Home / รักโบราณ / บุปผาเยียวยาใจ / บทที่ ๒ ตำราสวรรค์หมื่นบุปผา 

Share

บทที่ ๒ ตำราสวรรค์หมื่นบุปผา 

last update Last Updated: 2025-05-26 14:41:13

บทที่ ๒

ตำราสวรรค์หมื่นบุปผา 

หนึ่งชั่วยามต่อมายามอู่

หลังจากที่ฝูหวงตี้เสด็จกลับแล้ว สามเด็กสาวจากตระกูลไช่ก็พากันเดินออกจากลานพิธี

“เซียงฮวา”

เจ้าของนามหันไปมองด้านหลังโดยมีไช่ฮั่วฮวาและไช่ปิงฮวาหันไปมองด้วย 

พวกนางถวายความเคารพพร้อมกันเมื่อเห็นว่าเป็นองค์ชายรองฝูเฮยหลง

“ถวายพระพรองค์ชายรองเพคะ” 

องค์ชายรองคนหน้านิ่งพยักหน้าเบา ๆ เป็นเชิงให้ตามสบาย 

“คุณหนูทั้งสอง ขอเวลาเซียงฮวาสักครู่”

“เพคะ/เพคะ”

ไช่ฮั่วฮวาที่ไม่คิดอะไรเดินออกไปทันที สวนทางกับไช่ปิงฮวาที่ก่อนจะจากไปทำสีหน้าตัดพ้อใส่เด็กหนุ่ม ราวกับว่าฝูเฮยหลงทำผิดต่อนางหนักหนา เรียกรอยยิ้มขำขันจากไช่เซียงฮวาได้ดียิ่ง

องค์ชายรองเห็นนางขบขันก็ขุ่นเคืองเล็กน้อย แต่ด้วยมีเวลาจำกัดจึงเข้าเรื่องในทันที

“เซียงฮวา พรุ่งนี้ยามซื่อจะไปหาท่านอาจารย์พร้อมกับข้าหรือไม่”

“หากฮูหยินใหญ่ไม่อนุญาตข้าก็ไปไม่ได้ ถ้านางรู้ว่าข้าจะไปกับเจ้า อย่าได้หวังเลย”

“ให้เสด็จแม่ออกหน้าให้ดีหรือไม่”

“ข้าจะบังอาจรบกวนกุ้ยเฟยได้อย่างไร”

องค์ชายรองฝูเฮยหลงนานทีจะได้สนทนากับไช่เซียงฮวา เนื่องจากพรรคหยิ๋นมี่ที่เขาพำนักศึกษาวิชายุทธ์อยู่นั้น อยู่ในแคว้นเหลียง 

เมื่อครั้งนี้มีโอกาสได้กลับมายังแคว้นตนเพื่อทดสอบพลังธาตุก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะชวนเซียงฮวาไปด้วยกันให้ได้ 

เมื่อสถานการณ์จริงต้องเจอกับ ‘อย่างนั้นก็ไม่ได้ อย่างนี้ก็ไม่ดี’ จึงรู้สึกหงุดหงิดใจไม่น้อย

“ข้าจะยอมยกธงขาวไปก่อน แต่กลับไปคราวนี้ ข้าจะโน้มน้าวท่านอาจารย์ให้พาเจ้ามาเป็นศิษย์ในพรรคหยิ๋นมี่ เช่นนี้ดีหรือไม่”

“เจ้าดูมุ่งมั่นเพียงนี้ อย่างไรท่านอาก็มารับข้าไปเที่ยวเล่นทุกสามเดือนอยู่แล้ว ข้าต้องทุ่มเทไปเป็นศิษย์ที่นั่นด้วยหรือ”

“ไม่พอหรอก ข้าอยากเห็นหน้าเจ้าทุกวัน”

องค์ชายรองเอ่ยเสียงแผ่ว ทว่าไช่เซียงฮวากลับได้ยินทุกคำพูดของเขาชัดเจน แต่แกล้งไม่ได้ยิน

