หน้าหลัก / รักโบราณ / บุปผาสีชาด / ตอนที่8องค์ชายห้าหลี่จื้อหยวน

แชร์

ตอนที่8องค์ชายห้าหลี่จื้อหยวน

ผู้เขียน: ฉู่เฉียว
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-07-14 21:58:05

"ลูกถวายพระพรเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ"

เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นจากริมฝีปากสีระเรื่อได้รูปสวยขององค์ชายห้าหลี่จื้อหยวน ชายหนุ่มรูปงามราวกับเทพเซียนที่ยืนสงบนิ่งอยู่เบื้องหน้าฮองเฮาผู้เป็นพระมารดา ใบหน้าหล่อเหลาเคร่งขรึม แววตานิ่งสงบเช่นเคย จนยากจะคาดเดาความคิดภายในได้

เสิ่นฮองเฮาเพียงโบกพระหัตถ์เบาๆ 

"นั่งลงเถิด"

พระสุรเสียงราบเรียบแต่เปี่ยมด้วยความเมตตารักใคร่

เมื่อพระโอรสทรุดกายลงนั่ง พร้อมกับที่นางกำนัลรินน้ำชาจนเรียบร้อย นางก็ไม่อ้อมค้อม เอ่ยถามเข้าเรื่องทันที

"เรื่องการหมั้นหมายของเจ้า ตอนนี้เปลี่ยนแปลงเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่"

หลี่จื้อหยวนพยักหน้าช้าๆ แววตานิ่งเฉยคู่นั้น คล้ายจะหม่นแสงลงไปวูบหนึ่ง

"พ่ะย่ะค่ะ ลูกจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว"

ฮองเฮายกจอกชาขึ้นจิบเพียงเล็กน้อย ก่อนจะวางลงบนแท่นวางด้านข้าง เสียงกระทบกันเบาๆ ของเนื้อกระเบื้องดังแผ่วเบา แต่กลับฟังชัดในความเงียบ 

เสิ่นฮองเฮาไม่ได้เอ่ยสิ่งใดในทันที นางเพียงเหลือบสายพระเนตรมองพระโอรส แววตานั้นลึกซึ้ง เยือกเย็น และคมกริบ

ราวกับจะบอกว่า เรื่องนี้ นางไม่ต้องการความลังเล ไม่ต้องการให้เกิดความผิดพลาด และยิ่งไม่ต้องการให้พระโอรสของตนรู้สึก "ผิด"

"อวี้หลัน นางเคยเป็นตัวเลือกที่ดี"

พระสุรเสียงของฮองเฮานุ่มนวล แต่กลับแฝงด้วยความเย็นเยียบ ทำให้หัวใจผู้คนเย็นยะเยือกได้อย่างน่าประหลาด

"นางเกิดจากฮูหยินจากตระกูลไป๋ อำนาจของตระกูลนั้นมั่นคงในราชสำนัก เมื่อรวมกับตำแหน่งของอวี้จิ้งผู้เป็นบิดา ก็นับว่ามีน้ำหนักไม่น้อยเลย"

องค์ชายห้าไม่ได้ตอบอะไร เพียงนิ่งฟังอย่างเงียบงัน ราวกับทุกอย่างนั้น เขาให้ผู้เป็นมารดาตัดสินใจ

"น่าเสียดายที่ตระกูลไป๋ถูกกวาดล้าง สูญสิ้นอำนาจ แม้นางจะยังเป็นบุตรีสายตรงของสกุลอวี้ แต่ก็มิอาจเทียบเท่าเดิมได้อีก"

พระพักตร์งามยังคงสงบนิ่ง ในขณะที่เอ่ย

"ในทางกลับกัน คุณหนูใหญ่อวี้เหมย นับว่าเหมาะสมกว่า นางเป็นบุตรีของฮูหยินเอกคนปัจจุบัน และท่านตาของนาง เพิ่งได้รับแต่งตั้งเป็นแม่ทัพภาคแห่งแดนใต้ และในอนาคตข้างหน้าย่อมจะรุ่งโรจน์กว่านี้มาก"

