แชร์

บทที่ 7 พายุในกรงทอง

last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-12-07 14:44:21

เส้นทางจากเมืองจินไห่สู่เมืองหลวงนั้นยาวไกลและทุรกันดาร ขบวนผู้เชิญราชโองการที่ยามเดินทางมาเคยโอ่อ่าและเต็มไปด้วยความหยิ่งผยอง บัดนี้ในยามเดินทางกลับสู่เมืองหลวง กลับดูอิดโรยและสิ้นไร้ราศียิ่งนัก

ทหารราชองครักษ์ในชุดเกราะสีทองที่เคยเงางาม บัดนี้มอมแมมไปด้วยฝุ่นดินและคราบเหงื่อไคล ใบหน้าที่เคยเชิดสูงบัดนี้ก้มต่ำลงด้วยความอัปยศอดสู พวกเขาเร่งเดินทางทั้งวันทั้งคืนราวกับกำลังหนีจากภูตผีปีศาจ ภาพของพยัคฆ์ทมิฬแห่งจินไห่และไอสังหารอันเยียบเย็นของแม่ทัพเถี่ย อ้าวเทียน ยังคงติดตาและสร้างความหวาดผวาให้แก่พวกเขาไม่จางหาย

แต่ผู้ที่มีสภาพย่ำแย่ที่สุดก็คือกงกงหลิว ขันทีเฒ่าผู้เป็นหัวหน้าคณะ ตลอดการเดินทางกลับ มันเอาแต่นั่งหน้าเครียดอยู่ในรถม้า ในหัวคิดวนเวียนอยู่แต่ว่าจะทูลรายงานเรื่องความล้มเหลวครั้งนี้ต่อองค์รัชทายาทอย่างไรดี กงกงหลิวรู้ดีว่าองค์รัชทายาทมีนิสัยโหดเหี้ยมและเอาแต่ใจเพียงใด ความล้มเหลวในการนำตัว "นางฟ้าแห่งจินไห่" กลับมา ไม่เพียงแต่จะทำให้พระองค์พิโรธ แต่ยังเป็นการหักหน้าพระองค์อย่างรุนแรงที่สุด! โทษทัณฑ์ที่มันจะได้รับนั้น...มันไม่อยากจะจินตนาการเลย

"ไม่ได้...ข้าจะยอมรับความผิดทั้งหมดไม่ได้" เขาพึมพำกับตัวเอง ดวงตาที่หยาบกร้านทอประกายชั่วร้ายขึ้นมาวูบหนึ่ง "ความผิดทั้งหมดต้องตกเป็นของไอ้แม่ทัพกบฏเถี่ย อ้าวเทียนผู้นั้น! ใช่แล้ว...มันคือตัวต้นเหตุ! มันคือผู้ที่บังอาจลบหลู่เบื้องสูง! ข้าเป็นเพียงข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์ แต่กลับถูกกบฏรังแก!"

เมื่อคิดได้ดังนั้น แผนการปรุงแต่งเรื่องราวเพื่อเอาตัวรอดก็ถูกถักทอขึ้นในหัวของมันอย่างรวดเร็ว

หลายสัปดาห์ต่อมา ขบวนที่อิดโรยก็เดินทางกลับมาถึงเมืองหลวงในที่สุด กงกงหลิวไม่กล้าหยุดพักแม้แต่น้อย เขารีบรุดหน้าไปยังตำหนักบูรพาเพื่อเข้าเฝ้าองค์รัชทายาททันที

ณ ตำหนักบูรพา...

