หน้าหลัก / รักโบราณ / บุปผาสีชาด / ตอนที่8องค์ชายห้าหลี่จื้อหยวน

แชร์

ตอนที่8องค์ชายห้าหลี่จื้อหยวน

ผู้เขียน: ฉู่เฉียว
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-07-14 21:58:05

"ลูกถวายพระพรเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ"

เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นจากริมฝีปากสีระเรื่อได้รูปสวยขององค์ชายห้าหลี่จื้อหยวน ชายหนุ่มรูปงามราวกับเทพเซียนที่ยืนสงบนิ่งอยู่เบื้องหน้าฮองเฮาผู้เป็นพระมารดา ใบหน้าหล่อเหลาเคร่งขรึม แววตานิ่งสงบเช่นเคย จนยากจะคาดเดาความคิดภายในได้

เสิ่นฮองเฮาเพียงโบกพระหัตถ์เบาๆ 

"นั่งลงเถิด"

พระสุรเสียงราบเรียบแต่เปี่ยมด้วยความเมตตารักใคร่

เมื่อพระโอรสทรุดกายลงนั่ง พร้อมกับที่นางกำนัลรินน้ำชาจนเรียบร้อย นางก็ไม่อ้อมค้อม เอ่ยถามเข้าเรื่องทันที

"เรื่องการหมั้นหมายของเจ้า ตอนนี้เปลี่ยนแปลงเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่"

หลี่จื้อหยวนพยักหน้าช้าๆ แววตานิ่งเฉยคู่นั้น คล้ายจะหม่นแสงลงไปวูบหนึ่ง

"พ่ะย่ะค่ะ ลูกจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว"

ฮองเฮายกจอกชาขึ้นจิบเพียงเล็กน้อย ก่อนจะวางลงบนแท่นวางด้านข้าง เสียงกระทบกันเบาๆ ของเนื้อกระเบื้องดังแผ่วเบา แต่กลับฟังชัดในความเงียบ 

เสิ่นฮองเฮาไม่ได้เอ่ยสิ่งใดในทันที นางเพียงเหลือบสายพระเนตรมองพระโอรส แววตานั้นลึกซึ้ง เยือกเย็น และคมกริบ

ราวกับจะบอกว่า เรื่องนี้ นางไม่ต้องการความลังเล ไม่ต้องการให้เกิดความผิดพลาด และยิ่งไม่ต้องการให้พระโอรสของตนรู้สึก "ผิด"

"อวี้หลัน นางเคยเป็นตัวเลือกที่ดี"

พระสุรเสียงของฮองเฮานุ่มนวล แต่กลับแฝงด้วยความเย็นเยียบ ทำให้หัวใจผู้คนเย็นยะเยือกได้อย่างน่าประหลาด

"นางเกิดจากฮูหยินจากตระกูลไป๋ อำนาจของตระกูลนั้นมั่นคงในราชสำนัก เมื่อรวมกับตำแหน่งของอวี้จิ้งผู้เป็นบิดา ก็นับว่ามีน้ำหนักไม่น้อยเลย"

องค์ชายห้าไม่ได้ตอบอะไร เพียงนิ่งฟังอย่างเงียบงัน ราวกับทุกอย่างนั้น เขาให้ผู้เป็นมารดาตัดสินใจ

"น่าเสียดายที่ตระกูลไป๋ถูกกวาดล้าง สูญสิ้นอำนาจ แม้นางจะยังเป็นบุตรีสายตรงของสกุลอวี้ แต่ก็มิอาจเทียบเท่าเดิมได้อีก"

พระพักตร์งามยังคงสงบนิ่ง ในขณะที่เอ่ย

"ในทางกลับกัน คุณหนูใหญ่อวี้เหมย นับว่าเหมาะสมกว่า นางเป็นบุตรีของฮูหยินเอกคนปัจจุบัน และท่านตาของนาง เพิ่งได้รับแต่งตั้งเป็นแม่ทัพภาคแห่งแดนใต้ และในอนาคตข้างหน้าย่อมจะรุ่งโรจน์กว่านี้มาก"