สายพระเนตรของฮองเฮาเยือกเย็น ราวกับย้ำถ้อยคำก่อนหน้าให้แน่นลึกยิ่งกว่าเดิม

"หยวนเอ๋อร์เจ้าไม่อาจยึดติดกับความสัมพันธ์ในวัยเยาว์ สิ่งสำคัญคือข้างหลังของพวกนางต้องมีอำนาจที่แข็งแกร่ง"

พระนางหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยต่อเสียงเบาแต่ชัดเจน

"ชายาของเจ้าจะเป็นหญิงไร้อำนาจไม่ได้เด็ดขาด เพราะทุกอำนาจที่พวกนางมีล้วนสำคัญต่อเจ้า"

องค์ชายห้าหลี่จื้อหยวนคลี่ยิ้มจางๆ ในดวงตาไม่เผยความรู้สึก

"เสด็จแม่อย่าได้กังวล เรื่องนี้ลูกจะจัดการให้เรียบร้อยเองพ่ะย่ะค่ะ"

เสิ่นฮองเฮาพยักหน้าอย่างพึงพอใจ หลับพระเนตรลงอย่างผ่อนคลาย ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่แฝงไว้ด้วยความเด็ดขาด

"งานเลี้ยงของจวนอวี้ที่จะถึงนี้ เจ้าก็ไปทำความรู้จักกับคุณหนูใหญ่อวี้เสียหน่อยก็แล้วกัน"

หลี่จื้อหยวนเม้มริมฝีปาก สายตากดต่ำลงเล็กน้อย ก่อนจะขานรับเบาๆ

"พ่ะย่ะค่ะ เสด็จแม่"

รอยยิ้มน้อยๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าของเสิ่นฮองเฮา ใบหน้าที่แม้จะผ่านกาลเวลามาไม่น้อย แต่ยังคงงดงามสง่าไม่เสื่อมคลาย

รอยยิ้มนั้นอ่อนโยน เพราะทุกอย่างเป็นไปตามที่นางต้องการ ไม่มีอะไรหลุดจากแผนที่วางไว้เลยแม้แต่น้อย

ทว่าไม่มีใครรู้เลยว่า ‘ตัวหมาก’ ที่ถูกเปลี่ยนออกไปในกระดานนี้ วันหนึ่งพวกเขาอาจต้องนึกเสียดายอย่างถึงที่สุด

องค์ชายห้าเดินออกมาจากตำหนักของพระมารดา ทุกย่างก้าวล้วนมั่นคงหนักแน่น ทว่าหัวใจกลับล่องลอยไปไกลกว่าที่ใครจะมองเห็น

ในห้วงความคิดเงียบงันของเขา ภาพของเด็กหญิงตัวน้อยผู้หนึ่งก็ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน

อวี้หลัน

เด็กหญิงแก้มยุ้ย ผิวขาวเนียนราวหิมะ ปากแดงก่ำฉ่ำน้ำที่ช่างฉอเลาะช่างเจรจา

ในห้วงความทรงจำของหลี่จื้อหยวน เมื่อครั้งเขามีอายุเพียงสิบสองปี เป็นเพียงองค์ชายผู้อยู่ท่ามกลางความคาดหวังกับความเงียบงันและในวันนั้นเอง เขาก็ได้พบกับนางเป็นครั้งแรก

อวี้หลัน เด็กหญิงตัวน้อยอายุเพียงห้าขวบ นางเข้ามาเรียนในสำนักศึกษาหลวงร่วมกับเหล่าองค์ชายองค์หญิงและบุตรธิดาของเหล่าขุนนางตระกูลใหญ่เป็นวันแรก โดยสำนักศึกษาหลวงจะมีการแบ่งแยกชายหญิงเอาไว้อย่างชัดเจน

