บทที่ ๑๑
ก็ไม่ได้แก่แค่ใช้ชีวิตมานาน
“วันนี้จะเรียนเรื่องใดดี”
ไช่เซียงฮวาเคาะมือลงตำราบุปผาสวรรค์ ทุกเช้า ยามอิ๋นนางจะเป็นเช่นนี้เสมอ คิดหัวข้อที่จะศึกษาถามความรู้จากตำราสวรรค์หมื่นบุปผา
นางรู้สึกว่าอายุช่วงหนึ่งถึงแปดหนาวยาวนานมาก สวนทางกับช่วงเก้าถึงสิบหนาวที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว อีกเพียงวันเดียวเท่านั้นนางก็จะอายุครบสิบหนาวเต็มแล้ว
สองปีแห่งการฝึกฝนพลังธาตุของนางไม่ถือว่าก้าวหน้ามากนัก เพิ่งอยู่ขั้นสองตอนต้นเท่านั้น สวนทางกับพลังบุปผาที่นางสามารถดึงพลังมาใช้ได้ราวกับเป็นอวัยวะชิ้นหนึ่งของร่างกายช่วงเช้าเรียนศาสตร์ของสตรี บ่ายเรียนพลังธาตุ พอใกล้เช้าถึงค่อยฝึกพลังบุปผา
นางชอบฝึกช่วงเช้าเพราะไม่อยากตื่นสาย ตรงข้ามกับไช่ฮั่วฮวาที่ชอบฝึกพลังถึงดึกดื่นแล้วตื่นสายจนเข้าเรียนศาสตร์ของสตรีไม่ทันน้องสาวทั้งสอง
โดนอาจารย์ตำหนิหลายครั้ง แต่นางก็ไม่คิดปรับตัว เพราะสะดวกแบบนี้
“เหมือนช่วงนี้ท่านแม่จะแพ้ท้อง เช่นนั้นเรียนรู้เกี่ยวกับดอกไม้ที่ช่วยอาการแพ้ท้องแล้วกัน...ที่รัก ดอกอะไรเอ่ยช่วยแก้อาการคนแพ้ท้องได้”
สิ้นคำพูด ‘ที่รัก’ ของเซียงฮวาก็แสดงบุปผาสวรรค์นานาชนิดที่ช่วยในการลดอาการแพ้ท้องหรือทานแล้วจะหายจากอาการแพ้ท้องได้ดี
เมื่อจดจำรูปลักษณ์บุปผาทุกชนิดได้ขึ้นใจแล้วก็หงายมือ สร้างบุปผาสวรรค์จากภาพความทรงจำมาหนึ่งชนิด เพียงไม่กี่จิบชาก็ได้ดอกไม้มายาที่ลอยเหนือฝ่ามือ
นางยิ้มกว้างทันทีเมื่อบุปผาที่สร้างขึ้นตรงกับภาพในตำรา หากรูปลักษณ์ตรงตามต้นฉบับ ผลลัพธ์ตอนใช้ย่อมเต็มสิบส่วน แต่หากมีส่วนใดไม่เหมือน ผลลัพธ์ของการใช้ก็จะไม่เต็มสิบส่วนเช่นกัน
“สำเนาถูกต้อง เก่งมากเซียงฮวา”
ไม่รอให้ใครชม เซียงฮวาก็เอ่ยชมตัวเอง ภูมิใจกับทุกความสำเร็จเล็ก ๆ เพราะความสำเร็จในแต่ละครั้งทำให้นางมีกำลังใจที่จะศึกษาหาความรู้ต่อไป
เช้ามืดวันนี้นางเรียนรู้เกี่ยวกับพลังบุปผาตั้งแต่ไร้แสงอาทิตย์จนกระทั่งแสงแรกของวันมาเยือน
หลังฝึกฝนพลังเหงื่อจะออกมาก นางจึงไม่รอซูเมี่ยว จัดการอาบน้ำแต่งตัวเองทุกวัน
เมื่อแต่งตัวเสร็จแล้วก็เตรียมตัวจะไปหามารดาเพื่อสอบถามอาการแพ้ท้อง ในระหว่างที่กำลังเดินผ่านศาลาในสวนรับรองแขกนั้นก็ได้ยินเสียงหัวเราะของเด็กวัยใสหลายคน คราแรกนางตั้งใจว่าจะเดินผ่านไป
ไม่คิดว่าจะโดนไช่ปิงฮวารั้งเอาไว้!