สายพระเนตรของฮองเฮาเยือกเย็น ราวกับย้ำถ้อยคำก่อนหน้าให้แน่นลึกยิ่งกว่าเดิม

"หยวนเอ๋อร์เจ้าไม่อาจยึดติดกับความสัมพันธ์ในวัยเยาว์ สิ่งสำคัญคือข้างหลังของพวกนางต้องมีอำนาจที่แข็งแกร่ง"

พระนางหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยต่อเสียงเบาแต่ชัดเจน

"ชายาของเจ้าจะเป็นหญิงไร้อำนาจไม่ได้เด็ดขาด เพราะทุกอำนาจที่พวกนางมีล้วนสำคัญต่อเจ้า"

องค์ชายห้าหลี่จื้อหยวนคลี่ยิ้มจางๆ ในดวงตาไม่เผยความรู้สึก

"เสด็จแม่อย่าได้กังวล เรื่องนี้ลูกจะจัดการให้เรียบร้อยเองพ่ะย่ะค่ะ"

เสิ่นฮองเฮาพยักหน้าอย่างพึงพอใจ หลับพระเนตรลงอย่างผ่อนคลาย ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่แฝงไว้ด้วยความเด็ดขาด

"งานเลี้ยงของจวนอวี้ที่จะถึงนี้ เจ้าก็ไปทำความรู้จักกับคุณหนูใหญ่อวี้เสียหน่อยก็แล้วกัน"

หลี่จื้อหยวนเม้มริมฝีปาก สายตากดต่ำลงเล็กน้อย ก่อนจะขานรับเบาๆ

"พ่ะย่ะค่ะ เสด็จแม่"

รอยยิ้มน้อยๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าของเสิ่นฮองเฮา ใบหน้าที่แม้จะผ่านกาลเวลามาไม่น้อย แต่ยังคงงดงามสง่าไม่เสื่อมคลาย

รอยยิ้มนั้นอ่อนโยน เพราะทุกอย่างเป็นไปตามที่นางต้องการ ไม่มีอะไรหลุดจากแผนที่วางไว้เลยแม้แต่น้อย

ทว่าไม่มีใครรู้เลยว่า ‘ตัวหมาก’ ที่ถูกเปลี่ยนออกไปในกระดานนี้ วันหนึ่งพวกเขาอาจต้องนึกเสียดายอย่างถึงที่สุด

องค์ชายห้าเดินออกมาจากตำหนักของพระมารดา ทุกย่างก้าวล้วนมั่นคงหนักแน่น ทว่าหัวใจกลับล่องลอยไปไกลกว่าที่ใครจะมองเห็น

ในห้วงความคิดเงียบงันของเขา ภาพของเด็กหญิงตัวน้อยผู้หนึ่งก็ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน

อวี้หลัน

เด็กหญิงแก้มยุ้ย ผิวขาวเนียนราวหิมะ ปากแดงก่ำฉ่ำน้ำที่ช่างฉอเลาะช่างเจรจา

ในห้วงความทรงจำของหลี่จื้อหยวน เมื่อครั้งเขามีอายุเพียงสิบสองปี เป็นเพียงองค์ชายผู้อยู่ท่ามกลางความคาดหวังกับความเงียบงันและในวันนั้นเอง เขาก็ได้พบกับนางเป็นครั้งแรก

อวี้หลัน เด็กหญิงตัวน้อยอายุเพียงห้าขวบ นางเข้ามาเรียนในสำนักศึกษาหลวงร่วมกับเหล่าองค์ชายองค์หญิงและบุตรธิดาของเหล่าขุนนางตระกูลใหญ่เป็นวันแรก โดยสำนักศึกษาหลวงจะมีการแบ่งแยกชายหญิงเอาไว้อย่างชัดเจน