“เจ้ากล่าวว่าอันใดนะ”

“ปะ เปล่า”

องค์ชายรองปฏิเสธด้วยอาการหูแดง หน้าแดง เรียกเสียงหัวเราะจากไช่เซียงฮวาได้อีกครั้ง

“เสียอาการแล้วสหายข้า วันนี้เท่านี้ก่อน ข้าต้องไปแล้ว เอาไว้เจอกันใหม่”

องค์ชายรองถอนหายใจ ได้แต่กดความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ ไม่ควรกระทำการเอาแต่ใจตัวเอง ได้คืบจะเอาศอกกับเด็กสาวตรงหน้า 

“ข้าจะเดินไปส่งที่รถม้า”

“ตามใจ”

ไช่เซียงฮวาไม่ขัดใจเขาเรื่องนี้ ยอมให้อีกฝ่ายเดินไปส่งที่รถม้า บรรยากาศสบาย ๆ ของทั้งสองสร้างความสงสัยให้กับใครหลายคนยิ่งแล้ว

ถามว่าพวกเขาสนิทกันเพียงใดนะหรือ…

กว่ากุ้ยเฟยผู้เป็นเสด็จแม่!

ณ จวนเสนาบดีกรมพิธีการยามซวี

“ปกติคุณหนูใหญ่ก็ไม่เห็นหัวคุณหนูสามอยู่แล้ว ยามนี้ไม่ยิ่งกดนางให้ต่ำไปกว่าเดิมหรอกหรือเจ้าคะคุณหนู”

ซูเมี่ยวสาวใช้วัย 15 หนาวกล่าวขึ้นมาท่ามกลางความเงียบระหว่างที่กำลังหวีผมให้คุณหนูตัวน้อยของตนอยู่

“คงไม่เล่นกันถึงตาย” 

ไช่เซียงฮวากล่าวเสียงงัวเงีย ดวงตาแทบจะลืมไม่ขึ้นอยู่รอมร่อ

ซูเมี่ยวเกือบจะถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้ว ถ้าไม่ได้ยินเสียงของคุณหนูดังขึ้นอีกรอบ

“แต่ก็ไม่แน่ สตรีจวนนี้ธรรมดาเสียที่ไหน”

“ท่านเสนาบดีจากที่โปรดปรานคุณหนูใหญ่ที่สุดอยู่แล้ว ยิ่งพอตอนนี้นางมีพลังธาตุพิเศษ ไม่ยิ่งถือหางนางไปกันใหญ่หรือเจ้าคะ”

“พี่หญิงใหญ่กับมารดาของนางมีข้อเสียเหมือนกันตรงที่ใจร้อน แต่ความใจเย็นดันเป็นข้อดีของฮูหยินสามหลานรักของปู่กับลูกรักของพ่อ กินกันไม่ลงเลยทีเดียว”

กล่าวจบไช่เซียงฮวาก็หยิบของปลอบใจจากท่านอาที่ฝากผ่านองค์ชายรองขึ้นมาดู ซูเมี่ยวเห็นหยกสีนิลแปลกตาก็เอ่ยถามด้วยความอยากรู้

“หยกนี้คืออันใดเจ้าคะคุณหนู บ่าวไม่เคยเห็นมาก่อนเลยเจ้าค่ะ ว่าคุณหนูมีสิ่งนี้ด้วย”

“ท่านอาฝากองค์ชายรองมาให้เป็นของปลอบใจ”

ปากเอ่ยตอบสาวใช้ แต่สายตาและนิ้วเล็กกลับลูบไล้หยกเนื้อเย็นนี้ไม่ละมือ

“ท่านอาอ่านได้ขาดจริง ๆ” 

ไช่เซียงฮวานึกไปถึงเหตุการณ์ช่วงกลางวันในระหว่างทางที่องค์ชายรองเดินไปส่งตนที่รถม้า

‘นี่คือสิ่งใดหรือ’

‘ท่านอาจารย์ฝากมาให้เจ้า’