“พี่หญิงรองเจ้าคะ”
โดนเรียกเช่นนี้แล้ว หากนางทำเป็นไม่ได้ยินก็เสียมารยาทเกินไป ดังนั้นจึงเปลี่ยนทิศทาง เดินเข้าไปใกล้ศาลาแห่งนั้น ดึงเอารอยยิ้มสดใสสมวัยมาใช้
ไช่ปิงฮวาเห็นพี่หญิงรองเดินเข้ามาใกล้ก็จับมือนางพาไปแนะนำกับสหาย
“นี่สหายของน้องเองเจ้าค่ะ คุณหนูห้าจวนแม่ทัพฝ่ายซ้ายกับคุณหนูหกจวนเสนาบดีกรมยุติธรรม”
ไช่ฮั่วฮวาและไช่เซียงฮวามีนิสัยเหมือนกันตรงไม่ชอบเข้าสังคม เมื่อเทียบเชิญส่งมาคนที่ทำหน้าที่ออกงานแทนพวกนางคือไช่ปิงฮวา
ดังนั้นคนที่มีสหายมากที่สุดจึงเป็นไช่ปิงฮวา!
“ยินดีที่ได้รู้จักคุณหนูห้า คุณหนูหก”
ไช่เซียงฮวาผงกศีรษะทักทายคุณหนูทั้งสอง ฝ่ายตรงข้ามเองก็ทำเช่นนั้นโต้ตอบ
“วันนี้สหายของข้าจะมาร่วมเดินหมากล้อมด้วย พี่หญิงรองอยู่ด้วยกันสิเจ้าคะ”
ไช่ปิงฮวาจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานยามอยู่ต่อหน้าคนนอกตระกูล เซียงฮวาเห็นเช่นนั้นก็โต้ตอบด้วยกิริยาหวานเลี่ยนไม่แพ้กัน
เมื่อไช่เซียงฮวาเจอท่าทางอ่อนหวานของน้องสาวก็โต้ตอบด้วยกิริยาหวานเลี่ยนไม่ให้แพ้นาง
“จำต้องเสียมารยาทแล้ว แต่วันนี้มิได้จริง ๆ”
“เหตุใดกันเจ้าคะ”
คุณหนูห้าทำสีหน้าเหมือนคนถูกขัดใจตามประสาคุณหนูที่ได้รับการเอาใจตั้งแต่เด็ก
“ท่านแม่ของข้าแพ้ท้อง ข้าจะไปอยู่เป็นเพื่อนนาง”
“แพ้ท้องหรือเจ้าคะ เช่นนั้นฝากความห่วงใยถึงฮูหยินด้วยเจ้าค่ะ”
ไช่เซียงฮวาส่งยิ้มให้คุณหนูหกพร้อมกล่าวขอบคุณในน้ำใจ
ไช่ปิงฮวาไม่อยากน้อยหน้าสหายจึงแสดงความมีน้ำใจด้วยอีกคน
“ข้าฝากความห่วงใยถึงฮูหยินรองด้วยเจ้าค่ะ แต่วันนี้ต้องรับรองแขก จะปลีกตัวไปก็คงไม่ดี”
“พี่รองกับท่านแม่รับรู้ความห่วงใยจากเจ้าแล้ว พี่รองขอตัวก่อน คุณหนูทั้งสองตามสบาย”
เซียงฮวาไม่รอให้ใครรั้งเอาไว้ก็เดินออกมาจากศาลา ตรงไปหามารดาที่เรือนส่วนตัวทันที
ไม่อยากยอมรับว่าตนแก่ แต่การใช้ชีวิตมานานสองภพจะให้นางทำตัวอ่อนหวานใสซื่อกับเด็กอายุ 10 หนาวนั้นทนไม่ได้จริง ๆ
มันฝืนตัวเองเกินไป!