และเพราะความซุกซน เด็กหญิงตัวน้อย ดวงหน้ากระจ่าง แก้มกลมยุ้ย ดวงตาใสแจ๋ว นางดูราวตุ๊กตาตัวน้อยที่หลงเข้ามาในโลกของเด็กชาย เขาเห็นนางยืนกำชายเสื้อแน่น ดวงตากลมโตคลอไปด้วยน้ำตา ถูกรังแกโดยเด็กชายโตกว่าหลายคนที่หัวเราะและล้อเลียนรูปร่างกลมป้อมปุกปุยของนาง 

องค์ชายห้าในวัยสิบสอง ไม่ได้พูดอะไรยืดยาว เขาเพียงเดินเข้าไป ก้าวขวางไว้ด้วยร่างสูงโปร่งของตนเอง และใช้สายตาเย็นเฉียบ มองพวกเด็กชายเหล่านั้น เพียงแค่นั้น พวกเขาก็พากันถอยหนีอย่างหวาดหวั่น

หลี่จื้อหยวนหันกลับมามองนาง เด็กหญิงตัวน้อยยังคงยืนนิ่ง ดวงหน้าแดงก่ำ แต่เมื่อเขายื่นมือให้ นางกลับรีบคว้าไว้แน่นอย่างไม่ลังเล

จากวันนั้นเป็นต้นมา ทุกย่างก้าวที่เขาเดิน มักจะมีเงาร่างกลมป้อมวิ่งตามมาต้อยๆ ไม่ห่าง ราวกับหางน้อยๆ 

"พี่ชาย พี่ชาย ท่านรอหลันเอ๋อร์ก่อนสิเจ้าคะ"

เสียงใสเล็กๆ นั้นดังก้องในหู พร้อมกับภาพเจ้าตัวน้อยที่วิ่งกระดุ๊กกระดิ๊กตามหลัง มือหนึ่งกอดตุ๊กตาผ้าไว้แน่น อีกมือก็พยายามยืดแขนออกมาคว้าแขนเสื้อเขาไว้ให้ได้ เขาจำได้ว่า นางชอบเกาะชายเสื้อเขาแน่น ไม่ยอมให้ไปไหนไกล

ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ใด ไม่ว่ากำลังจะทำอะไร อวี้หลันก็มักจะโผล่หน้ามาอย่างเงียบๆ แล้วร้องเรียกเขาว่าพี่ชายด้วยน้ำเสียงสดใสราวเสียงระฆังแก้ว ตอนนั้นเขารำคาญอยู่บ้าง แต่พอหันไปมองแก้มยุ้ยๆ ดวงตาใสๆ ของนางแล้ว ก็ทำได้เพียงถอนใจแล้วปล่อยให้นางตามมาเงียบๆ

แต่เด็กคนนั้นกลับไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่นั้น บางครั้งนางก็ออดอ้อนขอขนม บางครั้งถึงกับยื่นตุ๊กตาผ้าตัวเล็กๆ มาให้เล่นด้วยกัน เขามักจะแกล้งทำหน้าขรึมไม่พอใจ แต่สุดท้ายก็ยอมให้นางลากไปเล่นอยู่ดี

วันเวลาเหล่านั้นมันช่างเรียบง่ายและอ่อนโยน นางคือความสดใสเล็กๆ ในวัยเยาว์ของเขา เป็นเหมือนสายลมอ่อนโยน ที่พัดผ่านความเงียบเหงาในใจอย่างแผ่วเบา

ในวันที่พระมารดาเอ่ยปากเรื่องการหมั้นหมาย และเอ่ยชื่อนางขึ้นมาว่าเป็นคู่หมายของเขา เขากลับไม่ได้รู้สึกขัดข้องหรืออึดอัดแม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้าม เขารู้สึกเต็มใจ และยินดีเป็นอย่างมาก

แต่ทุกอย่างกลับพังทลายลง

เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กับชีวิตของหลันเอ๋อร์น้อยของเขา โดยที่เขาไม่อาจที่จะช่วยอะไรนางได้เลย ซ้ำยังถูกพระมารดาสั่งห้ามไม่ให้สนิทสนมกับเด็กน้อยผู้นั้นอีก แม้เขาอยากจะพบเจอนางอีกสักครั้ง แต่นับตั้งแต่เกิดเรื่องนั้นขึ้น นางก็ไม่เคยปรากฏตัวที่สำนักศึกษาอีกเลย และไม่แม้แต่จะปรากฏตัวในเมืองหลวงเลยด้วยซ้ำ