และเพราะความซุกซน เด็กหญิงตัวน้อย ดวงหน้ากระจ่าง แก้มกลมยุ้ย ดวงตาใสแจ๋ว นางดูราวตุ๊กตาตัวน้อยที่หลงเข้ามาในโลกของเด็กชาย เขาเห็นนางยืนกำชายเสื้อแน่น ดวงตากลมโตคลอไปด้วยน้ำตา ถูกรังแกโดยเด็กชายโตกว่าหลายคนที่หัวเราะและล้อเลียนรูปร่างกลมป้อมปุกปุยของนาง 

องค์ชายห้าในวัยสิบสอง ไม่ได้พูดอะไรยืดยาว เขาเพียงเดินเข้าไป ก้าวขวางไว้ด้วยร่างสูงโปร่งของตนเอง และใช้สายตาเย็นเฉียบ มองพวกเด็กชายเหล่านั้น เพียงแค่นั้น พวกเขาก็พากันถอยหนีอย่างหวาดหวั่น

หลี่จื้อหยวนหันกลับมามองนาง เด็กหญิงตัวน้อยยังคงยืนนิ่ง ดวงหน้าแดงก่ำ แต่เมื่อเขายื่นมือให้ นางกลับรีบคว้าไว้แน่นอย่างไม่ลังเล

จากวันนั้นเป็นต้นมา ทุกย่างก้าวที่เขาเดิน มักจะมีเงาร่างกลมป้อมวิ่งตามมาต้อยๆ ไม่ห่าง ราวกับหางน้อยๆ 

"พี่ชาย พี่ชาย ท่านรอหลันเอ๋อร์ก่อนสิเจ้าคะ"

เสียงใสเล็กๆ นั้นดังก้องในหู พร้อมกับภาพเจ้าตัวน้อยที่วิ่งกระดุ๊กกระดิ๊กตามหลัง มือหนึ่งกอดตุ๊กตาผ้าไว้แน่น อีกมือก็พยายามยืดแขนออกมาคว้าแขนเสื้อเขาไว้ให้ได้ เขาจำได้ว่า นางชอบเกาะชายเสื้อเขาแน่น ไม่ยอมให้ไปไหนไกล

ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ใด ไม่ว่ากำลังจะทำอะไร อวี้หลันก็มักจะโผล่หน้ามาอย่างเงียบๆ แล้วร้องเรียกเขาว่าพี่ชายด้วยน้ำเสียงสดใสราวเสียงระฆังแก้ว ตอนนั้นเขารำคาญอยู่บ้าง แต่พอหันไปมองแก้มยุ้ยๆ ดวงตาใสๆ ของนางแล้ว ก็ทำได้เพียงถอนใจแล้วปล่อยให้นางตามมาเงียบๆ

แต่เด็กคนนั้นกลับไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่นั้น บางครั้งนางก็ออดอ้อนขอขนม บางครั้งถึงกับยื่นตุ๊กตาผ้าตัวเล็กๆ มาให้เล่นด้วยกัน เขามักจะแกล้งทำหน้าขรึมไม่พอใจ แต่สุดท้ายก็ยอมให้นางลากไปเล่นอยู่ดี

วันเวลาเหล่านั้นมันช่างเรียบง่ายและอ่อนโยน นางคือความสดใสเล็กๆ ในวัยเยาว์ของเขา เป็นเหมือนสายลมอ่อนโยน ที่พัดผ่านความเงียบเหงาในใจอย่างแผ่วเบา

ในวันที่พระมารดาเอ่ยปากเรื่องการหมั้นหมาย และเอ่ยชื่อนางขึ้นมาว่าเป็นคู่หมายของเขา เขากลับไม่ได้รู้สึกขัดข้องหรืออึดอัดแม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้าม เขารู้สึกเต็มใจ และยินดีเป็นอย่างมาก

แต่ทุกอย่างกลับพังทลายลง

เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กับชีวิตของหลันเอ๋อร์น้อยของเขา โดยที่เขาไม่อาจที่จะช่วยอะไรนางได้เลย ซ้ำยังถูกพระมารดาสั่งห้ามไม่ให้สนิทสนมกับเด็กน้อยผู้นั้นอีก แม้เขาอยากจะพบเจอนางอีกสักครั้ง แต่นับตั้งแต่เกิดเรื่องนั้นขึ้น นางก็ไม่เคยปรากฏตัวที่สำนักศึกษาอีกเลย และไม่แม้แต่จะปรากฏตัวในเมืองหลวงเลยด้วยซ้ำ

