LOGINภายในตำหนักใหญ่ ตำหนักจิ้งเหอ ของฮองเฮาแซ่เสิ่น บรรยากาศเย็นสงบ ทว่าสายลมที่พัดผ่านม่านโปร่งเบานั้น กลับไม่อาจคลายความตึงเครียดในใจผู้ที่อยู่ภายใน ข่าวการฟื้นคืนสติของคุณหนูรองอวี้หลันมาถึงตำหนักจิ้งเหอแห่งนี้แล้วเช่นกัน
เสิ่นฮองเฮา ประทับนิ่งอยู่บนตั่งหยก ดวงพักตร์งดงามทรงอำนาจ สายพระเนตรทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง ราวกับกำลังครุ่นคิดบางสิ่ง พระหัตถ์เรียวขาวยกจอกชาขึ้นจิบอย่างสงบ ท่าทางอ่อนโยนเยือกเย็น หากแต่ในแววตากลับแฝงไว้ด้วยความคมดุจคมมีด ไม่มีสิ่งใดรอดพ้นสายพระเนตรนี้ได้ง่ายๆ
เสิ่นฮองเฮา มิใช่ผู้ครองตำแหน่งมารดาของแผ่นดินตั้งแต่ต้น พระนางขึ้นเป็นฮองเฮาภายหลังจากการสิ้นพระชนม์ของฮองเฮาพระองค์ก่อน ซึ่งอีกฝ่ายเป็นสตรีสูงศักดิ์จากตระกูลเก่าแก่ที่หยั่งรากลึกในราชสำนัก เป็นมารดาผู้ให้กำเนิด องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลง โอรสองค์โตของฮ่องเต้ และเป็นผู้ที่ได้รับการจับตามองว่าอาจจะได้สืบทอดราชบัลลังก์
ยามเมื่อเสิ่นฮองเฮาได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ปกครองวังหลัง ก็ขึ้นชื่อเรื่องความสุขุมเยือกเย็น และความสามารถในการจัดการภายในวังหลังได้อย่างไร้ที่ติ พระนางรอบรู้ทั้งศาสตร์แห่งการเมืองและจิตใจคน ใช้เวลาเพียงไม่นานก็สามารถปกครองวังหลังได้อย่างมั่นคง
แต่ใครเล่าจะล่วงรู้ ว่าเบื้องหลังความสงบนิ่งและเยือกเย็นของเสิ่นฮองเฮา ในอดีตเคยมีความรักที่บริสุทธิ์งดงามซ่อนอยู่
เสิ่นซื่อเหนียง บุตรสาวของหมอหลวงประจำวังหลวงผู้หนึ่ง เป็นเพียงสตรีธรรมดาที่เงียบขรึม อ่อนน้อม และเปี่ยมด้วยสติปัญญา นางไม่สูงศักดิ์ ไม่มีตระกูลทรงอำนาจหนุนหลัง แต่สิ่งที่นางมี คือความเฉลียวฉลาด ความหนักแน่น และหัวใจที่เปี่ยมด้วยความภักดี
ฮ่องเต้ที่ยังทรงเป็นองค์รัชทายาทในวันนั้น ตกหลุมรักนางโดยไม่ทันรู้ตัว ในวังหลวงที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม เสิ่นซื่อเหนียงกลับเป็นดั่งสายลมเย็นกลางฤดูร้อน นางมิได้ตามประจบเอาใจ มิได้เสแสร้ง หรือถือตัวแม้แต่น้อย สิ่งเหล่านี้กลับตรึงพระทัยขององค์รัชทายาทอย่างลึกซึ้ง