มาบัดนี้ เด็กหญิงคนนั้นเติบโตขึ้นแล้ว เติบโตมาท่ามกลางความสูญเสีย การทรยศ และเปลวเพลิงแห่งอำนาจ

เขาไม่รู้ว่าสายลมนั้นจะยังอ่อนโยนเหมือนเดิมหรือไม่ หรืออาจจะกลายเป็นพายุที่พัดสวนทางกลับมา 

เขาไม่รู้ว่านางในตอนนี้เติบโตขึ้นเพียงใด ไม่รู้ว่านางยังจำพี่ชายผู้นี้ได้อยู่หรือไม่ หรือแค่เห็นหน้าก็ชิงชังจนอยากจะหันหลังหนี

หลี่จื้อหยวนหลุบตาลงเล็กน้อย หัวใจหนักอึ้งยิ่งกว่าที่คิดไว้

"เจ้าจะโกรธข้าหรือเปล่า หลันเอ๋อร์"

"เจ้าเกลียดข้าแล้วหรือไม่"

ไม่มีคำตอบใดตอบกลับมา มีเพียงแค่ความเงียบ และแสงอาทิตย์ที่เริ่มลับขอบฟ้าตรงหน้า

ชายหนุ่มหลับตาลงช้าๆ มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยเป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน

เสด็จแม่พูดถูก

เขาไม่ควรยึดติดกับเรื่องราวในอดีตอีกต่อไป สิ่งที่ผ่านไปแล้ว ก็ควรปล่อยให้ผ่านพ้นไป

เขาควรเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง

เพราะเส้นทางของเขากับนาง ไม่มีวันจะหวนกลับมาบรรจบกันได้อีกแล้ว

เมื่อเปลือกตาค่อยๆ เปิดขึ้นอีกครั้ง แววตาของหลี่จื้อหยวนก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง แววตาที่เคยสั่นไหว เหลือเพียงความเด็ดขาดแน่วแน่

สิ่งที่เขาต้องการคือ อำนาจ

หากเขาครอบครองอำนาจไว้ในมือ ต่อไปไม่ว่าเขาปรารถนาสิ่งใด มันก็จะบันดาลทุกสิ่งอย่างมาให้เขา ทุกอย่างที่เขาต้องการก็ย่อมได้มาโดยง่าย

แม้กระทั่ง... นาง

 

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • บุปผาสีชาด   ตอนที่11กำจัดหนูสกปรก

    หลังจากทุกคนนั่งประจำที่เรียบร้อยแล้ว บรรยากาศบนโต๊ะอาหารดูเหมือนจะสงบลงชั่วครู่ แต่ความสงบนั้นกลับอยู่ได้ไม่นานอวี้เหมยที่ถูกบังคับให้กลืนเลือดไหนเลยจะอดใจไม่ให้เอ่ยสิ่งใดออกมาได้ สายตาของนางเหลือบมองการแต่งกายอันแสนเรียบง่ายของน้องสาวต่างมารดา สายตากวาดมองตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยแววตาไม่ปิดบังความดูแคลน ก่อนจะยกยิ้มบาง เอ่ยถ้อยคำเชือดเฉือนออกมาทันที"น้องรองช่างสมถะเสียเหลือเกิน วันงานเลี้ยงของท่านแม่ทั้งที กลับแต่งกายเรียบง่ายเสียจนนึกว่าเป็นสาวใช้จากเรือนใดหลงเข้ามา"คำพูดนั้นทำเอาทุกคนบนโต๊ะถึงกับชะงัก แม้รอยยิ้มของอวี้เหมยจะดูละมุน แต่แววตากลับฉายชัดว่าไม่คิดจะไว้ไมตรีอวี้หลันเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตาหวานลึกล้ำดั่งสายน้ำ มองสบอีกฝ่ายอย่างสงบ ไม่มีความหวั่นไหวแม้แต่น้อย ก่อนจะคลี่ยิ้มอ่อนโยนประหนึ่งไม่ได้ถือสาหาความในขณะที่อวี้จิ้งนั่งเงียบ สีหน้าของเขาเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมทันทีที่ได้ยินคำพูดของบุตรสาวคนโต สายตาเหลือบมองอวี้หลัน ก่อนจะกวาดตามองการแต่งกายของนางอย่างพิจารณาหัวคิ้วของรองเสนาบดีขมวดแน่นอย่างไม่อาจปกปิดในทุกปี ทุกๆ เทศกาล เสื้อผ้าและเครื่องประดับล้วนถูกส่งไปย

