Masukแสงแดดอ่อนยามเช้าสาดลอดเข้ามาทางหน้าต่างห้องนอนใหญ่ในเรือนฮวาหงอันเงียบสงบ ปรากฏเงาร่างเพรียวระหงของหญิงสาวผู้หนึ่งยืนตั้งมั่นอยู่กลางห้อง ฝ่าเท้าแนบแน่นกับพื้น หายใจเข้าออกอย่างเป็นจังหวะ
ไม้พลองในมือของนางตวัดวูบไปในอากาศ เสียงลมเสียดอื้ออึงตามแรงเหวี่ยง ทุกท่วงท่าคมกริบราวกับกำลังฟันดาบ ไม่ใช่เพียงแค่การออกกำลัง หากแต่เป็นการฝึกฝน ในชีวิตก่อนนางฝึกฝนการต่อสู้ทุกอย่าง แต่สิ่งที่ได้ใช้มากที่สุดคือการใช้ปืน ตอนนี้จึงต้องเคาะสนิมกันเสียหน่อย
อวี้หลันเคลื่อนไหวอย่างมั่นคง แขนขาแข็งแรงและว่องไว ราวกับร่างกายนี้ไม่เคยอ่อนแอเลยแม้แต่น้อย ดวงตาของนางแน่วแน่ เยือกเย็น และเต็มไปด้วยสมาธิ ทุกจังหวะที่ก้าว ทุกท่าที่ฟาดฟัน ล้วนแฝงด้วยสัญชาตญาณของคนที่เคยอยู่กับความเป็นความตายมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
ไม้พลองฟาดลงกลางอากาศอย่างแรง ส่งเสียง "ฟึ่บ" ราวกับมันคือคมดาบที่กำลังฆ่าฟันศัตรูจริงๆ
หยาดเหงื่อไหลซึมจากไรผมลงมาตามข้างแก้ม อวี้หลันหยุดการเคลื่อนไหว ลมหายใจยังคงสม่ำเสมอและไม่หอบเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย นางวางไม้พลองในมือลง พลางหยิบผ้าขึ้นมาซับเหงื่อ ตอนนี้ร่างกายของนางนับว่าหายดีแล้ว นางใช้เวลาพักผ่อนรักษาตัวอยู่เพียงสามวันร่างกายก็ฟื้นตัวหายเป็นปกติ และแข็งแรงขึ้นกว่าเดิมมาก
ความจริงนางอยากจะแสร้งป่วยต่ออีกสักครึ่งเดือน แต่จนใจที่วันพรุ่งนี้ภายในจวนจะมีงานเลี้ยงเนื่องในโอกาสการแต่งตั้งฮูหยินเอกของบิดา นางในฐานะลูกเลี้ยงจึงจำต้องก้าวเท้าออกจากเรือนฮวาหง เพื่อไปแสดงความยินดีกับฮูหยินเอกคนใหม่ของจวน งานนี้จะขาดลูกเลี้ยงสุดที่รักอย่างนางไปได้อย่างไร อย่างน้อยก็ควรมอบของขวัญที่ระลึกให้แม่เลี้ยงสักชิ้นหนึ่ง ให้นางประทับใจจนลืมไม่ลง
โดยพิธีการของวันพรุ่งนี้จะแบ่งเป็นสองช่วง ช่วงเช้าสมาชิกในครอบครัวจะรับประทานอาหารพร้อมหน้ากันที่เรือนใหญ่ จากนั้นในช่วงบ่ายจะมีงานเลี้ยงอย่างเป็นทางการ เชิญแขกจากตระกูลขุนนางมาร่วมแสดงความยินดี
"คุณหนู บ่าวเตรียมน้ำอุ่นเอาไว้แล้ว คุณหนูจะอาบน้ำตอนนี้เลยหรือไม่เจ้าคะ"
ฉิงหว่านเดินเข้ามารินน้ำชาส่งให้ผู้เป็นนาย ก่อนจะเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
"อืม"