มาบัดนี้ เด็กหญิงคนนั้นเติบโตขึ้นแล้ว เติบโตมาท่ามกลางความสูญเสีย การทรยศ และเปลวเพลิงแห่งอำนาจ

เขาไม่รู้ว่าสายลมนั้นจะยังอ่อนโยนเหมือนเดิมหรือไม่ หรืออาจจะกลายเป็นพายุที่พัดสวนทางกลับมา 

เขาไม่รู้ว่านางในตอนนี้เติบโตขึ้นเพียงใด ไม่รู้ว่านางยังจำพี่ชายผู้นี้ได้อยู่หรือไม่ หรือแค่เห็นหน้าก็ชิงชังจนอยากจะหันหลังหนี

หลี่จื้อหยวนหลุบตาลงเล็กน้อย หัวใจหนักอึ้งยิ่งกว่าที่คิดไว้

"เจ้าจะโกรธข้าหรือเปล่า หลันเอ๋อร์"

"เจ้าเกลียดข้าแล้วหรือไม่"

ไม่มีคำตอบใดตอบกลับมา มีเพียงแค่ความเงียบ และแสงอาทิตย์ที่เริ่มลับขอบฟ้าตรงหน้า

ชายหนุ่มหลับตาลงช้าๆ มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยเป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน

เสด็จแม่พูดถูก

เขาไม่ควรยึดติดกับเรื่องราวในอดีตอีกต่อไป สิ่งที่ผ่านไปแล้ว ก็ควรปล่อยให้ผ่านพ้นไป

เขาควรเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง

เพราะเส้นทางของเขากับนาง ไม่มีวันจะหวนกลับมาบรรจบกันได้อีกแล้ว

เมื่อเปลือกตาค่อยๆ เปิดขึ้นอีกครั้ง แววตาของหลี่จื้อหยวนก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง แววตาที่เคยสั่นไหว เหลือเพียงความเด็ดขาดแน่วแน่

สิ่งที่เขาต้องการคือ อำนาจ

หากเขาครอบครองอำนาจไว้ในมือ ต่อไปไม่ว่าเขาปรารถนาสิ่งใด มันก็จะบันดาลทุกสิ่งอย่างมาให้เขา ทุกอย่างที่เขาต้องการก็ย่อมได้มาโดยง่าย

แม้กระทั่ง... นาง

 

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • บุปผาสีชาด   ตอนพิเศษ

    เสียงกลองชัยดังก้องสะท้อนทั่วเมือง เมื่อขบวนทัพขององค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงก้าวเข้าสู่เมืองหลวง ธงสีชาดสะบัดพลิ้วเหนือกำแพงเมือง แสงอาทิตย์อาบเมืองหลวงเปล่งประกายดุจทองคำ ประชาชนต่างออกมายืนเรียงรายสองฝั่งถนนเพื่อรอต้อนรับ เสียงโห่ร้องด้วยความยินดีดังกึกก้อง ดอกไม้หลากสีถูกโปรยปรายทั่วทางเดินที่ทอดยาวสู่ประตูวังหลวง"ถวายพระพรองค์ชายใหญ่! ทรงพระเจริญ!"ผู้คนทั้งแผ่นดินเปล่งเสียงสรรเสริญชัยชนะธงสีชาดสะบัดพลิ้วกลางสายลม ขบวนทหารเคลื่อนเข้าสู่เมืองอย่างองอาจ แววตาส่องประกายด้วยความภาคภูมิองค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงทรงม้านำขบวน ท่วงท่าของพระองค์สง่างามดังวีรบุรุษ ดวงตาคมทอดมองไปยังประตูวังหลวงซึ่งเปิดต้อนรับ ข้างกายของพระองค์คือสตรีในชุดพิชัยศึกสีขาวเงินสะอาด นางมิได้แต่งกายงดงามหรูหราเช่นสตรีในเมืองหลวง แต่สง่างามในแบบนักรบผู้เคียงบ่าเคียงไหล่ดวงอาทิตย์ส่องกระทบเกราะโลหะของทั้งคู่จนวาววับราวกับเปลวเพลิง ทหารที่เดินตามหลังใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม ภาพนั้นกลายเป็นขบวนแห่งเกียรติภูมิของแผ่นดินหลังจากองค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงเดินทางกลับเมืองหลวงมิทันข้ามวัน ก็มีราชโองการปลดเสิ่นฮองเฮาออกจากตำแหน่งและ