  • บุปผาสีชาด   ตอนที่10พบปะคนในครอบครัวครั้งแรก

    ลานหน้าเรือนหลักของจวนรองเสนาบดีตอนนี้ถูกตกแต่งอย่างวิจิตรงดงาม พรมแดงทอดยาวจากหน้าประตูเรือนใหญ่ไปจนถึงศาลากลางสวน ทั้งสองฝั่งทางเดินประดับด้วยโคมแดงที่แกว่งไกวตามลม กลิ่นหอมหวานของดอกหอมหมื่นลี้จากสวนโดยรอบลอยปะปนมากับสายลม ให้ความรู้สึกสงบละมุนในยามเช้าตลอดสองข้างทาง บ่าวไพร่กำลังวุ่นวายอยู่กับการจัดเตรียมงานเลี้ยง เมื่อเห็นคุณหนูรองของจวนเดินมา ต่างก็หยุดมือลงพร้อมก้มหัวทำความเคารพคุณหนูรอง หญิงสาวที่คนในจวนแทบจะลืมเลือนไปแล้วคุณหนูที่มีร่างกายอ่อนแอ เจ็บป่วยออดแอดแทบทั้งปี ใช้ชีวิตเงียบงันอยู่แต่ภายในเรือนฮวาหง ไม่เคยออกมาสุงสิงกับผู้ใด ไม่ปรากฏตัวแม้ยามมีงานสำคัญของตระกูล จนหลายคนเผลอหลงลืมไปแล้วว่า ในจวนหลังนี้ยังมีคุณหนูรองอยู่อีกคนหนึ่งแต่ตอนนี้อีกฝ่ายกลับปรากฏตัวขึ้น หลังจากเกือบก้าวข้ามประตูผี ก้าวเท้าออกจากเรือนฮวาหงมาเยือนเรือนใหญ่ในรอบหลายปีอวี้หลันเดินทอดน่องออกมาจากเรือนฮวาหงด้วยกิริยาสงบ โดยมีฉิงหว่านคอยประคองอยู่ข้างกาย เดินไปตามทางเดินที่ทอดยาวไปยังเรือนใหญ่ เสียงฝีเท้าของนางเบาแทบไร้เสียง แต่กลับเรียกความสนใจของบ่าวไพร่รอบข้างได้เป็นอย่างดี คุณหนูรองผู้นี้ แม

