LOGIN
แคว้นต้าหลง อันกว้างใหญ่ไพศาลกำลังเผชิญกับลมหนาวที่พัดพามาจากทิศเหนือ ไม่ใช่เพียงลมหนาวตามฤดูกาล แต่เป็นลมหนาวแห่งสงครามและความตาย ข่าวคราวความพ่ายแพ้ของกองทัพที่ชายแดนทางเหนือหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงไม่ขาดสายดุจสายน้ำที่เชี่ยวกราก หัวเมืองต่างๆ ถูกตีแตกราวกิ่งไม้แห้ง ราษฎรล้มตายและพลัดพรากจากบ้านเกิดกลายเป็นผู้อพยพที่ไร้ซึ่งอนาคต ทว่าท่ามกลางเปลวเพลิงแห่งสงครามและความเน่าเฟะของราชสำนักที่เมืองหลวง ยังมีดินแดนแห่งหนึ่งที่เปรียบเสมือนปราการเหล็กกล้าที่ตั้งตระหง่านอยู่ทางทิศใต้...เมืองจินไห่
เมืองจินไห่เป็นเมืองหน้าด่านทางใต้สุดของแคว้นต้าหลง แม้จะอยู่ห่างไกลจากเมืองหลวง แต่กลับเจริญรุ่งเรืองและมั่งคั่งกว่าหัวเมืองใดๆ ในแผ่นดิน กำแพงเมืองสูงใหญ่และแข็งแกร่งทอดตัวยาวเหยียดดุจมังกรหลับใหล บนกำแพงนั้นมีทหารหาญในชุดเกราะสีดำทะมึนยืนรักษาการณ์อย่างองอาจ ทุกย่างก้าวของพวกเขาเต็มไปด้วยระเบียบวินัย แววตาคมกล้าดุจเหยี่ยวที่พร้อมจะโฉบเข้าขย้ำศัตรูผู้รุกราน
ความสงบสุขและความเป็นระเบียบเรียบร้อยทั้งหมดนี้ ไม่ได้มาจากอำนาจบารมีขององค์ฮ่องเต้ที่อยู่ห่างไกลออกไป แต่มาจากบุรุษผู้เป็นดั่งเทพสงครามในใจของชาวเมืองจินไห่...แม่ทัพเถี่ย อ้าวเทียน
ณ ลานฝึกทหารอันกว้างใหญ่ใจกลางค่ายพยัคฆ์ทมิฬ เสียงกระทบกันของอาวุธและเสียงโห่ร้องที่เปี่ยมด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ ร่างสูงสง่าในชุดเกราะสีนิลกาฬยืนนิ่งอยู่บนแท่นบัญชาการ แผ่นหลังตั้งตรงดุจหอกเล่มเดียวทิ่มแทงฟ้า แววตาคมปลาบดุจน้ำแข็งพันปีของเขากวาดมองเหล่าทหารที่กำลังฝึกซ้อมอย่างเข้มขวด ใบหน้าหล่อเหลาที่ราวกับสวรรค์ปั้นแต่งนั้นเรียบเฉยเย็นชาจนน่าหวาดหวั่น ทุกรายละเอียดของการฝึกฝนล้วนอยู่ในสายตาของเขา ไม่มีการเคลื่อนไหวใดที่เล็ดลอดไปได้
"ช้าไป!"
น้ำเสียงทุ้มต่ำแต่ทรงพลังดังขึ้น ไม่ดังมากแต่กลับเฉียบขาดจนทหารทั้งลานฝึกสะท้านไปถึงกระดูกดำ ทุกคนหยุดชะงักและหันมาประสานสายตาไปยังร่างบนแท่นบัญชาการด้วยความยำเกรง
"กระบวนท่าทะลวงฟันของหมู่ที่สาม ขาดความเด็ดขาดไปสามส่วน พลังปราณไม่ต่อเนื่อง พลังที่ส่งออกไปจึงลดทอนลงครึ่งหนึ่ง หากเผชิญหน้ากับศัตรูที่มีฝีมือทัดเทียมกัน พวกเจ้าก็คือซากศพ!"
