"ลูกถวายพระพรเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ"
เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นจากริมฝีปากสีระเรื่อได้รูปสวยขององค์ชายห้าหลี่จื้อหยวน ชายหนุ่มรูปงามราวกับเทพเซียนที่ยืนสงบนิ่งอยู่เบื้องหน้าฮองเฮาผู้เป็นพระมารดา ใบหน้าหล่อเหลาเคร่งขรึม แววตานิ่งสงบเช่นเคย จนยากจะคาดเดาความคิดภายในได้
เสิ่นฮองเฮาเพียงโบกพระหัตถ์เบาๆ
"นั่งลงเถิด"
พระสุรเสียงราบเรียบแต่เปี่ยมด้วยความเมตตารักใคร่
เมื่อพระโอรสทรุดกายลงนั่ง พร้อมกับที่นางกำนัลรินน้ำชาจนเรียบร้อย นางก็ไม่อ้อมค้อม เอ่ยถามเข้าเรื่องทันที
"เรื่องการหมั้นหมายของเจ้า ตอนนี้เปลี่ยนแปลงเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่"
หลี่จื้อหยวนพยักหน้าช้าๆ แววตานิ่งเฉยคู่นั้น คล้ายจะหม่นแสงลงไปวูบหนึ่ง
"พ่ะย่ะค่ะ ลูกจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว"
ฮองเฮายกจอกชาขึ้นจิบเพียงเล็กน้อย ก่อนจะวางลงบนแท่นวางด้านข้าง เสียงกระทบกันเบาๆ ของเนื้อกระเบื้องดังแผ่วเบา แต่กลับฟังชัดในความเงียบ
เสิ่นฮองเฮาไม่ได้เอ่ยสิ่งใดในทันที นางเพียงเหลือบสายพระเนตรมองพระโอรส แววตานั้นลึกซึ้ง เยือกเย็น และคมกริบ
ราวกับจะบอกว่า เรื่องนี้ นางไม่ต้องการความลังเล ไม่ต้องการให้เกิดความผิดพลาด และยิ่งไม่ต้องการให้พระโอรสของตนรู้สึก "ผิด"
"อวี้หลัน นางเคยเป็นตัวเลือกที่ดี"
พระสุรเสียงของฮองเฮานุ่มนวล แต่กลับแฝงด้วยความเย็นเยียบ ทำให้หัวใจผู้คนเย็นยะเยือกได้อย่างน่าประหลาด
"นางเกิดจากฮูหยินจากตระกูลไป๋ อำนาจของตระกูลนั้นมั่นคงในราชสำนัก เมื่อรวมกับตำแหน่งของอวี้จิ้งผู้เป็นบิดา ก็นับว่ามีน้ำหนักไม่น้อยเลย"
องค์ชายห้าไม่ได้ตอบอะไร เพียงนิ่งฟังอย่างเงียบงัน ราวกับทุกอย่างนั้น เขาให้ผู้เป็นมารดาตัดสินใจ
"น่าเสียดายที่ตระกูลไป๋ถูกกวาดล้าง สูญสิ้นอำนาจ แม้นางจะยังเป็นบุตรีสายตรงของสกุลอวี้ แต่ก็มิอาจเทียบเท่าเดิมได้อีก"
พระพักตร์งามยังคงสงบนิ่ง ในขณะที่เอ่ย
"ในทางกลับกัน คุณหนูใหญ่อวี้เหมย นับว่าเหมาะสมกว่า นางเป็นบุตรีของฮูหยินเอกคนปัจจุบัน และท่านตาของนาง เพิ่งได้รับแต่งตั้งเป็นแม่ทัพภาคแห่งแดนใต้ และในอนาคตข้างหน้าย่อมจะรุ่งโรจน์กว่านี้มาก"
สายพระเนตรของฮองเฮาเยือกเย็น ราวกับย้ำถ้อยคำก่อนหน้าให้แน่นลึกยิ่งกว่าเดิม