องค์รัชทายาทกำลังนั่งจิบสุราชั้นเลิศด้วยอารมณ์ที่หงุดหงิดยิ่งนัก หลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เขาเฝ้ารอคอยการกลับมาของกงกงหลิวพร้อมกับของขวัญล้ำค่าชิ้นใหม่ด้วยใจที่ร้อนรน ภาพของสตรีที่งดงามราวกับเทพธิดาตามคำบรรยายของขันทีเฒ่าวนเวียนอยู่ในความคิดของเขาตลอดเวลา จนทำให้สตรีโฉมงามคนอื่นๆ ในตำหนักดูจืดชืดไปถนัดตา

"เมื่อไหร่ไอ้ขันทีเฒ่านั่นจะกลับมาเสียที!" เขาบ่นพึมพำอย่างไม่สบอารมณ์

ทันใดนั้น ขันทีรับใช้หน้าตำหนักก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามารายงาน "ทูลองค์รัชทายาท! กงกงหลิวกลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ! ตอนนี้ขอเข้าเฝ้าอยู่หน้าตำหนัก!"

"หึ! ในที่สุดก็กลับมาจนได้! ให้เขาเข้ามา!" รัชทายาทกล่าวอย่างยินดี เขาวาดฝันไปว่าอีกไม่นานก็จะได้ยลโฉมสตรีที่งดงามที่สุดในแผ่นดินแล้ว

ทว่าภาพที่ปรากฏกลับทำให้เขาต้องขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ กงกงหลิวเดินโซซัดโซเซเข้ามาในตำหนัก สภาพของมันดูอิดโรยและน่าสังเวชราวกับเพิ่งหนีตายมาจากขุมนรก ทันทีที่เห็นหน้าองค์รัชทายาท มันก็ทรุดกายลงกับพื้นแล้วร้องห่มร้องไห้เสียงดังลั่น

"องค์รัชทายาท! ทรงประทานความเป็นธรรมให้บ่าวด้วยพ่ะย่ะค่ะ! บ่าว...บ่าวเกือบจะเอาชีวิตไปทิ้งที่แดนใต้แล้ว!"

คิ้วของรัชทายาทกระตุกอย่างแรง "เกิดอะไรขึ้น! แล้วเซี่ย เหยาเหยาเล่า? สตรีผู้นั้นอยู่ที่ไหน!"

"นาง...นางไม่ได้มาด้วยพ่ะย่ะค่ะ!" กงกงหลิวโขกศีรษะลงกับพื้นอย่างแรง "ไอ้แม่ทัพกบฏเถี่ย อ้าวเทียน! มัน...มันไม่ยอมให้เราพาตัวคุณหนูเซี่ยมา! มันบังอาจฉีกหน้าบ่าวและราชสำนักอย่างไม่ไว้หน้าเลยพ่ะย่ะค่ะ!"

เพล้ง!

จอกสุราหยกในมือของรัชทายาทถูกขว้างลงกับพื้นจนแตกกระจาย! ใบหน้าของเขาแดงก่ำขึ้นมาด้วยความโกรธ "เจ้าว่าอะไรนะ! ไอ้แม่ทัพบ้านนอกนั่นมันกล้าขัดราชโองการรึ!"

"หาใช่แค่ขัดราชโองการไม่พ่ะย่ะค่ะ!" กงกงหลิวรีบใส่ไฟต่อทันที "มันยังกล่าววาจาลบหลู่เบื้องสูงอย่างที่ไม่น่าให้อภัย! มันบอกว่าราชโองการเป็นเพียงเศษกระดาษบัดซบ! มันกล่าวหาว่าองค์รัชทายาทไม่สนพระทัยในศึกสงคราม เอาแต่คิดเรื่องสตรี! และมันยังบอกอีกว่า...หากอยากได้ตัวคุณหนูเซี่ย...ก็ให้องค์รัชทายาทนำทัพไปด้วยพระองค์เอง! มันจะรออยู่ที่นั่น!"

ทุกถ้อยคำที่กงกงหลิวเลือกนำมาทูลนั้น แม้ส่วนใหญ่จะเป็นความจริง แต่ก็ถูกขัดเกลาและขยายความเพื่อราดน้ำมันลงบนกองไฟโดยเฉพาะ ราวกับน้ำมันที่สาดเข้าไปในกองไฟ โทสะขององค์รัชทายาทพลันระเบิดออกมาราวกับภูเขาไฟปะทุ!