  • บุปผาสีชาด   ตอนที่9เริ่มเดินหมาก

    แสงแดดอ่อนยามเช้าสาดลอดเข้ามาทางหน้าต่างห้องนอนใหญ่ในเรือนฮวาหงอันเงียบสงบ ปรากฏเงาร่างเพรียวระหงของหญิงสาวผู้หนึ่งยืนตั้งมั่นอยู่กลางห้อง ฝ่าเท้าแนบแน่นกับพื้น หายใจเข้าออกอย่างเป็นจังหวะไม้พลองในมือของนางตวัดวูบไปในอากาศ เสียงลมเสียดอื้ออึงตามแรงเหวี่ยง ทุกท่วงท่าคมกริบราวกับกำลังฟันดาบ ไม่ใช่เพียงแค่การออกกำลัง หากแต่เป็นการฝึกฝน ในชีวิตก่อนนางฝึกฝนการต่อสู้ทุกอย่าง แต่สิ่งที่ได้ใช้มากที่สุดคือการใช้ปืน ตอนนี้จึงต้องเคาะสนิมกันเสียหน่อยอวี้หลันเคลื่อนไหวอย่างมั่นคง แขนขาแข็งแรงและว่องไว ราวกับร่างกายนี้ไม่เคยอ่อนแอเลยแม้แต่น้อย ดวงตาของนางแน่วแน่ เยือกเย็น และเต็มไปด้วยสมาธิ ทุกจังหวะที่ก้าว ทุกท่าที่ฟาดฟัน ล้วนแฝงด้วยสัญชาตญาณของคนที่เคยอยู่กับความเป็นความตายมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนไม้พลองฟาดลงกลางอากาศอย่างแรง ส่งเสียง "ฟึ่บ" ราวกับมันคือคมดาบที่กำลังฆ่าฟันศัตรูจริงๆหยาดเหงื่อไหลซึมจากไรผมลงมาตามข้างแก้ม อวี้หลันหยุดการเคลื่อนไหว ลมหายใจยังคงสม่ำเสมอและไม่หอบเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย นางวางไม้พลองในมือลง พลางหยิบผ้าขึ้นมาซับเหงื่อ ตอนนี้ร่างกายของนางนับว่าหายดีแล้ว นางใช้เวลาพักผ่อนร

  • บุปผาสีชาด   ตอนที่8องค์ชายห้าหลี่จื้อหยวน

    "ลูกถวายพระพรเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ"เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นจากริมฝีปากสีระเรื่อได้รูปสวยขององค์ชายห้าหลี่จื้อหยวน ชายหนุ่มรูปงามราวกับเทพเซียนที่ยืนสงบนิ่งอยู่เบื้องหน้าฮองเฮาผู้เป็นพระมารดา ใบหน้าหล่อเหลาเคร่งขรึม แววตานิ่งสงบเช่นเคย จนยากจะคาดเดาความคิดภายในได้เสิ่นฮองเฮาเพียงโบกพระหัตถ์เบาๆ "นั่งลงเถิด"พระสุรเสียงราบเรียบแต่เปี่ยมด้วยความเมตตารักใคร่เมื่อพระโอรสทรุดกายลงนั่ง พร้อมกับที่นางกำนัลรินน้ำชาจนเรียบร้อย นางก็ไม่อ้อมค้อม เอ่ยถามเข้าเรื่องทันที"เรื่องการหมั้นหมายของเจ้า ตอนนี้เปลี่ยนแปลงเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่"หลี่จื้อหยวนพยักหน้าช้าๆ แววตานิ่งเฉยคู่นั้น คล้ายจะหม่นแสงลงไปวูบหนึ่ง"พ่ะย่ะค่ะ ลูกจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว"ฮองเฮายกจอกชาขึ้นจิบเพียงเล็กน้อย ก่อนจะวางลงบนแท่นวางด้านข้าง เสียงกระทบกันเบาๆ ของเนื้อกระเบื้องดังแผ่วเบา แต่กลับฟังชัดในความเงียบ เสิ่นฮองเฮาไม่ได้เอ่ยสิ่งใดในทันที นางเพียงเหลือบสายพระเนตรมองพระโอรส แววตานั้นลึกซึ้ง เยือกเย็น และคมกริบราวกับจะบอกว่า เรื่องนี้ นางไม่ต้องการความลังเล ไม่ต้องการให้เกิดความผิดพลาด และยิ่งไม่ต้องการให้พระโอรสของตนรู้สึก

