FAZER LOGINหลายวันผ่านไปนับตั้งแต่การมาถึงของแม่ทัพหลงเฟยและเหล่าทหารหาญจากแดนเหนือ เมืองจินไห่ก็กลับคืนสู่ความสงบเรียบร้อยอีกครั้ง แต่เป็นความสงบที่แฝงไว้ด้วยคลื่นใต้น้ำอันเชี่ยวกราก ทหารจากแดนเหนือถูกผนวกรวมเข้ากับกองทัพพยัคฆ์ทมิฬอย่างรวดเร็ว เรื่องราวความโหดร้ายของสงครามและความเน่าเฟะของราชสำนักที่พวกเขาถ่ายทอดออกมา ได้จุดไฟแห่งความเกลียดชังและความมุ่งมั่นให้แก่เหล่าทหารแดนใต้ให้ลุกโชนยิ่งกว่าเดิม
ในขณะที่ทางใต้กำลังลับคมดาบเตรียมรับมือกับอนาคตที่ไม่แน่นอน บรรยากาศในเมืองหลวงต้าหลงกลับแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
ณ ตำหนักบูรพาอันหรูหราฟู่ฟ่า เสียงดนตรีขับกล่อมเคล้าคลอไปกับเสียงหัวเราะอันเกียจคร้านของบุรุษผู้หนึ่ง ร่างสูงโปร่งในอาภรณ์ผ้าไหมเนื้อดีปักดิ้นทองเป็นลายมังกรห้าเล็บนอนเอกเขนกอยู่บนตั่งไม้มะเกลือเนื้อดี สองข้างมีนางกำนัลโฉมสะคราญคอยปรนนิบัติพัดวีและป้อนผลไม้ให้ไม่ขาดปาก เขาคือองค์รัชทายาทแห่งแคว้นต้าหลง ผู้ซึ่งไม่เคยสนใจสิ่งใดนอกจากการเสพสุขไปวันๆ
"น่าเบื่อสิ้นดี!" รัชทายาทปัดจานผลไม้ทิ้งอย่างไม่ไยดี "ทุกวันก็มีแต่เรื่องเดิมๆ สุราก็รสชาติซ้ำซาก สตรีพวกนี้ก็หน้าตาจืดชืด ข้าชักจะเบื่อเต็มทนแล้ว"
ขันทีเฒ่าคนสนิทนามว่า "กงกงหลิว" รีบค้อมกายลงต่ำ "องค์รัชทายาทอย่าเพิ่งเบื่อหน่ายไปเลยพ่ะย่ะค่ะ บ่าวมีเรื่องน่าสนใจมาทูลให้ทรงทราบ"
"เรื่องอะไรที่น่าสนใจไปกว่าสุราและนารีอีกเล่า?" รัชทายาทกล่าวอย่างเหยียดหยัน
"ก็เป็นเรื่องของนารีนี่แหละพ่ะย่ะค่ะ" กงกงหลิวยิ้มประจบ แววตาเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ "แต่เป็นนารีที่งดงามที่สุดในแผ่นดินในยามนี้"
"หืม?" คิ้วของรัชทายาทเลิกขึ้นอย่างสนใจ
"บ่าวได้ยินมาจากเหล่าพ่อค้าที่เดินทางมาจากแดนใต้ พวกเขาเล่าลือกันว่าที่เมืองจินไห่ มีบุตรสาวของเจ้าเมืองนามว่าเซี่ย เหยาเหยา นางผู้นี้มีรูปโฉมงดงามราวกับเทพธิดาจำแลงลงมาจุติ ทั้งยังมีจิตใจดีงามช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก จนชาวเมืองขนานนามนางว่า 'นางฟ้าแห่งจินไห่' ว่ากันว่าเพียงได้เห็นรอยยิ้มของนางคราหนึ่ง ก็อาจลืมเลือนความทุกข์ไปได้ทั้งชีวิตพ่ะย่ะค่ะ"
ดวงตาของรัชทายาททอประกายวาวโรจน์ขึ้นมาทันที "นางฟ้าแห่งจินไห่รึ? งดงามถึงเพียงนั้นเชียว?"
