เส้นทางจากเมืองหลวงสู่วัดประจำเมืองทอดยาวคดเคี้ยวผ่านไหล่เขาและแนวป่าร่มครึ้ม ต้นไม้สูงเรียงรายบดบังแสงแดดบางส่วน จนพื้นดินใต้ล้อรถม้าเย็นชื้นแม้ยามสาย
รถม้าคันหรูของอวี้หลันเคลื่อนตัวไปอย่างมั่นคงภายใต้การควบคุมของฉิงเอ้อ เสียงล้อบดหินดังกึกกักแผ่วเบา ท่ามกลางเสียงลมโชยและเสียงจิ้งหรีดในพงหญ้า
แต่เมื่อเวลาล่วงเลยไปเพียงครู่... ความสงบที่เคยโอบล้อมพลันเริ่มแปรเปลี่ยน
เสียงนกร้องที่เคยคึกคักกลับเงียบหายไป ราวกับธรรมชาติร่วมกันกลั้นหายใจ สายลมที่เคยพัดเบาบาง กลับนิ่งงันจนน่าประหลาด ท้องฟ้ายังแลดูปลอดโปร่ง แสงแดดอ่อนยังส่องลอดใบไม้ แต่ในความสว่างนั้นกลับเจือเงาหม่นบางเบา กลิ่นดินชื้นลอยแตะปลายจมูกเจือกลิ่นสาบคาวบางอย่าง
เบื้องหลังม่านใบไม้ ลึกเข้าไปในแนวป่า เงาร่างหลายสายกำลังขยับคืบคลานอย่างเงียบเชียบ
ฉิงเอ้อที่นั่งควบคุมรถม้าอยู่เบื้องหน้า ชะงักนิ้วมือเพียงเล็กน้อย สายตาคมประหนึ่งเหยี่ยวกวาดมองไปยังแนวป่าด้านข้าง ความเงียบที่ผิดธรรมชาติทำให้เขาแน่ใจว่า มีคนซุ่มดูอยู่
อาการเกร็งตัวและท่าทางระแวดระวังของสหายด้านข้าง ไม่อาจรอดพ้นสายตาของฉิงซาน เขาหันไปสบตากับอีกฝ่ายเล็กน้อย บ่าทั้งสองแข็งตึง กระชับทวนในมือแน่น เตรียมพร้อมรับมือ
เสียงกิ่งไม้หักแว่วมาเบาๆ เสียงฝีเท้าเหยียบใบไม้แห้ง แม้จะแผ่วเบาเพียงใด ก็ไม่รอดหูของฉิงเอ้อผู้เคยไล่ล่าในป่าลึกมาตั้งแต่วัยเยาว์
เขาไม่เอ่ยคำใด แต่ยกมือขึ้นแตะปลายหมวก แล้วขยับตัวเล็กน้อย ส่งสัญญาณให้กับทุกคนบนรถม้า
ในรถม้า อวี้หลันลืมตาขึ้นช้าๆ ริมฝีปากแย้มรอยยิ้มแต่กลับไปไม่ถึงดวงตา สายตาของนางทอดมองผ่านผ้าม่านแพรบางที่ไหวตามแรงลมโชย ลมหายใจยังคงนิ่งสงบ
มาแล้วสินะ
ยังไม่ทันที่ความคิดจะสิ้นสุด เสียง หวือ ของลูกธนูก็แหวกอากาศพุ่งตรงเข้ามา เป้าหมายคือหัวบ่าวบังคับม้า
ฉิงเอ้อเอียงตัวหลบอย่างเฉียดฉิว มือข้างหนึ่งตวัดแส้ มืออีกข้างดึงมีดสั้นจากข้างลำตัว ปล่อยให้ม้าเสือกตัวพุ่งทะยานไปข้างหน้า
เสียงธนูอีกดอกเฉียดผ่านลำคอของม้าไปอย่างฉิวเฉียด แล้วตามมาด้วยเสียงร้องตื่นตระหนกของม้า รถม้าไหวสะเทือนเล็กน้อย ก่อนจะหยุดลงกะทันหัน
เสียงฝีเท้าหนักๆ ดังแทรกผ่านความเงียบ นักฆ่ากลุ่มหนึ่งในอาภรณ์ดำทะมึน กระโดดออกมาจากแนวพุ่มไม้ล้อมรถม้าเอาไว้โดยรอบ พวกมันถือมีดดาบครบมือ ท่าทางอุกอาจไม่เกรงกลัวผู้ใด
"ลงมาจากรถม้าซะ!"
