ภายในตำหนักใหญ่ ตำหนักจิ้งเหอ ของฮองเฮาแซ่เสิ่น บรรยากาศเย็นสงบ ทว่าสายลมที่พัดผ่านม่านโปร่งเบานั้น กลับไม่อาจคลายความตึงเครียดในใจผู้ที่อยู่ภายใน ข่าวการฟื้นคืนสติของคุณหนูรองอวี้หลันมาถึงตำหนักจิ้งเหอแห่งนี้แล้วเช่นกัน
เสิ่นฮองเฮา ประทับนิ่งอยู่บนตั่งหยก ดวงพักตร์งดงามทรงอำนาจ สายพระเนตรทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง ราวกับกำลังครุ่นคิดบางสิ่ง พระหัตถ์เรียวขาวยกจอกชาขึ้นจิบอย่างสงบ ท่าทางอ่อนโยนเยือกเย็น หากแต่ในแววตากลับแฝงไว้ด้วยความคมดุจคมมีด ไม่มีสิ่งใดรอดพ้นสายพระเนตรนี้ได้ง่ายๆ
เสิ่นฮองเฮา มิใช่ผู้ครองตำแหน่งมารดาของแผ่นดินตั้งแต่ต้น พระนางขึ้นเป็นฮองเฮาภายหลังจากการสิ้นพระชนม์ของฮองเฮาพระองค์ก่อน ซึ่งอีกฝ่ายเป็นสตรีสูงศักดิ์จากตระกูลเก่าแก่ที่หยั่งรากลึกในราชสำนัก เป็นมารดาผู้ให้กำเนิด องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลง โอรสองค์โตของฮ่องเต้ และเป็นผู้ที่ได้รับการจับตามองว่าอาจจะได้สืบทอดราชบัลลังก์
ยามเมื่อเสิ่นฮองเฮาได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ปกครองวังหลัง ก็ขึ้นชื่อเรื่องความสุขุมเยือกเย็น และความสามารถในการจัดการภายในวังหลังได้อย่างไร้ที่ติ พระนางรอบรู้ทั้งศาสตร์แห่งการเมืองและจิตใจคน ใช้เวลาเพียงไม่นานก็สามารถปกครองวังหลังได้อย่างมั่นคง
แต่ใครเล่าจะล่วงรู้ ว่าเบื้องหลังความสงบนิ่งและเยือกเย็นของเสิ่นฮองเฮา ในอดีตเคยมีความรักที่บริสุทธิ์งดงามซ่อนอยู่
เสิ่นซื่อเหนียง บุตรสาวของหมอหลวงประจำวังหลวงผู้หนึ่ง เป็นเพียงสตรีธรรมดาที่เงียบขรึม อ่อนน้อม และเปี่ยมด้วยสติปัญญา นางไม่สูงศักดิ์ ไม่มีตระกูลทรงอำนาจหนุนหลัง แต่สิ่งที่นางมี คือความเฉลียวฉลาด ความหนักแน่น และหัวใจที่เปี่ยมด้วยความภักดี
ฮ่องเต้ที่ยังทรงเป็นองค์รัชทายาทในวันนั้น ตกหลุมรักนางโดยไม่ทันรู้ตัว ในวังหลวงที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม เสิ่นซื่อเหนียงกลับเป็นดั่งสายลมเย็นกลางฤดูร้อน นางมิได้ตามประจบเอาใจ มิได้เสแสร้ง หรือถือตัวแม้แต่น้อย สิ่งเหล่านี้กลับตรึงพระทัยขององค์รัชทายาทอย่างลึกซึ้ง
แต่สวรรค์หาได้เมตตาต่อคู่รักต่างชนชั้น แม้พระองค์จะต้องการแต่งตั้งนางเป็นพระชายาเอก แต่ด้วยสถานะของนางที่เป็นเพียงบุตรีหมอหลวงตำแหน่งต่ำ ย่อมไม่อาจขึ้นเป็นชายาเอกขององค์รัชทายาทได้ ราชวงศ์จำต้องเลือกสตรีสูงศักดิ์จากตระกูลใหญ่ เพื่อผูกพันธไมตรีกับขุนนางทั้งราชสำนัก
