FAZER LOGINหลังจากเหตุการณ์ลอบทำร้ายที่โรงทานสงบลง บรรยากาศทั่วทั้งเมืองจินไห่ก็พลันเปลี่ยนไปในทันที แม้ภายนอกจะยังคงสงบเรียบร้อย แต่กลับมีความตึงเครียดอันเงียบงันแฝงอยู่ในทุกอณู ทหารพยัคฆ์ทมิฬในชุดเกราะสีดำทะมึนออกตรวจตราตามท้องถนนถี่ขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว สายตาของพวกเขาคมกล้าและระแวดระวังภัยอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะบริเวณรอบจวนเจ้าเมือง ที่ซึ่งกลายเป็นเขตอารักขาพิเศษไปโดยปริยาย
ณ คุกใต้ดินของค่ายพยัคฆ์ทมิฬ...
อากาศภายในเย็นเยียบและอับชื้น มีเพียงแสงจากคบไฟที่ริบหรี่ส่องให้เห็นร่างของโจร อสรพิษทราย ที่รอดชีวิตเพียงคนเดียวนั่งคุดคู้อยู่มุมห้องขัง สภาพของมันดูไม่จืดนัก ตามร่างกายเต็มไปด้วยร่องรอยของการถูกทรมานสอบสวนอย่างหนักหน่วง
อู่ เลี่ยยืนกอดอกมองนักโทษด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะหันไปรายงานบุรุษผู้ยืนหันหลังให้อยู่ในเงามืด "เรียนท่านแม่ทัพ มันยอมคายออกมาหมดแล้วขอรับ พวกมันคือเศษเดนของกองโจร อสรพิษทราย จริงๆ ที่ลงมือครั้งนี้ก็เพื่อล้างแค้นให้พวกพ้องที่ตายไป และหวังจะจับตัวคุณหนูเซี่ยไปเรียกค่าไถ่ ไม่มีใครอยู่เบื้องหลังขอรับ"
ร่างสูงสง่าในเงามืดค่อยๆ หันกลับมา แสงไฟสาดส่องให้เห็นใบหน้าอันหล่อเหลาแต่เย็นชาของเถี่ย อ้าวเทียน แววตาของเขาคมปลาบดุจน้ำแข็ง "แน่ใจแล้วรึ?"
"แน่ใจขอรับ" อู่ เลี่ยตอบอย่างหนักแน่น "ข้าสอบสวนมันด้วยตนเอง มันไม่ได้โกหก"
เถี่ย อ้าวเทียนพยักหน้าช้าๆ แม้จะรู้ว่าไม่มีใครอยู่เบื้องหลัง แต่โทสะในใจของเขากลับไม่ได้ลดน้อยลงเลยแม้แต่น้อย เขากำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูดโปนเป็นเพราะเขา...เป็นเพราะการตัดสินใจปราบปรามโจรอย่างไร้ความปรานีของเขา ที่ทำให้สตรีผู้บริสุทธิ์คนหนึ่งต้องตกอยู่ในอันตราย หากวันนั้นเขาไปช้าเพียงก้าวเดียว เขาไม่อยากจะจินตนาการเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น!
ไอสังหารอันเยียบเย็นแผ่ออกจากร่างของเขาโดยไม่รู้ตัว จนอู่ เลี่ยที่ยืนอยู่ข้างๆ ยังรู้สึกหนาวสะท้านไปถึงกระดูก
"จัดการมันซะ" เถี่ย อ้าวเทียนสั่งเสียงเรียบ ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป "แล้วส่งศีรษะของมันไปเสียบประจานที่หน้าประตูเมือง ให้พวกโจรที่ยังหลงเหลืออยู่ได้รู้ว่า...นี่คือจุดจบของทุกคนที่คิดจะแตะต้องคนของเมืองจินไห่!"
"ขอรับ!"
