เมื่อเห็นความมุ่งมั่นที่แท้จริงในแววตาของเด็กหนุ่ม ยายาก็ตัดสินใจ นางพยุงร่างของหยางเหว่ยให้ลุกขึ้นและเดินเข้าไปในส่วนที่ลึกที่สุดของกระท่อม ที่นั่นมีหีบไม้เก่าแก่ใบหนึ่งวางอยู่ นางเปิดมันออกอย่างช้าๆ เผยให้เห็นชุดงิ้วตัวนางที่งดงามที่สุดชุดหนึ่ง แม้จะเก่าเก็บ แต่ก็ยังคงความวิจิตรตระการตา
“หากเจ้าจะเดินบนเส้นทางสายนี้... เหลียนหยางเหว่ยจะต้องตายไปจากโลกนี้เสียก่อน” ยายาพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “และต่อจากนี้ไป เจ้าจะต้องผ่านการฝึกฝนที่เจ็บปวดราวกับตายทั้งเป็น”
และนรกบนดินของหยางเหว่ยก็ได้เริ่มต้นขึ้น
ทุกๆ เช้าก่อนตะวันขึ้น เขาจะต้องตื่นมาฝึกดัดตนเพื่อให้ร่างกายมีความอ่อนช้อย ยายาบังคับให้เขาฉีกขา ยืดเส้น และทำท่าที่ฝืนธรรมชาติของบุรุษจนหยาดน้ำตาไหลอาบใบหน้า
ทุกๆ กลางวัน เขาจะต้องฝึกการเดิน การร่ายรำ และการใช้สายตาที่สื่ออารมณ์ ยายาจะเฆี่ยนตีเขาด้วยกิ่งไผ่ทุกครั้งที่ท่วงท่าของเขาแข็งกระด้างเกินไป
ทุกๆ เย็น เขาจะต้องฝึกการหายใจและการใช้เสียง เพื่อขับเสียงให้ออกมาสูงและนุ่มนวลราวสตรี มันคือการฝึกฝนที่ทารุณและไม่เคยมีวันหยุดพัก
เวลาผ่านไปหนึ่งปี ร่างของหยางเหว่ยในวัยสิบห้าปีเริ่มเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติ แม้จะควบคุมอาหารและฝึกฝนอย่างหนัก แต่โครงสร้างของบุรุษก็เริ่มปรากฏขึ้น มีไรหนวดจางๆ ขึ้นให้เห็น
เขารู้สึกกังวลเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นสัญญาณของการเข้าสู่การเป็นบุรุษเพศเต็มตัว ทรวดทรวองค์เอวที่เคยมีอ้อนแอ้นอรชรประดุจสตรีอาจจะหายไปเมื่อเจริญวัย และไม่อาจกลับมาสู่จุดเดิมได้อีก เขาเองก็รู้สึกชิงชัง การเป็นบุรุษอยู่ไม่น้อย ด้วยเหตุที่บิดาของเขา มิอาจจะเป็นตัวอย่างที่ดีได้สักเท่าไหร่นัก ภาพจำบิดาในฐานะบุรุษจากสายตาและความทรงจำเขาเต็มไปด้วยความแข็งกร้าว ความก้าวร้าว การใช้อารมณ์รุนแรง การใช้กำลังบังคับ เขารู้สึกกลัวเหลือเกินที่จะกลายเป็นคนเข่นนั้น...