"งดงามเกินกว่าจะบรรยายได้พ่ะย่ะค่ะ" กงกงหลิวรีบเสริม "และที่สำคัญ...เมืองจินไห่ตอนนี้เปรียบเสมือนขุมกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในแดนใต้ ภายใต้การนำของแม่ทัพเถี่ย อ้าวเทียน ที่ไม่เคยยอมขึ้นตรงต่อผู้ใด ว่ากันว่ากองทัพพยัคฆ์ทมิฬของเขานั้นไม่เคยพ่ายแพ้แม้แต่ครั้งเดียว หากองค์รัชทายาทได้นางมาเป็นชายา ก็เท่ากับว่าได้ใจของชาวเมืองจินไห่ และอาจจะได้กองทัพพยัคฆ์ทมิฬที่แข็งแกร่งนั้นมาไว้ในพระหัตถ์ด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ!"
คำพูดสุดท้ายของกงกงหลิวราวกับกุญแจที่ไขเข้าไปในใจของรัชทายาทพอดิบพอดี เขาลุกขึ้นนั่งทันที ในหัวไม่ได้มีเพียงภาพของสตรีโฉมงาม แต่ยังมีภาพของกองทัพอันเกรียงไกรที่สามารถนำมาเสริมสร้างบารมีของตนเองได้
"เถี่ย อ้าวเทียน..." เขาทวนชื่อนั้นช้าๆ "ข้าเคยได้ยินชื่อมันอยู่บ้าง ได้ยินว่าเป็นแม่ทัพที่แข็งกร้าวและไม่ยอมก้มหัวให้ใคร แต่ก็ไม่คิดว่ากองทัพของมันจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้"
"แข็งแกร่งมากพ่ะย่ะค่ะ" กงกงหลิวกล่าวต่อ "ตอนนี้ศึกทางเหนือกำลังติดพัน หากเราสามารถนำกองทัพจากทางใต้ขึ้นมาช่วยรบได้ ไม่เพียงแต่จะคลายวิกฤตของแผ่นดิน แต่ยังเป็นผลงานชิ้นโบแดงขององค์รัชทายาทอีกด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ"
รอยยิ้มอันชั่วร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของรัชทายาท "ฮ่าๆๆ! แผนการนี้ช่างเป็นการ ยิงศรเดียวได้อินทรีสองตัว เสียจริง! ข้าไม่เพียงแต่จะได้สตรีที่งดงามที่สุดมาเชยชม แต่ยังจะได้กองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดมาใช้งานอีกด้วย!"
ความคิดอันละโมบของเขาวิ่งไปไกล ฮ่องเต้ผู้เป็นบิดากำลังกลัดกลุ้มเรื่องศึกทางเหนือที่พ่ายแพ้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า หากเขาเสนอแผนการนี้ขึ้นไป ไม่เพียงแต่จะได้สตรีงามมา แต่ยังจะได้รับคำชมว่าเป็นรัชทายาทที่มองการณ์ไกลและรู้จักแบ่งเบาภาระของบ้านเมืองอีกด้วย
"ดี! ดีมาก!" เขากล่าวเสียงดัง "สตรีที่งดงามที่สุดในแผ่นดิน ย่อมต้องคู่ควรกับข้าผู้เป็นรัชทายาทแห่งต้าหลงเท่านั้น! อีกทั้งยังเป็นประโยชน์ต่อการศึกทางเหนืออีกด้วย! กงกงหลิว รีบไปเตรียมการ ข้าจะเข้าเฝ้าเสด็จพ่อพรุ่งนี้!"
วันรุ่งขึ้น ณ ท้องพระโรงอันโอ่อ่า...
ฮ่องเต้ประทับอยู่บนบัลลังก์มังกรด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม เบื้องล่างคือเหล่าขุนนางที่กำลังถกเถียงกันเรื่องสถานการณ์ชายแดนทางเหนืออย่างเผ็ดร้อน แต่กลับไม่มีใครเสนอแผนการที่เป็นรูปธรรมได้เลยแม้แต่คนเดียว
"พอได้แล้ว!" ฮ่องเต้ตบที่เท้าแขนบัลลังก์เสียงดัง "พวกท่านเถียงกันไปก็ไร้ประโยชน์! ข้าต้องการทางแก้ปัญหา! ไม่ใช่คำแก้ตัว!"