ในวันเดียวกันนั้น ณ จวนเจ้าเมืองเซี่ย
เซี่ย เหยาเหยา นั่งเหม่อลอยอยู่ในศาลาริมสวน แม้เหตุการณ์จะผ่านมาแล้วหนึ่งวัน แต่นางยังคงไม่หายจากอาการตกใจ ภาพที่คนร้ายพุ่งเข้ามายังคงติดตาไม่จางหาย แต่ที่เด่นชัดยิ่งกว่าคือภาพแผ่นหลังอันกว้างใหญ่และองอาจของบุรุษผู้ปรากฏตัวขึ้นมาปกป้องนางราวกับเทพพิทักษ์...เถี่ย อ้าวเทียน
"คิดถึงท่านแม่ทัพรูปงามอยู่ล่ะสิ" เสียงหยอกล้อของหลิน ซูซินดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้เหยาเหยาที่กำลังตกอยู่ในภวังค์สะดุ้งสุดตัว
"ซูซิน! เจ้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่"
"ก็มาตั้งแต่ตอนที่เพื่อนรักของข้านั่งฝันกลางวันถึงวีรบุรุษผู้ช่วยชีวิตนั่นแหละ" หลิน ซูซินนั่งลงข้างๆ พลางกอดแขนเพื่อนรัก "ข้าล่ะไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ เมื่อวานมันน่ากลัวมาก แต่พอท่านแม่ทัพปรากฏตัวเท่านั้นแหละ ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะสงบลงในพริบตา เขาช่างเก่งกาจสมคำร่ำลือเสียจริง"
เซี่ย เหยาเหยาใบหน้าร้อนผ่าว "ข้า...ข้าแค่รู้สึกขอบคุณเขาเท่านั้น"
"เพียงแค่ขอบคุณเท่านั้นหรือ?" หลิน ซูซินหรี่ตามองอย่างจับผิด "มิได้รู้สึกเป็นอื่นเลยแม้แต่น้อยหรือ?"
"จะ...จะมีเรื่องอันใดให้รู้สึกกันเล่า!"
ขณะที่สองสาวกำลังหยอกล้อกันอยู่นั้น พลันมีทหารยามเดินเข้ามาคารวะ "เรียนคุณหนู ท่านแม่ทัพเถี่ยขอเข้าพบขอรับ"
คำพูดของทหารยามทำให้เซี่ย เหยาเหยาใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ นางหันไปมองหน้าหลิน ซูซินอย่างทำอะไรไม่ถูก
"จะรออะไรอยู่เล่า" หลิน ซูซินรีบดันหลังเพื่อน "เขามาเพราะเป็นห่วงเจ้าแน่ๆ รีบไปสิ!"
ณ ห้องโถงรับรองของจวนเจ้าเมือง เถี่ย อ้าวเทียนยืนรออยู่ด้วยสีหน้าเรียบเฉยเช่นเคย วันนี้เขาไม่ได้สวมชุดเกราะ แต่เป็นอาภรณ์สีดำสนิทที่ขับเน้นให้รูปร่างสูงสง่าของเขาดูโดดเด่นยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อเซี่ย เหยาเหยาเดินเข้ามา เขาก็หันมามองนางด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา
"ท่านแม่ทัพ...มีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ?" นางเอ่ยถามเสียงเบา
"ข้ามาเพื่อแจ้งให้เจ้าทราบ" เขาเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นทางการ "นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าได้จัดทหารคุ้มกันฝีมือดีที่สุดสี่นายให้มาอารักขาเจ้าเป็นการส่วนตัว พวกเขาจะติดตามเจ้าไปทุกที่ตลอดยี่สิบสี่ชั่วยาม และเจ้า...จะไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากเขตจวนเจ้าเมืองหากไม่มีทหารติดตามไปด้วย"
คำพูดของเขาไม่ต่างอะไรจากคำสั่งที่ไม่มีสิทธิ์โต้แย้ง
"อะไรนะเจ้าคะ!" เซี่ย เหยาเหยารู้สึกตกใจ "นี่...นี่ก็ไม่ต่างอะไรจากการกักบริเวณข้าน่ะสิ! ข้ายังต้องออกไปดูแลโรงทานนะเจ้าคะ"
"เรื่องโรงทาน ข้าให้เหวิน จ้าวส่งคนไปดูแลเรียบร้อยแล้ว" เขากล่าวตัดบท "ความปลอดภัยของเจ้าสำคัญที่สุด"
"แต่ข้า..."