"บังอาจ! ไอ้สุนัขเถี่ย อ้าวเทียน! มันบังอาจหักหน้าข้าถึงเพียงนี้!" เขากู่ร้องอย่างบ้าคลั่ง โต๊ะเตี้ยที่ทำจากไม้เนื้อดีถูกเขาถีบจนกระเด็นไป ข้าวของเครื่องใช้ราคาแพงถูกปัดทิ้งลงพื้นจนแตกกระจาย นางกำนัลและขันทีรับใช้ต่างคุกเข่าตัวสั่นงันงกด้วยความหวาดกลัว

"มันไม่เห็นข้าผู้เป็นรัชทายาทอยู่ในสายตาเลย! มันคือไพร่สถุล! มันคือเศษเดน! ข้าจะฆ่ามัน! ข้าจะฆ่ามันให้ได้!"

ความปรารถนาในตัวสตรีงาม บัดนี้ได้ถูกแปรเปลี่ยนเป็นความเกลียดชังและความต้องการที่จะล้างแค้นอย่างรุนแรง เขาไม่เคยถูกผู้ใดหยามเกียรติถึงเพียงนี้มาก่อนในชีวิต!

"ข้าจะไปทูลเสด็จพ่อ! ข้าจะขอให้พระองค์ส่งกองทัพไปบดขยี้เมืองจินไห่ให้สิ้นซาก! ข้าจะจับตัวไอ้เถี่ย อ้าวเทียนมาทรมานให้ตายอย่างช้าๆ! ส่วนนางเซี่ย เหยาเหยานั่น...ข้าจะทำให้นางต้องคุกเข่าอ้อนวอนอยู่แทบเท้าข้า!"

พูดจบ เขาก็สะบัดชายเสื้อแล้วเดินกระทืบเท้าออกจากตำหนักบูรพาไปอย่างเกรี้ยวกราด มุ่งตรงไปยังท้องพระโรงเพื่อเข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้ทันที

ณ ท้องพระโรง...

ฮ่องเต้กำลังนั่งฟังรายงานสถานการณ์ชายแดนทางเหนือด้วยสีหน้ากลัดกลุ้มเช่นเคย เมื่อองค์รัชทายาทพุ่งพรวดพราดเข้ามาโดยไม่ขออนุญาต พระองค์ก็ขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ

"นี่มันเรื่องอะไรกัน! เหตุใดเจ้าจึงเสียมายาทเช่นนี้!"

"ทูลเสด็จพ่อ! เกิดเรื่องใหญ่แล้วพ่ะย่ะค่ะ! ที่เมืองจินไห่...มีคนก่อกบฏ!" รัชทายาททูลรายงานเสียงดังลั่น

จากนั้น เขาก็เริ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่ได้ฟังมาจากกงกงหลิว โดยปรุงแต่งและใส่สีตีไข่เข้าไปอีกหลายเท่าตัว เขาเน้นย้ำว่าเถี่ย อ้าวเทียนไม่เพียงแต่ขัดราชโองการ แต่ยังกล่าววาจาลบหลู่เบื้องสูงอย่างร้ายแรง และมีท่าทีคิดจะตั้งตนเป็นใหญ่ทางแดนใต้

"บังอาจสิ้นดี!" ฮ่องเต้ทุบที่เท้าแขนบัลลังก์อย่างแรงเมื่อได้ฟังจบ ความโกรธทำให้พระองค์ลืมเรื่องความอ่อนแอของตนเองไปชั่วขณะ "ไอ้แม่ทัพเนรคุณนั่น! ราชสำนักเลี้ยงดูมันมาจนเติบใหญ่ แต่มันกลับกล้าเนรคุณแผ่นดินถึงเพียงนี้!"