อี้หลันจิบชาแล้วพยักหน้ารับ ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปยังห้องอาบน้ำ โดยมีฉิงหว่านคอยปรนนิบัติไม่ห่าง เตรียมทุกอย่างให้เรียบร้อยอย่างรู้ใจไปหมด
ตลอดหลายวันที่ผ่านมา อวี้หลันเฝ้าสังเกตพฤติกรรมของบ่าวในเรือนฮวาหงอย่างเงียบๆ และพบว่าทุกเรื่องภายในเรือน ไม่ว่าจะเป็นการจัดเตรียมของใช้ จัดอาหาร ทำความสะอาด หรือดูแลเรื่องส่วนตัวของนาง ล้วนเป็นฉิงหว่านที่ลงมือทำทั้งหมด ทั้งที่ในเรือนฮวาหงมีบ่าวมากถึงแปดคน แต่กลับไม่มีใครขยันขันแข็งหรือดูใส่ใจงานแม้แต่น้อย บางคนทำท่าเหนื่อยหน่าย บางคนก็ทำงานแบบขอไปที พอให้พ้นๆ ไปวันๆ
แต่นางเข้าใจว่าเหตุใดบ่าวพวกนั้นจึงเฉื่อยชาเช่นนี้ เพราะพวกนางล้วนเป็นคนของเซิ่งซื่อทั้งสิ้น จึงได้ไม่ยอมรับว่านางคือเจ้านายตัวจริงของเรือนนี้
แววตาของอวี้หลันเย็นเฉียบลง เห็นทีคงถึงเวลาที่พวกหนูสกปรกพวกนี้จะต้องถูกกวาดล้างเสียที
หญิงสาวเอนตัวลงในถังไม้อาบน้ำ กลิ่นน้ำมันหอมจางๆ กับกลิ่นของกลีบดอกไม้ที่ลอยอยู่เหนือผิวน้ำหอมอบอวล ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายจากความเมื่อยล้า นางหลับตาพริ้ม ปล่อยใจให้ผ่อนคลายในความเงียบสงบ ขณะที่ฉิงหว่านค่อยๆ สระผมให้อย่างนุ่มนวล
จากนั้นน้ำเสียงเรียบรื่นก็เอ่ยขึ้น ราวกับกำลังบอกเล่าถึงเรื่องทั่วไป
"หวานหว่านคนดี ข้าจำได้ว่าปิ่นปักผมที่ข้าชื่นชอบมากอันหนึ่ง หายไป"
มือของฉิงหว่านชะงักเล็กน้อย ก่อนจะสระผมต่อ แววตานั้นเต็มไปด้วยความคับข้องใจ และดูเหมือนน้ำหนักมือจะเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย แต่เจ้าตัวก็ยังไม่ยอมพูดสิ่งใดออกมา ราวกับกำลังแง่งอน
อยู่ๆ ของจะหายไปได้อย่างไร คงจะเป็นคนพวกนั้นที่หยิบฉวยไปอีกตามเคย
อวี้หลันสัมผัสได้ถึงท่าทางปั้นปึ่งของอีกฝ่ายก็อดที่จะยิ้มออกมาอย่างเอ็นดูไม่ได้ จากความทรงจำของเจ้าของร่าง พวกสาวใช้เหล่านั้นมักจะหยิบฉวยของของนางไปบ่อยครั้ง แม้ฉิงหว่านจะบอกกับนางหลายครั้ง แต่ผู้เป็นนายกลับปล่อยผ่าน ไม่เคยเอ่ยปากหรือจัดการอะไรเลย ปล่อยให้คนพวกนั้นเอาเปรียบ สร้างความคับแค้นใจให้กับฉิงหว่านเป็นอย่างมากที่คนพวกนั้นเอาเปรียบคุณหนูของตน
อวี้หลันลืมตาขึ้นช้าๆ แววตานิ่งเย็นปรากฏอยู่ภายใต้ม่านไอน้ำที่ลอยเหนือผิวน้ำอุ่น
"หวานหว่านโกรธข้าแล้วหรือ เช่นนั้นข้าจะทวงของทั้งหมดคืน ดีหรือไม่"