"ไม่มีแต่!" น้ำเสียงของเขาเข้มขึ้น "เจ้าคือบุตรสาวของเจ้าเมืองเซี่ย คือสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของเมืองจินไห่ หากเจ้าเป็นอะไรไป ขวัญกำลังใจของคนทั้งเมืองจะเป็นอย่างไร? เจ้าคิดว่าโจรพวกนั้นมันสิ้นซากแล้วจริงๆ รึ? การกระทำโดยไม่ไตร่ตรองของเจ้า อาจนำมาซึ่งหายนะที่คาดไม่ถึง!"
ทุกถ้อยคำของเขาเต็มไปด้วยเหตุผลที่นางไม่อาจโต้แย้งได้ แต่ในขณะเดียวกันก็แฝงไว้ด้วยความห่วงใยอย่างที่สุด เซี่ย เหยาเหยาก้มหน้านิ่ง นางรู้ดีว่าเขาทำทั้งหมดนี้ก็เพื่อตัวนางเอง
"ข้า...เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ"
เมื่อเห็นท่าทีที่ยอมอ่อนลงของนาง สีหน้าของเถี่ย อ้าวเทียนก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย "ดี...ทำตัวดีๆ อยู่แต่ในจวน อย่าให้ข้าต้องเป็นห่วง"
ประโยคสุดท้ายของเขาแผ่วเบาราวกับกระซิบ แต่มันกลับดังก้องอยู่ในหัวใจของเซี่ย เหยาเหยา...เขาบอกว่า...เป็นห่วงนางงั้นหรือ?
ก่อนที่นางจะได้ทันคิดอะไรไปมากกว่านั้น เขาก็หมุนตัวเดินจากไป ทิ้งให้นางยืนนิ่งอยู่กับหัวใจที่เต้นไม่เป็นส่ำ
และแล้ว ชีวิตใน "กรงทอง" ของเซี่ย เหยาเหยาก็เริ่มต้นขึ้น ทุกย่างก้าวของนางจะมีทหารคุ้มกันสี่นายติดตามไปราวกับเงา แม้จะรู้สึกอึดอัด แต่เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น นางก็ทำได้เพียงยอมรับมันแต่โดยดี
หลายวันต่อมา...
ที่ประตูเมืองทิศเหนือของเมืองจินไห่ พลันทหารยามบนกำแพงส่งเสียงโหวกเหวกขึ้น เมื่อพวกเขาเห็นกลุ่มคนกลุ่มใหญ่กำลังเดินทางใกล้เข้ามา สภาพของคนเหล่านั้นดูน่าเวทนายิ่งนัก พวกเขาสวมชุดเกราะที่ขาดวิ่นและเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดและดินโคลน หลายคนมีผ้าพันแผลเก่าๆ พันอยู่ตามร่างกาย เดินโซซัดโซเซราวกับคนไร้วิญญาณ แต่สิ่งที่ทำให้ทหารยามรู้ว่าพวกเขาไม่ใช่ผู้อพยพธรรมดาก็คือ ระเบียบวินัยที่ยังคงหลงเหลืออยู่ แม้จะอ่อนล้าจนแทบยืนไม่ไหว แต่พวกเขาก็ยังคงพยายามเดินเป็นแถว และสายตาของพวกเขายังคงแฝงไว้ด้วยแววของนักรบ
"เปิดประตู!" รองแม่ทัพที่รักษาการณ์อยู่บนกำแพงสั่งการ "พาพวกเขาเข้ามาในเมือง จัดหาที่พักและอาหารให้ก่อน แล้วรีบไปรายงานท่านแม่ทัพ!"
