บทที่ ๑๐
หากเจ้าไม่บริสุทธิ์ข้าจะไม่แต่งกับเจ้า
ณ โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในเมืองหลวงแคว้นฝู สององครักษ์ที่เฝ้าอยู่หน้าห้องมองหน้ากันเมื่อเสียงในห้องได้เงียบลงแล้ว พยักพเยิดให้กันไปมาจนอีกคนทนไม่ไหวเอ่ยเสียงกระซิบ
“คราที่แล้วเป็นข้า เหตุใดครานี้ไม่เป็นท่าน”
“เพราะเจ้าเป็นศิษย์น้องอย่างไรเล่า…พูด!”
คนเป็นศิษย์น้องส่งเสียงฮึ่มในลำคอทันทีเมื่อโดนศิษย์พี่เอาเปรียบอีกแล้ว
“ได้! ในเมื่ออ้างความเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกันเช่นนี้ ข้ารายงานเองก็ได้”
เขาทำใจเพียงครู่เดียวเท่านั้นก็กลั้นใจกล่าวรายงาน
“ท่านประมุขขอรับ ท่านรองประมุขกลับมาแล้ว”
คนที่อยู่ภายในห้องได้ยินคำกล่าวรายงานแล้ว
ท่านประมุขพรรคนั่งอยู่บนเตียงกว้างยับยู่ยี่ที่เพิ่งผ่านสมรภูมิรักกับหญิงงามทรวดทรงองค์เอวดูเย้ายวนสามารถปลุกกำหนัดของชายหนุ่มที่พบเห็นให้ลืมไม่ลงได้
แต่ไม่ใช่กับชายหนุ่มคนนี้
ปึง!
ตั๋วแลกเงินถูกโยนลงบนเตียง ริมฝีปากบางเฉียบเอ่ยวาจาที่ทำให้สตรีร่างบางอยากกัดลิ้นตัวเองปลิดชีพ
“ข้าไม่ใช้ซ้ำ!”
ดวงตาคู่คมไม่แม้แต่จะปรายตามองนางเลยสักนิด เมื่อเสร็จกิจก็เข้าไปจัดการตัวเองที่หลังฉากกั้น เรียบร้อยแล้วก็เดินออกจากห้องไปทันที
กึก!
ร่างสูงหยุดอยู่หน้าห้อง ออกคำสั่งองครักษ์ทั้งสองด้วยน้ำเสียงเย็นชาไร้เยื่อใย
“หวังว่าข้าจะไม่เห็นนางอีก”
“ขอรับท่านประมุข”
อีกทางด้านหนึ่ง…
ไช่เฟิงหยูจิบชาด้วยกิริยาที่ดูไม่ออกว่ารู้สึกอย่างไร ใบหน้าเรียบเฉยไม่มีรอยยิ้มประดับอยู่เลยแม้แต่น้อย ต่างจากยามที่อยู่กับหลานสาวเป็นคนละคน
“คารวะท่านประมุข”
เมื่อชิวเฉินยี่เดินเข้ามาในห้อง ไช่เฟิงหยูก็กล่าวคารวะอีกฝ่ายด้วยปากเท่านั้น ร่างกายส่วนอื่นไม่ขยับเขยื้อน คนเป็นประมุขพรรคพ่วงด้วยตำแหน่งสหายแทบอยากจะกลอกตาใส่เขา
“ขนาดนี้แล้วไม่ต้องคารวะข้าก็ได้”
ชิวเฉินยี่เดินเข้ามานั่งตรงข้ามไช่เฟิงหยู ดวงตาคู่คมกดดันฝ่ายตรงข้ามให้เริ่มพูดก่อน
“อยู่ทางทิศตะวันออกแคว้นจูแล้ว”
คนฟังหัวเราะเสียงขึ้นจมูก น้ำเสียงเจือความเหยียดหยามไม่ปิดบัง
“หึ! หลีเฮยไม่เคยเสียเวลากับสิ่งที่ไม่คุ้มค่า”