วาจาของเถี่ย อ้าวเทียน ไม่มีการปลอบประโลม มีแต่ความจริงที่โหดร้ายและตรงไปตรงมา ทหารหมู่ที่สามใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นจริงจัง ก้มศีรษะลงรับคำบัญชาอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง "ขอรับท่านแม่ทัพ! พวกข้าน้อยจะเริ่มฝึกใหม่!"
ข้างกายของเถี่ย อ้าวเทียน มีบุรุษสองคนยืนอยู่ หนึ่งคือบุรุษร่างกำยำสูงใหญ่ในชุดเกราะเต็มยศ ใบหน้าคมเข้มเต็มไปด้วยร่องรอยของบาดแผลจากการศึก มองดูแล้วดุดันน่าเกรงขาม เขาคืออู่ เลี่ย ขุนพลคู่ใจสายบู๊ ผู้เป็นเหมือนแขนขวาของอ้าวเทียน เขาตบเกราะอกตัวเองดังปังแล้วหัวเราะก้อง "ท่านแม่ทัพ ท่านก็ยังเข้มงวดเหมือนเคย ไอ้เด็กพวกนี้กระดูกแทบจะหักเป็นผุยผงอยู่แล้ว!"
"หากกระดูกหักในสนามฝึก ยังมีโอกาสรักษา แต่หากพลาดท่าในสนามรบ มีแต่ความตาย" เถี่ย อ้าวเทียนตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยเช่นเคย
บุรุษอีกผู้หนึ่งที่ยืนอยู่อีกฟากหนึ่งมีลักษณะตรงกันข้ามกับอู่ เลี่ยโดยสิ้นเชิง เขาสวมชุดบัณฑิตสีคราม ใบหน้าเกลี้ยงเกลาดูสุภาพอ่อนโยน ในมือถือพัดด้ามจิ้ว คอยโบกเบาๆ อย่างไม่รีบร้อน เขาคือเหวิน จ้าว กุนซือคู่ใจสายบุ๋น ผู้เป็นมันสมองของกองทัพจินไห่
เหวิน จ้าวยิ้มบางๆ "ท่านแม่ทัพทำถูกแล้ว การหลั่งเหงื่อในสนามฝึก ดีกว่าการหลั่งเลือดในสนามรบ ข่าวจากเมืองหลวงล่าสุดแจ้งมาว่า กองทัพของแม่ทัพเจิ้งทางเหนือแตกพ่ายอีกครั้ง สูญเสียหัวเมืองไปอีกสองแห่ง ตอนนี้คลื่นผู้อพยพคงกำลังมุ่งหน้าลงมาทางใต้อีกระลอกใหญ่"
แววตาของเถี่ย อ้าวเทียน วาบประกายเย็นเยียบขึ้นมาวูบหนึ่ง "ฮ่องเต้ยังคงนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรอย่างสงบสุขงั้นรึ?"
"ขอรับ" เหวิน จ้าวถอนหายใจ "ราชสำนักยังคงวุ่นวายอยู่กับการแก่งแย่งชิงดี รัชทายาทก็เอาแต่เสพสุขอยู่ในตำหนักบูรพา ไม่เคยสนใจความเป็นตายของทหารและราษฎรที่ชายแดน"
"ช่างน่าสมเพช" อู่ เลี่ยถ่มน้ำลายลงพื้น "หากราชสำนักมีคนที่มีความสามารถสักครึ่งหนึ่งของท่านแม่ทัพ...แคว้นต้าหลงคงไม่ตกต่ำถึงเพียงนี้"
คำพูดของอู่ เลี่ย ทำให้บรรยากาศรอบกายของเถี่ย อ้าวเทียน ยิ่งเย็นเยียบจับขั้วหัวใจ เขากำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมา ความแค้นที่สุมอยู่ในอกมานานหลายปีพลุ่งพล่านขึ้นมาราวกับเปลวเพลิง เขาไม่มีวันลืมภาพโศกนาฏกรรมในอดีต วันที่ต้องสูญเสียครอบครัวไปอย่างไม่ยุติธรรม และต้องระหกระเหินหนีการตามล่าอย่างเอาเป็นเอาตายพร้อมกับมารดาตั้งแต่วัยเยาว์...
ความแค้นนี้ มีเพียงเลือดของผู้ที่อยู่จุดสูงสุดในเมืองหลวงเท่านั้นที่จะชำระล้างได้!