ข่าวการมาถึงของทหารพ่ายทัพจากแดนเหนือแพร่ไปถึงค่ายพยัคฆ์ทมิฬอย่างรวดเร็ว
ณ ห้องโถงบัญชาการ เถี่ย อ้าวเทียนนั่งอยู่บนเก้าอี้ประธานด้วยสีหน้าเรียบเฉย เบื้องหน้าของเขาคือชายวัยกลางคนผู้หนึ่งในชุดเกราะที่แตกหัก ใบหน้าเต็มไปด้วยบาดแผลและหนวดเคราที่รกรุงรัง แม้สภาพจะดูย่ำแย่ แต่แววตาของเขากลับยังคงฉายแววเด็ดเดี่ยวไม่ยอมแพ้ เขาคือแม่ทัพ "หลงเฟย" หนึ่งในนายทหารไม่กี่คนที่รอดชีวิตมาจากการรบที่ด่านไป๋หู่ ชายแดนทางเหนือ
"ท่านคือแม่ทัพหลงเฟย?" เถี่ย อ้าวเทียนเอ่ยถามเสียงเรียบ
"ใช่แล้ว ข้าคือหลงเฟย" ชายผู้นั้นตอบเสียงแหบพร่า ก่อนจะคุกเข่าลงข้างหนึ่งอย่างยากลำบาก "ข้าและพี่น้องที่รอดชีวิต ขอคารวะท่านแม่ทัพเถี่ย!"
"ลุกขึ้นเถิด" เถี่ย อ้าวเทียนกล่าว "พวกท่านเดินทางมาไกลคงจะลำบากมาก เกิดอะไรขึ้นที่แดนเหนือกันแน่?"
แม่ทัพหลงเฟยกำหมัดแน่น ดวงตาแดงก่ำขึ้นมาด้วยความคับแค้นใจ "พ่ายแพ้...เราพ่ายแพ้ยับเยิน! ด่านไป๋หู่แตกแล้ว! ทหารกว่าสามหมื่นนาย...พี่น้องของข้า...ตายเกือบหมดสิ้น!"
อู่ เลี่ยที่ยืนอยู่ข้างๆ ถึงกับสูดหายใจอย่างตกใจ "เป็นไปได้อย่างไร! ด่านไป๋หู่เป็นปราการที่แข็งแกร่งทางเหนือไม่ใช่รึ!"
"ฮ่าๆๆ ปราการที่แข็งแกร่งรึ?" หลงเฟยหัวเราะอย่างขมขื่น "ปราการจะแข็งแกร่งได้อย่างไร ในเมื่อคนที่อยู่ข้างในมันเน่าเฟะจนถึงกระดูกดำ!" เขาหันมาทางเถี่ย อ้าวเทียน "ท่านแม่ทัพเถี่ย ท่านรู้หรือไม่ว่าเหตุใดเราถึงพ่ายแพ้?"
เถี่ย อ้าวเทียนมองเขานิ่ง รอฟังคำตอบ
"อาวุธและเสบียง! ราชสำนักส่งเสบียงมาให้เราล่าช้าไปถึงสองเดือน! ธนูที่เราได้รับกว่าครึ่งหนึ่งเปราะจนใช้การไม่ได้! ชุดเกราะก็บางราวกับกระดาษ! แต่ในบัญชีที่ส่งกลับไปเมืองหลวงกลับระบุว่าทุกอย่างถูกส่งมาอย่างครบถ้วน!"
"ไอ้พวกขุนนางชั่วช้า!" อู่ เลี่ยทุบโต๊ะดังปัง "พวกมันกล้าโกงกินแม้กระทั่งเงินที่ต้องใช้ปกป้องบ้านเมือง!"
"ใช่แล้ว!" หลงเฟยกล่าวต่อ "พวกมันโกงกินทุกอย่าง! แม่ทัพใหญ่ที่ราชสำนักส่งมาก็เป็นเพียงหลานชายของเสนาบดีกรมคลัง ไม่เคยรู้วิธีการรบแม้แต่น้อย เอาแต่สั่งการอย่างโง่เขลาส่งทหารไปตายอย่างไร้ค่า! พวกเราทหารชั้นผู้น้อยพยายามทัดทาน แต่กลับถูกโบยข้อหาขัดคำสั่ง!"
เขากัดฟันกรอดจนเลือดซิบ "วันที่ด่านแตก...แม่ทัพใหญ่ผู้นั้นกลับเป็นคนแรกที่หนีเอาตัวรอด ทิ้งให้พวกเราเผชิญหน้ากับกองทัพเป่ยหมันตามยถากรรม! หากไม่ใช่เพราะพวกข้าบางส่วนตัดสินใจตีฝ่าวงล้อมออกมา ป่านนี้คงไม่มีใครรอดมาถึงที่นี่เพื่อเล่าเรื่องบัดซบเหล่านี้ให้ท่านฟัง!"