ริมฝีปากแดงฉ่ำน้ำคลี่ยิ้มจางๆ ราวกับดอกไม้แรกแย้มในฤดูเหมันต์ สวย แต่น่าหวาดหวั่นอย่างประหลาด
ฉิงหว่านได้ยินเช่นนั้นดวงตาก็เป็นประกาย ฉีกยิ้มกว้างเอ่ยถามผู้เป็นนายอย่างไม่แน่ใจ
"คุณหนูพูดจริงหรือเจ้าคะ"
แน่นอนว่าอวี้หลันพูดจริง แต่ไม่ใช่แค่ของที่บ่าวรับใช้พวกนั้นขโมยไป แต่หมายรวมถึงสินเดิมของมารดาผู้ล่วงลับด้วย
เซิ่งซื่อเป็นฮูหยินเอกแล้วอย่างไร ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีสิทธิ์แตะต้องทรัพย์สมบัติของมารดานาง
ยามค่ำคืนมาเยือน เรือนฮวาหงเงียบงัน มีเพียงเสียงลมหวิวที่ลอดผ่านช่องหน้าต่าง ผู้คนภายในเรือนต่างก็พากันดับไฟและเข้านอนกันหมดแล้ว แต่กลับมีเงาร่างหนึ่งในชุดสีดำสนิทกระโจนออกมาจากหน้าต่างเรือนใหญ่ อันเป็นที่พำนักของเจ้าของเรือน ลัดเลาะไปตามเรือนนอนของบรรดาบ่าวไพร่
ร่างนั้นเคลื่อนไหวเงียบงันทุกย่างก้าว ทั้งรวดเร็วและระมัดระวัง พฤติกรรมและชั้นเชิงการลอบเร้นเหล่านั้นล้วนเหนือสามัญ เมื่อภารกิจสิ้นสุด ร่างในชุดดำก็หายลับไปกับเงามืดดั่งไม่เคยปรากฏมาก่อน ปล่อยให้เรือนฮวาหงกลับสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง
ทว่าความเงียบนี้ จะคงอยู่ได้ไม่นาน
รุ่งเช้าในเรือนฮวาหง แสงแดดอุ่นละมุนลอดผ่านผ้าม่านบางเบา บรรยากาศอบอวลด้วยความสงบ กลิ่นชาดอกเหมยหอมกรุ่นคลุ้งไปทั่วเรือน ราวกับกำลังต้อนรับเช้าวันสำคัญอย่างอ่อนโยน อวี้หลันนั่งอยู่หน้าโต๊ะไม้หอมด้วยท่าทีสงบ ริมฝีปากมีรอยยิ้มบางแต่งแต้ม
วันนี้นางสวมอาภรณ์เรียบง่าย สีขาวอ่อนนุ่ม ต่างจากเมื่อหลายวันก่อนที่มักจะสวมชุดสีสันสดใส งดงามสะดุดตา แม้จะอยู่แค่ภายในเรือนนอนก็ตาม ผมยาวถูกถักเป็นเปียสองข้างอย่างเรียบง่ายโดยฝีมือของฉิงหว่าน ไม่สวมเครื่องประดับแม้แต่ชิ้นเดียว ไร้ซึ่งความโดดเด่น ส่วนใบหน้านั้น อวี้หลันเลือกที่จะแต่งแต้มให้ขาวซีดราวกับคนป่วย
ด้านฉิงหว่านมองเครื่องประดับในกล่องที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่ชิ้นอย่างปวดใจและคับแค้นใจเหลือแสน เมื่อวานนี้เครื่องประดับของคุณหนูยังเหลืออยู่มากมายไม่ใช่หรอกหรือ คงเป็นคนพวกนั้นที่ต้องการกลั่นแกล้งคุณหนูของนางให้อับอายขายหน้าเป็นแน่
"คนพวกนั้นชั่งใจกล้านัก แอบขโมยของของคุณหนูไปมากมายถึงเพียงนี้ คงหวังให้ท่านขายหน้าต่อหน้าผู้คนเป็นแน่เจ้าค่ะ"
