื่อตรง ไหวพริบดี และมีวินัยในการวางตัว และเพื่อให้เรียกขานได้สะดวก สามารถจดจำได้ง่าย นางจึงมอบชื่อใหม่ให้แก่ทุกคน โดยขึ้นต้นด้วยคำว่า “ฉิง” ซึ่งหมายถึงความบริสุทธิ์ผ่องใส เช่นเดียวกับฉิงหว่าน ฉิงอี ฉิงเอ้อ ฉิงซาน ฉิงซื่อ ฉิงอู่ ฉิงลิ่ว ฉิงชี ฉิงปา ฉิงจิ่ว และฉิงสือ ชื่อเรียกตามลำดับจากหนึ่งถึงสิบ เป็นชื่อที่ฟังง่าย จดจำง่ายอย่างยิ่ง"คุณหนูน้ำชากับของว่างเจ้าค่ะ"ฉิงจิ่ว เด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรา น้องน้อยที่สุดในบรรดาบ่าวทั้งหมด ยกถาดน้ำชาและของว่างเข้ามาให้ผู้เป็นนายด้วยรอยยิ้มน่ารักมองๆ ไปเด็กคนนี้ก็ละม้ายคล้ายคลึงกับฉิงหว่านของนางอยู่
หลังจากเรื่องสินเดิมของมารดาถูกสะสางเป็นที่เรียบร้อย เช้าวันรุ่งขึ้นอวี้หลันก็มาถึงเรือนหลักตั้งแต่เช้าตรู่ ก่อนที่บิดาของนางจะออกจากจวน ภายในห้องหนังสือกลิ่นชาหอมกรุ่นลอยคลุ้ง รองเสนาบดีอวี้จิ้งเพิ่งนั่งลงจิบชาร้อน ยังไม่ทันจะวางจอกชา บ่าวคนสนิทก็เดินเข้ามารายงาน"คุณหนูรองมาขอพบขอรับ"ซูถัวเอ่ยบอกผู้เป็นนายเสียงเรียบอวี้จิ้งเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ แต่ในแววตาก็เจือไปด้วยความรู้สึกยินดี ก่อนจะเอ่ยอนุญาตเสียงนุ่ม "ให้นางเข้ามาเถอะ"เมื่อเห็นบุตรีคนรองก้าวเข้ามาพร้อมท่าทีสงบ สุภาพเรียบร้อย ดวงตาของอวี้จิ้งก็เต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู"หลันเอ๋อร์ มีเรื่องอะไรหรือ ถึงได้มาหาพ่อแต่เช้า"น้ำเสียงของเขาอ่อนโยน ใบหน้าแฝงรอยยิ้มบาง เอ่ยถามอย่างกระตือรือร้นอวี้หลันย่อกายลงทำความเคารพ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน แต่แฝงไว้ด้วยความหนักแน่น"ลูกอยากขออนุญาตท่านพ่อ ออกไปหาซื้อทาสเข้าเรือนเจ้าค่ะ"อวี้จิ้งวางจอกชาลง มองบุตรีด้วยแววตาครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเมตตา"เจ้าไม่จำเป็นต้องออกไปด้วยตัวเองหรอก ประเดี๋ยวพ่อจะให้ซูถัวติดต่อพ่อค้าทาส แล้วให้พวกเขาพาทาสมาให้เจ้า
หลังจากงานเลี้ยงที่จวนรองเสนาบดีอวี้ผ่านพ้นไป ภายในเมืองหลวงก็ไม่มีใครไม่รู้จักชื่อของ คุณหนูรองสกุลอวี้ อวี้หลันหญิงสาวที่เคยเงียบงันและจืดจางในสายตาผู้คน ที่เดิมทีเป็นเพียงบุตรีของภรรยาเอกผู้ล่วงลับของท่านรองเสนาบดี และตระกูลเดิมของมารดาคือตระกูลขุนนางต้องโทษ ไม่มีผู้ใดใส่ใจว่านางหายหน้าหายตาไปตั้งแต่เมื่อใด หรือแม้แต่นึกถึงชื่อของนางด้วยซ้ำแต่ตอนนี้ ทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงชื่อของคุณหนูรองอวี้หลัน กลับกลายเป็นชื่อที่ถูกพูดถึงในทุกวงสนทนา ตั้งแต่โรงน้ำชา ร้านเครื่องหอม ร้านเครื่องประดับ ไปจนถึงหออาภรณ์ เรื่องราวของนางกลายเป็นหัวข้อโปรดในหมู่สตรีชนชั้นสูง และแม้แต่เหล่าขุนนางฝ่ายในก็ยังเอ่ยถึงโดยเฉพาะเมื่อมีคนขุดคุ้ยเรื่องเก่าเกี่ยวกับการหมั้นหมายในอดีตขององค์ชายห้าขึ้นมากระทั่งกลายเป็นเรื่องเล่าในหมู่ชาวบ้านชาวเมือง ผู้คนเริ่มเล่าเรื่องด้วยความตื่นเต้นสนุกสนาน แรกเริ่มก็พูดกันเพียงเล่นๆ ทว่าพอเล่ากันปากต่อปาก เรื่องราวกลับยิ่งทวีความเข้มข้น แต่งเติมสีสันกันไปคนละทาง จนสุดท้ายมันกลายเป็นตำนานรักสามเส้าระหว่างองค์ชายห้ากับบุตรีตระกูลอวี้ทั้งสองไปๆ มาๆ เรื่องราวเหล่านั้นก็ก