"แล้วตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไร?" เหวิน จ้าวที่ยืนฟังอย่างเงียบๆ เอ่ยถามขึ้น
"หลังจากด่านไป๋หู่แตก ทัพเป่ยหมันก็ไม่มีอะไรมาขวางกั้นอีกแล้ว" หลงเฟยตอบด้วยน้ำเสียงสิ้นหวัง "พวกมันกำลังไล่ตีหัวเมืองต่างๆ อย่างง่ายดาย ข้าคาดว่าอีกไม่เกินสามเดือน...พวกมันจะสามารถยกทัพไปประชิดกำแพงเมืองหลวงได้เป็นแน่! และเมื่อถึงวันนั้น...ด้วยสภาพของกองทัพหลวงในตอนนี้ ข้าเกรงว่าเมืองหลวงคงจะต้านทานไว้ได้ไม่นาน"
ความเงียบเข้าปกคลุมไปทั่วทั้งห้องโถง ทุกคำพูดของแม่ทัพหลงเฟยราวกับค้อนปอนด์ที่ทุบลงมากลางใจของทุกคน
"พวกข้า...ไม่มีที่ไปอีกแล้ว" หลงเฟยกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "ราชสำนักไม่อาจพึ่งพาได้อีกต่อไป พวกข้าได้ยินชื่อเสียงของท่านแม่ทัพเถี่ยมานานแล้วว่าท่านคือความหวังเดียวของแผ่นดินต้าหลง...ดังนั้น พวกข้าจึงเดินทางมาที่นี่...เพื่อขอเข้าร่วมกับกองทัพพยัคฆ์ทมิฬ! ต่อให้ต้องเป็นเพียงทหารเลว เราก็ยินดี! ขอเพียงได้ล้างแค้นให้พี่น้องที่ตายไป และขับไล่พวกเป่ยหมันออกไปจากแผ่นดินของเรา!"
พูดจบ เขาก็โขกศีรษะลงกับพื้นอย่างแรง ทหารที่ติดตามมาซึ่งยืนอยู่นอกห้องโถงต่างคุกเข่าลงพร้อมกันเป็นหนึ่งเดียว
เถี่ย อ้าวเทียนลุกขึ้นจากเก้าอี้ เขาเดินเข้าไปประคองแม่ทัพหลงเฟยให้ลุกขึ้นด้วยตนเอง "ท่านแม่ทัพหลงและเหล่าพี่น้องทหารหาญ...พวกท่านไม่ได้พ่ายแพ้ แต่ผู้ที่พ่ายแพ้คือราชสำนักที่โง่เขลานั่นต่างหาก"
เขาตบไหล่ของหลงเฟยเบาๆ "เมืองจินไห่ยินดีต้อนรับวีรบุรุษเช่นพวกท่าน นับจากนี้ไป พวกท่านคือส่วนหนึ่งของกองทัพพยัคฆ์ทมิฬ คือพี่น้องร่วมตายของข้า!"
"ท่านแม่ทัพ!" เหล่าทหารจากแดนเหนือต่างร่ำไห้ออกมาด้วยความตื้นตันใจ
เถี่ย อ้าวเทียนหันกลับไปมองโต๊ะทรายอีกครั้ง แววตาของเขาเปลี่ยนไป...ความแค้นส่วนตัวถูกกดลึกลงไปจนสุดหัวใจ บัดนี้สิ่งที่ลุกโชนขึ้นมาแทนที่คือเปลวไฟแห่งความรับผิดชอบ...ความรับผิดชอบต่อแผ่นดิน ต่อราษฎรผู้บริสุทธิ์ และต่อเหล่าทหารหาญที่ยังคงต่อสู้อย่างสิ้นหวัง
ลมหนาวจากแดนเหนือได้พัดพาเอาวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่มาสู่แผ่นดินต้าหลง...แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ได้พัดพาเอาเปลวไฟแห่งความหวังมาสุมให้แก่พยัคฆ์ทมิฬแห่งแดนใต้...ให้พร้อมที่จะคำรามก้องปฐพี!