ทันใดนั้น องค์รัชทายาทก็ก้าวออกมาจากแถวขุนนางแล้วคุกเข่าลง "ทูลเสด็จพ่อ ลูกมีแผนการที่จะช่วยคลี่คลายสถานการณ์ที่ชายแดนทางเหนือพ่ะย่ะค่ะ"
"หืม? เจ้ามีแผนการอะไรรึ?" ฮ่องเต้เลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ
"ลูกได้ทราบข่าวมาว่าที่เมืองจินไห่ทางตอนใต้ มีกองทัพพยัคฆ์ทมิฬที่แข็งแกร่งภายใต้การนำของแม่ทัพเถี่ย อ้าวเทียน ซึ่งไม่เคยพ่ายแพ้ให้แก่ผู้ใด หากเราสามารถนำกองทัพนี้ขึ้นมาช่วยรบทางเหนือได้ สถานการณ์ย่อมต้องดีขึ้นเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ"
ขุนนางผู้หนึ่งค้านขึ้นมาทันที "แต่ท่านแม่ทัพเถี่ยผู้นั้นไม่เคยขึ้นตรงต่อราชสำนัก ทั้งยังแข็งกร้าวและไม่ยอมรับคำสั่งจากผู้ใด การจะให้เขายกทัพขึ้นมาช่วยนั้น เกรงว่าจะเป็นไปได้ยากพ่ะย่ะค่ะ"
"นั่นคือส่วนที่สำคัญที่สุดในแผนของลูกพ่ะย่ะค่ะ" รัชทายาทกล่าวอย่างมั่นใจ "ลูกได้ยินมาว่าเจ้าเมืองเซี่ยแห่งจินไห่ มีบุตรสาวที่งดงามและเปี่ยมด้วยคุณธรรมนามว่าเซี่ย เหยาเหยา หากเสด็จพ่อโปรดเกล้าฯ ประทานสมรสให้นางแต่งกับลูก การเชื่อมสัมพันธ์ครั้งนี้ย่อมทำให้เจ้าเมืองเซี่ยและแม่ทัพเถี่ยรู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ และยอมส่งกองทัพขึ้นมาช่วยรบอย่างแน่นอน"
เขาหยุดไปชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวต่อ "นี่ไม่เพียงแต่จะเป็นการเสริมสร้างกำลังทหารของเรา แต่ยังเป็นการผูกมิตรกับขุมกำลังทางใต้ ทำให้แคว้นต้าหลงของเราเป็นปึกแผ่นมั่นคงยิ่งขึ้นอีกด้วยพ่ะย่ะค่ะ!"
คำพูดที่ดูฉลาดหลักแหลมและเปี่ยมไปด้วยเหตุผลของรัชทายาท ทำให้เหล่าขุนนางที่ได้ฟังถึงกับตกตะลึง พวกเขาไม่เคยคาดคิดว่ารัชทายาทผู้เสเพลจะมีความคิดที่ลึกซึ้งถึงเพียงนี้
ฮ่องเต้ผู้ไม่เอาไหนและอ่อนแออยู่แล้ว เมื่อได้ฟังเหตุผลที่ดูดีของบุตรชาย ก็คล้อยตามอย่างง่ายดาย พระองค์รู้สึกภาคภูมิใจในตัวรัชทายาทขึ้นมาทันที
"ดี! เป็นความคิดที่ดีมาก!" ฮ่องเต้ตรัสอย่างพึงพอใจ "ในเมื่อเจ้าคิดถึงบ้านเมืองถึงเพียงนี้ พ่อก็จะสนับสนุนเจ้าเต็มที่! เราจะส่งราชโองการไปให้เจ้าเมืองเซี่ย เตรียมจัดพิธีอภิเษกสมรสให้เร็วที่สุด!"
ราชโองการสีทองอร่ามถูกร่างขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื้อหาในราชโองการเต็มไปด้วยคำยกยอปอปั้นที่สวยหรู แต่แก่นแท้ของมันก็คือคำสั่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้
ขบวนผู้เชิญราชโองการถูกจัดตั้งขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ นำโดยกงกงหลิว ขันทีคนสนิทของรัชทายาท พร้อมด้วยทหารราชองครักษ์ในชุดเกราะสีทองอร่ามอีกหนึ่งกองร้อย พวกเขาถือธงมังกรสีเหลือง และตีฆ้องร้องป่าวถึงราชโองการจากสวรรค์ตลอดเส้นทางที่ออกจากเมืองหลวง ราวกับเป็นการประกาศชัยชนะล่วงหน้า
ขบวนอันหรูหราเคลื่อนตัวออกจากประตูเมืองหลวงอย่างช้าๆ มุ่งหน้าลงสู่แดนใต้ที่ห่างไกล โดยไม่สนใจเลยว่าข่าวคราวความพ่ายแพ้ระลอกใหม่จากชายแดนทางเหนือเพิ่งจะมาถึง...และไม่มีใครในขบวนนั้นล่วงรู้เลยว่า การเดินทางของพวกเขาในครั้งนี้...หาใช่การเดินทางไปเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ไม่ แต่เป็นการเดินทางไปเพื่อจุดชนวนสงครามครั้งใหม่...ที่จะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของแคว้นต้าหลงไปตลอดกาล!