ความจริงแล้วบ่าวพวกนั้นก็ใช่ว่าจะโง่เสียทีเดียว ของที่พวกนางขโมยไปล้วนแล้วแต่เป็นของไม่สะดุดตาหรือโดดเด่นล้ำค่าจนเกินไปนัก แต่ฉิงหว่านไหนเลยจะรู้ว่าที่จริงแล้วเครื่องประดับเหล่านั้นหาได้ถูกลักไป แต่เป็นนายของตนที่นำมันไปให้ผู้อื่นด้วยมือของตนเอง
ในเมื่อคนพวกนั้นชมชอบการลักขโมยของ เช่นนั้นนางก็เพียงแต่ "ช่วย" ส่งเสริมก็เท่านั้น
เมื่อคืนนี้นางจึงนำเครื่องประดับของนางไปแอบซุกซ่อนไว้ในเรือนของบ่าวเหล่านั้น
อวี้หลันยกถ้วยชาขึ้นจิบเบาๆ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
"หวานหว่านวางใจ วันนี้ข้าจะทวงคืนทุกอย่างกลับมาแน่"
"คุณหนูต้องเรียนนายท่านให้ได้นะเจ้าคะ บ่าวพวกนั้นเหิมเกริมเกินไปแล้ว"
ฉิงหว่านพูดอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน พลางสำรวจเสื้อผ้าหน้าผมให้ผู้เป็นนายอีกรอบ เมื่อเห็นว่านายของตนคล้ายดังคนป่วยอย่างที่ต้องการก็ยกยิ้มขึ้นด้วยความพึงพอใจ ในความคิดของฉิงหว่าน เมื่อนายท่านเห็นคุณหนูดูอ่อนแอบอบบางเช่นนี้จะได้ยิ่งรู้สึกสงสารเห็นใจยิ่งขึ้น
อวี้หลันหัวเราะเบาๆ ดวงตาเปล่งแสงบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในความสงบ
"ได้ๆ ข้าจะฟ้องให้หมด แล้วจะทวงของกลับคืนมาทุกชิ้นดีหรือไม่"
นางกล่าวเสียงอ่อนโยน คำพูดนั้นฟังดูราบเรียบ หากแต่แท้จริงเต็มไปด้วยการวางหมากอย่างสุขุม
"ดีที่สุดเจ้าค่ะ คุณหนู"
ฉิงหว่านตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
"เช่นนั้นเราก็ไปกันเถอะ ประเดี๋ยวท่านพ่อจะคอยนาน"
ภายในตำหนักรัชทายาท ประดับด้วยแพรไหมและโคมแดงงดงามตระการตา ขบวนขันทีและนางกำนัลขวักไขว่ไปมาด้วยใบหน้ารื่นเริง เสียงดนตรีอ่อนหวานดังคลอในอากาศ อันเป็นสัญญาณของวันมงคลที่ทั้งแผ่นดินรอคอยณ ประตูตำหนัก ขบวนราชรถทองคำค่อยเคลื่อนเข้ามาอย่างสง่างาม องค์ไท่จื่อหลี่เหวินหลงทรงฉลองพระองค์สีแดงปักดิ้นมังกรห้ากรงเล็บ พระพักตร์หล่อเหลาเปี่ยมด้วยสง่าราศีแต่แฝงความอ่อนโยนในแววเนตรส่วนอวี้หลันในชุดเจ้าสาวสีแดงชาด ผ้าแพรเนื้อดีปักลายหงส์ทองกางปีก ลวดลายละเมียดงามประหนึ่งจะโบยบินจากผืนผ้า ผมของนางถูกรวบขึ้นสูง สวมมงกุฎหงส์ทองคำประดับมุกอันล้ำค่า ดวงหน้างามใต้ผ้าคลุมบางเบานั้นเปล่งแสงราวบุปผาแรกแย้มในฤดูวสันต์เสียงฆ้องและพิณบรรเลงประสาน