“เป้าหมายครั้งนี้คงไม่ธรรมดา ถึงขนาดออกจากการกักตัวฝึกวิชาก่อนกำหนด”
หลีเฮยคือประมุขพรรคมารจื่อถาน สายข่าวของพรรคหยิ๋นมี่รายงานมาว่ามีการเคลื่อนไหว ออกจากแคว้นเหลียงมาแคว้นฝู จนล่าสุดมาแคว้นจูแล้ว
พรรคธรรมมะหยิ๋นมี่กับพรรคมารจื่อถานไม่มีบุญคุณความแค้นต่อกัน ต่างเพียงหลักการใช้ชีวิต ทำสิ่งใดจึงคอยขัดแข้งขัดขากันตลอด
“เราไปดูให้เห็นกับตากัน น่าจะสนุกไม่น้อย”
“เรา” ไช่เฟิงหยูถามเสียงสูง “หน้าที่ของข้าคือการสืบข่าวมิใช่หรือ ข้ายังต้องห่างเซียงฮวาเพื่อไปดูการละเล่นของพวกเจ้าอีกหรือ”
“สำหรับข้านี่ไม่เรียกว่าการละเล่น”
เหอะ! ข้าคงเชื่อเจ้าหรอก
ไช่เฟิงหยูคิดในใจ มองเขม่นประมุขพรรค สูญเสียความสงบนิ่งจนชิวเฉินยี่ต้องเสนอผลประโยชน์ให้
“แลกกับการเป็นอาจารย์สอนพลังธาตุมืดให้เฮยหลงเป็นอย่างไร”
ตึก!
ไช่เฟิงหยูกระแทกจอกชาลงบนโต๊ะ เอาเรื่องนี้มาพูดแล้วเขายังจะกล้าปฏิเสธอีกหรือ
“ห้ามคืนคำ!”
ทางด้านไช่เซียงฮวา
“ท่านอาไปไหนกันนะเฮยหลง ตั้งแต่ส่งคนมาบอกข้าว่าจะไปทำธุระที่แคว้นจูก็เงียบหายไปเลย จะกลับกันพรุ่งนี้อยู่แล้วก็ยังไม่มาอยู่กับข้า”
ไช่เซียงฮวาเอ่ยขึ้นในระหว่างที่นั่งพักหลังจากฝึกใช้พลังธาตุ ช่วงนี้นางไม่เพลียเหมือนช่วงแรก ๆ จึงคิดเอาเองว่ามีพัฒนาการ
“ข้าทราบเท่าที่เจ้าทราบ”
“เฮ้อ~ความลับเยอะจริง ๆ”
“แต่ท่านอาจารย์กล่าวว่ากลับพรรคแล้วข้าจะมีอาจารย์สอนพลังธาตุมืด”
“มิใช่ว่าท่านประมุขชิวครอบครองธาตุมืดอยู่หรือ”
“ใช่!...นี่ให้เจ้า”
ฝูเฮยหลงส่งกล่องไม้ที่ใช้สำหรับใส่ขนมยื่นให้ไช่เซียงฮวาที่รับมาเปิดดูทันที
“ขอบใจ กำลังหิวอยู่พอดี”
กลิ่นหอมที่โชยออกมาอ่อน ๆ พาให้น้ำย่อยในกระเพาะทำงานได้ไม่ยาก
นางกำลังจะยื่นมือหยิบขนม แต่นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ล้างมือจึงชะงักไปครู่หนึ่ง
“นี่ ๆ ข้าจะแสดงอะไรให้ดู”
ไช่เซียงฮวาแบมือทั้งสองข้างแล้วเค้นพลังจากจุดกักเก็บพลังธาตุให้เคลื่อนที่มาอยู่บนฝ่ามือ
คลื่นพลังสีฟ้าที่ถูกห้อมล้อมด้วยคลื่นพลังสีน้ำตาลอ่อนหมุนวนเป็นพายุเล็ก ๆ เหนือมือ
ไม่นานหลังจากนั้นก็ดับลงพร้อมกับที่มือของนางมีน้ำอยู่เต็มฝ่ามือ
“อุ๊ย! มือเปียก ต้องทำให้มือแห้งแล้ว”