ห้าปีต่อมา...กาลเวลาได้เคลื่อนผ่านไปดุจสายน้ำที่ไม่เคยไหลย้อนกลับนำพาความเปลี่ยนแปลงมาสู่แผ่นดินต้าหลงอย่างช้าๆ แต่มั่นคง รัชศก "่เถี่ยหลง" ปีที่แปด ได้ถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของยุคทองอย่างแท้จริงเมืองหลวงต้าหลงที่เคยบอบช้ำจากสงครามกลางเมือง บัดนี้ได้แปรเปลี่ยนเป็นมหานครที่เปี่ยมด้วยชีวิตชีวาและเจริญรุ่งเรืองที่สุดในแผ่นดิน ถนนหนทางที่เคยว่างเปล่าและเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง บัดนี้กลับกว้างขวางและปูด้วยหินอย่างดี สองข้างทางเรียงรายไปด้วยร้านค้าที่เปิดกิจการอย่างคึกคัก พ่อค้าจากแดนไกลนำขบวนคาราวานอูฐบรรทุกเครื่องเทศและอัญมณีเข้ามาไม่ขาดสาย เสียงต่อรองราคา เสียงหัวเราะของเด็กๆ และเสียงดนตรีจากโรงน้ำชาดังผสมผสานกันเป็นบทเพลงแห่งสันติภาพ ผู้คนจากมณฑลอันเป่ยเดินทางเข้ามาค้าขายและตั้งรกราก แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและสินค้ากับชาวต้าหลงอย่างกลมเกลียว กำแพงที่เคยกั้นพรมแดนได้ทลายลงและกำแพงในใจของผู้คนก็ได้ทลายลงตามไปด้วยภายใต้การปกครองของฮ่องเต้เถี่ยหลง แผ่นดินได้เข้าสู่ยุคสมัยแห่งสันติภาพอย่างแท้จริง พระองค์ทรงเป็นฮ่องเต้ที่น่าเกรงขามในท้องพระโรง แต่ก็ทรงเป็นบิดาแห่งแผ่นดิ
กาลเวลาผ่านไปสามปี...ภายใต้การปกครองของฮ่องเต้เถี่ยหลง และฮองเฮาเซี่ย เหยาเหยา แผ่นดินต้าหลงที่เคยบอบช้ำจากสงครามได้ค่อยๆ ฟื้นคืนชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้งดุจผืนดินที่แห้งแล้งได้รับสายฝนแห่งวสันตฤดู นโยบายลดหย่อนภาษีได้สิ้นสุดลงตามกำหนด แต่ราษฎรกลับไม่รู้สึกเดือดร้อน เพราะบัดนี้พวกเขามีพืชผลเต็มยุ้งฉาง มีสินค้าเต็มร้านค้า และมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า กรมบูรณะแผ่นดินภายใต้การนำของเสนาบดีเหวิน จ้าว ได้ทำงานอย่างแข็งขัน ถนนหนทางที่เคยพังทลายได้รับการซ่อมแซมจนเรียบสนิท สะพานใหม่ที่แข็งแรงทอดข้ามแม่น้ำสายสำคัญ กำแพงเมืองที่เคยเป็นแผลเป็นจากสงครามได้รับการบูรณะจนกลับมาสง่างามยิ่งกว่าเดิมบัณฑิตหน้าใหม่ที่ผ่านการสอบคัดเลือกอย่างโปร่งใสได้เข้ารับตำแหน่งขุนนางตามหัวเมืองต่างๆ พวกเขานำความรู้และความกระตือรือร้นเข้าไปปฏิรูประบบราชการที่เคยเฉื่อยชาและเต็มไปด้วยการทุจริตให้กลับมามีประสิทธิภาพอีกครั้ง มณฑลอันเป่ยที่เคยเป็นดินแดนของศัตรู บัดนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดินอย่างสมบูรณ์ เส้นทางการค้าสายใหม่ที่ตัดขึ้นได้นำพาความเจริญรุ่งเรืองไปสู่ดินแดนทางเหนืออย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนทุกสิ่งทุกอย่างดำเ