ห้าปีต่อมา...กาลเวลาได้เคลื่อนผ่านไปดุจสายน้ำที่ไม่เคยไหลย้อนกลับนำพาความเปลี่ยนแปลงมาสู่แผ่นดินต้าหลงอย่างช้าๆ แต่มั่นคง รัชศก "่เถี่ยหลง" ปีที่แปด ได้ถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของยุคทองอย่างแท้จริงเมืองหลวงต้าหลงที่เคยบอบช้ำจากสงครามกลางเมือง บัดนี้ได้แปรเปลี่ยนเป็นมหานครที่เปี่ยมด้วยชีวิตชีวาและเจริญรุ่งเรืองที่สุดในแผ่นดิน ถนนหนทางที่เคยว่างเปล่าและเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง บัดนี้กลับกว้างขวางและปูด้วยหินอย่างดี สองข้างทางเรียงรายไปด้วยร้านค้าที่เปิดกิจการอย่างคึกคัก พ่อค้าจากแดนไกลนำขบวนคาราวานอูฐบรรทุกเครื่องเทศและอัญมณีเข้ามาไม่ขาดสาย เสียงต่อรองราคา เสียงหัวเราะของเด็กๆ และเสียงดนตรีจากโรงน้ำชาดังผสมผสานกันเป็นบทเพลงแห่งสันติภาพ ผู้คนจากมณฑลอันเป่ยเดินทางเข้ามาค้าขายและตั้งรกราก แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและสินค้ากับชาวต้าหลงอย่างกลมเกลียว กำแพงที่เคยกั้นพรมแดนได้ทลายลงและกำแพงในใจของผู้คนก็ได้ทลายลงตามไปด้วยภายใต้การปกครองของฮ่องเต้เถี่ยหลง แผ่นดินได้เข้าสู่ยุคสมัยแห่งสันติภาพอย่างแท้จริง พระองค์ทรงเป็นฮ่องเต้ที่น่าเกรงขามในท้องพระโรง แต่ก็ทรงเป็นบิดาแห่งแผ่นดิ
กาลเวลาผ่านไปสามปี...ภายใต้การปกครองของฮ่องเต้เถี่ยหลง และฮองเฮาเซี่ย เหยาเหยา แผ่นดินต้าหลงที่เคยบอบช้ำจากสงครามได้ค่อยๆ ฟื้นคืนชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้งดุจผืนดินที่แห้งแล้งได้รับสายฝนแห่งวสันตฤดู นโยบายลดหย่อนภาษีได้สิ้นสุดลงตามกำหนด แต่ราษฎรกลับไม่รู้สึกเดือดร้อน เพราะบัดนี้พวกเขามีพืชผลเต็มยุ้งฉาง มีสินค้าเต็มร้านค้า และมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า กรมบูรณะแผ่นดินภายใต้การนำของเสนาบดีเหวิน จ้าว ได้ทำงานอย่างแข็งขัน ถนนหนทางที่เคยพังทลายได้รับการซ่อมแซมจนเรียบสนิท สะพานใหม่ที่แข็งแรงทอดข้ามแม่น้ำสายสำคัญ กำแพงเมืองที่เคยเป็นแผลเป็นจากสงครามได้รับการบูรณะจนกลับมาสง่างามยิ่งกว่าเดิมบัณฑิตหน้าใหม่ที่ผ่านการสอบคัดเลือกอย่างโปร่งใสได้เข้ารับตำแหน่งขุนนางตามหัวเมืองต่างๆ พวกเขานำความรู้และความกระตือรือร้นเข้าไปปฏิรูประบบราชการที่เคยเฉื่อยชาและเต็มไปด้วยการทุจริตให้กลับมามีประสิทธิภาพอีกครั้ง มณฑลอันเป่ยที่เคยเป็นดินแดนของศัตรู บัดนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดินอย่างสมบูรณ์ เส้นทางการค้าสายใหม่ที่ตัดขึ้นได้นำพาความเจริญรุ่งเรืองไปสู่ดินแดนทางเหนืออย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนทุกสิ่งทุกอย่างดำเ
