FAZER LOGINการปรากฏตัวของเถี่ย อ้าวเทียน เปลี่ยนบรรยากาศในห้องโถงให้เย็นเยียบลงในบัดดล พลังกดดันอันมหาศาลที่แผ่ออกมาจากร่างของเขาทำให้ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นรู้สึกราวกับมีภูเขาลูกใหญ่กดทับอยู่บนบ่าจนหายใจติดขัด
วินาทีที่เห็นเขา หัวใจที่สิ้นหวังของเซี่ย เหยาเหยาก็พลันปรากฏแสงสว่างวาบขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ราวกับคนที่กำลังจะจมน้ำตายแล้วมองเห็นขอนไม้ท่อนสุดท้ายลอยผ่านมา ความรู้สึกปลอดภัยอันน่าประหลาดแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างของนาง
"เจ้าเป็นใครกัน! บังอาจมาขัดจังหวะการประกาศราชโองการ!" กงกงหลิวที่ได้สติเป็นคนแรกตวาดแหวขึ้นมาทันที มันไม่เคยเห็นบุรุษผู้ใดที่มีรัศมีน่าเกรงขามถึงเพียงนี้มาก่อน
เถี่ย อ้าวเทียนไม่ได้สนใจคำพูดของขันทีเฒ่าแม้แต่น้อย เขายังคงก้าวเดินต่อไปอย่างมั่นคงจนมาหยุดยืนอยู่ข้างกายของเซี่ย เหยาเหยา เขาไม่ได้มองนาง แต่กลับพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนลงเล็กน้อยอย่างที่ไม่เคยมีใครได้ยินมาก่อน "ลุกขึ้นเถิด ที่นี่ไม่มีใครสมควรให้เจ้าต้องคุกเข่าให้"
คำพูดของเขาทำให้เซี่ย เหยาเหยาตกตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนที่นางจะค่อยๆ พยุงกายลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ โดยมีหลิน ซูซินคอยช่วยประคองอยู่ข้างๆ เจ้าเมืองเซี่ยเมื่อเห็นการกระทำอันเด็ดเดี่ยวของอ้าวเทียน ก็ตัดสินใจลุกขึ้นยืนเคียงข้างบุตรสาวของตนเช่นกัน
"บังอาจ! บังอาจที่สุด!" กงกงหลิวกรีดร้องราวกับถูกเหยียบหาง "นี่คือราชโองการจากสวรรค์! การไม่คุกเข่าก็เท่ากับไม่เคารพองค์ฮ่องเต้! มีโทษถึงขั้นประหาร! เจ้า...เจ้าเป็นใครกันแน่!"
ในที่สุด เถี่ย อ้าวเทียนก็หันไปเผชิญหน้ากับขันทีเฒ่าโดยตรง แววตาของเขาเย็นเยียบจนทำให้อากาศรอบกายหนาวเหน็บลงหลายส่วน "ข้าคือเถี่ย อ้าวเทียน แม่ทัพผู้บัญชาการแห่งกองทัพจินไห่"
ชื่อของเขาทำให้กงกงหลิวและเหล่าทหารราชองครักษ์จากเมืองหลวงหน้าเปลี่ยนสีไปในทันที!
กิตติศัพท์ของ "พยัคฆ์ทมิฬแห่งจินไห่" ผู้นี้โด่งดังไปทั่วทั้งแผ่นดิน พวกเขาได้ยินมาว่าเขาเป็นแม่ทัพที่เก่งกาจ ไร้ความปรานี และไม่เคยยอมก้มหัวให้ใคร แต่ก็ไม่เคยคาดคิดว่าจะต้องมาเผชิญหน้ากันในสถานการณ์เช่นนี้
"ที่แท้ก็คือท่านแม่ทัพเถี่ยนี่เอง" กงกงหลิวพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ แม้ในใจจะเริ่มรู้สึกหวาดหวั่น "ในเมื่อท่านก็เป็นขุนนางของราชสำนัก ก็สมควรที่จะเข้าใจในราชโองการเป็นอย่างดี เรื่องนี้เป็นพระประสงค์ขององค์ฮ่องเต้ ท่านแม่ทัพไม่ควรเข้ามายุ่งเกี่ยว"
"ยุ่งเกี่ยวงั้นรึ?" เถี่ย อ้าวเทียนแค่นเสียงหัวเราะในลำคอ "เจ้าเมืองเซี่ยเปรียบเสมือนญาติผู้ใหญ่ของข้า คุณหนูเซี่ยก็ไม่ต่างอะไรจากน้องสาว แล้วเจ้าจะบอกว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าอย่างนั้นรึ?"