แต่สวรรค์หาได้เมตตาต่อคู่รักต่างชนชั้น แม้พระองค์จะต้องการแต่งตั้งนางเป็นพระชายาเอก แต่ด้วยสถานะของนางที่เป็นเพียงบุตรีหมอหลวงตำแหน่งต่ำ ย่อมไม่อาจขึ้นเป็นชายาเอกขององค์รัชทายาทได้ ราชวงศ์จำต้องเลือกสตรีสูงศักดิ์จากตระกูลใหญ่ เพื่อผูกพันธไมตรีกับขุนนางทั้งราชสำนัก
สุดท้ายนางจึงเป็นได้เพียงสถานะ "พระชายารอง" เฝ้ามองชายที่รักแต่งงานกับสตรีอื่นอย่างสงบเสงี่ยม ไม่เคยเอ่ยปริปากตำหนิ ไม่เคยแสดงความเสียใจ แม้ในใจของนางจะมีบาดแผลลึกที่ไม่มีใครเห็น
เมื่อองค์รัชทายาทขึ้นครองราชย์ เป็นฮ่องเต้แห่งแผ่นดิน เสิ่นซื่อเหนียงจึงได้รับการแต่งตั้งเป็น หวงกุ้ยเฟย เป็นดอกไม้ที่เบ่งบานในรั้วในวัง ทั้งที่ไม่มีรากฐานจากตระกูลใหญ่หนุนหลัง
นางยังคงสงบนิ่ง อ่อนโยนดังเดิม แต่ภายในใจกลับยิ่งเยือกเย็น เพราะนางรู้ดีว่าในวังหลวงแห่งนี้ ความรักเพียงอย่างเดียวไม่อาจปกป้องนางได้
นางเฝ้ามองและร่วมยินดีกับชายคนรักที่กำลังจะมีบุตรกับสตรีอื่น เฝ้ามองเขารับสตรีนางแล้วนางเล่า เฝ้าดูพวกนางตั้งครรภ์ มีบุตรชายหญิงให้แก่เขา โดยที่นางเป็นผู้เดียวที่ไม่มีวี่แววว่าจะตั้งครรภ์
จนกระทั่งฮองเฮาสิ้นพระชนม์
นางจึงได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นฮองเฮาพระองค์ใหม่ เพื่อดูแลวังหลัง และพระโอรสที่พระองค์มีร่วมกับสตรีอื่น
นางเลี้ยงดู ดูแล อบรม เป็นมารดาให้องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงในวัยแปดขวบ นางทำหน้าที่นั้นอย่างดีที่สุด ความใกล้ชิด ความผูกพันก่อตัวขึ้น จนนางมองเขาเป็นดั่งบุตรของตัวเอง
ทว่า...สวรรค์ช่างเล่นตลก
ในวันที่ไม่มีใครคาดคิด ในวันที่นางละทิ้งความหวังไปแล้ว นางกลับตั้งครรภ์ขึ้นมา
พระโอรสของนาง องค์ชายห้าหลี่จื้อหยวน คือสายเลือดที่นางเฝ้ารอมาเนิ่นนาน คือความภูมิใจหนึ่งเดียวของนาง
และนับตั้งแต่วันนั้น สายตาของนางที่มององค์ชายใหญ่ก็ค่อยๆ กลายเป็นความเย็นชา หัวใจของนางทุ่มให้กับบุตรชายของตนเพียงผู้เดียวเท่านั้น
องค์ชายใหญ่ผู้เคยอยู่ในความดูแลของนางอย่างดี เริ่มถูกละเลยอย่างเงียบงัน ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใดที่เด็กคนนั้นกลายเป็นเพียง "บุตรของหญิงอื่น" ความอบอุ่นในสายตาของนางหายไปโดยสิ้นเชิง
และนางก็ไม่ทันได้สังเกตเลยว่า
ฮ่องเต้เอง… ก็เริ่มเปลี่ยนไป
สายพระเนตรที่เคยมองนางด้วยความอบอุ่นแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา ถ้อยคำที่เคยเอ่ยด้วยความรัก กลับกลายเป็นห่างเหิน ความผูกพันที่เคยมีกลายเป็นเพียงเศษเสี้ยวในความทรงจำ