เสียงหนึ่งตะโกนลั่น
ฉิงซานกระโจนลงจากรถม้า ยืนขวางด้านหน้ารถม้าอย่างไม่หวั่นไหว ร่างสูงใหญ่ยืดตรง มือหนึ่งกำทวนยาวแน่น ดวงตาวาวโรจน์ฉายประกายกร้าว ฝุ่นละอองที่ฟุ้งอยู่รอบตัวคล้ายหยุดหมุนชั่วขณะ แรงกดดันที่แผ่ออกมาจากร่างของเขานั้นหนักหน่วงราวกับภูผา
พวกมันชะงักไปเล็กน้อย แต่เพียงพริบตาเดียวก็หัวเราะเยาะออกมา
"แค่บ่าวคนหนึ่ง คิดว่าจะหยุดพวกข้าได้หรือ"
"ดูสิ ทำหน้าตาขึงขัง น่ากลัวเสียจริง"
อีกคนหนึ่งหัวเราะร่วน ขณะควงดาบในมืออย่างย่ามใจ ดวงตาเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม
เสียงหัวเราะของพวกมันดังก้องไปทั่วแนวป่า คล้ายจะกลบแรงกดดันของฉิงซาน หากแต่ชายหนุ่มหาได้ขยับแม้แต่น้อย
เขายืนอยู่เช่นนั้นอย่างมั่นคง เยือกเย็น และเต็มไปด้วยความแน่วแน่
ทวนในมือชี้ต่ำอย่างสงบ แต่ร่างกายตั้งรับพร้อมพุ่งเข้าโจมตีทุกเมื่อ
ม่านรถเปิดออกอย่างรวดเร็ว อวี้หลันก้าวออกมาท่ามกลางแรงสะเทือน ร่างในชุดเรียบหรูยังคงมั่นคงไร้รอยตื่นตระหนก ดวงตาคู่งามกวาดมองรอบด้านอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหรี่ตาลงด้วยความดูแคลน
นี่เซิ่งซื่อหวาดกลัวถึงขนาดต้องส่งนักฆ่ามาเป็นโขยงเพื่อกำจัดดรุณีน้อยเพียงนางเดียวหรือ
มุมปากของนางกระตุกยิ้มน้อยๆ อย่างเหยียดหยาม สายตาสบเข้ากับหนึ่งในมือสังหารที่สวมหน้ากากครึ่งซีก ร่างนั้นชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง ไม่ใช่เพราะกลัว แต่เพราะไม่คาดคิดว่าเป้าหมายจะลุกออกมาเองเช่นนี้ ทั้งยังไร้ร่องรอยหวาดหวั่น
"มากันมากมายเช่นนี้"
เสียงของอวี้หลันดังแผ่วแต่ชัดเจนยิ่งในความเงียบ
"หวังว่าทุกคนจะได้จากไปพร้อมกันนะ"
แววตานางเยียบเย็นขณะชักดาบยาวจากใต้เบาะรถม้า ชายแขนเสื้อถูกรวบขึ้นเผยข้อมือขาวราวหิมะซึ่งตัดกับด้ามมีดสีเข้มอย่างเด่นชัด
"ระวัง!"