เสียงระฆังยามเช้าดังกังวานไปทั่วทั้งพระราชวังเป็นสัญญาณแห่งการเริ่มต้นวันใหม่ หลังจากที่ได้รับสมเด็จพระพันปีหลวงองค์ใหม่ ผู้ซึ่งบัดนี้ได้ประทับอยู่ในตำหนักฉือหนิงที่ได้รับการบูรณะอย่างงดงามที่สุด สมพระเกียรติแห่งมารดาแห่งแผ่นดินภายในห้องบรรทมที่โอ่อ่าและกว้างขวาง ฮ่องเต้หนุ่มเพิ่งจะตื่นจากบรรทม แสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าสาดส่องผ่านบานหน้าต่างเข้ามาอาบไล้ร่างเปลือยเปล่าของฮองเฮาเซี่ย เหยาเหยา ที่ยังคงนอนหลับใหลอยู่ในอ้อมแขนของพระองค์อย่างสงบ พระองค์ใช้เวลาชั่วครู่หนึ่งทอดพระเนตรมองใบหน้าอันเป็นที่รักยิ่ง ภาระหนักอึ้งที่รอคอยอยู่ภายนอกห้องนี้ดูเหมือนจะเบาบางลงเสมอเมื่อมีนางอยู่เคียงข้าง พระองค์จุมพิตหน้าผากของนางอย่างแผ่วเบาก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นจากเตียงอย่างเงียบเชียบเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนเหล่านางกำนัลและขันทีเข้ามาช่วยพระองค์สวมฉลองพระองค์มังกรเต็มยศอย่างคล่องแคล่วและเงียบกริบ ทุกขั้นตอนล้วนเป็นไปตามแบบแผนที่สืบทอดกันมานับร้อยปี แต่สำหรับเถี่ย อ้าวเทียนแล้ว ความรู้สึกกลับแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง น้ำหนักของผ้าไหมปักดิ้นทองลายมังกรห้าเล็บนี้ ให้ความรู้สึกหนักอึ้งยิ่งกว่าชุดเกราะเหล็กกล้าท
ยี่สิบกว่าปีก่อน...ค่ำคืนนั้น...เมืองหลวงต้าหลงไม่ได้สว่างไสวไปด้วยแสงโคมไฟเช่นทุกคืน แต่กลับถูกบดบังด้วยเงามืดแห่งการทรยศและความตาย สายฝนโปรยปรายลงมาอย่างไม่ขาดสายราวกับหยาดน้ำตาของสวรรค์ ชะล้างคราบเลือดที่เริ่มไหลนองไปตามพื้นศิลาของพระราชวังต้องห้ามภายในตำหนักบูรพาที่เคยโอ่อ่าและเปี่ยมด้วยเกียรติยศ บัดนี้กลับเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดและเสียงกรีดร้องที่ถูกกลบด้วยเสียงลมพายุที่โหมกระหน่ำอยู่ภายนอก“พระชายา! พวกมันบุกเข้ามาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”ทหารองครักษ์ผู้ภักดีนายหนึ่งในสภาพที่โชกเลือด วิ่งเข้ามารายงานพระชายาเอกแห่งองค์รัชทายาทหลงหยวน สตรีผู้ซึ่งเมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อนยังคงเป็นที่เคารพสูงสุดในตำหนักบูรพา แต่บัดนี้กลับกลายเป็นนักโทษที่รอวันถูกประหาร“แม่ทัพเถี่ยจง...สิ้นแล้ว” เขากล่าวเสียงสั่น น้ำตาไหลปะปนกับเลือดบนใบหน้า “เขาและทหารองครักษ์ที่เหลือยอมสละชีวิตเพื่อซื้อเวลาให้พวกเรา ได้โปรด...ได้โปรดพาองค์ชายน้อยหนีไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ”พระชายาเอกสตรีผู้มีแซ่เดิมว่า ‘เถี่ย’ นางยืนนิ่งราวกับรูปสลักหิน น้ำตาไหลรินลงมาอาบแก้มงามอย่างเงียบงัน นางไม่ได้ร่ำไห้ให้แก่ชะตากรรมของตนเอง แต่ร่ำไห้ให้แก่บุรุ