"เสด็จพ่อต้องส่งกองทัพไปปราบมันให้สิ้นซากนะพ่ะย่ะค่ะ! เพื่อรักษากฎหมายและพระเกียรติของราชวงศ์ของเรา!" รัชทายาทรีบยุยง

เหล่าขุนนางในท้องพระโรงต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก บรรยากาศพลันตึงเครียดขึ้นมาทันที

ทันใดนั้น แม่ทัพใหญ่ผู้บัญชาการทหารสูงสุดก็ก้าวออกมาคุกเข่าลง "ฝ่าบาท! กระหม่อมเห็นว่ายังไม่ควรส่งกองทัพไปทางใต้ในยามนี้พ่ะย่ะค่ะ!"

"เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น!" รัชทายาทตวาดถามอย่างไม่พอใจ

"ทูลองค์รัชทายาท" แม่ทัพใหญ่กล่าวอย่างสุขุม "ตอนนี้กำลังทหารส่วนใหญ่ของเราถูกส่งไปต้านทัพเป่ยหมันที่ชายแดนทางเหนือจนแทบไม่เหลือแล้ว การจะระดมพลเพื่อเปิดศึกทางใต้อีกแห่งหนึ่งนั้น ต้องใช้ทั้งเวลา ทรัพยากร และเสบียงมหาศาล ซึ่งเป็นสิ่งที่เราขาดแคลนอย่างยิ่งในยามนี้พ่ะย่ะค่ะ หากเราดึงกำลังจากทางเหนือกลับมา ก็เท่ากับเป็นการเปิดทางให้พวกเป่ยหมันบุกเข้ามาได้โดยง่าย แต่หากจะเกณฑ์ไพร่พลใหม่ ก็ต้องใช้เวลาฝึกฝนอีกนานหลายเดือน เกรงว่าจะไม่ทันการณ์"

"แล้วจะให้เราปล่อยให้ไอ้กบฏนั่นเหิมเกริมต่อไปรึ!"

"กระหม่อมไม่ได้หมายความว่าเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ แต่..."

ขณะที่ทั้งสองกำลังถกเถียงกันอยู่นั้น อัครมหาเสนาบดีหวัง ขุนนางเฒ่าผู้เจนจบในเกมการเมืองก็ก้าวออกมาข้างหน้าอย่างช้าๆ

"ฝ่าบาท กระหม่อมมีแผนการที่จะจัดการกับเถี่ย อ้าวเทียน โดยที่เราไม่ต้องเสียไพร่พลแม้แต่คนเดียวพ่ะย่ะค่ะ"

ทุกสายตาพลันจับจ้องไปที่เขาเป็นจุดเดียว

"ว่ามา" ฮ่องเต้ตรัส

"การส่งทัพไปปราบโดยตรงนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ฉลาดนักดังที่ท่านแม่ทัพใหญ่ได้กล่าวไปแล้ว" อัครเสนาบดีหวังกล่าวต่อ "แต่เราสามารถใช้ 'อำนาจ' ของราชสำนักเพื่อบีบคั้นมันได้พ่ะย่ะค่ะ"

เขาหยุดไปชั่วครู่ ก่อนจะอธิบายแผนการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน "ประการแรก ขอให้ฝ่าบาททรงออกราชโองการถอดยศและตำแหน่งทั้งหมดของเถี่ย อ้าวเทียนอย่างเป็นทางการ และประกาศให้ทั่วทั้งแผ่นดินได้รู้ว่ามันคือ 'กบฏ' การกระทำเช่นนี้จะทำลายความชอบธรรมของมันในสายตาของเจ้าเมืองอื่นๆ"

"ประการที่สอง ขอให้ทรงออกราชโองการอีกฉบับหนึ่ง ส่งไปยังเจ้าเมืองและหัวเมืองทั้งหมดที่อยู่รายล้อมเมืองจินไห่ สั่งห้ามไม่ให้ทำการค้าขายหรือให้ความช่วยเหลือใดๆ แก่เมืองจินไห่โดยเด็ดขาด ผู้ใดฝ่าฝืนให้ถือว่าเป็นพวกเดียวกับกบฏ! นี่คือการตัดเส้นเลือดใหญ่ของมัน เมืองจินไห่แม้จะอุดมสมบูรณ์ แต่ก็ไม่สามารถอยู่ได้โดยปราศจากการค้าขายกับโลกภายนอก"