ดอกไม้สดโปรยปรายจากระเบียงสูง ขบวนมงคลเคลื่อนไปยังลานตำหนักหยก สถานที่จัดพิธีอภิเษกซึ่งเต็มไปด้วยม่านแพรแดงโบกสะบัด ภายในหอพิธี โคมทองพันดวงจุดสว่างส่องไปทั่ว"คารวะฟ้า คารวะแผ่นดิน คารวะบิดามารดา"ทั้งสองก้มศีรษะลงพร้อมกันด้วยความเคารพ"สามคำนับ เสร็จพิธีอภิเษก เจ้าบ่าวเจ้าสาวถวายคำนับต่อกัน"หลี่เหวินหลงค่อยประคองมือนางขึ้นจากท่าคำนับ ดวงตาคมดุจมังกรทอดมองใบหน้างามภ
เสียงกลองชัยดังก้องสะท้อนทั่วเมือง เมื่อขบวนทัพขององค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงก้าวเข้าสู่เมืองหลวง ธงสีชาดสะบัดพลิ้วเหนือกำแพงเมือง แสงอาทิตย์อาบเมืองหลวงเปล่งประกายดุจทองคำ ประชาชนต่างออกมายืนเรียงรายสองฝั่งถนนเพื่อรอต้อนรับ เสียงโห่ร้องด้วยความยินดีดังกึกก้อง ดอกไม้หลากสีถูกโปรยปรายทั่วทางเดินที่ทอดยาวสู่ประตูวังหลวง"ถวายพระพรองค์ชายใหญ่! ทรงพระเจริญ!"ผู้คนทั้งแผ่นดินเปล่งเสียงสรรเสริญชัยชนะธงสีชาดสะบัดพลิ้วกลางสายลม ขบวนทหารเคลื่อนเข้าสู่เมืองอย่างองอาจ แววตาส่องประกายด้วยความภาคภูมิองค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงทรงม้านำขบวน ท่วงท่าของพระองค์สง่างามดังวีรบุรุษ ดวงตาคมทอดมองไปยังประตูวังหลวงซึ่งเปิดต้อนรับ ข้างกายของพระองค์คือสตรีในชุดพิชัยศึกสีขาวเงินสะอาด นางมิได้แต่งกายงดงามหรูหราเช่นสตรีในเมืองหลวง แต่สง่างามในแบบนักรบผู้เคียงบ่าเคียงไหล่ดวงอาทิตย์ส่องกระทบเกราะโลหะของทั้งคู่จนวาววับราวกับเปลวเพลิง ทหารที่เดินตามหลังใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม ภาพนั้นกลายเป็นขบวนแห่งเกียรติภูมิของแผ่นดินหลังจากองค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงเดินทางกลับเมืองหลวงมิทันข้ามวัน ก็มีราชโองการปลดเสิ่นฮองเฮาออกจากตำแหน่งและ
ชายหนุ่มมองออกไปยังขอบฟ้าที่เริ่มถูกกลืนด้วยแสงสนธยายามอาทิตย์ตก เสียงลมพัดผ่านยอดหญ้าแห้งดังแผ่วเบา ราวกับเสียงวิญญาณของผู้ล่วงลับยังล่องลอยอยู่ในสายลม"สงครามไม่มีสิ่งใดดีเลย"น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นเบาๆอวี้หลันที่อยู่ในชุดบุรุษเงยหน้ามองแสงสุดท้ายของวัน ลมพัดเส้นผมของนางปลิวตามจังหวะฝีเท้าม้า"ท่านพูดถูก แต่มันก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หากต้องเลือกระหว่างการสูญเสียกับการยอมให้บ้านเมืองล่มสลาย