"หยวนเอ๋อร์เจ้าไม่อาจยึดติดกับความสัมพันธ์ในวัยเยาว์ สิ่งสำคัญคือข้างหลังของพวกนางต้องมีอำนาจที่แข็งแกร่ง"
พระนางหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยต่อเสียงเบาแต่ชัดเจน
"ชายาของเจ้าจะเป็นหญิงไร้อำนาจไม่ได้เด็ดขาด เพราะทุกอำนาจที่พวกนางมีล้วนสำคัญต่อเจ้า"
องค์ชายห้าหลี่จื้อหยวนคลี่ยิ้มจางๆ ในดวงตาไม่เผยความรู้สึก
"เสด็จแม่อย่าได้กังวล เรื่องนี้ลูกจะจัดการให้เรียบร้อยเองพ่ะย่ะค่ะ"
เสิ่นฮองเฮาพยักหน้าอย่างพึงพอใจ หลับพระเนตรลงอย่างผ่อนคลาย ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่แฝงไว้ด้วยความเด็ดขาด
"งานเลี้ยงของจวนอวี้ที่จะถึงนี้ เจ้าก็ไปทำความรู้จักกับคุณหนูใหญ่อวี้เสียหน่อยก็แล้วกัน"
หลี่จื้อหยวนเม้มริมฝีปาก สายตากดต่ำลงเล็กน้อย ก่อนจะขานรับเบาๆ
"พ่ะย่ะค่ะ เสด็จแม่"
รอยยิ้มน้อยๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าของเสิ่นฮองเฮา ใบหน้าที่แม้จะผ่านกาลเวลามาไม่น้อย แต่ยังคงงดงามสง่าไม่เสื่อมคลาย
รอยยิ้มนั้นอ่อนโยน เพราะทุกอย่างเป็นไปตามที่นางต้องการ ไม่มีอะไรหลุดจากแผนที่วางไว้เลยแม้แต่น้อยทว่าไม่มีใครรู้เลยว่า ‘ตัวหมาก’ ที่ถูกเปลี่ยนออกไปในกระดานนี้ วันหนึ่งพวกเขาอาจต้องนึกเสียดายอย่างถึงที่สุด
องค์ชายห้าเดินออกมาจากตำหนักของพระมารดา ทุกย่างก้าวล้วนมั่นคงหนักแน่น ทว่าหัวใจกลับล่องลอยไปไกลกว่าที่ใครจะมองเห็น
ในห้วงความคิดเงียบงันของเขา ภาพของเด็กหญิงตัวน้อยผู้หนึ่งก็ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน
อวี้หลัน
เด็กหญิงแก้มยุ้ย ผิวขาวเนียนราวหิมะ ปากแดงก่ำฉ่ำน้ำที่ช่างฉอเลาะช่างเจรจา
ในห้วงความทรงจำของหลี่จื้อหยวน เมื่อครั้งเขามีอายุเพียงสิบสองปี เป็นเพียงองค์ชายผู้อยู่ท่ามกลางความคาดหวังกับความเงียบงันและในวันนั้นเอง เขาก็ได้พบกับนางเป็นครั้งแรก
อวี้หลัน เด็กหญิงตัวน้อยอายุเพียงห้าขวบ นางเข้ามาเรียนในสำนักศึกษาหลวงร่วมกับเหล่าองค์ชายองค์หญิงและบุตรธิดาของเหล่าขุนนางตระกูลใหญ่เป็นวันแรก โดยสำนักศึกษาหลวงจะมีการแบ่งแยกชายหญิงเอาไว้อย่างชัดเจน
และเพราะความซุกซน เด็กหญิงตัวน้อย ดวงหน้ากระจ่าง แก้มกลมยุ้ย ดวงตาใสแจ๋ว นางดูราวตุ๊กตาตัวน้อยที่หลงเข้ามาในโลกของเด็กชาย เขาเห็นนางยืนกำชายเสื้อแน่น ดวงตากลมโตคลอไปด้วยน้ำตา ถูกรังแกโดยเด็กชายโตกว่าหลายคนที่หัวเราะและล้อเลียนรูปร่างกลมป้อมปุกปุยของนาง