"และประการสุดท้าย...ซึ่งสำคัญที่สุด" เขากล่าวเน้นเสียง "คือการกดดันไปที่เจ้าเมืองเซี่ยโดยตรง ขอให้ทรงส่งสาส์นไปถึงเขา แจ้งให้เขาทราบว่าราชสำนักยังคงให้โอกาสเขาแก้ตัว หากเขาสามารถหาทางจับกุมตัวเถี่ย อ้าวเทียน หรืออย่างน้อยก็หาทาง 'เชิญ' ตัวบุตรสาวของตนเองมายังเมืองหลวงได้ ราชสำนักก็จะถือว่าเขายังคงมีความภักดีและจะละเว้นโทษให้แก่ตระกูลของเขา แต่หากเขายังคงดื้อรั้นเข้าข้างกบฏ...ก็ให้ถือว่าตระกูลเซี่ยทั้งหมดเป็นกบฏไปด้วย!"

"ยอดเยี่ยม! เป็นแผนการที่ยอดเยี่ยมมาก!" ฮ่องเต้ตรัสอย่างพึงพอใจ "ไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ แต่กลับบีบคั้นศัตรูได้จากทุกทิศทาง! สมกับที่เป็นท่านอัครเสนาบดี!"

แม้แต่องค์รัชทายาทที่ในใจยังคงเดือดดาลและต้องการจะเห็นเลือด ก็ยังต้องยอมรับว่านี่เป็นแผนการที่แยบยลและโหดเหี้ยมอย่างยิ่ง มันอาจจะช้า...แต่มันได้ผลแน่นอน

"ดี! ทำตามที่ท่านอัครเสนาบดีว่า!" ฮ่องเต้มีรับสั่ง "ร่างราชโองการทั้งหมดขึ้นมาเดี๋ยวนี้! ข้าอยากจะเห็นนักว่าไอ้พยัคฆ์ทมิฬแห่งจินไห่ที่ว่าแน่ จะทนการบีบคั้นเช่นนี้ไปได้นานสักเท่าใด!"

พายุลูกใหม่ได้ก่อตัวขึ้นแล้วในท้องพระโรงแห่งเมืองหลวงต้าหลง มันไม่ใช่พายุแห่งสงครามที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่เป็นพายุแห่งการเมืองอันเงียบงันและเชือดเฉือน...ซึ่งกำลังจะพัดกระหน่ำเข้าไปยังเมืองจินไห่ในอีกไม่ช้า

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • บุปผาเคียงบัลลังก์รบ   บทพิเศษที่ 4 ยุคสมัยแห่งสันติภาพ

    ห้าปีต่อมา...กาลเวลาได้เคลื่อนผ่านไปดุจสายน้ำที่ไม่เคยไหลย้อนกลับนำพาความเปลี่ยนแปลงมาสู่แผ่นดินต้าหลงอย่างช้าๆ แต่มั่นคง รัชศก "่เถี่ยหลง" ปีที่แปด ได้ถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของยุคทองอย่างแท้จริงเมืองหลวงต้าหลงที่เคยบอบช้ำจากสงครามกลางเมือง บัดนี้ได้แปรเปลี่ยนเป็นมหานครที่เปี่ยมด้วยชีวิตชีวาและเจริญรุ่งเรืองที่สุดในแผ่นดิน ถนนหนทางที่เคยว่างเปล่าและเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง บัดนี้กลับกว้างขวางและปูด้วยหินอย่างดี สองข้างทางเรียงรายไปด้วยร้านค้าที่เปิดกิจการอย่างคึกคัก พ่อค้าจากแดนไกลนำขบวนคาราวานอูฐบรรทุกเครื่องเทศและอัญมณีเข้ามาไม่ขาดสาย เสียงต่อรองราคา เสียงหัวเราะของเด็กๆ และเสียงดนตรีจากโรงน้ำชาดังผสมผสานกันเป็นบทเพลงแห่งสันติภาพ ผู้คนจากมณฑลอันเป่ยเดินทางเข้ามาค้าขายและตั้งรกราก แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและสินค้ากับชาวต้าหลงอย่างกลมเกลียว กำแพงที่เคยกั้นพรมแดนได้ทลายลงและกำแพงในใจของผู้คนก็ได้ทลายลงตามไปด้วยภายใต้การปกครองของฮ่องเต้เถี่ยหลง แผ่นดินได้เข้าสู่ยุคสมัยแห่งสันติภาพอย่างแท้จริง พระองค์ทรงเป็นฮ่องเต้ที่น่าเกรงขามในท้องพระโรง แต่ก็ทรงเป็นบิดาแห่งแผ่นดิ