เถี่ย อ้าวเทียน สะกดกลั้นอารมณ์ที่ปั่นป่วนเอาไว้ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องเป็นน้ำเสียงที่เด็ดขาด "สั่งการลงไป ให้เปิดคลังเสบียงเพิ่ม เตรียมรับผู้อพยพ จัดตั้งหน่วยแพทย์และที่พักชั่วคราว อย่าให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในเมืองเป็นอันขาด" เขาหยุดไปชั่วครู่ ก่อนจะเสริมด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยียบยิ่งกว่าเดิม "และแจ้งให้ผู้อพยพทุกคนทราบ เมืองจินไห่ของข้าต้อนรับผู้ที่สิ้นหนทาง แต่ไม่เลี้ยงดูคนขี้เกียจ เมื่อพวกเขาได้รับการรักษาจนแข็งแรงดีแล้ว ให้จัดสรรพื้นที่รกร้างว่างเปล่าให้ทำการเพาะปลูกเพื่อเติมเสบียงเข้าคลัง คนที่มีฝีมือด้านใดให้ใช้ความสามารถนั้นทำประโยชน์แก่ส่วนรวม ข้าให้ที่พักพิงแก่พวกเขาเพื่อให้มีชีวิตรอด ไม่ใช่เพื่อมาอยู่สุขสบาย หากใครคิดจะเอาเปรียบผู้อื่น ก็ส่งพวกมันกลับไปอดตายที่เมืองหลวงเสีย!"
"ขอรับ!" เหวิน จ้าวรับคำสั่ง
ขณะที่ความตึงเครียดแผ่ซ่านไปทั่วค่ายพยัคฆ์ทมิฬ ในอีกมุมหนึ่งของเมืองจินไห่ บรรยากาศกลับแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
ณ โรงทานชานเมืองที่จัดตั้งขึ้นชั่วคราว หญิงสาวในอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ดุจดอกเหมยแรกแย้มกำลังตักโจ๊กใส่ถ้วยส่งให้เหล่าผู้อพยพที่หิวโหยด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน แม้เสื้อผ้าของนางจะเรียบง่ายปราศจากเครื่องประดับล้ำค่า แต่กลับไม่อาจบดบังความงามอันเหนือมนุษย์ของนางได้เลยแม้แต่น้อย ผิวพรรณขาวผ่องดุจหยกเนื้อดี ดวงตาคู่สวยฉ่ำหวานราวกับมีดวงดาวพร่างพราวอยู่ภายใน ริมฝีปากอิ่มเต็มแย้มยิ้มอย่างจริงใจ ทุกการเคลื่อนไหวของนางงดงามราวกับภาพวาด
นางคือ เซี่ย เหยาเหยา บุตรสาวเพียงคนเดียวของเจ้าเมืองเซี่ย ผู้เป็นดั่งดวงใจและอัญมณีล้ำค่าแห่งเมืองจินไห่
"คุณหนูเจ้าคะ ท่านพักก่อนเถิดเจ้าค่ะ ให้บ่าวทำแทนเอง" สาวใช้คนสนิทกล่าวด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นคุณหนูของตนทำงานอย่างไม่หยุดหย่อนมาตั้งแต่เช้า
เซี่ย เหยาเหยายิ้มบางๆ "ข้ายังไหวอยู่ผิงเอ๋อร์ พวกเขาลำบากเดินทางมาไกล แค่นี้ถือว่าเล็กน้อยนัก" นางยื่นถ้วยโจ๊กให้เด็กน้อยคนหนึ่งที่เนื้อตัวมอมแมม พร้อมกับลูบศีรษะเขาเบาๆ ด้วยความเอ็นดู
เหล่าผู้อพยพต่างมองนางด้วยสายตาซาบซึ้งและเทิดทูน ในยามที่บ้านแตกสาแหรกขาด สูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง การได้พบเจอน้ำใจอันงดงามของคุณหนูตระกูลเซี่ย ก็เปรียบเสมือนแสงสว่างที่ส่องลงมาในความมืดมิด
ทันใดนั้น พลันเกิดความโกลาหลขึ้นที่ปลายแถว ทหารยามร่างใหญ่คนหนึ่งกำลังผลักอกชายชราผู้อพยพคนหนึ่งจนล้มลงกับพื้น "ไอ้แก่เห็นแก่ตัว! กล้าดียังไงมาเข้าแถวซ้ำสอง คิดว่าข้าจำหน้าไม่ได้รึ!"