องค์ชายห้าในวัยสิบสอง ไม่ได้พูดอะไรยืดยาว เขาเพียงเดินเข้าไป ก้าวขวางไว้ด้วยร่างสูงโปร่งของตนเอง และใช้สายตาเย็นเฉียบ มองพวกเด็กชายเหล่านั้น เพียงแค่นั้น พวกเขาก็พากันถอยหนีอย่างหวาดหวั่น
หลี่จื้อหยวนหันกลับมามองนาง เด็กหญิงตัวน้อยยังคงยืนนิ่ง ดวงหน้าแดงก่ำ แต่เมื่อเขายื่นมือให้ นางกลับรีบคว้าไว้แน่นอย่างไม่ลังเล
จากวันนั้นเป็นต้นมา ทุกย่างก้าวที่เขาเดิน มักจะมีเงาร่างกลมป้อมวิ่งตามมาต้อยๆ ไม่ห่าง ราวกับหางน้อยๆ
"พี่ชาย พี่ชาย ท่านรอหลันเอ๋อร์ก่อนสิเจ้าคะ"
เสียงใสเล็กๆ นั้นดังก้องในหู พร้อมกับภาพเจ้าตัวน้อยที่วิ่งกระดุ๊กกระดิ๊กตามหลัง มือหนึ่งกอดตุ๊กตาผ้าไว้แน่น อีกมือก็พยายามยืดแขนออกมาคว้าแขนเสื้อเขาไว้ให้ได้ เขาจำได้ว่า นางชอบเกาะชายเสื้อเขาแน่น ไม่ยอมให้ไปไหนไกล
ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ใด ไม่ว่ากำลังจะทำอะไร อวี้หลันก็มักจะโผล่หน้ามาอย่างเงียบๆ แล้วร้องเรียกเขาว่าพี่ชายด้วยน้ำเสียงสดใสราวเสียงระฆังแก้ว ตอนนั้นเขารำคาญอยู่บ้าง แต่พอหันไปมองแก้มยุ้ยๆ ดวงตาใสๆ ของนางแล้ว ก็ทำได้เพียงถอนใจแล้วปล่อยให้นางตามมาเงียบๆ
แต่เด็กคนนั้นกลับไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่นั้น บางครั้งนางก็ออดอ้อนขอขนม บางครั้งถึงกับยื่นตุ๊กตาผ้าตัวเล็กๆ มาให้เล่นด้วยกัน เขามักจะแกล้งทำหน้าขรึมไม่พอใจ แต่สุดท้ายก็ยอมให้นางลากไปเล่นอยู่ดี
วันเวลาเหล่านั้นมันช่างเรียบง่ายและอ่อนโยน นางคือความสดใสเล็กๆ ในวัยเยาว์ของเขา เป็นเหมือนสายลมอ่อนโยน ที่พัดผ่านความเงียบเหงาในใจอย่างแผ่วเบา
ในวันที่พระมารดาเอ่ยปากเรื่องการหมั้นหมาย และเอ่ยชื่อนางขึ้นมาว่าเป็นคู่หมายของเขา เขากลับไม่ได้รู้สึกขัดข้องหรืออึดอัดแม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้าม เขารู้สึกเต็มใจ และยินดีเป็นอย่างมาก
แต่ทุกอย่างกลับพังทลายลง
เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กับชีวิตของหลันเอ๋อร์น้อยของเขา โดยที่เขาไม่อาจที่จะช่วยอะไรนางได้เลย ซ้ำยังถูกพระมารดาสั่งห้ามไม่ให้สนิทสนมกับเด็กน้อยผู้นั้นอีก แม้เขาอยากจะพบเจอนางอีกสักครั้ง แต่นับตั้งแต่เกิดเรื่องนั้นขึ้น นางก็ไม่เคยปรากฏตัวที่สำนักศึกษาอีกเลย และไม่แม้แต่จะปรากฏตัวในเมืองหลวงเลยด้วยซ้ำ
มาบัดนี้ เด็กหญิงคนนั้นเติบโตขึ้นแล้ว เติบโตมาท่ามกลางความสูญเสีย การทรยศ และเปลวเพลิงแห่งอำนาจ