ณ เรือนฮูหยินรองจางซิ่วลี่
“ท่านแม่ ข้ามาแล้วเจ้าค่ะ”
จางซิ่วลี่ยิ้มเต็มใบหน้า อ้าแขนรับบุตรสาวทันทีที่นางเดินเข้ามาหา ไม่วายตัดพ้อเพราะเจอหน้ายากขึ้นทุกวัน
“อยู่จวนเดียวกันแท้ ๆ แต่ไม่เจอหน้าเลย แม่คิดถึงเจ้ามาก ทราบหรือไม่”
“ข้าผิดไปแล้วเจ้าค่ะ โปรดท่านแม่ให้อภัย”
ไช่เซียงฮวาซบอกมารดาในเชิงออดอ้อน ในตอนนั้นเองที่นางส่งสัญญาณให้ซูเมี่ยวที่ตามมาสมทบที่เรือนฮูหยินรองยกแจกันดอกเหมยกุ้ยสีขาวมาวางไว้ข้างเตียง
“จัดดอกไม้ให้แม่หรือ”
“เจ้าค่ะ ท่านอาเพิ่งส่งแจกันอันใหม่มาให้ แจกันจะไม่งามเมื่อไร้ดอกไม้ ข้าเลยเอาเหมยกุุ้ยมาจัดใส่แจกันให้ท่านแม่เจ้าค่ะ”
ความจริงในแจกันหาใช่ดอกเหมยกุ้ยไม่ แต่เป็นบุปผาสวรรค์ที่มีสรรพคุณแก้อาการแพ้ท้อง ด้วยความที่รูปลักษณ์ของบุปผาสวรรค์แปลกตา เซียงฮวากลัวมารดาจะสงสัยถึงที่มาจึงได้ใช้เคล็ดวิชามนต์มายาของพรรคหยิ๋นมี่เปลี่ยนรูปร่างให้ดูเหมือนดอกเหมยกุ้ยทั่วไป แต่นางลืมคิดไปว่ารูปลักษณ์เปลี่ยนแต่กลิ่นไม่ได้เปลี่ยน!
“ไยกลิ่นเหมยกุ้ยสีนี้สดชื่นนัก แค่ได้กลิ่นอาการแพ้ท้องก็ดีขึ้นแล้ว เจ้าไปซื้อมาจากที่ใดหรือ”
เซียงฮวาผละจากอกมารดา กล่าวด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์
“หากท่านแม่ช่วยคุยกับท่านตาให้ช่วยซื้อที่ดินอีกแปลงหนึ่งฝั่งทางด้านตะวันตกของเมืองหลวง ลูกจะบอกให้เจ้าค่ะ”
จางซิ่วลี่บีบจมูกบุตรสาวเบา ๆ เมื่อเซียงฮวากำลังค้ากำไรเกินควร
“คำถามแม่ราคาแพงเพียงนี้เชียวหรือ”
“มิได้หรือเจ้าคะ”
จางซิ่วลี่ส่ายหน้าเบา ๆ เมื่อบุตรสาวเปลี่ยนมาใช้ลูกอ้อน ถูไถศีรษะกับไหล่ของนาง
“ไม่ต้องถึงมือแม่หรอก แค่เจ้าพูดประโยคเดียวท่านตาก็พร้อมจะมอบทุกอย่างให้เจ้าแล้ว”
“นั่นสิเจ้าคะ”
สองแม่ลูกหัวเราะใส่กันทันทีเมื่อเห็นภาพท่านตาผู้ใจดียื่นโฉลดที่ดินเป็นปึกใหญ่ให้เซียงฮวา
เสียงหัวเราะของพวกนางไม่ดังมากนัก ทว่าผู้ที่เพิ่งออกจากวังหลวงถึงจวนก็ตรงมาที่นี่กลับได้ยินชัดเต็มสองหู
ไช่ฝูลี่ยืนนิ่งอยู่หน้าห้อง มุมปากผุดรอยยิ้มบางเบาก่อนที่จะหายไปอย่างรวดเร็ว
“กลับเถอะ นางไม่ทุกข์ใจ ข้าก็วางใจ”
“ขอรับนายท่านรอง”
ทางด้านคนในเรือน หลังจากที่หัวเราะจนหนำใจแล้วจางซิ่วลี่ก็ถามถึงเรื่องเทียบเชิญ
“แม่ได้ยินว่าเจ้ากับคุณหนูใหญ่ปฏิเสธเทียบเชิญอีกแล้วหรือ งานชมบุปผาก็ไม่ไป งานชงชาก็ไม่ชอบ การละเล่นสนุก ๆ อย่างงานตีคลีก็เพิ่งปฏิเสธไปอีก แล้วเมื่อไรจะมีสหายในวัยเดียวกัน”