สุดท้ายนางจึงเป็นได้เพียงสถานะ "พระชายารอง" เฝ้ามองชายที่รักแต่งงานกับสตรีอื่นอย่างสงบเสงี่ยม ไม่เคยเอ่ยปริปากตำหนิ ไม่เคยแสดงความเสียใจ แม้ในใจของนางจะมีบาดแผลลึกที่ไม่มีใครเห็น
เมื่อองค์รัชทายาทขึ้นครองราชย์ เป็นฮ่องเต้แห่งแผ่นดิน เสิ่นซื่อเหนียงจึงได้รับการแต่งตั้งเป็น หวงกุ้ยเฟย เป็นดอกไม้ที่เบ่งบานในรั้วในวัง ทั้งที่ไม่มีรากฐานจากตระกูลใหญ่หนุนหลัง
นางยังคงสงบนิ่ง อ่อนโยนดังเดิม แต่ภายในใจกลับยิ่งเยือกเย็น เพราะนางรู้ดีว่าในวังหลวงแห่งนี้ ความรักเพียงอย่างเดียวไม่อาจปกป้องนางได้
นางเฝ้ามองและร่วมยินดีกับชายคนรักที่กำลังจะมีบุตรกับสตรีอื่น เฝ้ามองเขารับสตรีนางแล้วนางเล่า เฝ้าดูพวกนางตั้งครรภ์ มีบุตรชายหญิงให้แก่เขา โดยที่นางเป็นผู้เดียวที่ไม่มีวี่แววว่าจะตั้งครรภ์
จนกระทั่งฮองเฮาสิ้นพระชนม์
นางจึงได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นฮองเฮาพระองค์ใหม่ เพื่อดูแลวังหลัง และพระโอรสที่พระองค์มีร่วมกับสตรีอื่น
นางเลี้ยงดู ดูแล อบรม เป็นมารดาให้องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงในวัยแปดขวบ นางทำหน้าที่นั้นอย่างดีที่สุด ความใกล้ชิด ความผูกพันก่อตัวขึ้น จนนางมองเขาเป็นดั่งบุตรของตัวเอง
ทว่า...สวรรค์ช่างเล่นตลก
ในวันที่ไม่มีใครคาดคิด ในวันที่นางละทิ้งความหวังไปแล้ว นางกลับตั้งครรภ์ขึ้นมา
พระโอรสของนาง องค์ชายห้าหลี่จื้อหยวน คือสายเลือดที่นางเฝ้ารอมาเนิ่นนาน คือความภูมิใจหนึ่งเดียวของนาง
และนับตั้งแต่วันนั้น สายตาของนางที่มององค์ชายใหญ่ก็ค่อยๆ กลายเป็นความเย็นชา หัวใจของนางทุ่มให้กับบุตรชายของตนเพียงผู้เดียวเท่านั้น
องค์ชายใหญ่ผู้เคยอยู่ในความดูแลของนางอย่างดี เริ่มถูกละเลยอย่างเงียบงัน ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใดที่เด็กคนนั้นกลายเป็นเพียง "บุตรของหญิงอื่น" ความอบอุ่นในสายตาของนางหายไปโดยสิ้นเชิง
และนางก็ไม่ทันได้สังเกตเลยว่า
ฮ่องเต้เอง… ก็เริ่มเปลี่ยนไป
สายพระเนตรที่เคยมองนางด้วยความอบอุ่นแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา ถ้อยคำที่เคยเอ่ยด้วยความรัก กลับกลายเป็นห่างเหิน ความผูกพันที่เคยมีกลายเป็นเพียงเศษเสี้ยวในความทรงจำ