ว่าแล้วนางก็เค้นพลังออกมาอีกระลอกหนึ่ง ครั้งนี้ใจกลางของคลื่นพลังกลับเป็นสีแดงอ่อน ๆ เมื่อคลื่นพลังดับลง มือที่ชื้นน้ำก็แห้งสนิท
สิ่งที่ตั้งใจทำเป็นผลสำเร็จแบบนี้ เซียงฮวาจะไม่ภูมิใจในตัวเองได้อย่างไร นางถามหาคำชมจากเฮยหลงทันที
“เป็นอย่างไรบ้าง ข้าเก่งหรือไม่”
ถามเขาแล้วก็รอฟังคำชมอีกฝ่ายอย่างใจจดใจจ่อ แต่เฮยหลงกลับไม่พูดในสิ่งที่นางอยากได้ยิน
“เจ้าใช้พลังที่ดูดซับมาด้วยความยากลำบากเพื่อสิ่งนี้หรือ” เพราะหน้าเขานิ่ง เซียงฮวาจึงรู้สึกว่าคำถามนี้ไม่ต่างจากการตำหนิ
“ไม่ได้หรือ”
“น้ำก็อยู่แค่นี้ เหตุใดไม่ไปตักมาล้างดี ๆ”
“ก็แค่อยากแสดงให้ดู ไม่ชมข้าไม่พอยังจะตำหนิกันอีก”...ปล่อยพลังบนฝ่ามือเช่นนี้ได้ชาติภพก่อนก็มีแค่ในซีรีส์เท่านั้น ข้าจะตื่นเต้นไม่ได้หรือ
ไช่เซียงฮวาตัดพ้อในใจ แสดงอาการกระฟัดกระเฟียดเล็กน้อย แต่ก็ยังยื่นมือหยิบขนมของคนที่เป็นตัวการมาทาน
ฝูเฮยหลงไม่รู้ว่าต้องง้อสาวน้อยอย่างไรจึงแสดงความสามารถของตนให้นางเห็น
“ข้าแสดงให้เจ้าดูบ้าง”
ตู้ม! เปรียะ!
เสียงแรกคือเสียงของพลังที่เฮยหลงซัดออกจากฝ่ามือไปที่พื้น ผลคือพื้นที่ตรงนั้นแยกออกจากกันห่างหลายชุ่น ทำเซียงฮวาเผลอคิด หากเปลี่ยนที่ตรงนั้นเป็นศีรษะของนางก็คงแตกกระจุยเหมือนแตงโมยามตกจากที่สูง
โดนข่มด้วยสามารถเช่นนี้นางจะเงยหน้าสบตาเขาได้อย่างไร ก้มหน้าก้มตาทานขนมอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว
“เป็นอันใดไป”
เฮยหลงเห็นนางก้มหน้าอกชิดก็เอ่ยถามอย่างใส่ใจ
เซียงฮวาเหลือบตาไปมองเล็กน้อยแล้วเปลี่ยนเรื่องสนทนา อับอายจนอยากแทรกหน้าลงแผ่นดินแล้ว
“ขนมอร่อยดี”
ฝูเฮยหลงใจชื้นเมื่อนางยอมสนทนาด้วย เมื่อครู่หลังจากแสดงความสามารถไปแล้วถึงเพิ่งคิดได้ว่านางอาจจะรู้สึกว่าเขาโอ้อวด
“เป็นขนมสูตรลับของเสด็จแม่ ได้ยินว่าเจ้าชอบบุรุษเข้าครัวได้” ว่าแล้วใบหน้าก็ขึ้นสีแดงระเรื่อ
ท่าทางของเขาบ่งบอกว่าเจ้าตัวเป็นคนทำขนมกล่องนี้เอง องค์ชายผู้สูงศักดิ์เข้าครัวย่อมสร้างความแตกตื่นให้ทุกคน เพราะเช่นนี้เซียงฮวาจึงรู้สึกประทับใจในขนมกล่องนี้มาก ต่อให้รสชาติจะตรงข้ามกับความรู้สึก
นางก็ยังกล้าพูดว่ามันอร่อยมาก!