  • บุปผาเคียงบัลลังก์รบ   บทพิเศษที่ 3 เมล็ดพันธุ์แห่งอนาคต

    กาลเวลาผ่านไปสามปี...ภายใต้การปกครองของฮ่องเต้เถี่ยหลง และฮองเฮาเซี่ย เหยาเหยา แผ่นดินต้าหลงที่เคยบอบช้ำจากสงครามได้ค่อยๆ ฟื้นคืนชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้งดุจผืนดินที่แห้งแล้งได้รับสายฝนแห่งวสันตฤดู นโยบายลดหย่อนภาษีได้สิ้นสุดลงตามกำหนด แต่ราษฎรกลับไม่รู้สึกเดือดร้อน เพราะบัดนี้พวกเขามีพืชผลเต็มยุ้งฉาง มีสินค้าเต็มร้านค้า และมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า กรมบูรณะแผ่นดินภายใต้การนำของเสนาบดีเหวิน จ้าว ได้ทำงานอย่างแข็งขัน ถนนหนทางที่เคยพังทลายได้รับการซ่อมแซมจนเรียบสนิท สะพานใหม่ที่แข็งแรงทอดข้ามแม่น้ำสายสำคัญ กำแพงเมืองที่เคยเป็นแผลเป็นจากสงครามได้รับการบูรณะจนกลับมาสง่างามยิ่งกว่าเดิมบัณฑิตหน้าใหม่ที่ผ่านการสอบคัดเลือกอย่างโปร่งใสได้เข้ารับตำแหน่งขุนนางตามหัวเมืองต่างๆ พวกเขานำความรู้และความกระตือรือร้นเข้าไปปฏิรูประบบราชการที่เคยเฉื่อยชาและเต็มไปด้วยการทุจริตให้กลับมามีประสิทธิภาพอีกครั้ง มณฑลอันเป่ยที่เคยเป็นดินแดนของศัตรู บัดนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดินอย่างสมบูรณ์ เส้นทางการค้าสายใหม่ที่ตัดขึ้นได้นำพาความเจริญรุ่งเรืองไปสู่ดินแดนทางเหนืออย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนทุกสิ่งทุกอย่างดำเ