“เฮยหลงก็นับเป็นสหายในวัยเดียวกัน” …แม้ข้ากับเขาไม่คิดจะเป็นสหายกันก็ตาม
ไช่เซียงฮวาพูดประโยคท้ายในใจ
“แล้วเจ้าคิดว่าบุรุษกับสตรีเป็นสหายกันได้แน่หรือ ยิ่งเติบโตมากเท่าไรก็ยิ่งไม่อาจเป็นสหายกันได้”
ห้ามปากตัวเองเอาไว้นะเซียงฮวา อย่าเพิ่งบอกมารดาไปเด็ดขาดว่าพูดเรื่องแต่งงานกับเฮยหลงตั้งแต่แปดหนาวแล้ว บุตรสาวของท่านแม่ไวยิ่งกว่าไฟอีกเจ้าค่ะ
“ท่านแม่คงทราบข่าวที่น้องสามมีสหายมาเล่นด้วยใช่หรือไม่เจ้าคะ การข่าวเร็วนัก อยู่ที่เรือนไม่ไปไหนก็ยังทราบความเป็นไปของจวน”
จางซิ่วลี่ยื่นมือมาบีบจมูกบุตรสาวอีกครั้ง
“เปลี่ยนเรื่อง ไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป แม่ไม่บังคับเจ้าอยู่แล้ว งานเหล่านี้จัดขึ้นเพราะมีจุดประสงค์ให้หนุ่มสาวได้พบปะกัน เจ้ายังไม่ได้ปักปิ่น ยังไม่ต้องรีบก็ได้”
เซียงฮวายิ้มแฉ่งเมื่อมารดาไม่ได้คะยั้นคะยอให้ไป
นางสอดแขนเข้ากับแขนเรียวของมารดา เอ่ยเสียงเจื้อยแจ้ว
“เอาไว้ตอนข้าอายุสิบสามหนาวค่อยคิดเรื่องนี้ก็ได้เจ้าค่ะ อย่างไรก็ต้องได้เข้าสำนักศึกษากลาง พำนักแคว้นเหลียงที่มีวัยหนุ่มสาวมากมายอยู่ที่นั่น ข้ายังมีสิทธิ์เลือก”...แต่เฮยหลงจะขัดขวางหรือไม่ก็อีกเรื่อง
“ปีนี้ไท่จื่อก็เข้าสำนักศึกษากลางแล้ว สาว ๆ กระชุ่มกระชวยกันทั้งสำนักแล้วกระมัง”
ไท่จื่อฝูจินหลงในวัย 13 ชันษาเข้าสำนักศึกษากลางปีนี้เป็นปีแรก ใครที่เล็งตำแหน่งไท่จื่อเฟยอยู่ ช่วงเวลาเล่าเรียนนี้นับเป็นโอกาสทองของเหล่าคุณหนูที่มีคุณสมบัติพอจะเข้าสำนักศึกษากลางแล้ว
“ท่านแม่ ข้าจะเข้าสำนักศึกษากลางได้หรือไม่เจ้าคะ ฝึกพลังมาสองปีเพิ่งได้ขั้นสองตอนต้น”
จางซิ่วลี่ให้กำลังใจบุตรสาวทันทีเมื่อสัมผัสถึงความไม่มั่นใจของนางได้
“เรื่องนี้ก็ยังมีเวลาฝึกอีกเช่นกัน แต่เจ้าอย่ากดดันตัวเองมากเกินไปเล่า”
“ต้องกดดันสิเจ้าคะ ท่านแม่ขายหน้าแน่ หากข้าเข้าศึกษาที่นั่นไม่ได้”
“แม่ไม่อายใคร หากเข้าไม่ได้ก็อยู่กับแม่ที่นี่ ดีเสียอีกเจ้าจะได้ไม่ต้องห่างอก อยู่ไกลบ้านไกลเมือง”
เซียงฮวาจ้องตามารดา ดวงตาที่มองนางนั้นเต็มไปด้วยความเต็มตื้น นางไม่คิดว่าสตรีตรงหน้าจะรักตนเพียงนี้ ทั้งที่นางไม่ใช่…