“ขนมของเจ้าอร่อยมาก ขอบคุณที่ทำให้ข้านะ บุรุษที่ดีต่อข้านอกจากท่านอาแล้วก็มีเพียงเจ้า หากไม่ใช่เจ้าข้าก็ไม่คิดอยากแต่งให้ผู้ใด”
ฝูเฮยหลงใบหน้าแดงก่ำจนแทบจะคั้นออกมาเป็นน้ำ
“หะ ห้ามคืนคำนะ พูดให้ความหวังข้าไม่ได้นะ”
“พูดแล้วย่อมไม่คืนคำ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น หากเจ้าไม่บริสุทธิ์ ข้าจะไม่แต่งกับเจ้า”
ฝูเฮยหลงเอื้อมมือที่ใหญ่กว่ามาจับมือเล็กของเซียงฮวา ให้คำมั่นสัญญากับนางโดยไม่คิดว่าตนจะเสียใจในภายหลัง เขาเชื่อสัญชาตญาณของตนเอง
“เจ้าวางใจ แม้แต่ขนหน้าแข้งของข้า ก็จะไม่มีหญิงใดได้เห็น ข้าให้คำมั่นสัญญา”
ไช่เซียงฮวายิ้มเต็มใบหน้า
ความโชคดีของนางไม่ใช่เพียงเกิดมาในตระกูลที่ดี แต่นางยังสัมผัสได้ว่าใครคือคู่ด้ายแดงของตน ไม่ต้องเสียเวลาตามหา ดังนั้น…
บอกเขาให้ชัดเจนตั้งแต่ตอนนี้ เขาจะได้ไม่มองหาใครอีก พระชายาขององค์ชายรองฝูเฮยหลงต้องเป็นไช่เซียงฮวาเท่านั้น ส่วนชายารองนะหรือ…
อย่าหวัง!
บทที่ ๒๐ต้องทำถึงเพียงนี้เชียวหรือณ โรงเตี๊ยมซงชู่หนึ่งในสถานที่ยอดนิยมของเมืองหลวงแคว้นเหลียง“เจ้าว่าสองแสบจะทำสำเร็จหรือไม่”จื่อหลีเฮยที่ตอนนี้นั่งอยู่ชั้นบนสุดของโรงเตี๊ยมเอ่ยถามคนสนิท สายตาสอดส่องลงไปยังชั้นล่างสุดเพื่อมองหาคนที่ตนกำลังรออยู่“ไม่เกินความสามารถของคุณหนูกับท่านประมุขน้อยแน่นอนขอรับ”คนสนิทจื่อหลีเฮยตอบกลับด้วยความหวังที่คิดว่าต้องใช่ สืบเนื่องจากว่าก่อนหน้านี้มีคำสั่งจากท่านประมุขให้ออกตามหาคน เบาะแสมีอยู่แค่ว่าใช้พลังที่เกี่ยวกับบุปผาได้ เป็นเด็กสาวชุดขาว มีหมวกปิดบังใบหน้าไว้และอายุไม่เกิน 12 หนาวประทานโทษเถิด! เบาะแสเพียงเท่านี้ต่อให้พวกเขาจะมีความสามารถมากกว่านี้อีกกี่เท่า ก็ต้องขอกล่าวว่าแทบไม่มีทางเป็นไปได้เลยเพราะสิ่งเดียวที่ยังพอใช้การได้อย่างพลังบุปผา ซึ่งหากว่าเป็นพลังที่แปลกกว่าผู้อื่นจริง ๆ แล้วผู้ใดจะใช้ออกมาให้เห็นกันพร่ำเพรื่อดังนั้นแม้ก่อนหน้านี้เขาและท่านประมุขจะไม่เชื่อคำกล่าวที่ออกมาจากปากของคุณหนูตัวแสบนัก แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าพวกเขาก็ขอให้เป็นนางจริง ๆ ทางด้านเซียงฮวา…“โรงเตี๊ยมซงชู่มีทั้งหมดสี่ชั้น แอบกระซิบบอกเจ้าก็ได้ว่าที่นี่เป็นขอ