ยายาเองก็สังเกตเห็นเช่นกันว่าเขากำลังกังวลกับการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่การเป็นบุรุษฉกรรจ์
คืนหนึ่ง หลังจากที่หยางเหว่ยฝึกซ้อมจนหมดแรง ยายาก็เรียกเขาเข้าไปพบในห้อง นางวางถ้วยยาที่มีกลิ่นฉุนรุนแรงไว้ตรงหน้าเขา
“ยาอะไรหรือขอรับ ท่านอาจารย์”
“นี่คือเทียบยาสมุนไพรโบราณที่สืบทอดกันมา” ยายาตอบ “มันจะช่วยชะลอการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของเจ้า ทำให้ร่างกายของเจ้ายังคงความอรชรดังสตรีไว้ และทำให้ไรหนวดเคราไม่ปรากฏขึ้นอีก”
นางจ้องลึกเข้าไปในตาของเขา ก่อนจะอธิบายต่อ
“แต่เมื่อดื่มเข้าไปแล้ว... มันจะเปลี่ยนแปลงร่างกายของเจ้าไปตลอดกาล เจ้าจะไม่มีวันกลับไปเป็นบุรุษโตเต็มวัยที่สมบูรณ์ได้อีก แต่เจ้าก็ไม่อาจเป็นสตรีได้เต็มตัว และเจ้าจะต้องดื่มมันทุกครึ่งเดือนไปตลอดชีวิต หากขาดมันเจ้าอาจจะถึงแก่ชีวิตหรือทรุดโทรมลงอย่างรวดเร็ว นี่คือโอกาสสุดท้ายของเจ้าที่จะเปลี่ยนใจ”
หยางเหว่ยมองถ้วยยาในมือนิ่ง เขานึกถึงใบหน้าอันเกรี้ยวกราดของบิดา นึกถึงเศษขลุ่ยที่แตกหัก และนึกถึงความสุขที่ได้ร่ายรำอยู่หน้ากระจกเงา
เขาตัดสินใจแล้ว... เขาได้ตายไปจากโลกใบเก่าตั้งแต่วันที่ก้าวเท้าออกจากบ้านหลังนั้นแล้ว
เขายกถ้วยยาขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมดสิ้น ความขมขื่นของมันแล่นพล่านไปทั่วร่าง แต่ในใจของเขากลับรู้สึกสงบอย่างประหลาด
“นับแต่นี้ไป เหลียนหยางเหว่ยได้ตายไปแล้ว” ยายาเอ่ยขึ้น “เจ้าคือบุปผาที่งดงามแต่แข็งแกร่งราวหยกเนื้อดี ผิวของเจ้าขาวราวกับหยกที่ยังไม่เจียระไน ข้าจะตั้งชื่อให้เจ้าใหม่ว่า อวี้ฮวา (玉花) (บุปผาหยก)” นางหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อ “ส่วนแซ่...เจ้าคือจุดเริ่มต้นใหม่ที่ขาวสะอาด แซ่ ไป๋ (白) ที่แปลว่าสีขาวคงจะเหมาะสมกับเจ้าที่สุด ต่อไปเจ้าคือไป๋อวี้ฮวา”
เวลาผ่านไปอีกหนึ่งปี ไป๋อวี้ฮวาในวัยสิบหกปีได้ซึมซับทุกสิ่งทุกอย่างที่ยายาสั่งสอนจนหมดสิ้น รูปร่างของเขาบัดนี้ดูอรชรอ้อนแอ้น กิริยาท่าทางอ่อนหวานงดงามจนแทบไม่มีใครดูออกว่าเคยเป็นบุรุษมาก่อน
เช้าวันหนึ่ง ยายาที่สุขภาพเริ่มทรุดโทรมลงตามวัยได้เรียกเขามาพบ