และเมื่อนางได้รู้ เมื่อนางได้เห็นความเย็นชาห่างเหินนั้นในดวงตาของพระองค์ แม้จะเจ็บปวดเจียนตาย แต่นางกลับยังคงสงบนิ่ง เพราะนางรู้ดีแล้วว่า ความรักของบุรุษนั้นไม่แน่นอน ไร้ความมั่นคง ความรักเพียงอย่างเดียว ไม่อาจปกป้องอะไรนางกับลูกได้
นางกลายเป็นคนเห็นอำนาจสำคัญยิ่งกว่าความรู้สึก
นางรู้เพียงว่า หากนางอยากให้องค์ชายห้าหลี่จื้อหยวน ได้ยืนหยัดทัดเทียมผู้อื่น นางก็จำต้องแข็งแกร่งขึ้น เย็นชาขึ้น และเด็ดขาดยิ่งกว่าที่เคยเป็น
เสิ่นฮองเฮา ผู้เคยเป็นหญิงสาวผู้อ่อนโยน ตอนนี้รอบกายของนางกลับเต็มไปด้วยเล่ห์กลมากมาย เป็นผู้มีอำนาจควบคุมวังหลังไว้ในกำมือ
แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นก็ยังไม่เพียงพอ แม้ตอนนี้บิดาของนางจะดำรงตำแหน่งหัวหน้าสำนักหมอหลวง พี่ชายน้องชาย และคนตระกูลเสิ่นนั่งตำแหน่งสำคัญในราชสำนัก แต่ก็ยังไม่สามารถต่อกรกับตระกูลอื่นที่ฝังรากลึกในราชสำนักได้
มันยังไม่พอสำหรับการผลักดันให้พระโอรสของนางเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์มังกร
ราชสำนักในตอนนี้แบ่งเป็นฝักเป็นฝ่ายอย่างชัดเจน พระโอรสของฮ่องเต้มีอยู่หลายพระองค์ แต่ผู้ที่โดดเด่นมากที่สุดมีเพียงสามพระองค์เท่านั้น
องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลง โอรสของฮองเฮาพระองค์ก่อน มีขุนนางฝ่ายอนุรักษนิยมและตระกูลขุนนางเก่าแก่หนุนหลังมากมาย
องค์ชายสามหลี่เหวินหวาย โอรสของกุ้ยเฟยที่ได้รับความโปรดปรานเป็นพิเศษจากฮ่องเต้ในช่วงหลัง และมีตระกูลของเหล่าบัณฑิตหนุนหลัง
และสุดท้ายองค์ชายห้าหลี่จื้อหยวน โอรสของฮองเฮาองค์ปัจจุบัน ผู้ที่แม้จะไม่ได้มีฐานอำนาจจากฝ่ายขุนนางใหญ่มากมาย หากแต่มีความสามารถและความนิ่งลึกที่น่าจับตามอง
ฮ่องเต้ยังมิได้แต่งตั้งรัชทายาท การแย่งชิงอำนาจจึงยังไม่สิ้นสุด เพียงแต่ดำเนินไปอย่างเงียบงันภายใต้ม่านหมอกแห่งราชสำนัก
เสิ่นฮองเฮาจึงพยายามขยายอำนาจโดยการผูกสัมพันธ์กับขุนนางใหญ่ หนึ่งในนั้นคือ รองเสนาบดีอวี้จิ้ง ผู้ที่ในเวลานั้นต้องการนั่งตำแหน่งอัครเสนาบดี ซึ่งคนมีความสามารถเช่นเขาก็นับว่าไม่ยากเลย ขอเพียงมีคนมีอำนาจผลักดันอีกนิดเท่านั้น