เขาหยุดไปชั่วครู่ ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยียบยิ่งกว่าเดิม "ข้าอยากจะถามพวกท่านมากกว่า...ชายแดนทางเหนือกำลังลุกเป็นไฟ ทหารของเรากำลังหลั่งเลือดสู้รบกับพวกเป่ยหมันอย่างยากลำบาก แต่ราชสำนักกลับมีเวลาว่างส่งพวกท่านมาจัดงานมงคลถึงแดนใต้ที่ห่างไกลเช่นนี้...หรือว่าในสายตาขององค์รัชทายาท การแต่งงานกับสตรีสำคัญกว่าชีวิตของทหารนับหมื่นนับแสน?"
ทุกถ้อยคำของเขาเฉียบคมราวกับมีดที่กรีดลงบนหน้าของกงกงหลิว!
"เจ้า! เจ้าบังอาจกล่าวหาองค์รัชทายาท" กงกงหลิวโกรธจนตัวสั่น "นี่คือการเชื่อมสัมพันธ์เพื่อบ้านเมือง องค์รัชทายาททรงหวังว่าการแต่งงานครั้งนี้จะทำให้ท่านเจ้าเมืองจินไห่ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณยิ่งขึ้นไปอีก"
"ฮ่าๆๆๆๆ!"
เถี่ย อ้าวเทียนหัวเราะเสียงดังเป็นครั้งแรก เสียงหัวเราะของเขาไม่ได้มีความขบขัน แต่กลับเต็มไปด้วยความเย็นชาและดูแคลน "ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณรึ? ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง...พวกท่านไม่ได้ต้องการสตรี แต่ต้องการกองทัพพยัคฆ์ทมิฬของข้าไปเป็นเครื่องสังเวยต่างหาก!"
คำพูดของเขาทำให้ทั้งเจ้าเมืองเซี่ยและเซี่ย เหยาเหยาเบิกตากว้างด้วยความตกใจ พวกเขามองเพียงเรื่องการแต่งงาน แต่ไม่เคยคาดคิดว่าเถี่ย อ้าวเทียนจะมองทะลุไปถึงแผนการเบื้องหลังที่ซับซ้อนกว่านั้นได้อย่างง่ายดาย!
"ช่างเป็นแผนการที่สูงส่งเสียจริง!" เถี่ย อ้าวเทียนกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน "ใช้ชีวิตและอนาคตของสตรีผู้บริสุทธิ์คนหนึ่ง มาเป็นเครื่องมือเพื่อให้ได้มาซึ่งกองทัพ นี่คือความคิดขององค์รัชทายาทผู้ปรีชาสามารถของพวกเจ้าน่ะรึ? ช่างน่าขันสิ้นดี!"
ทุกถ้อยคำของเขาไม่ได้หมายถึงการแลกเปลี่ยนโดยตรง แต่มันคือการฉีกกระชากหน้ากากอันสวยหรูของราชสำนักออกมาอย่างเลือดเย็น! เจ้าเมืองเซี่ยพลันเข้าใจในทันที ราชโองการนี้ไม่ใช่การเชื่อมสัมพันธ์ แต่เป็นโซ่ตรวน พวกมันใช้การแต่งงานเป็นเหยื่อล่อ เพื่อผูกมัดเมืองจินไห่ และบังคับให้กองทัพพยัคฆ์ทมิฬต้องยอมเป็นหมากบนกระดานให้พวกมันส่งไปตายอย่างไร้ค่าที่ชายแดนทางเหนือ! นี่ไม่ใช่การสู่ขอ แต่เป็นการใช้ชีวิตของบุตรสาวเขาเป็นเครื่องสังเวยเพื่อแลกกับอำนาจทางการทหาร!
"เจ้า...เจ้ามันกบฏ! เจ้าคิดจะก่อกบฏรึ!" กงกงหลิวจนปัญญาที่จะโต้เถียง ทำได้เพียงชี้หน้าและกล่าวหาเขาด้วยข้อหาที่ร้ายแรงที่สุด
"กบฏรึ?" เถี่ย อ้าวเทียนหรี่ตามองมัน "แล้วการที่ราชสำนักเพิกเฉยต่อความเป็นตายของทหารที่ชายแดน ปล่อยให้ขุนนางโกงกินเสบียงจนกองทัพอ่อนแอ ปล่อยให้แผ่นดินถูกรุกราน...เรียกสิ่งนี้ว่าอะไรดีเล่า? ความภักดีงั้นรึ?"