เสียงระฆังยามเช้าดังกังวานไปทั่วทั้งพระราชวังเป็นสัญญาณแห่งการเริ่มต้นวันใหม่ หลังจากที่ได้รับสมเด็จพระพันปีหลวงองค์ใหม่ ผู้ซึ่งบัดนี้ได้ประทับอยู่ในตำหนักฉือหนิงที่ได้รับการบูรณะอย่างงดงามที่สุด สมพระเกียรติแห่งมารดาแห่งแผ่นดินภายในห้องบรรทมที่โอ่อ่าและกว้างขวาง ฮ่องเต้หนุ่มเพิ่งจะตื่นจากบรรทม แสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าสาดส่องผ่านบานหน้าต่างเข้ามาอาบไล้ร่างเปลือยเปล่าของฮองเฮาเซี่ย เหยาเหยา ที่ยังคงนอนหลับใหลอยู่ในอ้อมแขนของพระองค์อย่างสงบ พระองค์ใช้เวลาชั่วครู่หนึ่งทอดพระเนตรมองใบหน้าอันเป็นที่รักยิ่ง ภาระหนักอึ้งที่รอคอยอยู่ภายนอกห้องนี้ดูเหมือนจะเบาบางลงเสมอเมื่อมีนางอยู่เคียงข้าง พระองค์จุมพิตหน้าผากของนางอย่างแผ่วเบาก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นจากเตียงอย่างเงียบเชียบเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนเหล่านางกำนัลและขันทีเข้ามาช่วยพระองค์สวมฉลองพระองค์มังกรเต็มยศอย่างคล่องแคล่วและเงียบกริบ ทุกขั้นตอนล้วนเป็นไปตามแบบแผนที่สืบทอดกันมานับร้อยปี แต่สำหรับเถี่ย อ้าวเทียนแล้ว ความรู้สึกกลับแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง น้ำหนักของผ้าไหมปักดิ้นทองลายมังกรห้าเล็บนี้ ให้ความรู้สึกหนักอึ้งยิ่งกว่าชุดเกราะเหล็กกล้าท
ยี่สิบกว่าปีก่อน...ค่ำคืนนั้น...เมืองหลวงต้าหลงไม่ได้สว่างไสวไปด้วยแสงโคมไฟเช่นทุกคืน แต่กลับถูกบดบังด้วยเงามืดแห่งการทรยศและความตาย สายฝนโปรยปรายลงมาอย่างไม่ขาดสายราวกับหยาดน้ำตาของสวรรค์ ชะล้างคราบเลือดที่เริ่มไหลนองไปตามพื้นศิลาของพระราชวังต้องห้ามภายในตำหนักบูรพาที่เคยโอ่อ่าและเปี่ยมด้วยเกียรติยศ บัดนี้กลับเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดและเสียงกรีดร้องที่ถูกกลบด้วยเสียงลมพายุที่โหมกระหน่ำอยู่ภายนอก“พระชายา! พวกมันบุกเข้ามาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”ทหารองครักษ์ผู้ภักดีนายหนึ่งในสภาพที่โชกเลือด วิ่งเข้ามารายงานพระชายาเอกแห่งองค์รัชทายาทหลงหยวน สตรีผู้ซึ่งเมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อนยังคงเป็นที่เคารพสูงสุดในตำหนักบูรพา แต่บัดนี้กลับกลายเป็นนักโทษที่รอวันถูกประหาร“แม่ทัพเถี่ยจง...สิ้นแล้ว” เขากล่าวเสียงสั่น น้ำตาไหลปะปนกับเลือดบนใบหน้า “เขาและทหารองครักษ์ที่เหลือยอมสละชีวิตเพื่อซื้อเวลาให้พวกเรา ได้โปรด...ได้โปรดพาองค์ชายน้อยหนีไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ”พระชายาเอกสตรีผู้มีแซ่เดิมว่า ‘เถี่ย’ นางยืนนิ่งราวกับรูปสลักหิน น้ำตาไหลรินลงมาอาบแก้มงามอย่างเงียบงัน นางไม่ได้ร่ำไห้ให้แก่ชะตากรรมของตนเอง แต่ร่ำไห้ให้แก่บุรุ