และเมื่อนางได้รู้ เมื่อนางได้เห็นความเย็นชาห่างเหินนั้นในดวงตาของพระองค์ แม้จะเจ็บปวดเจียนตาย แต่นางกลับยังคงสงบนิ่ง เพราะนางรู้ดีแล้วว่า ความรักของบุรุษนั้นไม่แน่นอน ไร้ความมั่นคง ความรักเพียงอย่างเดียว ไม่อาจปกป้องอะไรนางกับลูกได้
นางกลายเป็นคนเห็นอำนาจสำคัญยิ่งกว่าความรู้สึก
นางรู้เพียงว่า หากนางอยากให้องค์ชายห้าหลี่จื้อหยวน ได้ยืนหยัดทัดเทียมผู้อื่น นางก็จำต้องแข็งแกร่งขึ้น เย็นชาขึ้น และเด็ดขาดยิ่งกว่าที่เคยเป็น
เสิ่นฮองเฮา ผู้เคยเป็นหญิงสาวผู้อ่อนโยน ตอนนี้รอบกายของนางกลับเต็มไปด้วยเล่ห์กลมากมาย เป็นผู้มีอำนาจควบคุมวังหลังไว้ในกำมือ
แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นก็ยังไม่เพียงพอ แม้ตอนนี้บิดาของนางจะดำรงตำแหน่งหัวหน้าสำนักหมอหลวง พี่ชายน้องชาย และคนตระกูลเสิ่นนั่งตำแหน่งสำคัญในราชสำนัก แต่ก็ยังไม่สามารถต่อกรกับตระกูลอื่นที่ฝังรากลึกในราชสำนักได้
มันยังไม่พอสำหรับการผลักดันให้พระโอรสของนางเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์มังกร
ราชสำนักในตอนนี้แบ่งเป็นฝักเป็นฝ่ายอย่างชัดเจน พระโอรสของฮ่องเต้มีอยู่หลายพระองค์ แต่ผู้ที่โดดเด่นมากที่สุดมีเพียงสามพระองค์เท่านั้น
องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลง โอรสของฮองเฮาพระองค์ก่อน มีขุนนางฝ่ายอนุรักษนิยมและตระกูลขุนนางเก่าแก่หนุนหลังมากมาย
องค์ชายสามหลี่เหวินหวาย โอรสของกุ้ยเฟยที่ได้รับความโปรดปรานเป็นพิเศษจากฮ่องเต้ในช่วงหลัง และมีตระกูลของเหล่าบัณฑิตหนุนหลัง
และสุดท้ายองค์ชายห้าหลี่จื้อหยวน โอรสของฮองเฮาองค์ปัจจุบัน ผู้ที่แม้จะไม่ได้มีฐานอำนาจจากฝ่ายขุนนางใหญ่มากมาย หากแต่มีความสามารถและความนิ่งลึกที่น่าจับตามอง
ฮ่องเต้ยังมิได้แต่งตั้งรัชทายาท การแย่งชิงอำนาจจึงยังไม่สิ้นสุด เพียงแต่ดำเนินไปอย่างเงียบงันภายใต้ม่านหมอกแห่งราชสำนัก
เสิ่นฮองเฮาจึงพยายามขยายอำนาจโดยการผูกสัมพันธ์กับขุนนางใหญ่ หนึ่งในนั้นคือ รองเสนาบดีอวี้จิ้ง ผู้ที่ในเวลานั้นต้องการนั่งตำแหน่งอัครเสนาบดี ซึ่งคนมีความสามารถเช่นเขาก็นับว่าไม่ยากเลย ขอเพียงมีคนมีอำนาจผลักดันอีกนิดเท่านั้น
แผนการร่วมผลประโยชน์โดยการแต่งงานจึงถูกกำหนดขึ้น องค์ชายห้าที่ในขณะนั้นอายุย่างเข้าสิบสี่ชันษาถูกวางตัวให้หมั้นหมายกับ อวี้หลัน ที่พึ่งจะอายุได้เจ็ดขวบ เพราะนางคือบุตรีของฮูหยินอวี้ เป็นหลานสาวของตระกูลไป๋ผู้ทรงอำนาจ จะมีการหมั้นหมายและกำหนดวันมงคลอย่างเป็นทางการเมื่อนางมีอายุครบสิบห้าปีบริบูรณ์