"ทหาร! ทหารอยู่ไหน! จับตัวไอ้กบฏผู้นี้ไว้!" กงกงหลิวกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง
ทหารราชองครักษ์ในชุดเกราะสีทองชักดาบออกมาอย่างลังเล พวกเขาลังเลที่จะปะทะกับแม่ทัพในตำนานผู้นี้
ทันใดนั้น! อู่ เลี่ยและเหวิน จ้าวที่ติดตามเถี่ย อ้าวเทียนมา ก็ก้าวเข้ามาในห้องโถงพร้อมกับทหารพยัคฆ์ทมิฬอีกนับสิบนาย พวกเขาไม่ได้สวมเกราะเต็มยศ แต่ไอสังหารที่แผ่ออกมาจากร่างของแต่ละคนนั้นกลับหนาแน่นจนทำให้ทหารเมืองหลวงรู้สึกหายใจติดขัด!
"ใครกล้าแตะต้องท่านแม่ทัพของข้าแม้แต่ปลายเล็บ ข้าจะสับมันเป็นพันๆ ชิ้น!" อู่ เลี่ยคำรามลั่น มือของเขากำด้ามดาบใหญ่ที่สะพายอยู่บนหลังแน่น
เพียงแค่เห็นสายตาที่ดุดันของอู่ เลี่ย ทหารราชองครักษ์เหล่านั้นก็ถึงกับหน้าถอดสี พวกเขาเป็นเพียงทหารที่คุ้นเคยกับความสุขสบายในวังหลวง จะไปเทียบกับนักรบที่ผ่านสมรภูมิมาอย่างโชกโชนเช่นนี้ได้อย่างไร!
กงกงหลิวเห็นท่าไม่ดีจึงเปลี่ยนเป้าหมาย เขากระชากราชโองการในมือขันทีน้อยขึ้นมาแล้วชูขึ้นสูง "นี่คือราชโองการขององค์ฮ่องเต้ เถี่ย อ้าวเทียน เจ้ากล้าขัดราชโองการรึ เจ้าไม่กลัวถูกประหารเก้าชั่วโคตรงั้นรึ!"
เถี่ย อ้าวเทียนมองม้วนราชโองการสีทองในมือของมันด้วยสายตาที่ว่างเปล่า ก่อนจะหันไปหาเจ้าเมืองเซี่ยที่ยังคงยืนตัวแข็งทื่อ "ท่านลุงเซี่ย ท่านเลี้ยงดูข้ามาแต่เล็ก มีบุญคุณท่วมหัว วันนี้ข้า เถี่ย อ้าวเทียน ขอประกาศ ณ ที่นี้ว่า ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ จะมิอาจมีใครสามารถพาตัวคุณหนูเซี่ยไปจากที่นี่ได้!"
คำประกาศของเขาดังกึกก้องไปทั่วทั้งจวน ไม่ใช่เพียงการปกป้องสตรีผู้หนึ่ง แต่เป็นการประกาศสงครามกับราชสำนักต้าหลงอย่างเปิดเผย!
"เจ้า...เจ้า..." กงกงหลิวพูดไม่ออกด้วยความโกรธ
เถี่ย อ้าวเทียนเดินตรงเข้าไปหากงกงหลิวอย่างช้าๆ พลังกดดันอันมหาศาลของเขาทำให้กงกงหลิวต้องถอยหลังไปหลายก้าวโดยไม่รู้ตัว
"กลับไป!" เถี่ย อ้าวเทียนกล่าวเสียงเรียบ แต่ทุกคำกลับหนักแน่นดุจขุนเขา "นำราชโองการบัดซบของพวกเจ้ากลับไป แล้วไปทูลนายเหนือหัวของพวกเจ้าด้วยว่า...หากอยากได้ตัวเซี่ย เหยาเหยา...ก็ให้องค์รัชทายาทนำทัพมาด้วยตนเอง! ข้า เถี่ย อ้าวเทียน จะรออยู่ที่นี่!"