  • บุปผาสีชาด   ตอนที่68จบบริบูรณ์

    บรรยากาศหลังศึกใหญ่ยังคงอบอวลไปด้วยกลิ่นควันไฟและกลิ่นคาวเลือดเสียงกลองศึกสุดท้ายหยุดลงพร้อมกับเปลวเพลิงแห่งสงครามที่ค่อยๆ มอดดับ เหลือเพียงเสียงลมหอบของม้าและเสียงโห่ร้องแห่งชัยชนะที่ดังขึ้นทั่วสนามรบแสงแรกแห่งอรุณฉาบลงบนผืนดินที่เพิ่งหลั่งเลือด เปล่งประกายเหนือซากศพและธงศัตรูที่ถูกเหยียบย่ำจนแหลกลาญ เหล่าทหารยกอาวุธขึ้นเหนือศีรษะ โบกสะบัดธงสีชาดแห่งแคว้นเป่ยอย่างภาคภูมิ ชายแดนใต้กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง กองทัพศัตรูถูกขับไล่ออกนอกเขตแดนอย่างสิ้นเชิงกลางลานศึกที่ยังมีกลิ่นคาวเลือด องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงยืนเด่นอยู่ท่ามกลางแสงรุ่งอรุณแรกหลังสงคราม ชุดเกราะของเขาเปรอะไปด้วยคราบฝุ่นและเลือด แต่ดวงตาคมยังคงเปล่งประกายเยือกเย็น เปี่ยมด้วยอำนาจและความสงบแห่งผู้ชนะเขาเงยหน้ามองขอบฟ้า สีทองของรุ่งอรุณสะท้อนในดวงตา แสงนั้นไม่เพียงล้างคราบควันไฟ หากยังปลุกความหวังของดินแดนกลับคืนมาอีกครั้งชายหนุ่มหันไปมองสตรีข้างกาย อวี้หลันในชุดเกราะสีเงินที่สะท้อนแสงทองระยับ แม้เปื้อนฝุ่นและเลือดเล็กน้อย แต่กลับงดงามดุจเทพธิดาผู้ลงมาจากสรวงสวรรค์ นางกำลังมองทิวเขาเบื้องหน้า ดวงตาของนางนิ่งสงบ หากลึกซึ