“อวี้ฮวา... สิ่งที่ข้าสอนเจ้าได้หมดสิ้นแล้ว ป่าแห่งนี้เล็กเกินไปสำหรับหงส์ฟ้าเช่นเจ้า ถึงเวลาที่เจ้าจะต้องโบยบินสู่โลกกว้างแล้ว” นางยื่นจดหมายปิดผนึกฉบับหนึ่งให้เขา “นี่คือจดหมายแนะนำตัวถึงสหายเก่าของข้าผู้หนึ่ง เขามีชื่อว่า ไป๋จิ้งหยวน เป็นหัวหน้าคณะงิ้วเร่ร่อนที่เที่ยงธรรมและมีสายตากว้างไกลที่สุดคนหนึ่งที่ข้ารู้จัก จงไปหาเขา แล้วเขาจะดูแลเจ้าเอง ส่วนยานั้นข้าได้ผสมให้เจ้าแล้ว มากพอที่จะปรุงให้เจ้ากินได้อีกหลายปี และสูตรยาข้าก็แนบไปด้วยแล้ว เผื่อสักวันมันหมดไป จะได้หาส่วนผสมเองได้ เจ้าอย่าลืมกินทุกครึ่งเดือนล่ะ”
การจากลาเต็มไปด้วยความอาลัย อวี้ฮวาคุกเข่ากราบลาอาจารย์และแม่คนที่สองของเขา ก่อนจะออกเดินทางตามลายแทงในจดหมาย
เขาได้พบกับคณะงิ้วของเร่ร่อนไป๋จิ้งหยวนในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งที่กำลังจัดงานเทศกาล ท่านลุงไป๋เป็นชายวัยกลางคนที่ดูภายนอกเหมือนพ่อค้าผู้เจนโลก แต่ดวงตาของเขากลับเปี่ยมด้วยปัญญาและความสุขุมเยือกเย็น อวี้ฮวายื่นจดหมายให้เขา
ไป๋จิ้งหยวนอ่านจดหมายฉบับนั้นอย่างช้าๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาพินิจพิจารณา “เด็กสาว” ที่งดงามราวกับภาพวาดตรงหน้าอย่างละเอียดถี่ถ้วน เขามองเห็นความมุ่งมั่นอันแรงกล้าที่ซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทีที่นอบน้อมนั้น และเขาก็เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างที่ยายาไม่ได้เขียนลงไปในจดหมาย
“ข้าจะรับเจ้าไว้” ไป๋จิ้งหยวนกล่าวเรียบๆ “แต่ชีวิตในคณะงิ้วนั้นลำบาก เจ้าจะทนได้รึ”
“ข้าน้อยทนได้ทุกอย่างเจ้าค่ะ” อวี้ฮวาตอบอย่างหนักแน่น
ไป๋จิ้งหยวนพยักหน้า ก่อนจะหันไปเรียกเด็กสาวหน้าตาซื่อๆ คนหนึ่งที่คอยยืนรับใช้อยู่ไม่ห่าง
“อาเจิน! นับแต่นี้ไป เจ้าคือผู้ดูแลส่วนตัวของแม่นางไป๋อวี้ฮวาแต่เพียงผู้เดียว จงดูแลนางให้ดีที่สุด อย่าให้ขาดตกบกพร่อง และอย่าให้ผู้ใดรบกวนนางโดยไม่จำเป็น เข้าใจหรือไม่ และความลับเกี่ยวกับร่างกายนาง เจ้าจะเป็นผู้เดียวที่ล่วงรู้ ห้ามให้คนอื่นรู้ด้วยเด็ดขาด!”
“เจ้าค่ะ ท่านหัวหน้า!” อาเจินรับคำอย่างแข็งขัน นางมองอวี้ฮวาด้วยสายตาที่เปี่ยมด้วยความชื่นชมและเป็นมิตร
.
หลายเดือนต่อมา ในโรงละครชั่วคราวเล็กๆ ของเมืองชายแดนแห่งหนึ่ง ท่านลุงไป๋จิ้งหยวนได้ก้าวขึ้นมาบนเวทีและประกาศด้วยน้ำเสียงกึกก้อง
“และในค่ำคืนนี้ ขอเชิญทุกท่านพบกับนักแสดงคนใหม่ของคณะเรา บุปผาดวงใหม่ที่จะมาเบ่งบานในใจของทุกท่าน... ขอเชิญพบกับนางเอกของเรา!”