  • บุปผาเคียงบัลลังก์รบ   บทพิเศษที่ 2 รุ่งอรุณแห่งราชวงศ์ใหม่

    เสียงระฆังยามเช้าดังกังวานไปทั่วทั้งพระราชวังเป็นสัญญาณแห่งการเริ่มต้นวันใหม่ หลังจากที่ได้รับสมเด็จพระพันปีหลวงองค์ใหม่ ผู้ซึ่งบัดนี้ได้ประทับอยู่ในตำหนักฉือหนิงที่ได้รับการบูรณะอย่างงดงามที่สุด สมพระเกียรติแห่งมารดาแห่งแผ่นดินภายในห้องบรรทมที่โอ่อ่าและกว้างขวาง ฮ่องเต้หนุ่มเพิ่งจะตื่นจากบรรทม แสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าสาดส่องผ่านบานหน้าต่างเข้ามาอาบไล้ร่างเปลือยเปล่าของฮองเฮาเซี่ย เหยาเหยา ที่ยังคงนอนหลับใหลอยู่ในอ้อมแขนของพระองค์อย่างสงบ พระองค์ใช้เวลาชั่วครู่หนึ่งทอดพระเนตรมองใบหน้าอันเป็นที่รักยิ่ง ภาระหนักอึ้งที่รอคอยอยู่ภายนอกห้องนี้ดูเหมือนจะเบาบางลงเสมอเมื่อมีนางอยู่เคียงข้าง พระองค์จุมพิตหน้าผากของนางอย่างแผ่วเบาก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นจากเตียงอย่างเงียบเชียบเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนเหล่านางกำนัลและขันทีเข้ามาช่วยพระองค์สวมฉลองพระองค์มังกรเต็มยศอย่างคล่องแคล่วและเงียบกริบ ทุกขั้นตอนล้วนเป็นไปตามแบบแผนที่สืบทอดกันมานับร้อยปี แต่สำหรับเถี่ย อ้าวเทียนแล้ว ความรู้สึกกลับแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง น้ำหนักของผ้าไหมปักดิ้นทองลายมังกรห้าเล็บนี้ ให้ความรู้สึกหนักอึ้งยิ่งกว่าชุดเกราะเหล็กกล้าท

  • บุปผาเคียงบัลลังก์รบ   บทพิเศษที่ 1 รอยอดีต

    ยี่สิบกว่าปีก่อน...ค่ำคืนนั้น...เมืองหลวงต้าหลงไม่ได้สว่างไสวไปด้วยแสงโคมไฟเช่นทุกคืน แต่กลับถูกบดบังด้วยเงามืดแห่งการทรยศและความตาย สายฝนโปรยปรายลงมาอย่างไม่ขาดสายราวกับหยาดน้ำตาของสวรรค์ ชะล้างคราบเลือดที่เริ่มไหลนองไปตามพื้นศิลาของพระราชวังต้องห้ามภายในตำหนักบูรพาที่เคยโอ่อ่าและเปี่ยมด้วยเกียรติยศ บัดนี้กลับเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดและเสียงกรีดร้องที่ถูกกลบด้วยเสียงลมพายุที่โหมกระหน่ำอยู่ภายนอก“พระชายา! พวกมันบุกเข้ามาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”ทหารองครักษ์ผู้ภักดีนายหนึ่งในสภาพที่โชกเลือด วิ่งเข้ามารายงานพระชายาเอกแห่งองค์รัชทายาทหลงหยวน สตรีผู้ซึ่งเมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อนยังคงเป็นที่เคารพสูงสุดในตำหนักบูรพา แต่บัดนี้กลับกลายเป็นนักโทษที่รอวันถูกประหาร“แม่ทัพเถี่ยจง...สิ้นแล้ว” เขากล่าวเสียงสั่น น้ำตาไหลปะปนกับเลือดบนใบหน้า “เขาและทหารองครักษ์ที่เหลือยอมสละชีวิตเพื่อซื้อเวลาให้พวกเรา ได้โปรด...ได้โปรดพาองค์ชายน้อยหนีไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ”พระชายาเอกสตรีผู้มีแซ่เดิมว่า ‘เถี่ย’ นางยืนนิ่งราวกับรูปสลักหิน น้ำตาไหลรินลงมาอาบแก้มงามอย่างเงียบงัน นางไม่ได้ร่ำไห้ให้แก่ชะตากรรมของตนเอง แต่ร่ำไห้ให้แก่บุรุ

  • บุปผาเคียงบัลลังก์รบ   บทที่ 43 เริ่มต้นราชวงศ์ใหม่ ( End )