แผนการร่วมผลประโยชน์โดยการแต่งงานจึงถูกกำหนดขึ้น องค์ชายห้าที่ในขณะนั้นอายุย่างเข้าสิบสี่ชันษาถูกวางตัวให้หมั้นหมายกับ อวี้หลัน ที่พึ่งจะอายุได้เจ็ดขวบ เพราะนางคือบุตรีของฮูหยินอวี้ เป็นหลานสาวของตระกูลไป๋ผู้ทรงอำนาจ จะมีการหมั้นหมายและกำหนดวันมงคลอย่างเป็นทางการเมื่อนางมีอายุครบสิบห้าปีบริบูรณ์
แต่...ทุกอย่างกลับผิดพลาดอย่างไม่คาดคิด
ตระกูลไป๋ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดร้ายแรงต่อราชสำนัก และถูกกวาดล้างในชั่วข้ามคืน เส้นสายอำนาจที่อยู่เบื้องหลังอวี้หลันพังทลายลงโดยสิ้นเชิง ทำให้สถานะของนางกลายเป็นเพียงบุตรีขุนนางที่ไร้แรงหนุน ภายหลังมารดายังตายจาก ไร้มารดาปกป้อง สถานะในสกุลอวี้ย่อมยิ่งยากลำบาก
เพื่อบัลลังก์ของโอรส นางย่อมไม่ยอมให้สิ่งใดมาเป็นอุปสรรคได้เด็ดขาด แต่ตอนนี้คนที่คิดว่าคงไม่อาจฟื้นคืนมาได้อีก กลับฟื้นขึ้นมาราวปาฏิหาริย์ เมื่อทุกอย่างเป็นเช่นนี้ นางย่อมไม่อาจยินยอมให้โอรสแต่งกับสตรีเช่นนั้นได้ จึงจำต้องโยนหมากอย่างอวี้หลันทิ้ง เลือกตัดสัมพันธ์กับเด็กคนนั้นอย่างไร้ไมตรี
หมากอย่างคุณหนูใหญ่อวี้เหมย บุตรีของฮูหยินเอกคนปัจจุบัน ซึ่งมีท่านตาเป็นแม่ทัพภาคแห่งแดนใต้ ถูกหยิบขึ้นมาวางไว้แทนที่อวี้หลันบนกระดานอำนาจ
"ฮองเฮาเพคะ องค์ชายห้ามาถึงแล้วเพคะ"
ความคิดของนางหยุดลงเพียงเท่านั้น เมื่อเสียงมามาด้านหน้าตำหนักเอ่ยดังขึ้น
เสิ่นฮองเฮาละสายพระเนตรจากภาพตรงหน้า แสงแดดอ่อนยามสายที่ลอดผ่านม่านโปร่งดูจะไม่อาจกลบความเยือกเย็นในแววตานางได้
นางหันกลับมา มองไปยังบานประตูตำหนักที่ปิดสนิท ก่อนเสียงเรียบนิ่งจะเอ่ยอนุญาต
"ให้เขาเข้ามา"
ภายในตำหนักรัชทายาท ประดับด้วยแพรไหมและโคมแดงงดงามตระการตา ขบวนขันทีและนางกำนัลขวักไขว่ไปมาด้วยใบหน้ารื่นเริง เสียงดนตรีอ่อนหวานดังคลอในอากาศ อันเป็นสัญญาณของวันมงคลที่ทั้งแผ่นดินรอคอยณ ประตูตำหนัก ขบวนราชรถทองคำค่อยเคลื่อนเข้ามาอย่างสง่างาม องค์ไท่จื่อหลี่เหวินหลงทรงฉลองพระองค์สีแดงปักดิ้นมังกรห้ากรงเล็บ พระพักตร์หล่อเหลาเปี่ยมด้วยสง่าราศีแต่แฝงความอ่อนโยนในแววเนตรส่วนอวี้หลันในชุดเจ้าสาวสีแดงชาด ผ้าแพรเนื้อดีปักลายหงส์ทองกางปีก ลวดลายละเมียดงามประหนึ่งจะโบยบินจากผืนผ้า ผมของนางถูกรวบขึ้นสูง สวมมงกุฎหงส์ทองคำประดับมุกอันล้ำค่า ดวงหน้างามใต้ผ้าคลุมบางเบานั้นเปล่งแสงราวบุปผาแรกแย้มในฤดูวสันต์เสียงฆ้องและพิณบรรเลงประสาน