เป็นข้าก็ทำได้เพียงเลือกทางที่เจ็บปวดน้อยกว่า"นางตอบเสียงแผ่ว น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเข้าใจ เอ่ยกับเขาในแบบที่เขาเคยร้องขอ ไม่ใช่ในฐานะองค์ชาย แต่ในฐานะบุรุษของนางหลี่เหวินหลงหันมองนาง สายตาของทั้งสองสบกันในความเงียบงันที่ปกคลุมรอบตัว แววตาของเขาสั่นไหวอย่างไม่อาจห้าม ภายในอกแกร่งรู้สึกอุ่นวาบถ้อยคำต่อมาของนางเต็มไปด้วยความอ่อนโยน"หลังสงคราม...สิ่งที่เราทำได้คือการเยียวยาให้พวกเขา" "และเราจะทำมัน...ไปด้วยกัน"เสียงของนางเบาแต่หนักแน่นหลี่เหวินหลงสบตานาง รอยยิ้มอบอุ่นปรากฏบนริมฝีปาก พยักหน้าน้อยๆ แววตามั่นคง"เราจะทำมันด้วยกัน"ลมเย็นพัดผ่านกลีบดอกหญ้าที่เริ่มผลิใหม่ ท้องฟ้ายามเย็นคล้
บรรยากาศหลังศึกใหญ่ยังคงอบอวลไปด้วยกลิ่นควันไฟและกลิ่นคาวเลือดเสียงกลองศึกสุดท้ายหยุดลงพร้อมกับเปลวเพลิงแห่งสงครามที่ค่อยๆ มอดดับ เหลือเพียงเสียงลมหอบของม้าและเสียงโห่ร้องแห่งชัยชนะที่ดังขึ้นทั่วสนามรบแสงแรกแห่งอรุณฉาบลงบนผืนดินที่เพิ่งหลั่งเลือด เปล่งประกายเหนือซากศพและธงศัตรูที่ถูกเหยียบย่ำจนแหลกลาญ เหล่าทหารยกอาวุธขึ้นเหนือศีรษะ โบกสะบัดธงสีชาดแห่งแคว้นเป่ยอย่างภาคภูมิ ชายแดนใต้กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง กองทัพศัตรูถูกขับไล่ออกนอกเขตแดนอย่างสิ้นเชิงกลางลานศึกที่ยังมีกลิ่นคาวเลือด องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงยืนเด่นอยู่ท่ามกลางแสงรุ่งอรุณแรกหลังสงคราม ชุดเกราะของเขาเปรอะไปด้วยคราบฝุ่นและเลือด แต่ดวงตาคมยังคงเปล่งประกายเยือกเย็น เปี่ยมด้วยอำนาจและความสงบแห่งผู้ชนะเขาเงยหน้ามองขอบฟ้า สีทองของรุ่งอรุณสะท้อนในดวงตา แสงนั้นไม่เพียงล้างคราบควันไฟ หากยังปลุกความหวังของดินแดนกลับคืนมาอีกครั้งชายหนุ่มหันไปมองสตรีข้างกาย อวี้หลันในชุดเกราะสีเงินที่สะท้อนแสงทองระยับ แม้เปื้อนฝุ่นและเลือดเล็กน้อย แต่กลับงดงามดุจเทพธิดาผู้ลงมาจากสรวงสวรรค์ นางกำลังมองทิวเขาเบื้องหน้า ดวงตาของนางนิ่งสงบ หากลึกซึ