บทที่ ๑๙มันถ่ายทอดผ่านดีเอ็นเอได้ณ พรรคมารจื่อถาน“หนีผู้อารักขาไปเล่นซนที่ใดกันมาเจ้าตัวแสบ!”เสียงกัมปนาททำแฝดชายหญิงที่กำลังเดินย่องเข้าเขตรั้วพรรคมารจื่อถานชะงักกึก ประมุขพรรคยังไม่ได้ไต่สวน โจรย่องเบาทั้งสองก็รับสารภาพเสียแล้ว“เสี่ยวเฉิงสำนึกผิดแล้วขอรับท่านพ่อ/เสี่ยวเหมยสำนึกผิดแล้วเจ้าค่ะท่านพ่อ” จื่อเจี่ยนเฉิงและจื่อเหมยฮวาเป็นความผิดพลาดของจื่อหลีเฮยเมื่อสิบปีก่อนโดยความตั้งใจของจื่อหลีป๋าย มารดาของทั้งคู่ลาลับโลกนี้ไปแล้ว เด็กแฝดถูกเลี้ยงดูสั่งสอนโดยแม่นม จื่อหลีเฮยไม่มีเวลาดูแลทั้งสองมากนักจึงประเคนทุกสิ่งที่เด็กแฝดต้องการ หวังว่าการตามใจเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ จะเติมเต็มสิ่งที่เขาบกพร่องไป และเพราะการตามใจที่ไร้ขีดจำกัดนี้ ทั้งสองจึงมักก่อเรื่องเป็นประจำ อย่างเช่นเรื่องในวันนี้ในระหว่างที่เขาเพิ่งกลับมาจากการทำธุระก็ได้รับรายงานมาจากผู้อารักขาประจำตัวของเด็กแฝดว่าออกไปเล่นซุกซนกันที่อื่นแต่ไปเล่นที่ใดไม่เล่น กลับไปเล่นในพื้นที่ใกล้เขตของพรรคหยิ๋นมี่ จากบิดาที่ไม่ดุด่าว่าบุตร วันนี้กลับทำเสียงแข็งใส่ทั้งสองถึงขั้นเป็นตวาด“เข้าไปคุยกันในเรือน”“ขอรับ/เจ้าค่ะท่านพ่อ”ใน
บทที่ ๑๘เอามากำไว้ดั่งเป็นลูกไก่“I love the way you make me feel, I love it, l love it, I love the way you make me feel, I love it , l love it”เซียงฮวาร้องเพลงบนหลังม้า มือข้างซ้ายยกขึ้นทำมินิฮาร์ทตรงคำว่า ‘love’ ให้เฮยหลงแม้เฮยหลงจะไม่เข้าใจท่าทางนี้ แต่บรรยากาศรอบกายนางทำให้เขาหน้าเห่อร้อนขึ้นจนเผลอยกมือแตะใบหน้า ไม่ไหวจริง ๆ ก็เบือนหน้าไปทางอื่นเพราะไม่อยากให้นางเห็นว่าตนเสียอาการ‘เซียงฮวา…’เจ้าของนามหยุดร้องเพลงเมื่อได้ยินเสียงเฮยหลิง‘พบเป้าหมายอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ทางทิศตะวันตก’เซียงฮวาลอบถอนหายใจเบา ๆ ดีว่ากล่อมตัวเองเก่งถึงได้เข้าโหมดทำงานได้อย่างรวดเร็ว‘ทางทิศตะวันตกคือนอกเขตแดนของพรรคหยิ๋นมี่มิใช่หรือ’‘ใช่ เจ้ารีบไปช่วยเถิด!’