ดอกไม้สดโปรยปรายจากระเบียงสูง ขบวนมงคลเคลื่อนไปยังลานตำหนักหยก สถานที่จัดพิธีอภิเษกซึ่งเต็มไปด้วยม่านแพรแดงโบกสะบัด ภายในหอพิธี โคมทองพันดวงจุดสว่างส่องไปทั่ว"คารวะฟ้า คารวะแผ่นดิน คารวะบิดามารดา"ทั้งสองก้มศีรษะลงพร้อมกันด้วยความเคารพ"สามคำนับ เสร็จพิธีอภิเษก เจ้าบ่าวเจ้าสาวถวายคำนับต่อกัน"หลี่เหวินหลงค่อยประคองมือนางขึ้นจากท่าคำนับ ดวงตาคมดุจมังกรทอดมองใบหน้างามภ
เสียงกลองชัยดังก้องสะท้อนทั่วเมือง เมื่อขบวนทัพขององค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงก้าวเข้าสู่เมืองหลวง ธงสีชาดสะบัดพลิ้วเหนือกำแพงเมือง แสงอาทิตย์อาบเมืองหลวงเปล่งประกายดุจทองคำ ประชาชนต่างออกมายืนเรียงรายสองฝั่งถนนเพื่อรอต้อนรับ เสียงโห่ร้องด้วยความยินดีดังกึกก้อง ดอกไม้หลากสีถูกโปรยปรายทั่วทางเดินที่ทอดยาวสู่ประตูวังหลวง"ถวายพระพรองค์ชายใหญ่! ทรงพระเจริญ!"ผู้คนทั้งแผ่นดินเปล่งเสียงสรรเสริญชัยชนะธงสีชาดสะบัดพลิ้วกลางสายลม ขบวนทหารเคลื่อนเข้าสู่เมืองอย่างองอาจ แววตาส่องประกายด้วยความภาคภูมิองค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงทรงม้านำขบวน ท่วงท่าของพระองค์สง่างามดังวีรบุรุษ ดวงตาคมทอดมองไปยังประตูวังหลวงซึ่งเปิดต้อนรับ ข้างกายของพระองค์คือสตรีในชุดพิชัยศึกสีขาวเงินสะอาด นางมิได้แต่งกายงดงามหรูหราเช่นสตรีในเมืองหลวง แต่สง่างามในแบบนักรบผู้เคียงบ่าเคียงไหล่ดวงอาทิตย์ส่องกระทบเกราะโลหะของทั้งคู่จนวาววับราวกับเปลวเพลิง ทหารที่เดินตามหลังใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม ภาพนั้นกลายเป็นขบวนแห่งเกียรติภูมิของแผ่นดินหลังจากองค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงเดินทางกลับเมืองหลวงมิทันข้ามวัน ก็มีราชโองการปลดเสิ่นฮองเฮาออกจากตำแหน่งและ
ชายหนุ่มมองออกไปยังขอบฟ้าที่เริ่มถูกกลืนด้วยแสงสนธยายามอาทิตย์ตก เสียงลมพัดผ่านยอดหญ้าแห้งดังแผ่วเบา ราวกับเสียงวิญญาณของผู้ล่วงลับยังล่องลอยอยู่ในสายลม"สงครามไม่มีสิ่งใดดีเลย"น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นเบาๆอวี้หลันที่อยู่ในชุดบุรุษเงยหน้ามองแสงสุดท้ายของวัน ลมพัดเส้นผมของนางปลิวตามจังหวะฝีเท้าม้า"ท่านพูดถูก