เขาไม่รู้ว่าสายลมนั้นจะยังอ่อนโยนเหมือนเดิมหรือไม่ หรืออาจจะกลายเป็นพายุที่พัดสวนทางกลับมา
เขาไม่รู้ว่านางในตอนนี้เติบโตขึ้นเพียงใด ไม่รู้ว่านางยังจำพี่ชายผู้นี้ได้อยู่หรือไม่ หรือแค่เห็นหน้าก็ชิงชังจนอยากจะหันหลังหนี
หลี่จื้อหยวนหลุบตาลงเล็กน้อย หัวใจหนักอึ้งยิ่งกว่าที่คิดไว้
"เจ้าจะโกรธข้าหรือเปล่า หลันเอ๋อร์"
"เจ้าเกลียดข้าแล้วหรือไม่"
ไม่มีคำตอบใดตอบกลับมา มีเพียงแค่ความเงียบ และแสงอาทิตย์ที่เริ่มลับขอบฟ้าตรงหน้า
ชายหนุ่มหลับตาลงช้าๆ มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยเป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
เสด็จแม่พูดถูก
เขาไม่ควรยึดติดกับเรื่องราวในอดีตอีกต่อไป สิ่งที่ผ่านไปแล้ว ก็ควรปล่อยให้ผ่านพ้นไป
เขาควรเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง
เพราะเส้นทางของเขากับนาง ไม่มีวันจะหวนกลับมาบรรจบกันได้อีกแล้ว
เมื่อเปลือกตาค่อยๆ เปิดขึ้นอีกครั้ง แววตาของหลี่จื้อหยวนก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง แววตาที่เคยสั่นไหว เหลือเพียงความเด็ดขาดแน่วแน่
สิ่งที่เขาต้องการคือ อำนาจ
หากเขาครอบครองอำนาจไว้ในมือ ต่อไปไม่ว่าเขาปรารถนาสิ่งใด มันก็จะบันดาลทุกสิ่งอย่างมาให้เขา ทุกอย่างที่เขาต้องการก็ย่อมได้มาโดยง่าย
แม้กระทั่ง... นาง
"หลันเอ๋อร์ ขอเวลาข้าสักครู่ได้หรือไม่"เสียงทุ้มต่ำขององค์ชายห้าหลี่จื้อหยวนเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยน ทว่าแฝงแววเว้าวอนลึกซึ้ง เขาก้าวขวางเบื้องหน้าในจังหวะที่อวี้หลันหมุนกายจะจากไป หยุดยั้งฝีเท้าเรียวอย่างไม่เปิดโอกาสให้นางหลบเลี่ยงสายตาคมกริบทอดมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างไม่อาจละไปได้ ความคาดหวัง ความลังเล และความเจ็บปวดสลักทับซ้อนในแววตาคู่นั้นราวกับเพียงคำตอบหนึ่งคำจากนาง จะสามารถปลดปล่อยหรือขังเขาไว้ตลอดกาลอวี้หลัน..หญิงสาวที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นคู่หมั้นในวัยเยาว์ของเขา หญิงสาวที่เขาเคยคิดว่าจะได้ครอบครองและปกป้องแต่ตอนนี้นางกลับไกลจากเขาออกไปทุกทีข่าวลือที่โด่งดังไปทั่วเมืองหลวงอยู่ในตอนนี้ ทำให้เขาไม่อาจทนนิ่งเฉย จนต้องมาปรากฏตัวที่นี่ ยิ่งเมื่อได้เห็น ปิ่นปักผม ที่ปรากฏอยู่บนมวยผมของนาง