ฉิงลิ่วร้องเตือน พร้อมปัดดอกธนูที่พุ่งใส่รถม้าด้วยกระบี่ในมือ
"ฆ่าให้หมด"
คำสั่งเยือกเย็นนั้นดังก้อง จากปากของดรุณีน้อยวัยปักปิ่น
กลุ่มนักฆ่าที่กำลังล้อมรถม้าอยู่ชะงักไปในทันที บางคนเงื้ออาวุธค้างกลางอากาศ บางคนเหลือบมองกันอย่างเลิ่กลั่ก... คำสั่งนั้น ควรเป็นของพวกเขามิใช่หรือ
พวกมันขมวดคิ้ว มองไปยังหญิงสาวที่เป็นเป้าหมาย ข้างกายนางมีเพียงบ่าวสองคนกับสาวใช้อีกสองนางที่ดูไร้พิษสง
เมื่อแน่ใจว่าพวกตนไม่ได้ถูกตลบหลัง พวกมันก็แสยะยิ้มออกมา
"อวดดีเสียจริง"
เสียงหัวเราะเย้ยหยันดังขึ้นจากชายสวมหน้ากากคนหนึ่ง
แต่ก่อนที่เสียงหัวเราะจะจบลง ทวนในมือของฉิงซานก็ปะทะลำคอของชายผู้พูดอย่างฉับไว เลือดพุ่งกระจายเหมือนสายฝนที่สาดซัด
อ้าก!
เสียงร้องนั้นกลายเป็นสัญญาณเปิดศึกทันที
ฉิงเอ้อเคลื่อนไหวเร็วดั่งลมราตรี เงาของเขาโฉบเข้าข้างกายศัตรูอีกคนพร้อมใบมีดที่กรีดเฉือนขึ้นอย่างแม่นยำ ศัตรูล้มลงโดยไม่มีโอกาสได้เห็นว่าใครโจมตี ขณะนั้นหน้าไม้ขนาดเล็กแปลกตาในมือของเขาก็ถูกยิงออกไปยังมือธนูที่ซุ่มอยู่จนอีกฝ่ายพลัดตกลงมา
"ฮู้ว หน้าไม้ของฉิงปา สุดยอดจริงๆ"
ฉิงซานควงทวนยาวในมือสะท้อนแสงวาววับ ก้าวเข้าใส่นักฆ่าพวกนั้นด้วยความเร็วเหนือสายตา ปลายทวนพุ่งออกไปราวกับพายุในจังหวะที่ฝ่ายตรงข้ามยังไม่ทันตั้งหลัก ท่วงท่าของเขานิ่งแน่นมั่นคงในทุกจังหวะย่างเท้า ประหนึ่งนักรบผ่านศึก
ส่วนฉิงลิ่วที่ขยับลงจากรถม้า ตวัดกระบี่ในมืออย่างชำนิชำนาญ กระบี่ของนางบางเฉียบ แต่กลับปลิดชีวิตได้ในพริบตา ใบหน้าของนางมีร่องรอยของความพึงพอใจอยู่หลายส่วน มุมปากยกยิ้มจางๆ แววตาคมพลันวาววับขึ้นขณะก้าวเท้าเข้าโจมตีอีกคน
เสียงกระบี่เฉือนผ่านอากาศ กระบวนท่าเรียบง่ายแต่รวดเร็ว หัวไหล่ของศัตรูถูกเฉือนจนเสียหลัก ฉิงลิ่วหมุนกายเบาๆ พลางสะบัดชายแขนเสื้ออย่างไม่ใส่ใจ คราบเลือดที่เปื้อนปลายดาบแทบไม่ทันได้เกาะติดเนื้อผ้า
เสียงโลหะปะทะกันดังลั่น สะเก็ดไฟแล่นวาบกลางอากาศ ฉิงซานต้านไว้ได้ระยะหนึ่ง แต่เมื่อจำนวนศัตรูเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เขาก็เริ่มถูกผลักลึกเข้าแนวป่า
อวี้หลันกระโจนลงจากรถม้าอย่างรวดเร็ว ฉิงหว่านร้องห้ามสุดเสียงแต่ก็เหมือนจะช้าไปเสียแล้ว