แต่มันก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หากต้องเลือกระหว่างการสูญเสียกับการยอมให้บ้านเมืองล่มสลาย เป็นข้าก็ทำได้เพียงเลือกทางที่เจ็บปวดน้อยกว่า"นางตอบเสียงแผ่ว น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเข้าใจ เอ่ยกับเขาในแบบที่เขาเคยร้องขอ ไม่ใช่ในฐานะองค์ชาย แต่ในฐานะบุรุษของนางหลี่เหวินหลงหันมองนาง สายตาของทั้งสองสบกันในความเงียบงันที่ปกคลุมรอบตัว แววตาของเขาสั่นไหวอย่างไม่อาจห้าม ภายในอกแกร่งรู้สึกอุ่นวาบถ้อยคำต่อมาของนางเต็มไปด้วยความอ่อนโยน"หลังสงคราม...สิ่งที่เราทำได้คือการเยียวยาให้พวกเขา" "และเราจะทำมัน...ไปด้วยกัน"เสียงของนางเบาแต่หนักแน่นหลี่เหวินหลงสบตานาง รอยยิ้มอบอุ่นปรากฏบนริมฝีปาก พยักหน้าน้อยๆ แววตามั่นคง"เราจะทำมันด้วยกัน"ลมเย็นพัดผ่านกลีบดอกหญ้าที่เริ่มผลิใหม่ ท้องฟ้ายามเย็นคล้
บรรยากาศหลังศึกใหญ่ยังคงอบอวลไปด้วยกลิ่นควันไฟและกลิ่นคาวเลือดเสียงกลองศึกสุดท้ายหยุดลงพร้อมกับเปลวเพลิงแห่งสงครามที่ค่อยๆ มอดดับ เหลือเพียงเสียงลมหอบของม้าและเสียงโห่ร้องแห่งชัยชนะที่ดังขึ้นทั่วสนามรบแสงแรกแห่งอรุณฉาบลงบนผืนดินที่เพิ่งหลั่งเลือด เปล่งประกายเหนือซากศพและธงศัตรูที่ถูกเหยียบย่ำจนแหลกลาญ เหล่าทหารยกอาวุธขึ้นเหนือศีรษะ โบกสะบัดธงสีชาดแห่งแคว้นเป่ยอย่างภาคภูมิ ชายแดนใต้กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง กองทัพศัตรูถูกขับไล่ออกนอกเขตแดนอย่างสิ้นเชิงกลางลานศึกที่ยังมีกลิ่นคาวเลือด องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงยืนเด่นอยู่ท่ามกลางแสงรุ่งอรุณแรกหลังสงคราม ชุดเกราะของเขาเปรอะไปด้วยคราบฝุ่นและเลือด แต่ดวงตาคมยังคงเปล่งประกายเยือกเย็น เปี่ยมด้วยอำนาจและความสงบแห่งผู้ชนะเขาเงยหน้ามองขอบฟ้า สีทองของรุ่งอรุณสะท้อนในดวงตา แสงนั้นไม่เพียงล้างคราบควันไฟ หากยังปลุกความหวังของดินแดนกลับคืนมาอีกครั้งชายหนุ่มหันไปมองสตรีข้างกาย อวี้หลันในชุดเกราะสีเงินที่สะท้อนแสงทองระยับ แม้เปื้อนฝุ่นและเลือดเล็กน้อย แต่กลับงดงามดุจเทพธิดาผู้ลงมาจากสรวงสวรรค์ นางกำลังมองทิวเขาเบื้องหน้า ดวงตาของนางนิ่งสงบ หากลึกซึ