"ข้า...ข้าเปล่านะนายท่าน ข้าแค่จะมาขอให้หลานอีกถ้วยหนึ่งเท่านั้น หลานข้ายังไม่อิ่ม" ชายชราทำท่าทีน่าสงสาร
"หุบปาก!" ทหารยามตวาดลั่น "หลานของเจ้าก็นั่งกินโจ๊กถ้วยของมันอยู่ตรงนั้น! อย่ามาใช้เด็กเป็นข้ออ้างในความละโมบของตัวเอง กฎก็คือกฎ! คนละถ้วยเท่านั้น!"
"หยุดเดี๋ยวนี้นะ!"
เสียงหวานใสแต่แฝงไว้ด้วยความเด็ดขาดดังขึ้น เซี่ย เหยาเหยาเดินฝ่าฝูงชนเข้ามา "เขาเป็นเพียงคนชราที่หิวโหย บางทีเขาอาจจะสับสนไปบ้าง เหตุใดท่านต้องทำรุนแรงถึงเพียงนี้"
ทหารยามผู้นั้นชะงักไปเมื่อเห็นว่าเป็นคุณหนูตระกูลเซี่ย แต่ก็ยังยืนกรานเสียงแข็ง "คุณหนูเซี่ย นี่เป็นคำสั่งของท่านแม่ทัพ หากเราปล่อยให้มีคนเอาเปรียบหนึ่งคน ก็ต้องมีคนที่สองสามตามมา เสบียงของเรามีไว้สำหรับทุกคน ไม่ใช่สำหรับคนโลภไม่กี่คน"
"แต่..." เซี่ย เหยาเหยากำลังจะโต้แย้ง แต่นางก็เหลือบไปเห็นเด็กชายที่ถูกอ้างถึงกำลังนั่งกินโจ๊กอย่างเอร็ดอร่อยอยู่ไม่ไกลจริงๆ นางพลันพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ความเมตตาของนางถูกความจริงตรงหน้าทำให้สั่นคลอน
ในขณะที่สถานการณ์กำลังตึงเครียด พลันมีเสียงฝีเท้าม้าดังกระหึ่มเข้ามาใกล้ กองทหารม้าในชุดเกราะสีดำสนิทกลุ่มหนึ่งควบม้ามาจอดอยู่ไม่ไกล แรงกดดันอันน่าหวาดหวั่นแผ่ออกมาจากร่างของบุรุษผู้นั่งอยู่บนหลังม้าตัวใหญ่สีดำทมิฬที่อยู่หน้าสุด...แม่ทัพเถี่ย อ้าวเทียน
เขามาตรวจตราความเรียบร้อยในเมืองพร้อมกับอู่ เลี่ย และเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด
สายตาเย็นชาของเขากวาดมองความวุ่นวายตรงหน้า ก่อนจะมาหยุดลงที่ร่างของหญิงสาวในชุดสีขาวที่ยืนนิ่งด้วยสีหน้าสับสน เขาไม่ได้ถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่กลับพูดกับนางโดยตรงด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "คุณหนูเซี่ย ความเมตตาที่ไร้ซึ่งกฎเกณฑ์ ย่อมนำมาซึ่งความวุ่นวาย ท่านให้ชายผู้นี้เพิ่มหนึ่งถ้วย คนอีกร้อยคนก็จะเรียกร้องเช่นเดียวกัน ในไม่ช้าก็จะไม่มีอะไรเหลือให้ผู้ที่ต้องการมันอย่างแท้จริง...นั่นคือผลลัพธ์ที่ท่านต้องการหรือ"
เซี่ย เหยาเหยาหน้าชาวาบ นางไม่สามารถโต้แย้งคำพูดของเขาได้เลย เพราะมันคือความจริงที่นางเพิ่งประจักษ์
เถี่ย อ้าวเทียน ไม่ได้รอคำตอบ เขาหันไปประกาศเสียงก้องให้ผู้อพยพทุกคนได้ยิน "ฟังให้ดี! เมืองจินไห่ให้โอกาสพวกเจ้ามีชีวิต แต่ไม่ได้ให้ชีวิตที่สุขสบาย ทุกคนต้องช่วยเหลือตัวเอง ทุกคนจะได้รับส่วนแบ่งที่ยุติธรรม ไม่มาก ไม่น้อยไปกว่ากัน ผู้ใดที่คิดจะเอาเปรียบน้ำใจของผู้อื่น สามารถไปหาที่อดตายที่อื่นได้!"