แต่...ทุกอย่างกลับผิดพลาดอย่างไม่คาดคิด
ตระกูลไป๋ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดร้ายแรงต่อราชสำนัก และถูกกวาดล้างในชั่วข้ามคืน เส้นสายอำนาจที่อยู่เบื้องหลังอวี้หลันพังทลายลงโดยสิ้นเชิง ทำให้สถานะของนางกลายเป็นเพียงบุตรีขุนนางที่ไร้แรงหนุน ภายหลังมารดายังตายจาก ไร้มารดาปกป้อง สถานะในสกุลอวี้ย่อมยิ่งยากลำบาก
เพื่อบัลลังก์ของโอรส นางย่อมไม่ยอมให้สิ่งใดมาเป็นอุปสรรคได้เด็ดขาด แต่ตอนนี้คนที่คิดว่าคงไม่อาจฟื้นคืนมาได้อีก กลับฟื้นขึ้นมาราวปาฏิหาริย์ เมื่อทุกอย่างเป็นเช่นนี้ นางย่อมไม่อาจยินยอมให้โอรสแต่งกับสตรีเช่นนั้นได้ จึงจำต้องโยนหมากอย่างอวี้หลันทิ้ง เลือกตัดสัมพันธ์กับเด็กคนนั้นอย่างไร้ไมตรี
หมากอย่างคุณหนูใหญ่อวี้เหมย บุตรีของฮูหยินเอกคนปัจจุบัน ซึ่งมีท่านตาเป็นแม่ทัพภาคแห่งแดนใต้ ถูกหยิบขึ้นมาวางไว้แทนที่อวี้หลันบนกระดานอำนาจ
"ฮองเฮาเพคะ องค์ชายห้ามาถึงแล้วเพคะ"
ความคิดของนางหยุดลงเพียงเท่านั้น เมื่อเสียงมามาด้านหน้าตำหนักเอ่ยดังขึ้น
เสิ่นฮองเฮาละสายพระเนตรจากภาพตรงหน้า แสงแดดอ่อนยามสายที่ลอดผ่านม่านโปร่งดูจะไม่อาจกลบความเยือกเย็นในแววตานางได้
นางหันกลับมา มองไปยังบานประตูตำหนักที่ปิดสนิท ก่อนเสียงเรียบนิ่งจะเอ่ยอนุญาต
"ให้เขาเข้ามา"
"หลันเอ๋อร์ ขอเวลาข้าสักครู่ได้หรือไม่"เสียงทุ้มต่ำขององค์ชายห้าหลี่จื้อหยวนเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยน ทว่าแฝงแววเว้าวอนลึกซึ้ง เขาก้าวขวางเบื้องหน้าในจังหวะที่อวี้หลันหมุนกายจะจากไป หยุดยั้งฝีเท้าเรียวอย่างไม่เปิดโอกาสให้นางหลบเลี่ยงสายตาคมกริบทอดมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างไม่อาจละไปได้ ความคาดหวัง ความลังเล และความเจ็บปวดสลักทับซ้อนในแววตาคู่นั้นราวกับเพียงคำตอบหนึ่งคำจากนาง จะสามารถปลดปล่อยหรือขังเขาไว้ตลอดกาลอวี้หลัน..หญิงสาวที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นคู่หมั้นในวัยเยาว์ของเขา หญิงสาวที่เขาเคยคิดว่าจะได้ครอบครองและปกป้องแต่ตอนนี้นางกลับไกลจากเขาออกไปทุกทีข่าวลือที่โด่งดังไปทั่วเมืองหลวงอยู่ในตอนนี้ ทำให้เขาไม่อาจทนนิ่งเฉย จนต้องมาปรากฏตัวที่นี่ ยิ่งเมื่อได้เห็น ปิ่นปักผม ที่ปรากฏอยู่บนมวยผมของนาง