หลี่เหวินหลงควบม้าเข้าสู่สมรภูมิทันที ดาบในมือกรีดกลางหมอกเลือด ฟาดฟันศัตรูร่วงลงทีละคน ดวงตาเขาสงบนิ่งแต่แฝงแรงอาฆาต"สังหารให้สิ้น อย่าให้เหลือ!"สิ้นคำสั่งสุดท้ายขององค์ชายใหญ่ เสียงโห่ร้องก็ดังสนั่นไปทั่วสมรภูมิ กลิ่นฝุ่นและโลหิตปะปนในลมหายใจ ขบวนทัพขององค์ชายใหญ่ทะยานเข้าสู่สนามรบราวคลื่นคำรามอันบ้าคลั่งโถมเข้าชนแนวศัตรูดุจคลื่นเหล็กแม้จำนวนจะด้อยกว่า หากแต่ธงสีชาดขอแคว้นเป่ยยังคงโบกสะบัดอย่างทรงอำนาจกลางฝุ่นควัน องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงอยู่แนวหน้าในชุดเกราะดำสนิท ดาบยาวในมือถูกฟาดฟันอย่างเฉียบคม สะบั้นโลหะและเลือดสาดกระเซ็นในทุกครั้งที่เหวี่ยงทหารใต้บังคับบัญชาต่างมององค์ชายของตนเป็นดั่งเพลิงศึกที่ไม่มีวันดับ การเคลื่อนไหวของเขาแม่นยำ หนักแน่น และเด็ดขาด ทุกคำสั่งจากปากนั้นนำพากำลังใจของกองทัพให้พุ่งทะลวงเข้าไปได้ลึกขึ้นเรื่อยๆแต่ศัตรูในครั้งนี้ไม่ใช่พวกไร้ฝีมือ พวกมันเตรียมการมาอย่างรัดกุม รู้จังหวะ รู้จุดอ่อน และบีบเข้ามาเป็นชั้นๆ ราวกับกับดักซ้อนกล ทหารแคว้นเป่ยเริ่มถูกแยกออกจากกัน เสียงเหล็กปะทะกันดังไม่ขาดสายขณะที่หลี่เหวินหลงกำลังฟาดฟันกับแม่ทัพศัตรูคนหนึ่งทางแนวซ้าย หา
แสงอรุณแรกของวันค่อยๆ สาดต้องปลายยอดเขา หมอกบางคลอเคลียยอดหญ้าเหนือทุ่งรบอันกว้างไกล เสียงแตรศึกดังสะท้อนก้องไปทั่วค่ายทัพ ปลุกเหล่าทหารให้ตื่นจากความเงียบงันเข้าสู่เช้าวันใหม่ ธงทัพสีชาดปลิวสะบัดกลางสายลมเช้า แผ่นผ้าขนาดมหึมามีอักษรคำว่า เป่ย ปักด้วยด้ายทองแวววาวราวเปลวเพลิงบนท้องฟ้าองค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงประทับหลังอาชาเบื้องหน้าแถวทหาร ใต้เกราะศึกสีดำสนิทที่สะท้อนแสงอาทิตย์แรก เขากวาดตามองเหล่าทหารกล้าผู้พร้อมพลีชีพเพื่อแผ่นดิน ก่อนจะควบอาชาสีดำสนิทขึ้นไปยังเนินสูง"เหล่าทหารแห่งแคว้นเป่ย!""เราทุกคนต่างมีเลือด มีชีวิต มีครอบครัวอยู่เบื้องหลัง!""พวกมันย่ำยีผืนดินของเรา ฆ่าผู้บริสุทธิ์ เหยียบเกียรติของแผ่นดินของเรา!"เสียงของเขาดังก้องราวสายฟ้าฟาดกลางเวหา"วันนี้! เราจะสู้...เพื่อทวงคืนทุกสิ่งกลับคืนมา!""บดขยี้ทัพศัตรูให้สิ้น! ถึงเวลาให้มันรู้ว่าผู้ใดคือเจ้าของแผ่นดินนี้!""ถวายชีวิตเพื่อแผ่นดิน! ถวายชีวิตเพื่อองค์ชายใหญ่!"เสียงกู่ร้องคำรามตอบกลับดังก้องภูผา"เพื่อแผ่นดิน! เพื่อแผ่นดิน!"เสียงทหารนับหมื่นตะโกนพร้อมกัน โห่ร้องก้องสะเทือนฟ้าดินองค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงยกดาบคู่กายขึ