จากนั้นสายตาคมกริบของเขาก็จ้องไปยังชายชรา "เจ้าได้รับส่วนของเจ้าแล้ว ไปซะ หากข้าพบเจ้าก่อเรื่องอีกครั้ง เจ้าจะถูกเนรเทศ"
ชายชราตัวสั่นงันงก รีบลุกขึ้นแล้ววิ่งหายเข้าไปในฝูงชน
สุดท้าย เขาหันไปทางทหารยาม "เจ้าทำตามกฎ แต่ใช้กำลังเกินกว่าเหตุกับคนชรา กลับไปรับโทษโบยยี่สิบไม้ที่ค่าย"
"ขอรับท่านแม่ทัพ!" ทหารยามรับคำสั่งอย่างแข็งขัน
พูดจบ เขาก็มองมาที่เซี่ย เหยาเหยาเป็นครั้งสุดท้าย แววตาของเขายังคงเย็นชาเช่นเคย แต่ลึกลงไปนั้นคล้ายมีประกายบางอย่างซ่อนอยู่ "ความใจดีอาจเป็นอาวุธที่ย้อนกลับมาทำลายทุกสิ่งได้...คุณหนู ท่านควรใช้มันอย่างชาญฉลาด"
เขาสะบัดบังเหียนม้า นำกองทหารจากไป ทิ้งให้เซี่ย เหยาเหยายืนนิ่งอยู่ตรงนั้นราวกับถูกสาป คำพูดของเขายังคงก้องอยู่ในหูของนาง...นี่น่ะหรือเทพสงครามแห่งจินไห่? ไม่ใช่ความเลือดเย็น แต่เป็นความจริงที่โหดร้ายของการเป็นผู้นำ วันนี้นางได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญที่ไม่อาจหาได้จากในตำราเล่มใด
ณ จวนเจ้าเมืองในยามค่ำคืน เซี่ย เหยาเหยานั่งอยู่ตรงหน้าบิดาด้วยสีหน้าครุ่นคิด
"ท่านพ่อ วันนี้ข้าทำผิดไปใช่หรือไม่"
เจ้าเมืองเซี่ยหัวเราะเบาๆ "เหยาเอ๋อร์ เจ้าไม่ได้ทำผิด เจ้าเพียงแค่ได้เรียนรู้ความจริงอีกด้านของโลกเท่านั้น การให้ที่ไม่รู้จักพอ อาจนำมาซึ่งจุดจบของเมืองได้ การสอนให้ทุกคนรู้จักพึ่งพาตนเองต่างหากที่จะทำให้เมืองของเรายั่งยืน...นี่คือสิ่งที่แม่ทัพเถี่ยกำลังทำ เขาแบกรับความอยู่รอดของคนทั้งเมืองไว้บนบ่า ความเย็นชาของเขา ก็คือเกราะที่ปกป้องความเมตตาที่แท้จริงของเขานั่นเอง"
คำพูดของบิดาทำให้นางเข้าใจในที่สุด ภาพของบุรุษบนหลังม้าในวันนี้ ไม่ใช่ก้อนน้ำแข็งที่ไร้หัวใจอีกต่อไป แต่เป็นภูผาที่แบกรับทุกสิ่งทุกอย่างไว้...อย่างเงียบงันและเดียวดาย
ส่วนที่ค่ายพยัคฆ์ทมิฬ เถี่ย อ้าวเทียนยืนมองจันทร์เสี้ยวบนท้องฟ้าอยู่เพียงลำพัง ภาพของดวงตาคู่สวยที่ฉายแววสับสนและตื่นรู้ของหญิงสาวในชุดขาว ยังคงฉายชัดอยู่ในความคิดของเขา
"ท่านแม่ทัพ คิดถึงคุณหนูเซี่ยอยู่หรือขอรับ?" อู่ เลี่ยเดินเข้ามาถามยิ้มๆ
เถี่ย อ้าวเทียน ไม่ได้หันมามอง "ไร้สาระ ข้าแค่กำลังคิดว่า...เมืองจินไห่สงบสุขมานานเกินไปแล้ว"
แววตาของเขาพลันทอประกายอำมหิตขึ้นมาวูบหนึ่ง...เปลวไฟแห่งการแก้แค้นที่เขาเฝ้ารอมานานหลายปี บัดนี้ใกล้ถึงเวลาที่จะโหมกระพือแล้ว!
ห้าปีต่อมา...กาลเวลาได้เคลื่อนผ่านไปดุจสายน้ำที่ไม่เคยไหลย้อนกลับนำพาความเปลี่ยนแปลงมาสู่แผ่นดินต้าหลงอย่างช้าๆ แต่มั่นคง รัชศก "่เถี่ยหลง" ปีที่แปด ได้ถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของยุคทองอย่างแท้จริงเมืองหลวงต้าหลงที่เคยบอบช้ำจากสงครามกลางเมือง บัดนี้ได้แปรเปลี่ยนเป็นมหานครที่เปี่ยมด้วยชีวิตชีวาและเจริญรุ่งเรืองที่สุดในแผ่นดิน ถนนหนทางที่เคยว่างเปล่าและเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง บัดนี้กลับกว้างขวางและปูด้วยหินอย่างดี สองข้างทางเรียงรายไปด้วยร้านค้าที่เปิดกิจการอย่างคึกคัก พ่อค้าจากแดนไกลนำขบวนคาราวานอูฐบรรทุกเครื่องเทศและอัญมณีเข้ามาไม่ขาดสาย เสียงต่อรองราคา เสียงหัวเราะของเด็กๆ และเสียงดนตรีจากโรงน้ำชาดังผสมผสานกันเป็นบทเพลงแห่งสันติภาพ ผู้คนจากมณฑลอันเป่ยเดินทางเข้ามาค้าขายและตั้งรกราก แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและสินค้ากับชาวต้าหลงอย่างกลมเกลียว กำแพงที่เคยกั้นพรมแดนได้ทลายลงและกำแพงในใจของผู้คนก็ได้ทลายลงตามไปด้วยภายใต้การปกครองของฮ่องเต้เถี่ยหลง แผ่นดินได้เข้าสู่ยุคสมัยแห่งสันติภาพอย่างแท้จริง พระองค์ทรงเป็นฮ่องเต้ที่น่าเกรงขามในท้องพระโรง แต่ก็ทรงเป็นบิดาแห่งแผ่นดิ
กาลเวลาผ่านไปสามปี...ภายใต้การปกครองของฮ่องเต้เถี่ยหลง และฮองเฮาเซี่ย เหยาเหยา แผ่นดินต้าหลงที่เคยบอบช้ำจากสงครามได้ค่อยๆ ฟื้นคืนชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้งดุจผืนดินที่แห้งแล้งได้รับสายฝนแห่งวสันตฤดู นโยบายลดหย่อนภาษีได้สิ้นสุดลงตามกำหนด แต่ราษฎรกลับไม่รู้สึกเดือดร้อน เพราะบัดนี้พวกเขามีพืชผลเต็มยุ้งฉาง มีสินค้าเต็มร้านค้า และมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า กรมบูรณะแผ่นดินภายใต้การนำของเสนาบดีเหวิน จ้าว ได้ทำงานอย่างแข็งขัน ถนนหนทางที่เคยพังทลายได้รับการซ่อมแซมจนเรียบสนิท สะพานใหม่ที่แข็งแรงทอดข้ามแม่น้ำสายสำคัญ กำแพงเมืองที่เคยเป็นแผลเป็นจากสงครามได้รับการบูรณะจนกลับมาสง่างามยิ่งกว่าเดิมบัณฑิตหน้าใหม่ที่ผ่านการสอบคัดเลือกอย่างโปร่งใสได้เข้ารับตำแหน่งขุนนางตามหัวเมืองต่างๆ พวกเขานำความรู้และความกระตือรือร้นเข้าไปปฏิรูประบบราชการที่เคยเฉื่อยชาและเต็มไปด้วยการทุจริตให้กลับมามีประสิทธิภาพอีกครั้ง มณฑลอันเป่ยที่เคยเป็นดินแดนของศัตรู บัดนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดินอย่างสมบูรณ์ เส้นทางการค้าสายใหม่ที่ตัดขึ้นได้นำพาความเจริญรุ่งเรืองไปสู่ดินแดนทางเหนืออย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนทุกสิ่งทุกอย่างดำเ