ดวงตาของเขายิ่งแข็งกร้าวปิ่นนั่นหลี่เหวินหลงผู้เป็นพี่ชายหวงแหนยิ่งกว่าสิ่งใด เป็นสิ่งที่ไม่ควรมอบให้ใครง่ายๆ นอกจากผู้ที่เขา "หมายปอง" อย่างแท้จริงหลี่จื้อหยวนกำมือแน่น ความรู้สึกในใจร้อนรนแทบระเบิดออกมา แต่กลับไม่เอ่ยอันใด นอกจากสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วเปิดกล่องเครื่องประดับในมือออก ยื่นไปตรงหน้าอีก
มาอีกแล้ว คนผู้นี้ว่างงานนักหรืออย่างไรอวี้จิ้งทอดถอนใจยาวตั้งแต่ยังไม่ทันได้จิบชาเช้า ใบหน้านิ่งขรึมเต็มไปด้วยริ้วรอยของความอดกลั้น และกลิ่นอายของความหงุดหงิดปนเวทนาในชะตากรรมของตนรุ่งเช้า ฟ้ายังไม่ทันสว่างดีนัก คนก็มาเยือนถึงหน้าจวนเสียแล้ว"หากไม่มีงานการทำ เหตุใดถึงไม่กลับแดนเหนือไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด"อวี้จิ้งได้เพียงบ่นอยู่ในใจ ฟันกรามกัดแน่นจนขมับเต้นตุบๆ ขณะลุกจากที่นั่ง เดินออกไปต้อนรับแขกผู้สูงศักดิ์ แขกที่เหมือนจะกลายเป็นสมาชิกประจำบ้านเข้าไปทุกทีองค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลง ยืนตระหง่านราวขุนเขาเช่นเคย ท่าทีสงบนิ่ง เยือกเย็นประหนึ่งนักปราชญ์ผู้สูงส่ง ทั้งที่ความจริงแล้วก็แค่คนไร้ยางอาย หน้าด้านหน้าทนผู้หนึ่ง ที่ทำเอาเจ้าบ้านอย่างเขาแทบกระอักเลือดตาย เมื่อวานกว่าจะต้อนคนส่งกลับได้ก็เล่นเอาเขาแทบจะหัวหลุดจากบ่าอยู่หลายครั้ง"องค์ชายใหญ่มาตั้งแต่เช้าเลยนะพ่ะย่ะค่ะ"อวี้จิ้งเอ่ย พลางฉีกยิ้มบางๆ ที่คล้ายรอยยิ้มของเสือเฒ่ากำลังข่มอารมณ์ แฝงไว้ด้วยคำว่า ‘เจ้าว่างนักหรือ’ ขณะทำความเคารพอีกฝ่ายอย่างมีมารยาท"ใต้เท้าอวี้ พบหน้าข้าแล้วยินดีถึงเพียงนี้เชียว"หลี่เหวินหลงยิ้มรับสีหน้าระร
เซิ่งซื่อใช่ว่าจะไม่รู้สึกถึงบรรยากาศอึดอัดกดดันที่แผ่คลุมอยู่ภายในห้อง หากแต่นางยังฝืนรักษารอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าเอาไว้ ไม่ว่าสายตาใครจะจับจ้องมายังนางอย่างไร นางก็ยังสงบนิ่งไม่แสดงพิรุธหลายวันมานี้ นางสัมผัสได้ถึงบรรยากาศภายในจวนที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน นางรับรู้ได้ว่าสามีเริ่มมีท่าทีที่ผิดแผกไป ไม่เหมือนเดิมอย่างที่เคย นับตั้งแต่เกิดเรื่องกับอวี้หลัน ทว่าเขากลับยังคงนิ่งเฉยไม่เอ่ยสิ่งใด นั่นยิ่งทำให้นางทั้งหวาดระแวงและไม่อาจวางใจได้ ความเงียบของเขากลับทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่งนางรู้ดีว่าคนอย่างอวี้จิ้งไม่ใช่ผู้ที่จะปล่อยผ่านเรื่องใดไปโดยไม่คิดสืบหาความจริง ไม่ใช่คนที่จะถูกหลอกล่อได้ง่ายนัก และยิ่งเงียบก็ยิ่งน่าหวาดกลัวแต่ถึงอย่างนั้น นางก็ยังพอจะเบาใจอยู่บ้าง อย่างน้อยที่สุดหลานชายของนางก็กลับมาอย่างปลอดภัย และที่สำคัญ เขาไม่ได้ทิ้งร่องรอยใดไว้ให้ถูกสาวมาถึงตัวทุกอย่างยังอยู่ในการควบคุม นางเพียงต้องระวังตัวให้มากพอ และฉลาดพอที่จะไม่ถามถึงรายละเอียดให้มากความ สิ่งที่ไม่รู้ ก็ไม่จำเป็นต้องรู้ สิ่งที่รู้ นางก็เลือกจะซ่อนไว้ลึกสุดใจ ไม่ให้แม้แต่น้ำเสียงหรือแววตาเผลอเผยพิรุธออ
หลังจากพิธีปักปิ่นอย่างเป็นทางการในช่วงเช้าผ่านพ้นไป ตกเย็นก็ควรจะเป็นเวลาของคนในครอบครัว แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่เป็นเช่นนั้นเสียแล้วอวี้จิ้งเพิ่งเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงคำกล่าวที่ว่าเชิญเทพมาง่าย แต่ส่งกลับไปแสนยาก ก็ในวันนี้เองรองเสนาบดีผู้มากบารมี ปลายสายตาเหลือบมองบุรุษหนุ่มผู้สูงศักดิ์ที่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะด้วยสีหน้าอึมครึม เขาไม่จำเป็นต้องเอ่ยคำใดออกมา เพราะแม้จะเงียบ แต่หนวดที่กระตุกอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า ดวงตาวาววับที่ราวกับจะพ่นลูกไฟออกมาได้ทุกเมื่อ ก็ฟ้องหมดทุกอย่างและถึงจะเป็นเช่นนั้นอีกฝ่ายกลับยังนั่งจิบชาอย่างสบายอารมณ์ หาได้รู้ถึงความผิดของตัวเอง ประหนึ่งว่าเขาคือเจ้าของเรือน มิหนำซ้ำยังทำตัวกลมกลืนอย่างยิ่งราวกับคนในครอบครัวไม่ขัดเขิน ไม่เกรงใจ ไม่ถ่อมตนกระทำตัวเหมือนเขยของบ้านข้าเข้าไปทุกทีหึ…กล้าดียังไงแน่นอนว่าอวี้จิ้งได้แต่คิดในใจเท่านั้น ไม่มีวันกล้าเอ่ยออกมาเพราะบุรุษตรงหน้านั้น หาใช่ใครอื่นไกล แต่คือ องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงการกระทำของอีกฝ่ายในวันนี้สร้างความขุ่นเคืองใจให้เขาอย่างยิ่ง แต่แม้จะรู้สึกไม่พอใจเพียงใด ทว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับหยางฮูหยินผู้เฒ่า ซึ