บทที่ ๒๐ต้องทำถึงเพียงนี้เชียวหรือณ โรงเตี๊ยมซงชู่หนึ่งในสถานที่ยอดนิยมของเมืองหลวงแคว้นเหลียง“เจ้าว่าสองแสบจะทำสำเร็จหรือไม่”จื่อหลีเฮยที่ตอนนี้นั่งอยู่ชั้นบนสุดของโรงเตี๊ยมเอ่ยถามคนสนิท สายตาสอดส่องลงไปยังชั้นล่างสุดเพื่อมองหาคนที่ตนกำลังรออยู่“ไม่เกินความสามารถของคุณหนูกับท่านประมุขน้อยแน่นอนขอรับ”คนสนิทจื่อหลีเฮยตอบกลับด้วยความหวังที่คิดว่าต้องใช่ สืบเนื่องจากว่าก่อนหน้านี้มีคำสั่งจากท่านประมุขให้ออกตามหาคน เบาะแสมีอยู่แค่ว่าใช้พลังที่เกี่ยวกับบุปผาได้ เป็นเด็กสาวชุดขาว มีหมวกปิดบังใบหน้าไว้และอายุไม่เกิน 12 หนาวประทานโทษเถิด! เบาะแสเพียงเท่านี้ต่อให้พวกเขาจะมีความสามารถมากกว่านี้อีกกี่เท่า ก็ต้องขอกล่าวว่าแทบไม่มีทางเป็นไปได้เลยเพราะสิ่งเดียวที่ยังพอใช้การได้อย่างพลังบุปผา ซึ่งหากว่าเป็นพลังที่แปลกกว่าผู้อื่นจริง ๆ แล้วผู้ใดจะใช้ออกมาให้เห็นกันพร่ำเพรื่อดังนั้นแม้ก่อนหน้านี้เขาและท่านประมุขจะไม่เชื่อคำกล่าวที่ออกมาจากปากของคุณหนูตัวแสบนัก แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าพวกเขาก็ขอให้เป็นนางจริง ๆ ทางด้านเซียงฮวา…“โรงเตี๊ยมซงชู่มีทั้งหมดสี่ชั้น แอบกระซิบบอกเจ้าก็ได้ว่าที่นี่เป็นขอ
บทที่ ๑๙มันถ่ายทอดผ่านดีเอ็นเอได้ณ พรรคมารจื่อถาน“หนีผู้อารักขาไปเล่นซนที่ใดกันมาเจ้าตัวแสบ!”เสียงกัมปนาททำแฝดชายหญิงที่กำลังเดินย่องเข้าเขตรั้วพรรคมารจื่อถานชะงักกึก ประมุขพรรคยังไม่ได้ไต่สวน โจรย่องเบาทั้งสองก็รับสารภาพเสียแล้ว“เสี่ยวเฉิงสำนึกผิดแล้วขอรับท่านพ่อ/เสี่ยวเหมยสำนึกผิดแล้วเจ้าค่ะท่านพ่อ” จื่อเจี่ยนเฉิงและจื่อเหมยฮวาเป็นความผิดพลาดของจื่อหลีเฮยเมื่อสิบปีก่อนโดยความตั้งใจของจื่อหลีป๋าย มารดาของทั้งคู่ลาลับโลกนี้ไปแล้ว เด็กแฝดถูกเลี้ยงดูสั่งสอนโดยแม่นม จื่อหลีเฮยไม่มีเวลาดูแลทั้งสองมากนักจึงประเคนทุกสิ่งที่เด็กแฝดต้องการ หวังว่าการตามใจเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ จะเติมเต็มสิ่งที่เขาบกพร่องไป และเพราะการตามใจที่ไร้ขีดจำกัดนี้ ทั้งสองจึงมักก่อเรื่องเป็นประจำ อย่างเช่นเรื่องในวันนี้ในระหว่างที่เขาเพิ่งกลับมาจากการทำธุระก็ได้รับรายงานมาจากผู้อารักขาประจำตัวของเด็กแฝดว่าออกไปเล่นซุกซนกันที่อื่นแต่ไปเล่นที่ใดไม่เล่น กลับไปเล่นในพื้นที่ใกล้เขตของพรรคหยิ๋นมี่ จากบิดาที่ไม่ดุด่าว่าบุตร วันนี้กลับทำเสียงแข็งใส่ทั้งสองถึงขั้นเป็นตวาด“เข้าไปคุยกันในเรือน”“ขอรับ/เจ้าค่ะท่านพ่อ”ใน