  • บุปผาสีชาด   ตอนที่67ทวงคืนแผ่นดิน ปกป้องดวงใจ

    แสงอรุณแรกของวันค่อยๆ สาดต้องปลายยอดเขา หมอกบางคลอเคลียยอดหญ้าเหนือทุ่งรบอันกว้างไกล เสียงแตรศึกดังสะท้อนก้องไปทั่วค่ายทัพ ปลุกเหล่าทหารให้ตื่นจากความเงียบงันเข้าสู่เช้าวันใหม่ ธงทัพสีชาดปลิวสะบัดกลางสายลมเช้า แผ่นผ้าขนาดมหึมามีอักษรคำว่า เป่ย ปักด้วยด้ายทองแวววาวราวเปลวเพลิงบนท้องฟ้าองค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงประทับหลังอาชาเบื้องหน้าแถวทหาร ใต้เกราะศึกสีดำสนิทที่สะท้อนแสงอาทิตย์แรก เขากวาดตามองเหล่าทหารกล้าผู้พร้อมพลีชีพเพื่อแผ่นดิน ก่อนจะควบอาชาสีดำสนิทขึ้นไปยังเนินสูง"เหล่าทหารแห่งแคว้นเป่ย!""เราทุกคนต่างมีเลือด มีชีวิต มีครอบครัวอยู่เบื้องหลัง!""พวกมันย่ำยีผืนดินของเรา ฆ่าผู้บริสุทธิ์ เหยียบเกียรติของแผ่นดินของเรา!"เสียงของเขาดังก้องราวสายฟ้าฟาดกลางเวหา"วันนี้! เราจะสู้...เพื่อทวงคืนทุกสิ่งกลับคืนมา!""บดขยี้ทัพศัตรูให้สิ้น! ถึงเวลาให้มันรู้ว่าผู้ใดคือเจ้าของแผ่นดินนี้!""ถวายชีวิตเพื่อแผ่นดิน! ถวายชีวิตเพื่อองค์ชายใหญ่!"เสียงกู่ร้องคำรามตอบกลับดังก้องภูผา"เพื่อแผ่นดิน! เพื่อแผ่นดิน!"เสียงทหารนับหมื่นตะโกนพร้อมกัน โห่ร้องก้องสะเทือนฟ้าดินองค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงยกดาบคู่กายขึ

  • บุปผาสีชาด   ตอนที่66คิดถึงคะนึงหา

    ชายแดนใต้ยามนี้ไฟสงครามยังคงปะทุไม่สิ้นสุด ท้องฟ้าเหนือเขตแดนยังคงถูกปกคลุมด้วยเมฆครึ้มหนาทึบ กลิ่นดินชื้นผสมกลิ่นคาวเลือดและควันไฟลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ เหล่าทหารในชุดเกราะสีนิลเดินลาดตระเวนอย่างขยันขันแข็งไม่มีผู้ใดกล้าหย่อนยานในหน้าที่แม้แต่น้อยสามเดือนแล้วที่กองทัพขององค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงเดินทางมาถึงชายแดนใต้ ดินแดนที่ครั้งหนึ่งเคยอุดมสมบูรณ์ บัดนี้กลับกลายเป็นทะเลเพลิงที่ย้อมไปด้วยเลือดหลี่เหวินหลงมองไปยังเส้นขอบฟ้าที่พร่ามัวด้วยหมอกควัน แม้สายลมอุ่นจะพัดแรงจนเส้นผมปลิว แต่เขากลับยังคงยืนนิ่ง นึกย้อนไปถึงเมื่อครั้งที่เหยียบเท้าเข้าสู่ชายแดนใต้วันแรกทันทีที่กองทัพของเขาก้าวเข้าสู่เขตชายแดนใต้ สิ่งที่รอต้อนรับเขาคือลูกธนูของมือสังหารที่พุ่งทะลวงหมายปลิดชีพ นับแต่นั้น การเดินทางล้วนเต็มไปด้วยเงามืดของมือสังหารคอยซุ่มโจมตีตลอดทางและผู้อยู่เบื้องหลังก็หาใช่ใครอื่น เซิ่งเจี้ยน แม่ทัพผู้ซึ่งเคยเป็นกำลังสำคัญของแผ่นดิน แต่กลับขายเกียรติของตนเข้าร่วมกับศัตรูเพื่อผลประโยชน์ในจวนของแม่ทัพเซิ่ง ค้นพบเอกสารลับหลายฉบับ เอกสารเหล่านั้นคือหลักฐานของการทรยศที่อีกฝ่ายสมคบคิดกับศัตรู รวมทั้