นั่นคือคำประกาศสงครามที่ชัดเจนที่สุด
กงกงหลิวรู้ดีว่าวันนี้คงไม่สามารถทำอะไรได้อีกต่อไป เขาตัวสั่นเทาด้วยความโกรธและความอัปยศ "ดี! ดี! เถี่ย อ้าวเทียน เจ้าจะต้องเสียใจกับการกระทำในวันนี้ ราชสำนักจะต้องส่งกองทัพใหญ่มาบดขยี้พวกเจ้าให้สิ้นซาก"
พูดจบ มันก็รีบเก็บราชโองการด้วยมือไม้ที่สั่นเทา ก่อนจะหันหลังและเผ่นหนีออกจากจวนเจ้าเมืองไปอย่างไม่คิดชีวิต พร้อมกับคณะผู้แทนที่รีบวิ่งตามไปอย่างลนลาน
เมื่อร่างของคณะผู้เชิญราชโองการลับหายไป ความเงียบอันน่าอึดอัดก็กลับเข้ามาครอบงำอีกครั้ง เจ้าเมืองเซี่ยถอนหายใจยาวเหยียด ใบหน้าเต็มไปด้วยความวิตกกังวล "อ้าวเทียน...เจ้าทำเกินไปแล้วนี่เท่ากับเป็นการหักหน้าราชสำนักอย่างรุนแรง พวกเขาต้องไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปแน่"
"ท่านลุงเซี่ย ท่านไม่ต้องกังวล" เถี่ย อ้าวเทียนกล่าว "ข้าเตรียมการไว้หมดแล้ว"
"แต่ว่า..."
"ท่านเจ้าเมือง ท่านแม่ทัพทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้วขอรับ" เหวิน จ้าวกล่าวขึ้น "สถานการณ์ในตอนนี้ เมืองหลวงไม่อยู่ในฐานะที่จะเปิดศึกกับเราทางใต้ได้โดยง่าย กำลังทหารส่วนใหญ่ถูกส่งไปต้านทัพเป่ยหมันจนแทบไม่เหลือแล้ว การส่งกองทัพใหญ่มาปราบเรา ต้องใช้ทั้งเวลา ทรัพยากร และเสบียงมหาศาล ซึ่งเป็นสิ่งที่ราชสำนักขาดแคลนที่สุดในยามนี้"
คำวิเคราะห์ของเหวิน จ้าว ทำให้เจ้าเมืองเซี่ยใจเย็นลงได้บ้าง เขามองไปยัง "หลานชาย" ที่เขาเฝ้าดูแลมาตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ บัดนี้เด็กชายผู้นั้นได้เติบโตขึ้นเป็นมังกรที่พร้อมจะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้วจริงๆ
เถี่ย อ้าวเทียน ไม่ได้พูดอะไรอีก เขาหันไปมองเซี่ย เหยาเหยาที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ ใบหน้าของนางยังคงมีร่องรอยของความตกใจ แต่ในแววตานั้นมีความรู้สึกบางอย่างที่ซับซ้อนฉายชัดขึ้นมา...ความโล่งใจ ความหวาดกลัวต่ออนาคต และ...ความรู้สึกขอบคุณที่ท่วมท้นอยู่ในใจ
"เจ้า...ปลอดภัยแล้ว" เขากล่าวกับนางด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลกว่าปกติ ก่อนที่ใบหน้าจะกลับมาเรียบเฉยดังเดิม "ข้าบอกแล้วว่าจะไม่ยอมให้ใครมาทำอะไรเจ้าได้"
คำพูดของเขาทำให้นางรู้สึกอบอุ่นใจอย่างน่าประหลาด นางเพียงแค่พยักหน้ารับเบาๆ "ข้า...ขอบคุณท่าน"
เถี่ย อ้าวเทียน เพียงแค่มองนางนิ่งๆ ชั่วครู่ ก่อนจะหันหลังและเดินจากไปพร้อมกับอู่ เลี่ยและเหวิน จ้าว ทิ้งให้พ่อลูกตระกูลเซี่ยและหลิน ซูซินเผชิญหน้ากับอนาคตที่ไม่แน่นอน
"องอาจยิ่งนัก! ช่างองอาจเสียจริง!" ทันทีที่ร่างของเถี่ย อ้าวเทียนลับหายไป หลิน ซูซินก็เขย่าแขนเพื่อนรักอย่างตื่นเต้น "เจ้าเห็นหรือไม่เหยาเหยา! ท่านแม่ทัพของเจ้าช่างดูองอาจผึ่งผายสมกับบุรุษชาตรีโดยแท้! 'ข้า เถี่ย อ้าวเทียน จะรออยู่ที่นี่!' โอ...วาจาของเขาช่างน่าเกรงขามและน่าหลงใหลในเวลาเดียวกัน! เขาไม่ได้เพียงปกป้องเจ้า แต่เขากำลังประกาศสงครามเพื่อเจ้าเลยนะ!"