ดวงตาของเขายิ่งแข็งกร้าวปิ่นนั่นหลี่เหวินหลงผู้เป็นพี่ชายหวงแหนยิ่งกว่าสิ่งใด เป็นสิ่งที่ไม่ควรมอบให้ใครง่ายๆ นอกจากผู้ที่เขา "หมายปอง" อย่างแท้จริงหลี่จื้อหยวนกำมือแน่น ความรู้สึกในใจร้อนรนแทบระเบิดออกมา แต่กลับไม่เอ่ยอันใด นอกจากสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วเปิดกล่องเครื่องประดับในมือออก ยื่นไปตรงหน้าอีก
มาอีกแล้ว คนผู้นี้ว่างงานนักหรืออย่างไรอวี้จิ้งทอดถอนใจยาวตั้งแต่ยังไม่ทันได้จิบชาเช้า ใบหน้านิ่งขรึมเต็มไปด้วยริ้วรอยของความอดกลั้น และกลิ่นอายของความหงุดหงิดปนเวทนาในชะตากรรมของตนรุ่งเช้า ฟ้ายังไม่ทันสว่างดีนัก คนก็มาเยือนถึงหน้าจวนเสียแล้ว"หากไม่มีงานการทำ เหตุใดถึงไม่กลับแดนเหนือไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด"อวี้จิ้งได้เพียงบ่นอยู่ในใจ ฟันกรามกัดแน่นจนขมับเต้นตุบๆ ขณะลุกจากที่นั่ง เดินออกไปต้อนรับแขกผู้สูงศักดิ์ แขกที่เหมือนจะกลายเป็นสมาชิกประจำบ้านเข้าไปทุกทีองค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลง ยืนตระหง่านราวขุนเขาเช่นเคย ท่าทีสงบนิ่ง เยือกเย็นประหนึ่งนักปราชญ์ผู้สูงส่ง ทั้งที่ความจริงแล้วก็แค่คนไร้ยางอาย หน้าด้านหน้าทนผู้หนึ่ง ที่ทำเอาเจ้าบ้านอย่างเขาแทบกระอักเลือดตาย เมื่อวานกว่าจะต้อนคนส่งกลับได้ก็เล่นเอาเขาแทบจะหัวหลุดจากบ่าอยู่หลายครั้ง"องค์ชายใหญ่มาตั้งแต่เช้าเลยนะพ่ะย่ะค่ะ"อวี้จิ้งเอ่ย พลางฉีกยิ้มบางๆ ที่คล้ายรอยยิ้มของเสือเฒ่ากำลังข่มอารมณ์ แฝงไว้ด้วยคำว่า ‘เจ้าว่างนักหรือ’ ขณะทำความเคารพอีกฝ่ายอย่างมีมารยาท"ใต้เท้าอวี้ พบหน้าข้าแล้วยินดีถึงเพียงนี้เชียว"หลี่เหวินหลงยิ้มรับสีหน้าระร
เซิ่งซื่อใช่ว่าจะไม่รู้สึกถึงบรรยากาศอึดอัดกดดันที่แผ่คลุมอยู่ภายในห้อง หากแต่นางยังฝืนรักษารอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าเอาไว้ ไม่ว่าสายตาใครจะจับจ้องมายังนางอย่างไร นางก็ยังสงบนิ่งไม่แสดงพิรุธหลายวันมานี้ นางสัมผัสได้ถึงบรรยากาศภายในจวนที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน นางรับรู้ได้ว่าสามีเริ่มมีท่าทีที่ผิดแผกไป ไม่เหมือนเดิมอย่างที่เคย นับตั้งแต่เกิดเรื่องกับอวี้หลัน ทว่าเขากลับยังคงนิ่งเฉยไม่เอ่ยสิ่งใด นั่นยิ่งทำให้นางทั้งหวาดระแวงและไม่อาจวางใจได้ ความเงียบของเขากลับทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่งนางรู้ดีว่าคนอย่างอวี้จิ้งไม่ใช่ผู้ที่จะปล่อยผ่านเรื่องใดไปโดยไม่คิดสืบหาความจริง ไม่ใช่คนที่จะถูกหลอกล่อได้ง่ายนัก และยิ่งเงียบก็ยิ่งน่าหวาดกลัวแต่ถึงอย่างนั้น นางก็ยังพอจะเบาใจอยู่บ้าง อย่างน้อยที่สุดหลานชายของนางก็กลับมาอย่างปลอดภัย และที่สำคัญ เขาไม่ได้ทิ้งร่องรอยใดไว้ให้ถูกสาวมาถึงตัวทุกอย่างยังอยู่ในการควบคุม นางเพียงต้องระวังตัวให้มากพอ และฉลาดพอที่จะไม่ถามถึงรายละเอียดให้มากความ สิ่งที่ไม่รู้ ก็ไม่จำเป็นต้องรู้ สิ่งที่รู้ นางก็เลือกจะซ่อนไว้ลึกสุดใจ ไม่ให้แม้แต่น้ำเสียงหรือแววตาเผลอเผยพิรุธออ
หลังจากพิธีปักปิ่นอย่างเป็นทางการในช่วงเช้าผ่านพ้นไป ตกเย็นก็ควรจะเป็นเวลาของคนในครอบครัว แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่เป็นเช่นนั้นเสียแล้วอวี้จิ้งเพิ่งเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงคำกล่าวที่ว่าเชิญเทพมาง่าย แต่ส่งกลับไปแสนยาก ก็ในวันนี้เองรองเสนาบดีผู้มากบารมี ปลายสายตาเหลือบมองบุรุษหนุ่มผู้สูงศักดิ์ที่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะด้วยสีหน้าอึมครึม เขาไม่จำเป็นต้องเอ่ยคำใดออกมา เพราะแม้จะเงียบ แต่หนวดที่กระตุกอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า ดวงตาวาววับที่ราวกับจะพ่นลูกไฟออกมาได้ทุกเมื่อ ก็ฟ้องหมดทุกอย่างและถึงจะเป็นเช่นนั้นอีกฝ่ายกลับยังนั่งจิบชาอย่างสบายอารมณ์ หาได้รู้ถึงความผิดของตัวเอง ประหนึ่งว่าเขาคือเจ้าของเรือน มิหนำซ้ำยังทำตัวกลมกลืนอย่างยิ่งราวกับคนในครอบครัวไม่ขัดเขิน ไม่เกรงใจ ไม่ถ่อมตนกระทำตัวเหมือนเขยของบ้านข้าเข้าไปทุกทีหึ…กล้าดียังไงแน่นอนว่าอวี้จิ้งได้แต่คิดในใจเท่านั้น ไม่มีวันกล้าเอ่ยออกมาเพราะบุรุษตรงหน้านั้น หาใช่ใครอื่นไกล แต่คือ องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงการกระทำของอีกฝ่ายในวันนี้สร้างความขุ่นเคืองใจให้เขาอย่างยิ่ง แต่แม้จะรู้สึกไม่พอใจเพียงใด ทว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับหยางฮูหยินผู้เฒ่า ซึ