  • บุปผาสีชาด   ตอนที่65ไม่อาจรอได้

    หลังบ้านเมืองกลับสู่ความสงบ จวนอัครเสนาบดีก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เสียงหัวเราะของเหล่าคนสนิทของคุณหนูรองของจวนและผู้มาเยือนดังแว่วอยู่ในลานฝึกด้านหลังในลานฝึก สตรีผู้หนึ่งในชุดสีเข้มทะมัดทะแมงกำลังเหวี่ยงกระบี่ด้วยท่วงท่าลื่นไหล งดงามจนคนมองแทบลืมหายใจ"พี่สะใภ้"เสียงทุ้มขององค์ชายสามหลี่เหวินหวายดังขึ้น ตอนนี้เขากลายเป็นแขกประจำของจวนนี้ไปเสียแล้ว"ฝีมือการต่อสู้ของท่านสุดยอดถึงเพียงนี้... ท่านยังจะอยากฝึกกำลังภายในอีกหรือ"เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงทั้งชื่นชมทั้งเหลือเชื่อ เมื่อนางแสดงเจตนารมณ์ว่าอยากฝึกเดินลมปราณและกำลังภายในในการต่อสู้สตรีที่ถูกเรียกว่าพี่สะใภ้เพียงชำเลืองตามอง ดวงตาเป็นประกาย"ข้าก็อยากเหาะเหินเดินอากาศ สะกิดเบาๆ ก็ทำให้คู่ต่อสู้ตัวปลิวกระเด็นไปได้ดูบ้าง"การต่อสู้ทุกอย่างนางเคยฝึกมาหมดแล้ว การใช้กำลังภายในเหมือนในหนังนางก็อยากจะลองดูสักครั้งคำตอบนั้นทำให้องค์ชายหนุ่มถึงกับหัวเราะพรืด "พี่สะใภ้ เรื่องเช่นนั้นมันจะไปมีได้อย่างไร หากท่านทำได้จริง พวกข้าทุกคนคงต้องหลีกทางให้ท่านเป็นจอมยุทธ์อันดับหนึ่งแห่งยุทธภพเสียแล้ว"อวี้หลันเก็บกระบี่เข้าฝักอย่างสง่างาม มุม

  • บุปผาสีชาด   ตอนที่64คืนสนอง

    บรรยากาศในเมืองหลวงหลังศึกกบฏสิ้นสุดลงกลับเข้าสู่ความสงบอีกครั้ง แต่ความสงบนั้นถูกปกคลุมอยู่เหนือซากความสูญเสียและกลิ่นคาวเลือดที่ยังไม่ทันจางไปจากผืนแผ่นดินธงหลวงโบกสะบัดเหนือกำแพงเมือง ด้านนอกมีเสียงทหารเคลื่อนย้ายศพและผู้บาดเจ็บ ส่วนด้านในวังหลวง ทุกตำหนักกลับเงียบงันราวกับวิญญาณทั้งวังได้หลบซ่อนตัวภายในตำหนักจิ้งเหออันโอ่อ่าซึ่งเป็นที่ประทับของฮองเฮา บัดนี้ถูกใช้เป็นที่กักบริเวณ เสียงลมพัดผ่านม่านแพรเบาๆ กลืนเสียงสนทนาและเสียงฝีเท้าที่ค่อยๆ ดังใกล้เข้ามาอวี้หลันในชุดผ้าคลุมสีอ่อนก้าวเข้ามาช้าๆ เสียงฝีเท้าแผ่วเบาแต่มั่นคงสะท้อนก้องอยู่ในห้องที่เงียบงัน กลิ่นยาจางๆ ลอยอบอวลในอากาศ เสียงลมหายใจแผ่วของสตรีบนตั่งไม้แกะสลักเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ขยับไหวในความเงียบ ด้านข้างมีนางกำนัลเพียงไม่กี่คนเฝ้าดูแลอยู่ นางหยุดยืนอยู่หน้าตั่ง ดวงตาคมกริบมองสตรีสูงศักดิ์ผู้เคยน่าเกรงขามในอดีต บัดนี้เหลือเพียงเงาของคนที่เคยอยู่เหนือสตรีทั้งแผ่นดิน เสิ่นฮองเฮายังคงงามสง่าดังเช่นเคย แม้สีหน้าจะซีดเผือดราวกระดาษ"ทรงพระสำราญดีหรือไม่เพคะ...หม่อมฉันมาเยี่ยม"เสียงของอวี้หลันนุ่มนวล ทว่าแต่ละคำชัดเจนและ

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status