"ซูซิน! อย่าพูดจาเหลวไหล!" แม้ปากจะพูดเช่นนั้น แต่ใบหน้าของเซี่ย เหยาเหยากลับแดงก่ำไปจนถึงใบหู ภาพที่เขาประกาศกร้าวต่อหน้าทุกคนนั้น ยังคงติดตรึงอยู่ในใจของนางไม่จางหาย...
ห้าปีต่อมา...กาลเวลาได้เคลื่อนผ่านไปดุจสายน้ำที่ไม่เคยไหลย้อนกลับนำพาความเปลี่ยนแปลงมาสู่แผ่นดินต้าหลงอย่างช้าๆ แต่มั่นคง รัชศก "่เถี่ยหลง" ปีที่แปด ได้ถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของยุคทองอย่างแท้จริงเมืองหลวงต้าหลงที่เคยบอบช้ำจากสงครามกลางเมือง บัดนี้ได้แปรเปลี่ยนเป็นมหานครที่เปี่ยมด้วยชีวิตชีวาและเจริญรุ่งเรืองที่สุดในแผ่นดิน ถนนหนทางที่เคยว่างเปล่าและเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง บัดนี้กลับกว้างขวางและปูด้วยหินอย่างดี สองข้างทางเรียงรายไปด้วยร้านค้าที่เปิดกิจการอย่างคึกคัก พ่อค้าจากแดนไกลนำขบวนคาราวานอูฐบรรทุกเครื่องเทศและอัญมณีเข้ามาไม่ขาดสาย เสียงต่อรองราคา เสียงหัวเราะของเด็กๆ และเสียงดนตรีจากโรงน้ำชาดังผสมผสานกันเป็นบทเพลงแห่งสันติภาพ ผู้คนจากมณฑลอันเป่ยเดินทางเข้ามาค้าขายและตั้งรกราก แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและสินค้ากับชาวต้าหลงอย่างกลมเกลียว กำแพงที่เคยกั้นพรมแดนได้ทลายลงและกำแพงในใจของผู้คนก็ได้ทลายลงตามไปด้วยภายใต้การปกครองของฮ่องเต้เถี่ยหลง แผ่นดินได้เข้าสู่ยุคสมัยแห่งสันติภาพอย่างแท้จริง พระองค์ทรงเป็นฮ่องเต้ที่น่าเกรงขามในท้องพระโรง แต่ก็ทรงเป็นบิดาแห่งแผ่นดิ
กาลเวลาผ่านไปสามปี...ภายใต้การปกครองของฮ่องเต้เถี่ยหลง และฮองเฮาเซี่ย เหยาเหยา แผ่นดินต้าหลงที่เคยบอบช้ำจากสงครามได้ค่อยๆ ฟื้นคืนชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้งดุจผืนดินที่แห้งแล้งได้รับสายฝนแห่งวสันตฤดู นโยบายลดหย่อนภาษีได้สิ้นสุดลงตามกำหนด แต่ราษฎรกลับไม่รู้สึกเดือดร้อน เพราะบัดนี้พวกเขามีพืชผลเต็มยุ้งฉาง มีสินค้าเต็มร้านค้า และมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า กรมบูรณะแผ่นดินภายใต้การนำของเสนาบดีเหวิน จ้าว ได้ทำงานอย่างแข็งขัน ถนนหนทางที่เคยพังทลายได้รับการซ่อมแซมจนเรียบสนิท สะพานใหม่ที่แข็งแรงทอดข้ามแม่น้ำสายสำคัญ กำแพงเมืองที่เคยเป็นแผลเป็นจากสงครามได้รับการบูรณะจนกลับมาสง่างามยิ่งกว่าเดิมบัณฑิตหน้าใหม่ที่ผ่านการสอบคัดเลือกอย่างโปร่งใสได้เข้ารับตำแหน่งขุนนางตามหัวเมืองต่างๆ พวกเขานำความรู้และความกระตือรือร้นเข้าไปปฏิรูประบบราชการที่เคยเฉื่อยชาและเต็มไปด้วยการทุจริตให้กลับมามีประสิทธิภาพอีกครั้ง มณฑลอันเป่ยที่เคยเป็นดินแดนของศัตรู บัดนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดินอย่างสมบูรณ์ เส้นทางการค้าสายใหม่ที่ตัดขึ้นได้นำพาความเจริญรุ่งเรืองไปสู่ดินแดนทางเหนืออย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนทุกสิ่งทุกอย่างดำเ