ม่านรถม้าไหววูบก่อนจะสงบนิ่งลง ทิ้งให้หญิงสาวผู้นั่งอยู่ภายในต้องกำมือแน่น
นางถูกสั่งให้หลบอยู่ในรถม้า
ริมฝีปากบางเม้มสนิทด้วยความเป็นห่วง ดวงตาของฉิงหว่านลอบมองออกไปนอกช่องหน้าต่างรถม้าด้วยหัวใจที่เต้นแรงไม่หยุด
ตรงหน้าคือภาพที่ทำให้นางตื่นตะลึง
คุณหนูของนาง...ยืนอยู่ท่ามกลางชายฉกรรจ์นับสิบ ห่มอาภรณ์เรียบหรูคล้ายคนไร้พิษสง ทว่าเคลื่อนไหวคล่องแคล่วประหนึ่งสายลม เส้นผมปลิวไหวตามแรงหมุนของเรือนร่าง มือเรียวควงดาบที่ไม่อาจมองเห็นเส้นทางได้ทัน ปัดป้องแล้วตวัดสวนกลับราวกับไม่ใช่เพียงการป้องกันตน แต่คือการสังหารศัตรู
ฉิงหว่านมองอย่างตะลึง นางรู้... รู้ว่าคุณหนูเปลี่ยนไปมากนับตั้งแต่ฟื้นจากอาการป่วย แต่ไม่เคยคาดคิดว่าจะเปลี่ยนไปถึงเพียงนี้
แม้นางเคยเห็นคุณหนูฝึกกระบี่กับฉิงลิ่วอยู่บ้างยามค่ำคืน แต่ตอนนั้นก็คิดเพียงว่าเป็นการฝึกเพื่อป้องกันตัวเอง
แต่เวลานี้...คุณหนูของนางกลับประหนึ่งนักรบผู้ช่ำชอง
ใจของฉิงหว่านสั่นไหว รู้สึกทั้งชื่นชมและเจ็บแปลบในคราเดียวกัน นางนั่งอยู่ที่นี่ ในขณะที่ทุกคนต้องต่อกรกับความตายเบื้องหน้า
นางไร้ประโยชน์เกินไปแล้วจริงๆ
ฉิงหว่านหลุบตาลง ก่อนจะกำมือแน่นยิ่งกว่าเดิม
กลับไปนางจะฝึกฝนตนเอง ต่อไปนี้จะไม่ปล่อยให้คุณหนูเผชิญอันตรายเพียงลำพังอีกแล้ว...
เส้นทางจากเมืองหลวงสู่วัดประจำเมืองทอดยาวคดเคี้ยวผ่านไหล่เขาและแนวป่าร่มครึ้ม ต้นไม้สูงเรียงรายบดบังแสงแดดบางส่วน จนพื้นดินใต้ล้อรถม้าเย็นชื้นแม้ยามสาย รถม้าคันหรูของอวี้หลันเคลื่อนตัวไปอย่างมั่นคงภายใต้การควบคุมของฉิงเอ้อ เสียงล้อบดหินดังกึกกักแผ่วเบา ท่ามกลางเสียงลมโชยและเสียงจิ้งหรีดในพงหญ้าแต่เมื่อเวลาล่วงเลยไปเพียงครู่... ความสงบที่เคยโอบล้อมพลันเริ่มแปรเปลี่ยนเสียงนกร้องที่เคยคึกคักกลับเงียบหายไป ราวกับธรรมชาติร่วมกันกลั้นหายใจ สายลมที่เคยพัดเบาบาง กลับนิ่งงันจนน่าประหลาด ท้องฟ้ายังแลดูปลอดโปร่ง แสงแดดอ่อนยังส่องลอดใบไม้ แต่ในความสว่างนั้นกลับเจือเงาหม่นบางเบา กลิ่นดินชื้นลอยแตะปลายจมูกเจือกลิ่นสาบคาวบางอย่างเบื้องหลังม่านใบไม้ ลึกเข้าไปในแนวป่า เงาร่างหลายสายกำลังขยับคืบคลานอย่างเงียบเชียบ ฉิงเอ้อที่นั่งควบคุมรถม้าอยู่เบื้องหน้า ชะงักนิ้วมือเพียงเล็กน้อย สายตาคมประหนึ่งเหยี่ยวกวาดมองไปยังแนวป่าด้านข้าง ความเงียบที่ผิดธรรมชาติทำให้เขาแน่ใจว่า มีคนซุ่มดูอยู่อาการเกร็งตัวและท่าทางระแวดระวังของสหายด้านข้าง ไม่อาจรอดพ้นสายตาของฉิงซาน เขาหันไปสบตากับอีกฝ่ายเล็กน้อย บ่าทั้งสองแข
เช้าวันนี้ ท้องฟ้าโปร่งใส อากาศเย็นสบาย สายลมอ่อนพัดโชยมาเป็นระยะ พาให้บรรยากาศในเมืองหลวงชุ่มชื่นสดใส และภายในจวนรองเสนาบดีอวี้ ก็คล้ายจะอบอวลด้วยกลิ่นอายของความยินดีไม่แพ้กันช่วงนี้ภายในจวนมีแต่เรื่องมงคลถาโถมเข้ามาราวพรมแดนแห่งโชคชะตาเปิดทางเรียกได้ว่าในรอบหลายปีไม่เคยมีช่วงเวลาใดที่จวนรองเสนาบดีจะครึกครื้นและมีแต่ข่าวดีเช่นนี้บ่าวไพร่ต่างเร่งจัดเตรียมสิ่งของกันขวักไขว่ ขณะที่ขุนนางผู้เป็นเจ้าของจวนก็ยืดอกได้เต็มที่ ราวกับว่าแม้แต่สวรรค์ยังโปรดปรานตระกูลอวี้ในช่วงเวลานี้โดยแท้เริ่มตั้งแต่บุตรสาวคนโตของจวน หมั้นหมายกับองค์ชายห้า ข่าวนี้เพียงอย่างเดียวก็ทำให้ผู้คนทั้งในและนอกจวนฮือฮา บรรดาขุนนางใหญ่เล็กต่างก็พากันส่งของขวัญมาแสดงความยินดี บางส่วนถึงกับแวะเวียนมาเยือนด้วยตนเองเพื่อสานไมตรีแต่นั่นยังไม่พอ ข่าวถัดมาก็เรียกความตื่นเต้นไม่แพ้กัน เพราะไม่นานหลังจากนั้น บุตรชายคนโตของตระกูล คุณชายใหญ่อวี้เฉิน ผู้ที่หายหน้าจากเมืองหลวงไปนานหลายปีเนื่องจากไปศึกษาต่างเมืองได้เดินทางกลับมา และสิ่งที่น่าสนใจก็คือ เขากลับมาพร้อมกับขบวนทัพบุรุษที่เป็นผู้สนับสนุนเขาไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็น อง
เมื่อครั้งที่องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงทรงมีพระชนมายุได้เพียงเก้าชันษา ขณะทรงศึกษาอยู่ในสถานศึกษาหลวง พระองค์ก็ได้พบกับเหตุการณ์ที่ไม่มีวันลืมในวันนั้น ที่ดูเหมือนจะเป็นเพียงวันธรรมดาอีกวันหนึ่ง พระองค์มักจะแอบมานั่งอ่านตำราพิชัยสงครามเล่มโปรดเงียบๆ บริเวณศาลาริมสระบัวกลางสวนหลังตำหนักเรียนสถานที่สงบเงียบไร้ผู้คน เป็นที่ที่พระองค์มักจะมาใช้เวลาคิดและฝึกสมาธิในยามว่างเสมอ หากแต่ในขณะกำลังจดจ่ออยู่กับตัวอักษรในตำรา