หลายวันผ่านไปนับจากค่ำคืนแห่งการหลอมรวมอันเร่าร้อนแม้เปลวไฟสงครามจะมอดดับลงแล้ว แต่ภายในเมืองหลวงต้าหลง บรรยากาศกลับคุกรุ่นไปด้วยความตึงเครียดทางการเมืองที่มองไม่เห็น แผ่นดินที่บัดนี้แผ่ไพศาลจากการรวมดินแดนเป่ยหมันเข้ามาเป็นมณฑลใหม่ ไม่ต่างอะไรจากพญามังกรไร้เศียร แม้จะมีอำนาจอันน่าเกรงขาม แต่ก็ไร้ทิศทางและขาดผู้บัญชาการที่แท้จริงข่าวการตัดสินใจอันเปี่ยมด้วยเมตตาของเถี่ย อ้าวเทียน ที่มอบสถานะพลเมืองให้แก่ชาวเป่ยหมันได้แพร่กระจายไปทั่วหล้า มันได้ซื้อใจผู้คนในดินแดนใหม่ได้อย่างสมบูรณ์ แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ได้สร้างความกังวลให้แก่เหล่าขุนนางเก่าแก่ในเมืองหลวง การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่เกินไปจำเป็นต้องมีผู้ปกครองที่เด็ดขาดและมีอำนาจเบ็ดเสร็จมาควบคุมสถานการณ์ณ ท้องพระโรงที่กำลังอยู่ในระหว่างการบูรณะครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เหวิน จ้าว กำลังยืนตรวจดูความคืบหน้าของการก่อสร้างบัลลังก์องค์ใหม่ บัลลังก์เก่าที่ผุพังและเป็นสัญลักษณ์ของราชวงศ์ก่อนได้ถูกทำลายไปแล้ว บัลลังก์ที่กำลังจะมาแทนที่นั่นยิ่งใหญ่และสง่างามกว่าเดิมหลายเท่าตัว มันถูกแกะสลักขึ้นจากไม้จันทน์ทองคำอันเป็นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่หา
กาลเวลาผ่านไปนานกว่าสองเดือนสองเดือนที่เปลวไฟแห่งสงครามได้มอดดับลงอย่างสมบูรณ์ สองเดือนที่แผ่นดินต้าหลงได้เริ่มต้นการฟื้นฟูครั้งยิ่งใหญ่ และสองเดือน.ที่หัวใจของสตรีนางหนึ่งเฝ้ารอคอยการกลับมาของบุรุษอันเป็นที่รักบนเส้นทางหลวงที่ทอดยาวมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง เงาทะมึนของกองทัพที่ยิ่งใหญ่ปรากฏขึ้นที่ปลายขอบฟ้า มันคือภาพที่น่าเกรงขามและเปี่ยมด้วยเกียรติยศอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนกองทัพต้าหลงกำลังเดินทางกลับบ้านเถี่ย อ้าวเทียน ในชุดเกราะเต็มยศสีนิลกาฬ ควบม้าสงครามสีดำทมิฬนำอยู่หน้าสุดของกองทัพ ธงมังกรสีดำขลิบทองโบกสะบัดอย่างทระนงอยู่เบื้องหลังเขา แววตาที่เคยเย็นชาและเต็มไปด้วยไอสังหาร บัดนี้กลับฉายแววแห่งความเหนื่อยล้าแต่ก็เปี่ยมด้วยความสงบนิ่งและอำนาจของราชันย์ผู้แท้จริงเบื้องหลังเขาคือเหล่าทหารหาญนับแสนที่เดินทัพกลับมาในฐานะวีรบุรุษ และเชลยศึกราชวงศ์เป่ยหมันที่เดินตามมาในฐานะทาสที่จะต้องมาชดใช้กรรมด้วยแรงงานของตนเองเมื่อกองทัพเดินทางมาถึงหน้าประตูเมืองหลวงเสียงโห่ร้องที่ดังราวกับแผ่นดินจะถล่มก็ได้ดังขึ้นประชาชนนับล้านออกมายืนรอต้อนรับพวกเขาสองข้างทางพวกเขาโยนดอกไม้โปรยปรายกระดาษสี และตะโก