เสียงระฆังยามเช้าดังกังวานไปทั่วทั้งพระราชวังเป็นสัญญาณแห่งการเริ่มต้นวันใหม่ หลังจากที่ได้รับสมเด็จพระพันปีหลวงองค์ใหม่ ผู้ซึ่งบัดนี้ได้ประทับอยู่ในตำหนักฉือหนิงที่ได้รับการบูรณะอย่างงดงามที่สุด สมพระเกียรติแห่งมารดาแห่งแผ่นดินภายในห้องบรรทมที่โอ่อ่าและกว้างขวาง ฮ่องเต้หนุ่มเพิ่งจะตื่นจากบรรทม แสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าสาดส่องผ่านบานหน้าต่างเข้ามาอาบไล้ร่างเปลือยเปล่าของฮองเฮาเซี่ย เหยาเหยา ที่ยังคงนอนหลับใหลอยู่ในอ้อมแขนของพระองค์อย่างสงบ พระองค์ใช้เวลาชั่วครู่หนึ่งทอดพระเนตรมองใบหน้าอันเป็นที่รักยิ่ง ภาระหนักอึ้งที่รอคอยอยู่ภายนอกห้องนี้ดูเหมือนจะเบาบางลงเสมอเมื่อมีนางอยู่เคียงข้าง พระองค์จุมพิตหน้าผากของนางอย่างแผ่วเบาก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นจากเตียงอย่างเงียบเชียบเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนเหล่านางกำนัลและขันทีเข้ามาช่วยพระองค์สวมฉลองพระองค์มังกรเต็มยศอย่างคล่องแคล่วและเงียบกริบ ทุกขั้นตอนล้วนเป็นไปตามแบบแผนที่สืบทอดกันมานับร้อยปี แต่สำหรับเถี่ย อ้าวเทียนแล้ว ความรู้สึกกลับแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง น้ำหนักของผ้าไหมปักดิ้นทองลายมังกรห้าเล็บนี้ ให้ความรู้สึกหนักอึ้งยิ่งกว่าชุดเกราะเหล็กกล้าท
ยี่สิบกว่าปีก่อน...ค่ำคืนนั้น...เมืองหลวงต้าหลงไม่ได้สว่างไสวไปด้วยแสงโคมไฟเช่นทุกคืน แต่กลับถูกบดบังด้วยเงามืดแห่งการทรยศและความตาย สายฝนโปรยปรายลงมาอย่างไม่ขาดสายราวกับหยาดน้ำตาของสวรรค์ ชะล้างคราบเลือดที่เริ่มไหลนองไปตามพื้นศิลาของพระราชวังต้องห้ามภายในตำหนักบูรพาที่เคยโอ่อ่าและเปี่ยมด้วยเกียรติยศ บัดนี้กลับเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดและเสียงกรีดร้องที่ถูกกลบด้วยเสียงลมพายุที่โหมกระหน่ำอยู่ภายนอก“พระชายา! พวกมันบุกเข้ามาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”ทหารองครักษ์ผู้ภักดีนายหนึ่งในสภาพที่โชกเลือด วิ่งเข้ามารายงานพระชายาเอกแห่งองค์รัชทายาทหลงหยวน สตรีผู้ซึ่งเมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อนยังคงเป็นที่เคารพสูงสุดในตำหนักบูรพา แต่บัดนี้กลับกลายเป็นนักโทษที่รอวันถูกประหาร“แม่ทัพเถี่ยจง...สิ้นแล้ว” เขากล่าวเสียงสั่น น้ำตาไหลปะปนกับเลือดบนใบหน้า “เขาและทหารองครักษ์ที่เหลือยอมสละชีวิตเพื่อซื้อเวลาให้พวกเรา ได้โปรด...ได้โปรดพาองค์ชายน้อยหนีไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ”พระชายาเอกสตรีผู้มีแซ่เดิมว่า ‘เถี่ย’ นางยืนนิ่งราวกับรูปสลักหิน น้ำตาไหลรินลงมาอาบแก้มงามอย่างเงียบงัน นางไม่ได้ร่ำไห้ให้แก่ชะตากรรมของตนเอง แต่ร่ำไห้ให้แก่บุรุ