เสียงระฆังยามเช้าดังกังวานไปทั่วทั้งพระราชวังเป็นสัญญาณแห่งการเริ่มต้นวันใหม่ หลังจากที่ได้รับสมเด็จพระพันปีหลวงองค์ใหม่ ผู้ซึ่งบัดนี้ได้ประทับอยู่ในตำหนักฉือหนิงที่ได้รับการบูรณะอย่างงดงามที่สุด สมพระเกียรติแห่งมารดาแห่งแผ่นดินภายในห้องบรรทมที่โอ่อ่าและกว้างขวาง ฮ่องเต้หนุ่มเพิ่งจะตื่นจากบรรทม แสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าสาดส่องผ่านบานหน้าต่างเข้ามาอาบไล้ร่างเปลือยเปล่าของฮองเฮาเซี่ย เหยาเหยา ที่ยังคงนอนหลับใหลอยู่ในอ้อมแขนของพระองค์อย่างสงบ พระองค์ใช้เวลาชั่วครู่หนึ่งทอดพระเนตรมองใบหน้าอันเป็นที่รักยิ่ง ภาระหนักอึ้งที่รอคอยอยู่ภายนอกห้องนี้ดูเหมือนจะเบาบางลงเสมอเมื่อมีนางอยู่เคียงข้าง พระองค์จุมพิตหน้าผากของนางอย่างแผ่วเบาก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นจากเตียงอย่างเงียบเชียบเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนเหล่านางกำนัลและขันทีเข้ามาช่วยพระองค์สวมฉลองพระองค์มังกรเต็มยศอย่างคล่องแคล่วและเงียบกริบ ทุกขั้นตอนล้วนเป็นไปตามแบบแผนที่สืบทอดกันมานับร้อยปี แต่สำหรับเถี่ย อ้าวเทียนแล้ว ความรู้สึกกลับแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง น้ำหนักของผ้าไหมปักดิ้นทองลายมังกรห้าเล็บนี้ ให้ความรู้สึกหนักอึ้งยิ่งกว่าชุดเกราะเหล็กกล้าท
ยี่สิบกว่าปีก่อน...ค่ำคืนนั้น...เมืองหลวงต้าหลงไม่ได้สว่างไสวไปด้วยแสงโคมไฟเช่นทุกคืน แต่กลับถูกบดบังด้วยเงามืดแห่งการทรยศและความตาย สายฝนโปรยปรายลงมาอย่างไม่ขาดสายราวกับหยาดน้ำตาของสวรรค์ ชะล้างคราบเลือดที่เริ่มไหลนองไปตามพื้นศิลาของพระราชวังต้องห้ามภายในตำหนักบูรพาที่เคยโอ่อ่าและเปี่ยมด้วยเกียรติยศ บัดนี้กลับเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดและเสียงกรีดร้องที่ถูกกลบด้วยเสียงลมพายุที่โหมกระหน่ำอยู่ภายนอก“พระชายา! พวกมันบุกเข้ามาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”ทหารองครักษ์ผู้ภักดีนายหนึ่งในสภาพที่โชกเลือด วิ่งเข้ามารายงานพระชายาเอกแห่งองค์รัชทายาทหลงหยวน สตรีผู้ซึ่งเมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อนยังคงเป็นที่เคารพสูงสุดในตำหนักบูรพา แต่บัดนี้กลับกลายเป็นนักโทษที่รอวันถูกประหาร“แม่ทัพเถี่ยจง...สิ้นแล้ว” เขากล่าวเสียงสั่น น้ำตาไหลปะปนกับเลือดบนใบหน้า “เขาและทหารองครักษ์ที่เหลือยอมสละชีวิตเพื่อซื้อเวลาให้พวกเรา ได้โปรด...ได้โปรดพาองค์ชายน้อยหนีไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ”พระชายาเอกสตรีผู้มีแซ่เดิมว่า ‘เถี่ย’ นางยืนนิ่งราวกับรูปสลักหิน น้ำตาไหลรินลงมาอาบแก้มงามอย่างเงียบงัน นางไม่ได้ร่ำไห้ให้แก่ชะตากรรมของตนเอง แต่ร่ำไห้ให้แก่บุรุ