บทที่ ๑๘เอามากำไว้ดั่งเป็นลูกไก่“I love the way you make me feel, I love it, l love it, I love the way you make me feel, I love it , l love it”เซียงฮวาร้องเพลงบนหลังม้า มือข้างซ้ายยกขึ้นทำมินิฮาร์ทตรงคำว่า ‘love’ ให้เฮยหลงแม้เฮยหลงจะไม่เข้าใจท่าทางนี้ แต่บรรยากาศรอบกายนางทำให้เขาหน้าเห่อร้อนขึ้นจนเผลอยกมือแตะใบหน้า ไม่ไหวจริง ๆ ก็เบือนหน้าไปทางอื่นเพราะไม่อยากให้นางเห็นว่าตนเสียอาการ‘เซียงฮวา…’เจ้าของนามหยุดร้องเพลงเมื่อได้ยินเสียงเฮยหลิง‘พบเป้าหมายอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ทางทิศตะวันตก’เซียงฮวาลอบถอนหายใจเบา ๆ ดีว่ากล่อมตัวเองเก่งถึงได้เข้าโหมดทำงานได้อย่างรวดเร็ว‘ทางทิศตะวันตกคือนอกเขตแดนของพรรคหยิ๋นมี่มิใช่หรือ’‘ใช่ เจ้ารีบไปช่วยเถิด!’‘แล้วเฮยหลงเล่า ข้าไม่มีทางทิ้งบุรุษของข้าให้ต้องอยู่คนเดียวเปล่าเปลี่ยวกายาแน่…เอาแบบนี้แล้วกัน!’“เฮยหลง ทางทิศตะวันตกคือจุดสิ้นสุดของเขตแดนใช่หรือไม่” เซียงฮวาแสร้งถามเหมือนไม่รู้“ใช่ เมื่อออกจากเขตแดนทางทิศตะวันตกแล้ว มีเส้นทางหนึ่งที่ผู้คนไม่ค่อยใช้กันนัก แต่สามารถเข้าตลาดได้”เซียงฮวาได้ยินเช่นนั้นก็ตาลุกวาว…เข้าทางแล้ว!“อยู่ ๆ ข้าก็อย
บทที่ ๑๗เอาไว้สร้างรังรักของเราพรรคหยิ๋นมี่ขึ้นชื่อเรื่องการฝึกหนัก สมาชิกส่วนมากเข้าพรรคตั้งแต่อายุยังน้อย อย่างเฮยหลงก็ฝากตัวเป็นศิษย์กับไช่เฟิงหยูตั้งแต่อายุ 4 หนาวการเป็นศิษย์ของผู้ที่มีพรสวรรค์อย่างไช่เฟิงหยูไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากจะต้องตั้งใจฝึกซ้อมเพื่อไม่ให้เสียหน้าอาจารย์แล้วยังต้องรักษาหน้าองค์ชายรองแคว้นฝู การฝึกของคนในพรรคที่ว่าหนักแล้ว ยังเทียบไม่ได้กับเขาตั้งแต่เช้ายันบ่าย เขาจะฝึกยุทธ์ร่วมกับสมาชิกพรรครุ่นเยาว์ทั้งหลาย หรือบางทีหากท่านอาจารย์อยากจะถ่ายทอดเคล็ดวิชาใหม่ ๆ ให้เขาก็ต้องแยกไปเรียนเดี่ยวตกดึกก็จะเรียนการใช้พลังธาตุกับท่านประมุขพรรค สลับกับเรียนคาถาลับของพรรคที่ท่านอาจารย์เป็นผู้ที่ถ่ายทอดให้โดยตรงพอจะเข้านอนแล้วก็ควรเป็นเวลาพักผ่อนร่างกาย แต่เขาก็ยังอ่านตำรา ฝึกคัดอักษร เวลานอนในแต่ละวันไม่ถึงสองชั่วยาม แต่เจ้าตัวก็คงคิดว่ายังยุ่งไม่พอ เพราะยังหาเวลาว่างเข้าครัวทำอาหารพิชิตใจสาวน้อยวัยเดียวกันพูดถึงเรื่องเข้าครัวก็ต้องพูดถึงอาหารมื้อเย็น เขาทำอาหารให้เซียงฮวาแล้วให้สาวใช้ในพรรคนำมาส่งให้ถึงเรือน แอบกังวลไม่น้อยว่าจะไม่ถูกปากนางตับ!ฝูเฮยหลงพับตำราเก็