    หลายวันผ่านไปนับจากค่ำคืนแห่งการหลอมรวมอันเร่าร้อนแม้เปลวไฟสงครามจะมอดดับลงแล้ว แต่ภายในเมืองหลวงต้าหลง บรรยากาศกลับคุกรุ่นไปด้วยความตึงเครียดทางการเมืองที่มองไม่เห็น แผ่นดินที่บัดนี้แผ่ไพศาลจากการรวมดินแดนเป่ยหมันเข้ามาเป็นมณฑลใหม่ ไม่ต่างอะไรจากพญามังกรไร้เศียร แม้จะมีอำนาจอันน่าเกรงขาม แต่ก็ไร้ทิศทางและขาดผู้บัญชาการที่แท้จริงข่าวการตัดสินใจอันเปี่ยมด้วยเมตตาของเถี่ย อ้าวเทียน ที่มอบสถานะพลเมืองให้แก่ชาวเป่ยหมันได้แพร่กระจายไปทั่วหล้า มันได้ซื้อใจผู้คนในดินแดนใหม่ได้อย่างสมบูรณ์ แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ได้สร้างความกังวลให้แก่เหล่าขุนนางเก่าแก่ในเมืองหลวง การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่เกินไปจำเป็นต้องมีผู้ปกครองที่เด็ดขาดและมีอำนาจเบ็ดเสร็จมาควบคุมสถานการณ์ณ ท้องพระโรงที่กำลังอยู่ในระหว่างการบูรณะครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เหวิน จ้าว กำลังยืนตรวจดูความคืบหน้าของการก่อสร้างบัลลังก์องค์ใหม่ บัลลังก์เก่าที่ผุพังและเป็นสัญลักษณ์ของราชวงศ์ก่อนได้ถูกทำลายไปแล้ว บัลลังก์ที่กำลังจะมาแทนที่นั่นยิ่งใหญ่และสง่างามกว่าเดิมหลายเท่าตัว มันถูกแกะสลักขึ้นจากไม้จันทน์ทองคำอันเป็นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่หา

  • บุปผาเคียงบัลลังก์รบ   บทที่ 42 การกลับมาของพญามังกร NC

    กาลเวลาผ่านไปนานกว่าสองเดือนสองเดือนที่เปลวไฟแห่งสงครามได้มอดดับลงอย่างสมบูรณ์ สองเดือนที่แผ่นดินต้าหลงได้เริ่มต้นการฟื้นฟูครั้งยิ่งใหญ่ และสองเดือน.ที่หัวใจของสตรีนางหนึ่งเฝ้ารอคอยการกลับมาของบุรุษอันเป็นที่รักบนเส้นทางหลวงที่ทอดยาวมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง เงาทะมึนของกองทัพที่ยิ่งใหญ่ปรากฏขึ้นที่ปลายขอบฟ้า มันคือภาพที่น่าเกรงขามและเปี่ยมด้วยเกียรติยศอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนกองทัพต้าหลงกำลังเดินทางกลับบ้านเถี่ย อ้าวเทียน ในชุดเกราะเต็มยศสีนิลกาฬ ควบม้าสงครามสีดำทมิฬนำอยู่หน้าสุดของกองทัพ ธงมังกรสีดำขลิบทองโบกสะบัดอย่างทระนงอยู่เบื้องหลังเขา แววตาที่เคยเย็นชาและเต็มไปด้วยไอสังหาร บัดนี้กลับฉายแววแห่งความเหนื่อยล้าแต่ก็เปี่ยมด้วยความสงบนิ่งและอำนาจของราชันย์ผู้แท้จริงเบื้องหลังเขาคือเหล่าทหารหาญนับแสนที่เดินทัพกลับมาในฐานะวีรบุรุษ และเชลยศึกราชวงศ์เป่ยหมันที่เดินตามมาในฐานะทาสที่จะต้องมาชดใช้กรรมด้วยแรงงานของตนเองเมื่อกองทัพเดินทางมาถึงหน้าประตูเมืองหลวงเสียงโห่ร้องที่ดังราวกับแผ่นดินจะถล่มก็ได้ดังขึ้นประชาชนนับล้านออกมายืนรอต้อนรับพวกเขาสองข้างทางพวกเขาโยนดอกไม้โปรยปรายกระดาษสี และตะโก

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status