แสงอรุณอ่อนในฤดูใบไม้ผลิส่องพาดแนวหลังคาเรือน บรรยากาศทั่วทั้งจวนรองเสนาบดีเต็มไปด้วยความคึกคัก ภายในเรือนใหญ่ของตระกูลอวี้อบอวลด้วยกลิ่นหอมของไม้จันทน์บ่าวไพร่ในจวนสีหน้าสดชื่นแจ่มใส ขะมักเขม้นจัดเตรียมพิธีมงคล ข้าวของเครื่องใช้ล้วนถูกจัดเรียงตามตำราโบราณเรือนหลักของจวนอวี้ในวันนี้ถูกประดับประดาด้วยผ้าแพรไหมสีมงคล ลวดลายดอกเหมยปักดิ้นทองสะท้อนแสงแดดระยิบระยับ กลิ่นหอมของชาดอกไม้ที่ลอยอบอวลในอากาศ สร้างบรรยากาศละมุนละไมวันนี้คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของคุณหนูรองอวี้ในที่สุดวันปักปิ่นของอวี้หลันก็มาถึง พิธีในวันนี้ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติบุตรีขุนนางฝ่ายพิธีการ เรียกได้ว่าเป็นงานเลี้ยงที่หรูหราและงดงามที่สุดในรอบหลายปีของเมืองหลวง อวี้หลันในชุดผ้าไหมเนื้อละเอียดสีชมพูอมทองปักลวดลายดอกโบตั๋นอย่างประณีต เนื้อผ้าไหมพลิ้วไหวรับแสงแดดอ่อนยามเช้า ปลายแขนเสื้อขลิบดิ้นทอง ชุดตัวยาวรัดช่วงเอวด้วยสายผ้าแพรสีแดงสด ด้านข้างห้อยพู่หยกล้ำค่า เงาผ้าพลิ้วไหวราวกลีบดอกไม้ต้องลมตามจังหวะก้าวเดิน ทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังสตรีน้อยผู้เป็นบุตรีของรองเสนาบดีหญิงสาวย่างก้าวด้วยท่วงท่าที่เปี่ยมไ
เซิ่งซื่อนั่งนิ่งอยู่ในเรือนใหญ่ของตนเอง บรรยากาศภายในเรือนที่เคยสงบร่มรื่น บัดนี้กลับอึดอัดและหนักแน่นประหนึ่งมีเงาทึบปกคลุม มือที่ถือพัดเริ่มกำแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว แววตาเคร่งเครียดขณะฟังรายงานจากบ่าวคนสนิท เสียงนั้นเบาราวกระซิบ แต่ทุกคำกลับฟังชัดเจนยิ่งในหูของนาง"คุณหนูรองกลับมาถึงจวนเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ มิได้รับบาดเจ็บใดๆ ทั้งสิ้น"คำบอกเล่านั้น ดังก้องในใจจนมือที่กำพัดเริ่มสั่นอวี้หลันกลับมาแล้ว อีกทั้งยังไม่เป็นอะไรเลย"ข่าวว่า...องค์ชายใหญ่เป็นผู้ช่วยชีวิตคุณหนูรองเอาไว้ด้วยพระองค์เองเจ้าค่ะ"เสียงในห้องเงียบงันชั่วอึดใจ"องค์ชายใหญ่"เซิ่งซื่อทวนคำเบาๆ อย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง ความหวาดหวั่นคละคลุ้งในอกองค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลง คนผู้นี้อีกแล้วหรือพัดในมือของนางถูกบีบจนแทบจะแหลกคามือ แววตาที่เคยสั่นไหวเปลี่ยนเป็นขุ่นมัวในฉับพลัน ริมฝีปากที่เคลือบชาดเอาไว้บางๆ เม้มแน่นจนแทบเป็นเส้นตรงทั้งที่แผนการถูกวางไว้อย่างดี หลานชายที่เก่งกาจของนางไม่เคยที่จะทำงานผิดพลาด ทุกอย่างที่ควรจะจบลงอย่างเงียบงัน กลับพังครืนเพราะการปรากฏตัวของบุรุษเพียงผู้เดียวและยิ่งแย่กว่านั้น…ข่าวนี้กำลังจะถูก