‘แล้วเฮยหลงเล่า ข้าไม่มีทางทิ้งบุรุษของข้าให้ต้องอยู่คนเดียวเปล่าเปลี่ยวกายาแน่…เอาแบบนี้แล้วกัน!’“เฮยหลง ทางทิศตะวันตกคือจุดสิ้นสุดของเขตแดนใช่หรือไม่” เซียงฮวาแสร้งถามเหมือนไม่รู้“ใช่ เมื่อออกจากเขตแดนทางทิศตะวันตกแล้ว มีเส้นทางหนึ่งที่ผู้คนไม่ค่อยใช้กันนัก แต่สามารถเข้าตลาดได้”เซียงฮวาได้ยินเช่นนั้นก็ตาลุกวาว…เข้าทางแล้ว!“อยู่ ๆ ข้าก็อย
บทที่ ๑๗เอาไว้สร้างรังรักของเราพรรคหยิ๋นมี่ขึ้นชื่อเรื่องการฝึกหนัก สมาชิกส่วนมากเข้าพรรคตั้งแต่อายุยังน้อย อย่างเฮยหลงก็ฝากตัวเป็นศิษย์กับไช่เฟิงหยูตั้งแต่อายุ 4 หนาวการเป็นศิษย์ของผู้ที่มีพรสวรรค์อย่างไช่เฟิงหยูไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากจะต้องตั้งใจฝึกซ้อมเพื่อไม่ให้เสียหน้าอาจารย์แล้วยังต้องรักษาหน้าองค์ชายรองแคว้นฝู การฝึกของคนในพรรคที่ว่าหนักแล้ว ยังเทียบไม่ได้กับเขาตั้งแต่เช้ายันบ่าย เขาจะฝึกยุทธ์ร่วมกับสมาชิกพรรครุ่นเยาว์ทั้งหลาย หรือบางทีหากท่านอาจารย์อยากจะถ่ายทอดเคล็ดวิชาใหม่ ๆ ให้เขาก็ต้องแยกไปเรียนเดี่ยวตกดึกก็จะเรียนการใช้พลังธาตุกับท่านประมุขพรรค สลับกับเรียนคาถาลับของพรรคที่ท่านอาจารย์เป็นผู้ที่ถ่ายทอดให้โดยตรงพอจะเข้านอนแล้วก็ควรเป็นเวลาพักผ่อนร่างกาย แต่เขาก็ยังอ่านตำรา ฝึกคัดอักษร เวลานอนในแต่ละวันไม่ถึงสองชั่วยาม แต่เจ้าตัวก็คงคิดว่ายังยุ่งไม่พอ เพราะยังหาเวลาว่างเข้าครัวทำอาหารพิชิตใจสาวน้อยวัยเดียวกันพูดถึงเรื่องเข้าครัวก็ต้องพูดถึงอาหารมื้อเย็น เขาทำอาหารให้เซียงฮวาแล้วให้สาวใช้ในพรรคนำมาส่งให้ถึงเรือน แอบกังวลไม่น้อยว่าจะไม่ถูกปากนางตับ!ฝูเฮยหลงพับตำราเก็