กลับมีมือปริศนาคู่หนึ่งผลักพระองค์จากทางด้านหลังอย่างไม่ทันตั้งตัว ร่างเล็กในวัยเยาว์พลันพลัดตกลงไปในสระบัวที่ลึกและเย็นจัดสายน้ำเย็นเฉียบตวัดรัดทั่วพระวรกายในทันที ความตกใจแล่นวูบไปทั้งจิตใจ กลีบบัวที่เคยงดงามกลับกลายเป็นม่านบังสายตา ความตื่นตระหนกก่อให้เกิดแรงตะเกียกตะกาย แต่มือเล็กกลับไม่อาจไขว่คว้าแม้เพียงความหวังพระองค์คิดว่าคงสิ้นใจอยู่ใต้น้ำนั้นแน่แล้ว หากแต่ว่า...ก่อนทุกอย่างจะดับวูบไป ก็มีหญิงสาวผู้หนึ่งโผล่เข้ามาในห้วงเวลานั้นพระองค์จำได้เพียงเงาร่างนั้นแหวกผืนน้ำเข้ามาอย่างไม่ลังเล แขนเรียวเล็กของนางพุ่งเข้ามาแล้วคว้าพระหัตถ์ที่ไร้เรี่ยวแรงของพระองค์เอาไว้แน่น ก่
สองแฝดพี่น้องสีหน้ามืดครึ้มลงพร้อมกันแทบจะทันที แววตาของทั้งคู่พลันเปลี่ยนเป็นดุดัน จ้องมองพี่สาวต่างมารดาอย่างไม่ปิดบังความไม่พอใจ บรรยากาศที่แต่เดิมเงียบอึมครึมกลับทวีความร้อนแรงคล้ายพายุที่พร้อมจะปะทุ แรงอารมณ์ของสองพี่น้องแทบจะผลักให้พวกเขาลุกขึ้นมาฉีกอก เลาะกรามคนที่บังอาจเอ่ยวาจาหมิ่นมารดาผู้ล่วงลับของตนส่วนรองเสนาบดีอวี้ก็จ้องมองบุตรสาวคนโตด้วยสายตาเย็นชา แววตาของเขาเต็มไปด้วยความผิดหวังและตำหนิ ทั้งสายตาดุดันนั้นยังเผื่อแผ่ไปยังมารดาของนาง ที่ไม่อบรมสั่งสอนบุตรสาวให้ดีแต่ยังไม่ทันที่ใครจะได้เอ่ยอันใด เสียงทุ้มต่ำแฝงความเยียบเย็นของหลี่เหวินหลงก็ดังขึ้นท่ามกลางความตึงเครียด"สนิทสนมหรือ จะเรียกเช่นนั้นก็ได้ เพราะนางคือผู้มีบุญคุณช่วยชีวิตข้า"ถ้อยคำเพียงไม่กี่คำกลับดังก้องในห้องโถง จนทั้งห้องคล้ายตกอยู่ในความเงียบฉับพลัน สายพระเนตรขององค์ชายใหญ่ที่ทอดผ่านมายังอวี้เหมยเยือกเย็นเฉียบขาด จนอีกฝ่ายไม่กล้าขยับ ริมฝีปากที่เคยยิ้มแย้มของอวี้เหมยแปรเปลี่ยนเป็นแข็งตึง นางผู้ช่ำชองในการใช้ฝีปากพ่นวาจาสีหน้าซีดเผือดลงอย่างเห็นได้ชัด คล้ายจะสำลักคำพูดของตนเองเซิ่งซื่อที่นั่งนิ่งอยู่นาน