หลายวันผ่านไปนับจากค่ำคืนแห่งการหลอมรวมอันเร่าร้อนแม้เปลวไฟสงครามจะมอดดับลงแล้ว แต่ภายในเมืองหลวงต้าหลง บรรยากาศกลับคุกรุ่นไปด้วยความตึงเครียดทางการเมืองที่มองไม่เห็น แผ่นดินที่บัดนี้แผ่ไพศาลจากการรวมดินแดนเป่ยหมันเข้ามาเป็นมณฑลใหม่ ไม่ต่างอะไรจากพญามังกรไร้เศียร แม้จะมีอำนาจอันน่าเกรงขาม แต่ก็ไร้ทิศทางและขาดผู้บัญชาการที่แท้จริงข่าวการตัดสินใจอันเปี่ยมด้วยเมตตาของเถี่ย อ้าวเทียน ที่มอบสถานะพลเมืองให้แก่ชาวเป่ยหมันได้แพร่กระจายไปทั่วหล้า มันได้ซื้อใจผู้คนในดินแดนใหม่ได้อย่างสมบูรณ์ แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ได้สร้างความกังวลให้แก่เหล่าขุนนางเก่าแก่ในเมืองหลวง การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่เกินไปจำเป็นต้องมีผู้ปกครองที่เด็ดขาดและมีอำนาจเบ็ดเสร็จมาควบคุมสถานการณ์ณ ท้องพระโรงที่กำลังอยู่ในระหว่างการบูรณะครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เหวิน จ้าว กำลังยืนตรวจดูความคืบหน้าของการก่อสร้างบัลลังก์องค์ใหม่ บัลลังก์เก่าที่ผุพังและเป็นสัญลักษณ์ของราชวงศ์ก่อนได้ถูกทำลายไปแล้ว บัลลังก์ที่กำลังจะมาแทนที่นั่นยิ่งใหญ่และสง่างามกว่าเดิมหลายเท่าตัว มันถูกแกะสลักขึ้นจากไม้จันทน์ทองคำอันเป็นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่หา
กาลเวลาผ่านไปนานกว่าสองเดือนสองเดือนที่เปลวไฟแห่งสงครามได้มอดดับลงอย่างสมบูรณ์ สองเดือนที่แผ่นดินต้าหลงได้เริ่มต้นการฟื้นฟูครั้งยิ่งใหญ่ และสองเดือน.ที่หัวใจของสตรีนางหนึ่งเฝ้ารอคอยการกลับมาของบุรุษอันเป็นที่รักบนเส้นทางหลวงที่ทอดยาวมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง เงาทะมึนของกองทัพที่ยิ่งใหญ่ปรากฏขึ้นที่ปลายขอบฟ้า มันคือภาพที่น่าเกรงขามและเปี่ยมด้วยเกียรติยศอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนกองทัพต้าหลงกำลังเดินทางกลับบ้านเถี่ย อ้าวเทียน ในชุดเกราะเต็มยศสีนิลกาฬ ควบม้าสงครามสีดำทมิฬนำอยู่หน้าสุดของกองทัพ ธงมังกรสีดำขลิบทองโบกสะบัดอย่างทระนงอยู่เบื้องหลังเขา แววตาที่เคยเย็นชาและเต็มไปด้วยไอสังหาร บัดนี้กลับฉายแววแห่งความเหนื่อยล้าแต่ก็เปี่ยมด้วยความสงบนิ่งและอำนาจของราชันย์ผู้แท้จริงเบื้องหลังเขาคือเหล่าทหารหาญนับแสนที่เดินทัพกลับมาในฐานะวีรบุรุษ และเชลยศึกราชวงศ์เป่ยหมันที่เดินตามมาในฐานะทาสที่จะต้องมาชดใช้กรรมด้วยแรงงานของตนเองเมื่อกองทัพเดินทางมาถึงหน้าประตูเมืองหลวงเสียงโห่ร้องที่ดังราวกับแผ่นดินจะถล่มก็ได้ดังขึ้นประชาชนนับล้านออกมายืนรอต้อนรับพวกเขาสองข้างทางพวกเขาโยนดอกไม้โปรยปรายกระดาษสี และตะโก