บทที่ ๑๖อาอยากจะบอกว่า…หลังได้รับการช่วยเหลือจากเซียงฮวา เมื่อกลับถึงพรรค จื่อหลีเฮยก็สั่งลูกน้องให้ออกตามหาเด็กสาวชุดขาวอายุไม่เกินสิบสองหนาว ตามหาเอิกเกริกจนรู้ถึงหูไช่เฟิงหยูและพรรคข้างเคียงไช่เฟิงหยูเดินเข้ามาในห้องทำงานชิวเฉินยี่โดยไม่ต้องให้ใครรายงานก่อน ซึ่งเจ้าของห้องเองก็ชินแล้วเช่นกัน“เจ้าได้ยินข่าวที่หลีเฮยให้คนออกตามหาเด็กสาวคนหนึ่งแล้วหรือไม่ ตามหาคนก็ยากอยู่แล้ว ข้อมูลที่ให้มายังมีเพียงสองข้อ ชุดขาวกับอายุ ต่อให้เป็นข้าก็หาไม่เจอ”ไช่เฟิงหยูขบขัน ชิวเฉินยี่เองก็ไม่แพ้กัน แต่เขาเพียงเหยียดยิ้มเท่านั้นไม่ได้กล่าวเสียดสีเช่นทุกที“รายงานผลรายได้จากหอขายข่าว หอสุราและร้านค้าปลีกย่อยในเดือนนี้”ชิวเฉินยี่ยื่นมือมารับสมุดแต่ไม่ได้เปิดอ่านในตอนนั้น ไช่เฟิงหยูจึงกล่าวถามสิ่งที่สงสัย“ว่าแต่เจ้ายังให้คนออกตามหาผู้มีปานดอกไม้อยู่ที่ข้อมืออยู่อีกไม่”ชิวเฉินยี่พยักหน้ารับ ไม่ได้เก็บงำเป็นความลับ แต่ก็ไม่ได้เปิดเผยเบื้องลึกให้ใครทราบเช่นกัน “เจ้าตามหาทำไม บอกจุดประสงค์ได้หรือไม่”ชิวเฉินยี่ยังคงเงียบ ในหัวเริ่มคิดถึงภาพความจำอันเลือนรางในหลาย ๆ สถานที่หลาย ๆ อิริยาบถระหว่างเขาก
บทที่ ๑๕เขาบอกข้าว่าควรกลับบ้านไปนอนกอดแม่เช้าวันต่อมา…“ขอบตาดำเชียว ตื่นเต้นที่จะได้ออกเดินทางจนนอนไม่หลับเลยหรือ!”จางซิ่วลี่เอ่ยกับบุตรสาวด้วยน้ำเสียงเข้มงวด ทว่าไม่อาจปิดความห่วงใยในแววตาได้“ไม่ดึกมากเจ้าค่ะท่านแม่ แต่ร่างกายของคนเราตื่นรู้นัก เมื่อจะเจอเรื่องที่ต่างจากทุกวันจะหลั่งสารอะดรีนาลีนจนตื่นตัว อยากนอนเร็วเหมือนกันเจ้าค่ะ แต่จนใจที่ทำเช่นนั้นมิได้”เซียงฮวาโกหกคำโต ทั้งยังเอาชื่อสารที่หลั่งมาจากต่อมหมวกไตเบี่ยงเบนความสนใจของมารดา “มีสารที่ชื่อนี้ด้วยหรือ ไยฟังดูไม่ใช่ภาษาบ้านเรา” แล้วก็ได้ผล! จางซิ่วลี่ไม่รู้ตัวเลยว่าถูกบุตรสาวเบี่ยงเบนความสนใจ อาจารย์หวางที่จะเดินทางกลับพร้อมกันก็มีความสงสัยเช่นกัน แต่ไม่แสดงออกมากนัก “ได้เวลาต้องออกเดินทางแล้ว”อาจารย์หวางให้โอกาสแม่ลูกได้ร่ำลากันครู่หนึ่ง เมื่อสมควรแก่เวลาแล้วก็เอ่ยชวนเซียงฮวาออกเดินทางไปพรรคหยิ๋นมี่ ทุกสามเดือนไช่เฟิงหยูจะมารับนางไปเที่ยวเล่น แต่หากครั้งใดไม่ได้มารับด้วยตนเองจะส่งองครักษ์ชุดใหญ่ทั้งที่ลับและที่แจ้งมาคุ้มครองระหว่างการเดินทาง ครั้งนี้อาจารย์หวางเดินทางมาด้วย มียอดฝีมืออยู่ในขบวนเช่นนี้ไช่เฟิ