หลี่เหวินหลงควบม้าเข้าสู่สมรภูมิทันที ดาบในมือกรีดกลางหมอกเลือด ฟาดฟันศัตรูร่วงลงทีละคน ดวงตาเขาสงบนิ่งแต่แฝงแรงอาฆาต"สังหารให้สิ้น อย่าให้เหลือ!"สิ้นคำสั่งสุดท้ายขององค์ชายใหญ่ เสียงโห่ร้องก็ดังสนั่นไปทั่วสมรภูมิ กลิ่นฝุ่นและโลหิตปะปนในลมหายใจ ขบวนทัพขององค์ชายใหญ่ทะยานเข้าสู่สนามรบราวคลื่นคำรามอันบ้าคลั่งโถมเข้าชนแนวศัตรูดุจคลื่นเหล็กแม้จำนวนจะด้อยกว่า หากแต่ธงสีชาดขอแคว้นเป่ยยังคงโบกสะบัดอย่างทรงอำนาจกลางฝุ่นควัน องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงอยู่แนวหน้าในชุดเกราะดำสนิท ดาบยาวในมือถูกฟาดฟันอย่างเฉียบคม สะบั้นโลหะและเลือดสาดกระเซ็นในทุกครั้งที่เหวี่ยงทหารใต้บังคับบัญชาต่างมององค์ชายของตนเป็นดั่งเพลิงศึกที่ไม่มีวันดับ การเคลื่อนไหวของเขาแม่นยำ หนักแน่น และเด็ดขาด ทุกคำสั่งจากปากนั้นนำพากำลังใจของกองทัพให้พุ่งทะลวงเข้าไปได้ลึกขึ้นเรื่อยๆแต่ศัตรูในครั้งนี้ไม่ใช่พวกไร้ฝีมือ พวกมันเตรียมการมาอย่างรัดกุม รู้จังหวะ รู้จุดอ่อน และบีบเข้ามาเป็นชั้นๆ ราวกับกับดักซ้อนกล ทหารแคว้นเป่ยเริ่มถูกแยกออกจากกัน เสียงเหล็กปะทะกันดังไม่ขาดสายขณะที่หลี่เหวินหลงกำลังฟาดฟันกับแม่ทัพศัตรูคนหนึ่งทางแนวซ้าย หา
แสงอรุณแรกของวันค่อยๆ สาดต้องปลายยอดเขา หมอกบางคลอเคลียยอดหญ้าเหนือทุ่งรบอันกว้างไกล เสียงแตรศึกดังสะท้อนก้องไปทั่วค่ายทัพ ปลุกเหล่าทหารให้ตื่นจากความเงียบงันเข้าสู่เช้าวันใหม่ ธงทัพสีชาดปลิวสะบัดกลางสายลมเช้า แผ่นผ้าขนาดมหึมามีอักษรคำว่า เป่ย ปักด้วยด้ายทองแวววาวราวเปลวเพลิงบนท้องฟ้าองค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงประทับหลังอาชาเบื้องหน้าแถวทหาร ใต้เกราะศึกสีดำสนิทที่สะท้อนแสงอาทิตย์แรก เขากวาดตามองเหล่าทหารกล้าผู้พร้อมพลีชีพเพื่อแผ่นดิน ก่อนจะควบอาชาสีดำสนิทขึ้นไปยังเนินสูง"เหล่าทหารแห่งแคว้นเป่ย!""เราทุกคนต่างมีเลือด มีชีวิต มีครอบครัวอยู่เบื้องหลัง!""พวกมันย่ำยีผืนดินของเรา ฆ่าผู้บริสุทธิ์ เหยียบเกียรติของแผ่นดินของเรา!"เสียงของเขาดังก้องราวสายฟ้าฟาดกลางเวหา"วันนี้! เราจะสู้...เพื่อทวงคืนทุกสิ่งกลับคืนมา!""บดขยี้ทัพศัตรูให้สิ้น! ถึงเวลาให้มันรู้ว่าผู้ใดคือเจ้าของแผ่นดินนี้!""ถวายชีวิตเพื่อแผ่นดิน! ถวายชีวิตเพื่อองค์ชายใหญ่!"เสียงกู่ร้องคำรามตอบกลับดังก้องภูผา"เพื่อแผ่นดิน! เพื่อแผ่นดิน!"เสียงทหารนับหมื่นตะโกนพร้อมกัน โห่ร้องก้องสะเทือนฟ้าดินองค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงยกดาบคู่กายขึ