สิ้นเสียงประกาศ ร่างระหงในชุดงิ้วตัวนางที่งดงามก็ก้าวออกมาจากหลังม่านช้าๆ แสงตะเกียงสาดส่องลงมากระทบเครื่องประดับบนศีรษะจนเปล่งประกายระยิบระยับ ไป๋อวี้ฮวากวาดสายตามองผู้ชมที่อยู่เบื้องล่าง หัวใจของนางเต้นระรัวด้วยความตื่นเต้นและความหวาดหวั่น แต่วินาทีที่เสียงดนตรีโหมโรงดังขึ้น ความกลัวทั้งหมดก็มลายหายไป เหลือเพียงจิตวิญญาณของศิลปินที่รอคอยวันนี้มาทั้งชีวิต
เขาย่อตัวลงคารวะผู้ชมอย่างอ่อนช้อยงดงาม ก่อนจะเริ่มต้นร่ายรำและขับขานบทเพลง
เหลียนหยางเหว่ยได้ตายไปแล้วโดยสมบูรณ์ บัดนี้... มีเพียงไป๋อวี้ฮวาเท่านั้น
ณ คฤหาสน์ตระกูลเหลียนที่สงบสุข...จดหมายจากเหมยหลินถูกส่งมาถึงมือของไป๋อวี้ฮวา อี้เฉินที่นั่งอยู่ข้างๆ มองด้วยความไม่ไว้วางใจ แต่เมื่ออวี้ฮวาคลี่จดหมายออกอ่าน สีหน้าของนางก็ค่อยๆ เปลี่ยนจากความประหลาดใจเป็นความรู้สึกทึ่งและตื้นตันใจเล็กๆนางยื่นจดหมายให้อี้เฉินอ่าน เนื้อความในนั้นเขียนไว้ว่า:“ถึง ไป๋อวี้ฮวา สหายและอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ของข้าชัยชนะของท่านเมื่อห้าปีก่อน ได้ทำลายความหยิ่งทนงของข้าจนหมดสิ้น แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ได้ปลุกจิตวิญญาณศิลปินที่หลับใหลของข้าให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ท่านได้แสดงให้ข้าเห็นถึงเส้นทางที่ข้าได้หลงลืมไปบัดนี้ ข้าได้ผ่านการเดินทางและขัดเกลาปีกของตนเองแล้ว ข้าจึงอยากจะขอส่งสารนี้มาเพื่อท้าทายท่านอีกครั้งหนึ่ง แต่มันไม่ใช่การประชันเพื่อชิงความเป็นหนึ่งอีกต่อไป แต่คือการท้าทายเพื่อให้พวกเราทั้งสองได้ร่วมกันสร้างสรรค์การแสดงที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่แผ่นดินนี้เคยมีมาข้าขอเชิญท่านและคณะงิ้วของท่าน เดินทางมายังเมืองหลวง เพื่อเปิดการแสดงเคียงข้างกันบนเวทีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเรา ให้ชาวโลกได้ประจักษ์ว่าศิลปะที่แท้จริงนั้นงดงามเพียงใดด้วยความเคารพอย่างสูงสุดเหมย
สองปีหลังจากการประชันงิ้ว...กาลเวลาได้พัดพาเรื่องราวการประชันอันเลื่องชื่อระหว่างหงส์ฟ้าแห่งเมืองหลวงและนางสวรรค์แห่งแดนใต้ให้กลายเป็นตำนานบทหนึ่งที่ถูกเล่าขานในโรงน้ำชาและคณะละครทั่วหล้า สำหรับชาวเมืองทางใต้ มันคือเรื่องราวแห่งความภาคภูมิใจ แต่สำหรับเมืองหลวงแล้ว มันคือรอยด่างพร้อยในประวัติศาสตร์ที่สมบูรณ์แบบของคณะงิ้วหลวง และคือความอัปยศที่นางพญาหงส์อย่างเหมยหลินต้องแบกรับไว้แต่เพียงผู้เดียวการเดินทางกลับสู่เมืองหลวงของเหมยหลินในครั้งนั้น ช่างแตกต่างจากการเดินทางมาเยือนแดนใต้อย่างสิ้นเชิง ขบวนรถม้าที่เคยยิ่งใหญ่บัดนี้กลับดูหม่นหมองไร้สง่าราศี