แสงอรุณอ่อนในฤดูใบไม้ผลิส่องพาดแนวหลังคาเรือน บรรยากาศทั่วทั้งจวนรองเสนาบดีเต็มไปด้วยความคึกคัก ภายในเรือนใหญ่ของตระกูลอวี้อบอวลด้วยกลิ่นหอมของไม้จันทน์บ่าวไพร่ในจวนสีหน้าสดชื่นแจ่มใส ขะมักเขม้นจัดเตรียมพิธีมงคล ข้าวของเครื่องใช้ล้วนถูกจัดเรียงตามตำราโบราณเรือนหลักของจวนอวี้ในวันนี้ถูกประดับประดาด้วยผ้าแพรไหมสีมงคล ลวดลายดอกเหมยปักดิ้นทองสะท้อนแสงแดดระยิบระยับ กลิ่นหอมของชาดอกไม้ที่ลอยอบอวลในอากาศ สร้างบรรยากาศละมุนละไมวันนี้คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของคุณหนูรองอวี้ในที่สุดวันปักปิ่นของอวี้หลันก็มาถึง พิธีในวันนี้ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติบุตรีขุนนางฝ่ายพิธีการ เรียกได้ว่าเป็นงานเลี้ยงที่หรูหราและงดงามที่สุดในรอบหลายปีของเมืองหลวง อวี้หลันในชุดผ้าไหมเนื้อละเอียดสีชมพูอมทองปักลวดลายดอกโบตั๋นอย่างประณีต เนื้อผ้าไหมพลิ้วไหวรับแสงแดดอ่อนยามเช้า ปลายแขนเสื้อขลิบดิ้นทอง ชุดตัวยาวรัดช่วงเอวด้วยสายผ้าแพรสีแดงสด ด้านข้างห้อยพู่หยกล้ำค่า เงาผ้าพลิ้วไหวราวกลีบดอกไม้ต้องลมตามจังหวะก้าวเดิน ทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังสตรีน้อยผู้เป็นบุตรีของรองเสนาบดีหญิงสาวย่างก้าวด้วยท่วงท่าที่เปี่ยมไ
เซิ่งซื่อนั่งนิ่งอยู่ในเรือนใหญ่ของตนเอง บรรยากาศภายในเรือนที่เคยสงบร่มรื่น บัดนี้กลับอึดอัดและหนักแน่นประหนึ่งมีเงาทึบปกคลุม มือที่ถือพัดเริ่มกำแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว แววตาเคร่งเครียดขณะฟังรายงานจากบ่าวคนสนิท เสียงนั้นเบาราวกระซิบ แต่ทุกคำกลับฟังชัดเจนยิ่งในหูของนาง"คุณหนูรองกลับมาถึงจวนเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ มิได้รับบาดเจ็บใดๆ ทั้งสิ้น"คำบอกเล่านั้น ดังก้องในใจจนมือที่กำพัดเริ่มสั่นอวี้หลันกลับมาแล้ว อีกทั้งยังไม่เป็นอะไรเลย"ข่าวว่า...องค์ชายใหญ่เป็นผู้ช่วยชีวิตคุณหนูรองเอาไว้ด้วยพระองค์เองเจ้าค่ะ"เสียงในห้องเงียบงันชั่วอึดใจ"องค์ชายใหญ่"เซิ่งซื่อทวนคำเบาๆ อย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง ความหวาดหวั่นคละคลุ้งในอกองค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลง คนผู้นี้อีกแล้วหรือพัดในมือของนางถูกบีบจนแทบจะแหลกคามือ แววตาที่เคยสั่นไหวเปลี่ยนเป็นขุ่นมัวในฉับพลัน ริมฝีปากที่เคลือบชาดเอาไว้บางๆ เม้มแน่นจนแทบเป็นเส้นตรงทั้งที่แผนการถูกวางไว้อย่างดี หลานชายที่เก่งกาจของนางไม่เคยที่จะทำงานผิดพลาด ทุกอย่างที่ควรจะจบลงอย่างเงียบงัน กลับพังครืนเพราะการปรากฏตัวของบุรุษเพียงผู้เดียวและยิ่งแย่กว่านั้น…ข่าวนี้กำลังจะถูก