หลายวันผ่านไปนับจากค่ำคืนแห่งการหลอมรวมอันเร่าร้อนแม้เปลวไฟสงครามจะมอดดับลงแล้ว แต่ภายในเมืองหลวงต้าหลง บรรยากาศกลับคุกรุ่นไปด้วยความตึงเครียดทางการเมืองที่มองไม่เห็น แผ่นดินที่บัดนี้แผ่ไพศาลจากการรวมดินแดนเป่ยหมันเข้ามาเป็นมณฑลใหม่ ไม่ต่างอะไรจากพญามังกรไร้เศียร แม้จะมีอำนาจอันน่าเกรงขาม แต่ก็ไร้ทิศทางและขาดผู้บัญชาการที่แท้จริงข่าวการตัดสินใจอันเปี่ยมด้วยเมตตาของเถี่ย อ้าวเทียน ที่มอบสถานะพลเมืองให้แก่ชาวเป่ยหมันได้แพร่กระจายไปทั่วหล้า มันได้ซื้อใจผู้คนในดินแดนใหม่ได้อย่างสมบูรณ์ แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ได้สร้างความกังวลให้แก่เหล่าขุนนางเก่าแก่ในเมืองหลวง การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่เกินไปจำเป็นต้องมีผู้ปกครองที่เด็ดขาดและมีอำนาจเบ็ดเสร็จมาควบคุมสถานการณ์ณ ท้องพระโรงที่กำลังอยู่ในระหว่างการบูรณะครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เหวิน จ้าว กำลังยืนตรวจดูความคืบหน้าของการก่อสร้างบัลลังก์องค์ใหม่ บัลลังก์เก่าที่ผุพังและเป็นสัญลักษณ์ของราชวงศ์ก่อนได้ถูกทำลายไปแล้ว บัลลังก์ที่กำลังจะมาแทนที่นั่นยิ่งใหญ่และสง่างามกว่าเดิมหลายเท่าตัว มันถูกแกะสลักขึ้นจากไม้จันทน์ทองคำอันเป็นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่หา
กาลเวลาผ่านไปนานกว่าสองเดือนสองเดือนที่เปลวไฟแห่งสงครามได้มอดดับลงอย่างสมบูรณ์ สองเดือนที่แผ่นดินต้าหลงได้เริ่มต้นการฟื้นฟูครั้งยิ่งใหญ่ และสองเดือน.ที่หัวใจของสตรีนางหนึ่งเฝ้ารอคอยการกลับมาของบุรุษอันเป็นที่รักบนเส้นทางหลวงที่ทอดยาวมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง เงาทะมึนของกองทัพที่ยิ่งใหญ่ปรากฏขึ้นที่ปลายขอบฟ้า มันคือภาพที่น่าเกรงขามและเปี่ยมด้วยเกียรติยศอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนกองทัพต้าหลงกำลังเดินทางกลับบ้านเถี่ย อ้าวเทียน ในชุดเกราะเต็มยศสีนิลกาฬ ควบม้าสงครามสีดำทมิฬนำอยู่หน้าสุดของกองทัพ ธงมังกรสีดำขลิบทองโบกสะบัดอย่างทระนงอยู่เบื้องหลังเขา แววตาที่เคยเย็นชาและเต็มไปด้วยไอสังหาร บัดนี้กลับฉายแววแห่งความเหนื่อยล้าแต่ก็เปี่ยมด้วยความสงบนิ่งและอำนาจของราชันย์ผู้แท้จริงเบื้องหลังเขาคือเหล่าทหารหาญนับแสนที่เดินทัพกลับมาในฐานะวีรบุรุษ และเชลยศึกราชวงศ์เป่ยหมันที่เดินตามมาในฐานะทาสที่จะต้องมาชดใช้กรรมด้วยแรงงานของตนเองเมื่อกองทัพเดินทางมาถึงหน้าประตูเมืองหลวงเสียงโห่ร้องที่ดังราวกับแผ่นดินจะถล่มก็ได้ดังขึ้นประชาชนนับล้านออกมายืนรอต้อนรับพวกเขาสองข้างทางพวกเขาโยนดอกไม้โปรยปรายกระดาษสี และตะโก