บรรยากาศในคณะเต็มไปด้วยความเงียบงันที่น่าอึดอัด ข่าวความพ่ายแพ้ ได้เดินทางล่วงหน้ามาถึงก่อนตัวนางเสียอีก สายตาของชาวเมืองหลวงที่เคยเปี่ยมด้วยความชื่นชมบูชา บัดนี้กลับเจือปนด้วยความผิดหวังและคำถามเหมยหลินเก็บตัวเงียบอยู่ในเรือนพักของนาง ปฏิเสธการเข้าพบจากทุกคน นางพยายามจะกลับไปใช้ชีวิตเช่นเดิม พยายามจะกลับขึ้นไปบนเวทีที่เคยเป็นดั่งบัลลังก์ของนาง แต่ทุกอย่างกลับไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปนางยังคงร่ายรำได้อย่างสมบูรณ์แบบ... แต่นางกลับรู้สึกถึงความว
คำประกาศิตที่เกรี้ยวกราดของเหลียนจื้อเซินดังก้องสะท้อนอยู่ในห้องที่เงียบงัน มันคือคำตัดสินที่เฉียบขาดและเย็นชาที่สุด คือการผลักไสสายเลือดของตนเองให้กลายเป็นคนอื่นอีกครั้ง ไป๋อวี้ฮวายังคงคุกเข่านิ่งอยู่บนพื้น ร่างกายชาวาบไปทั้งร่างราวกับถูกแช่แข็ง น้ำตาทุกหยดเหือดแห้งไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงความว่างเปล่าที่เจ็บปวดอย่างแสนสาหัสทว่าในครั้งนี้ นางไม่ได้อยู่เพียงลำพัง“หากท่านจะไล่เขาไป... ก็โปรดไล่ข้าไปด้วย”เสียงของเหลียนอี้เฉินดังขึ้นอย่างหนักแน่นและไม่เกรงกลัว เขาก้าวมายืนเคียงข้างร่างของอวี้ฮวา เผชิญหน้ากับบิดาบุญธรรมของตนเองอย่างไม่ยอมหลบสายตา“หากเขาไม่ใช่บุตรชาย หรือสะใภ้ของท่าน ข้าก็ไม่ใช่บุตรชายของท่านอีกต่อไป หากที่นี่ไม่มีที่ให้เขายืน... ก็ย่อมไม่มีที่สำหรับข้าเช่นกัน พวกเราจะจากไปพร้อมกันเดี๋ยวนี้”คำพูดนั้นราวกับค้อนหนักๆ ที่ทุบลงมากลางใจของเหลียนจื้อเซิน การสูญเสียลูกชายคนเดียวไปเมื่อแปดปีก่อนคือความเจ็บปวดที่เขาซ่อนไว้ใต้หน้ากากแห่งความแข็งกร้าวมาโดยตลอด การต้องมาสูญเสียลูกชายบุญธรรมที่เปรียบเสมือนแขน
พวกเขาเลือกรุ่งเช้าของวันต่อมา... ด้วยมันเป็นวันที่เหลียนจื้อเซินดูสดใสและมีกำลังวังชามากที่สุดนับตั้งแต่ฟื้นไข้อี้เฉินและอวี้ฮวาขอเข้าพบเป็นการส่วนตัวในห้องนอนของบิดา โดยมีท่านหญิงเหลียนนั่งอยู่ข้างเตียงด้วยเช่นกัน บรรยากาศในห้องดูผ่อนคลายและเปี่ยมด้วยความสุขจากการฟื้นตัวของประมุขแห่งบ้านอี้เฉินเป็นผู้เริ่มต้น เขารู้ดีว่าในฐานะบุตรชายและสามี เขาคือผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อเรื่องราวทั้งหมดเขาคุกเข่าลงกับพื้นข้างเตียงของบิดา ทำให้ทุกคนในห้องตกใจไปตามๆ กัน“อี้เฉิน! เจ้าทำอะไรของเจ้า!”“ท่านพ่อ ท่านแม่... ก่อนที่ข้าจะพูดอะไรต่อไป ข้าขอให้ท่านทั้งสองโปรดจงรู้ไว้ว่า... ข้ารักอวี้ฮวา... รักอย่างสุดหัวใจ และไม่ว่าความจริงที่ข้าจะพูดต่อไปนี้จะเป็นเช่นไร ความรักของข้าที่มีต่อนางจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”เขาเริ่มต้นเล่าเรื่องราว... ตั้งแต่คืนส่งตัวที่เขาได้ล่วงรู้ความจริง... ความโกรธเกรี้ยว ความสับสน และการตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตที่จะยอมรับและปกป้องคนที่เขารักต่อไป เขาสารภาพว่าเขาร่วมมือกับนางในการหลอกลวงเรื่องการตั้งครรภ