  • บุปผาสีชาด   ตอนที่7เสิ่นฮองเฮา

    ภายในตำหนักใหญ่ ตำหนักจิ้งเหอ ของฮองเฮาแซ่เสิ่น บรรยากาศเย็นสงบ ทว่าสายลมที่พัดผ่านม่านโปร่งเบานั้น กลับไม่อาจคลายความตึงเครียดในใจผู้ที่อยู่ภายใน ข่าวการฟื้นคืนสติของคุณหนูรองอวี้หลันมาถึงตำหนักจิ้งเหอแห่งนี้แล้วเช่นกันเสิ่นฮองเฮา ประทับนิ่งอยู่บนตั่งหยก ดวงพักตร์งดงามทรงอำนาจ สายพระเนตรทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง ราวกับกำลังครุ่นคิดบางสิ่ง พระหัตถ์เรียวขาวยกจอกชาขึ้นจิบอย่างสงบ ท่าทางอ่อนโยนเยือกเย็น หากแต่ในแววตากลับแฝงไว้ด้วยความคมดุจคมมีด ไม่มีสิ่งใดรอดพ้นสายพระเนตรนี้ได้ง่ายๆเสิ่นฮองเฮา มิใช่ผู้ครองตำแหน่งมารดาของแผ่นดินตั้งแต่ต้น พระนางขึ้นเป็นฮองเฮาภายหลังจากการสิ้นพระชนม์ของฮองเฮาพระองค์ก่อน ซึ่งอีกฝ่ายเป็นสตรีสูงศักดิ์จากตระกูลเก่าแก่ที่หยั่งรากลึกในราชสำนัก เป็นมารดาผู้ให้กำเนิด องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลง โอรสองค์โตของฮ่องเต้ และเป็นผู้ที่ได้รับการจับตามองว่าอาจจะได้สืบทอดราชบัลลังก์ยามเมื่อเสิ่นฮองเฮาได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ปกครองวังหลัง ก็ขึ้นชื่อเรื่องความสุขุมเยือกเย็น และความสามารถในการจัดการภายในวังหลังได้อย่างไร้ที่ติ พระนางรอบรู้ทั้งศาสตร์แห่งการเมืองและจิตใจคน ใช้เวลาเพียง

  • บุปผาสีชาด   ตอนที่6ศัตรูนำไปแล้วถึงสองก้าว

    เช้าวันนี้อวี้หลันตื่นขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกสดชื่น ร่างกายที่เคยอ่อนแรงรู้สึกเบาสบาย กระปรี้กระเปร่าเหมือนได้รับพลังใหม่แสงแดดยามเช้าทอแสงอ่อนผ่านหน้าต่างไม้ เงาของต้นเหมยพาดทอดอยู่บนพื้นห้อง เงียบสงบและอบอุ่น นางนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ปล่อยให้ฉิงหว่านสาวใช้คนสนิทช่วยหวีผมและแต่งกายให้อาภรณ์ผ้าไหมปักลวดลายดอกเหมยสีหวานถูกสวมทับลงบนร่าง สะท้อนแสงแดดระยิบระยับ อวี้หลันมองตนเองในกระจกทองเหลือง ใบหน้าที่สะท้อนกลับมาแม้จะยังซีดเซียวเล็กน้อย แต่กลับไม่อาจกลบความงดงามเอาไว้ได้ ใบหน้าที่สะท้อนอยู่ในกระจกจะเรียกว่างามล่มเมืองก็ไม่ผิดนัก"ไม่เลว"อวี้หลันพึมพำเบาๆ กับตนเอง พลางมองสำรวจเครื่องแต่งกายด้วยความพึงพอใจการใช้ชีวิตแบบนี้ ก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดในชีวิตก่อนของนาง ทุกวันเต็มไปด้วยการต่อสู้ การไล่ล่า และกลิ่นคาวเลือด ไม่มีเวลาจะเลือกเสื้อผ้า ไม่มีเครื่องประดับงดงาม ไม่มีแม้แต่กระจกสักบานให้ได้เห็นเงาของตัวเองทุกย่างก้าวในชีวิตมีเพียงมีดและปืนในมือ มีเป้าหมายที่ต้องสังหารนางไม่เคยได้ใช้ชีวิตในฐานะ หญิงสาว อย่างแท้จริงเลยด้วยซ้ำแต่ตอนนี้ ในร่างใหม่ ในชีวิตใหม่ นางสามารถทำทุ

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status