บทที่ ๑๖อาอยากจะบอกว่า…หลังได้รับการช่วยเหลือจากเซียงฮวา เมื่อกลับถึงพรรค จื่อหลีเฮยก็สั่งลูกน้องให้ออกตามหาเด็กสาวชุดขาวอายุไม่เกินสิบสองหนาว ตามหาเอิกเกริกจนรู้ถึงหูไช่เฟิงหยูและพรรคข้างเคียงไช่เฟิงหยูเดินเข้ามาในห้องทำงานชิวเฉินยี่โดยไม่ต้องให้ใครรายงานก่อน ซึ่งเจ้าของห้องเองก็ชินแล้วเช่นกัน“เจ้าได้ยินข่าวที่หลีเฮยให้คนออกตามหาเด็กสาวคนหนึ่งแล้วหรือไม่ ตามหาคนก็ยากอยู่แล้ว ข้อมูลที่ให้มายังมีเพียงสองข้อ ชุดขาวกับอายุ ต่อให้เป็นข้าก็หาไม่เจอ”ไช่เฟิงหยูขบขัน ชิวเฉินยี่เองก็ไม่แพ้กัน แต่เขาเพียงเหยียดยิ้มเท่านั้นไม่ได้กล่าวเสียดสีเช่นทุกที“รายงานผลรายได้จากหอขายข่าว หอสุราและร้านค้าปลีกย่อยในเดือนนี้”ชิวเฉินยี่ยื่นมือมารับสมุดแต่ไม่ได้เปิดอ่านในตอนนั้น ไช่เฟิงหยูจึงกล่าวถามสิ่งที่สงสัย“ว่าแต่เจ้ายังให้คนออกตามหาผู้มีปานดอกไม้อยู่ที่ข้อมืออยู่อีกไม่”ชิวเฉินยี่พยักหน้ารับ ไม่ได้เก็บงำเป็นความลับ แต่ก็ไม่ได้เปิดเผยเบื้องลึกให้ใครทราบเช่นกัน “เจ้าตามหาทำไม บอกจุดประสงค์ได้หรือไม่”ชิวเฉินยี่ยังคงเงียบ ในหัวเริ่มคิดถึงภาพความจำอันเลือนรางในหลาย ๆ สถานที่หลาย ๆ อิริยาบถระหว่างเขาก
บทที่ ๑๕เขาบอกข้าว่าควรกลับบ้านไปนอนกอดแม่เช้าวันต่อมา…“ขอบตาดำเชียว ตื่นเต้นที่จะได้ออกเดินทางจนนอนไม่หลับเลยหรือ!”จางซิ่วลี่เอ่ยกับบุตรสาวด้วยน้ำเสียงเข้มงวด ทว่าไม่อาจปิดความห่วงใยในแววตาได้“ไม่ดึกมากเจ้าค่ะท่านแม่ แต่ร่างกายของคนเราตื่นรู้นัก เมื่อจะเจอเรื่องที่ต่างจากทุกวันจะหลั่งสารอะดรีนาลีนจนตื่นตัว อยากนอนเร็วเหมือนกันเจ้าค่ะ แต่จนใจที่ทำเช่นนั้นมิได้”เซียงฮวาโกหกคำโต ทั้งยังเอาชื่อสารที่หลั่งมาจากต่อมหมวกไตเบี่ยงเบนความสนใจของมารดา “มีสารที่ชื่อนี้ด้วยหรือ ไยฟังดูไม่ใช่ภาษาบ้านเรา” แล้วก็ได้ผล! จางซิ่วลี่ไม่รู้ตัวเลยว่าถูกบุตรสาวเบี่ยงเบนความสนใจ อาจารย์หวางที่จะเดินทางกลับพร้อมกันก็มีความสงสัยเช่นกัน แต่ไม่แสดงออกมากนัก “ได้เวลาต้องออกเดินทางแล้ว”อาจารย์หวางให้โอกาสแม่ลูกได้ร่ำลากันครู่หนึ่ง เมื่อสมควรแก่เวลาแล้วก็เอ่ยชวนเซียงฮวาออกเดินทางไปพรรคหยิ๋นมี่ ทุกสามเดือนไช่เฟิงหยูจะมารับนางไปเที่ยวเล่น แต่หากครั้งใดไม่ได้มารับด้วยตนเองจะส่งองครักษ์ชุดใหญ่ทั้งที่ลับและที่แจ้งมาคุ้มครองระหว่างการเดินทาง ครั้งนี้อาจารย์หวางเดินทางมาด้วย มียอดฝีมืออยู่ในขบวนเช่นนี้ไช่เฟิ