หลายวันผ่านไปนับจากค่ำคืนแห่งการหลอมรวมอันเร่าร้อนแม้เปลวไฟสงครามจะมอดดับลงแล้ว แต่ภายในเมืองหลวงต้าหลง บรรยากาศกลับคุกรุ่นไปด้วยความตึงเครียดทางการเมืองที่มองไม่เห็น แผ่นดินที่บัดนี้แผ่ไพศาลจากการรวมดินแดนเป่ยหมันเข้ามาเป็นมณฑลใหม่ ไม่ต่างอะไรจากพญามังกรไร้เศียร แม้จะมีอำนาจอันน่าเกรงขาม แต่ก็ไร้ทิศทางและขาดผู้บัญชาการที่แท้จริงข่าวการตัดสินใจอันเปี่ยมด้วยเมตตาของเถี่ย อ้าวเทียน ที่มอบสถานะพลเมืองให้แก่ชาวเป่ยหมันได้แพร่กระจายไปทั่วหล้า มันได้ซื้อใจผู้คนในดินแดนใหม่ได้อย่างสมบูรณ์ แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ได้สร้างความกังวลให้แก่เหล่าขุนนางเก่าแก่ในเมืองหลวง การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่เกินไปจำเป็นต้องมีผู้ปกครองที่เด็ดขาดและมีอำนาจเบ็ดเสร็จมาควบคุมสถานการณ์ณ ท้องพระโรงที่กำลังอยู่ในระหว่างการบูรณะครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เหวิน จ้าว กำลังยืนตรวจดูความคืบหน้าของการก่อสร้างบัลลังก์องค์ใหม่ บัลลังก์เก่าที่ผุพังและเป็นสัญลักษณ์ของราชวงศ์ก่อนได้ถูกทำลายไปแล้ว บัลลังก์ที่กำลังจะมาแทนที่นั่นยิ่งใหญ่และสง่างามกว่าเดิมหลายเท่าตัว มันถูกแกะสลักขึ้นจากไม้จันทน์ทองคำอันเป็นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่หา
กาลเวลาผ่านไปนานกว่าสองเดือนสองเดือนที่เปลวไฟแห่งสงครามได้มอดดับลงอย่างสมบูรณ์ สองเดือนที่แผ่นดินต้าหลงได้เริ่มต้นการฟื้นฟูครั้งยิ่งใหญ่ และสองเดือน.ที่หัวใจของสตรีนางหนึ่งเฝ้ารอคอยการกลับมาของบุรุษอันเป็นที่รักบนเส้นทางหลวงที่ทอดยาวมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง เงาทะมึนของกองทัพที่ยิ่งใหญ่ปรากฏขึ้นที่ปลายขอบฟ้า มันคือภาพที่น่าเกรงขามและเปี่ยมด้วยเกียรติยศอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนกองทัพต้าหลงกำลังเดินทางกลับบ้านเถี่ย อ้าวเทียน ในชุดเกราะเต็มยศสีนิลกาฬ ควบม้าสงครามสีดำทมิฬนำอยู่หน้าสุดของกองทัพ ธงมังกรสีดำขลิบทองโบกสะบัดอย่างทระนงอยู่เบื้องหลังเขา แววตาที่เคยเย็นชาและเต็มไปด้วยไอสังหาร บัดนี้กลับฉายแววแห่งความเหนื่อยล้าแต่ก็เปี่ยมด้วยความสงบนิ่งและอำนาจของราชันย์ผู้แท้จริงเบื้องหลังเขาคือเหล่าทหารหาญนับแสนที่เดินทัพกลับมาในฐานะวีรบุรุษ และเชลยศึกราชวงศ์เป่ยหมันที่เดินตามมาในฐานะทาสที่จะต้องมาชดใช้กรรมด้วยแรงงานของตนเองเมื่อกองทัพเดินทางมาถึงหน้าประตูเมืองหลวงเสียงโห่ร้องที่ดังราวกับแผ่นดินจะถล่มก็ได้ดังขึ้นประชาชนนับล้านออกมายืนรอต้อนรับพวกเขาสองข้างทางพวกเขาโยนดอกไม้โปรยปรายกระดาษสี และตะโก