"ยินดีที่ได้พบกัน... คุณหนูรอง" หลี่เหวินหลงเอ่ยขึ้น น้ำเสียงราบเรียบทุ้มต่ำ ขณะสายพระเนตรยังคงทอดมองอวี้หลันอย่างไม่ลดละ เขาเอียงศีรษะเล็กน้อย พลางกระตุกยิ้มบางมุมปาก"ไม่ทราบว่าเรา...เคยพบกันมาก่อนหรือไม่"พระสุรเสียงนั้นไม่ได้ดังนัก ทว่าแฝงด้วยโทนเสียงเชื่องช้าและนุ่มลึกอย่างประหลาด แต่กลับชวนให้ใจคนฟังเต้นแรงกว่าเดิมคำถามของเขาดูเหมือนจะธรรมดา แต่สายพระเนตรที่ทอดมองมามีบางอย่างเจืออยู่ คล้ายจับผิด คล้ายแกล้งหยอกเย้า และคล้ายว่ากำลังเพลิดเพลินกับการเห็นนางเก็บอาการไม่อยู่อวี้หลันเม้มปากเล็กน้อย เริ่มไม่มั่นใจว่าเขาจดจำนางได้หรือไม่ หญิงสาวยังไม่ทันได้เอ่ยตอบ เสียงทุ้มหนักของรองเสนาบดีอวี้จิ้งก็ดังขึ้นเสียก่อน ตัดขาดการสนทนาระหว่างบุตรสาวกับบุรุษผู้สูงศักดิ์ตรงหน้า"หลันเอ๋อร์ร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก จึงมักจะเก็บตัวอยู่เพียงในเรือน คงยากที่จะเคยพบเจอองค์ชายใหญ่พ่ะย่ะค่ะ"เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าแฝงความหมายชัดเจนอยู่ในทุกถ้อยคำ อวี้จิ้งหยุดชั่วครู่ ก่อนเสริมด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบแต่ฟังดูหนักแน่นขึ้น"อีกทั้งพระองค์เพิ่งจะกลับมา ยิ่งไม่มีโอกาสพบเจอกันพ่ะย่ะค่ะ"ทุกถ้อยค
หลี่เหวินหลงหยัดยิ้มมุมปาก รอยยิ้มบางเฉียบที่ไม่อาจอ่านได้ว่ากำลังดูแคลน หรือเพียงเพลิดเพลินไปกับการจับตามองผู้อื่นดิ้นพล่านในสายตาของเขา เซิ่งซื่อก็ไม่ต่างจากแมลงตัวหนึ่งที่กำลังพยายามปีนป่ายหลีกหนีเปลวเพลิงที่ลุกลามใกล้ตัว ยิ่งดิ้นรน...ยิ่งเผยจุดอ่อนดวงเนตรคมกริบใต้คิ้วคมเข้ม ทอดมองสตรีที่พยายามคลี่ยิ้มอ่อนโยนกลบเกลื่อนความหวาดหวั่น ท่าทางเสแสร้งนั้นไม่ต่างจากฉากละครตื้นเขินที่เขาเคยเห็นมานับครั้งไม่ถ้วนจากมารดาเลี้ยงของตนเขาถึงว่ากันว่าคนประเภทเดียวกันจึงมักจะอยู่ร่วมกันได้สายตาของเขาจึงมองเซิ่งซื่อไม่ต่างจากมองซากเนื้อชิ้นหนึ่งที่ยังมีลมหายใจ เขาไม่เร่งเวลาชำระแค้น เพราะรู้ดีว่า… การให้อีกฝ่ายได้ยินเสียงฝีเท้าแห่งหายนะคืบคลานทีละก้าวนั้นทรมานยิ่งกว่าความตาย จากนั้นเขาจะโยนพวกมันลงหลุมในคราวเดียวหลี่เหวินหลงกระตุกยิ้มอีกครั้ง ก่อนจะเบือนหน้าจากภาพเหล่านั้นอย่างไม่ไยดี เขาไม่ได้ให้ความสนใจสตรีตรงหน้าอีกว่านางจะเสแสร้งต่อไปอย่างไรเพราะทันทีที่สัมผัสได้ถึงเสียงฝีเท้าเร่งร้อนที่กำลังมุ่งตรงมาทางนี้ สายพระเนตรคมกริบก็เบนจากทุกคนในห้อง ไปยังบานประตูห้องโถงโดยฉับพลันแผ่นหลังกว้างขอ