ในห้องหนังสือที่เงียบสงบ มีเพียงอี้เฉินและอวี้ฮวาที่นั่งเผชิญหน้ากับหมอเทวดากู้ บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียดที่มองไม่เห็นท่านหมอกู้ไม่ได้เริ่มต้นด้วยการกล่าวหา แต่กลับเริ่มต้นด้วยการชื่นชม“ตลอดหลายวันที่ผ่านมา ข้าได้เห็นความทุ่มเทของฮูหยินน้อยแล้ว นับเป็นลูกสะใภ้ที่กตัญญูและมีจิตใจเข้มแข็งอย่างหาได้ยากยิ่ง”“ท่านหมอชมเกินไปแล้วเจ้าค่ะ” อวี้ฮวาตอบเสียงเบา ส่วนท่านหมอกู้ก็จิบชา ก่อนจะวางถ้วยลงและมองตรงมาที่นาง“แต่สิ่งที่ข้าชื่นชมนั้น...กลับยิ่งสร้างความสับสนให้แก่ข้ามากขึ้นไปอีก”เขาประสานมือไว้บนตัก จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของอวี้ฮวา ก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำให้นางและอี้เฉินรู้สึกราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุน“ชีพจรของฮูหยินน้อย... มีบางอย่างที่ข้าไม่เข้าใจ... มันไม่เหมือนชีพจรสตรีเลย”ความเงียบที่โรยตัวลงในห้องหนังสือนั้นหนักอึ้งเสียยิ่งกว่าหินผาพันชั่ง ไป๋อวี้ฮวาและเหลียนอี้เฉินนั่งนิ่งตัวแข็งทื่อราวกับรูปสลัก คำพูดของท่านหมอกู้ยังคงดังก้องอยู่ในโสตประสาทของพวกเขาราวกับเสียงระฆังที่ตีซ้ำแล้วซ้ำ
ในที่สุด เช้าวันที่สาม ความหวังก็มาถึงชายชราร่างเล็กในชุดผ้าฝ้ายสีเทาธรรมดาๆ พร้อมกับกล่องยาไม้เก่าๆ ใบหนึ่ง ถูกนำทางเข้ามาในคฤหาสน์ เขาไม่มีท่าทีโอ่อ่าเหมือนหมอหลวง ไม่มีรัศมีน่าเกรงขามเหมือนจอมยุทธ์ แต่ดวงตาของเขานั้นกลับสุขุมและเปี่ยมด้วยปัญญาจนทำให้ทุกคนที่อยู่รายล้อมต้องรู้สึกสงบลงอย่างน่าประหลาด“คารวะท่านหมอกู้” อี้เฉินรีบเข้ามาประสานมือคารวะหมอเทวดากู้เพียงพยักหน้ารับเบาๆ“อย่าได้มากพิธีเลย นำข้าไปดูคนไข้เถิด”เมื่อเข้ามาในห้องนอนที่อบอวลไปด้วยกลิ่นยา ท่านหมอกู้ก็ไม่ได้สนใจผู้ใดอีก เขาวางกล่องยาลงและเดินตรงไปที่เตียงของผู้ป่วยทันที เขามองดูสีหน้า ตรวจดูเปลือกตาและลิ้นของเหลียนจื้อเซิน ก่อนจะทำในสิ่งที่สำคัญที่สุด... การตรวจจับชีพจรนิ้วมือที่เหี่ยวย่นแต่กลับมั่นคงของเขาวางลงบนข้อมือของเหลียนจื้อเซินอย่างแผ่วเบา เขาหลับตาลง ใช้สมาธิทั้งหมดเพื่อรับฟัง "เสียง" ของชีวิตที่กำลังจะดับสูญ เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าจนทุกคนแทบจะหยุดหายใจ“ชีพจรแผ่วเบาและแตกซ่านราวกับเส้นด้ายที่กำลังจะขาด” ท่านหมอเอ่ย