‘คงจะเป็นของปลอบใจ อย่างไรก็ยินดีกับเจ้าด้วยนะ ว่าแต่เจ้าไม่มีของปลอบใจข้าหรือ’

‘เจ้าเสียใจแน่หรือ เหตุใดข้าหาร่องรอยความเสียใจบนใบหน้าเจ้าไม่พบ’

“เอ่อ...แล้วคุณหนูของบ่าวเสียใจหรือเปล่าเจ้าคะ”

เมื่อได้ยินเสียงถามอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ของสาวใช้รุ่นพี่ ไช่เซียงฮวาจึงหลุดออกมาจากความทรงจำเมื่อตอนกลางวันนี้

“ถามเหมือนท่านแม่ข้าไม่มีผิด ข้าไม่เสียใจหรอก ไม่ต้องกังวลใจไป”

ไช่เซียงฮวาตอบคำถามด้วยท่าทางสบาย ๆ แล้วเก็บหยกใส่ไว้ในกล่องเหมือนเดิม เมื่อสาวใช้หวีผมให้เสร็จถึงย้ายตัวเองจากโต๊ะประทินโฉมมายังเตียงนอน

ซูเมี่ยวรู้หน้าที่ เดินเข้ามาหยิบผ้าห่มแล้วห่มให้คุณหนูของตน เอ่ยเสียงเจื้อยแจ้วไม่หยุด

“ย่อมเป็นเพราะนายหญิงรักคุณหนูมากจึงกลัวว่าคุณหนูจะเสียใจ เช่นเดียวกับนายท่านสามที่ดีกับคุณหนูของบ่าวที่สุด”

“ให้มันรู้เสียบ้าง ข้ามันหลานรัก วันนี้เท่านี้นะอาเมี่ยว…ฝันดี!” 

ไช่เซียงฮวาหลับตาพริ้ม ซูเมี่ยวเองก็บอกฝันดีกลับเช่นกัน เมื่อตรวจความเรียบร้อยภายในห้องเสร็จแล้ว นางก็ดับไฟแล้วเดินออกจากห้อง ปิดประตูอย่างแผ่วเบาเพราะกลัวเสียงประตูจะรบกวนคุณหนูผู้เป็นเจ้าของห้อง

พรึบ!

ไช่เซียงฮวาลืมตาขึ้นเมื่อแน่ใจว่าสาวใช้ออกไปจากห้องแล้ว ไม่มีเค้าของความง่วงให้เห็นเลยสักนิดทั้งที่เมื่อครู่แทบจะลืมตาไม่ขึ้น

นางจุดตะเกียงในห้องขึ้นมาอีกครั้ง มือเล็กเลิกแขนเสื้อนอนตัวยาวจนเผยปานรูปดอกไม้สีฟ้าที่ยามนี้ชัดกว่าตอนกลางวัน

เรื่องนี้ไช่เซียงฮวาไม่ได้บอกใครแม้แต่มารดาของตนเอง คราแรกนางคิดว่าไช่ฮั่วฮวาไม่ได้สังเกตว่าตนมีปานดอกไม้อยู่ตำแหน่งเดียวกับปานสีน้ำตาลไหม้

จนกระทั่งกลับมาที่จวนแล้วมารดาขอดูข้อมือแล้วไม่ได้ทักเรื่องปานดอกไม้สีฟ้า นางถึงแน่ใจว่าปานดอกไม้มีเพียงนางที่เห็นคนเดียว ทั้งยังเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ

“จิตใจกำลังว้าวุ่น สงสัยใคร่รู้อยู่ใช่หรือไม่”

เสียงของชายวัยกลางคนดังก้องในหัวไช่เซียงฮวาจนนางผวามองซ้ายแลขวาหาที่มาของเสียง

“ไม่ต้องกลัวไปหรอกเด็กน้อย ตัวข้ามิใช่ภูตผีปีศาจ”

สิ้นประโยคนี้ ตรงหน้าไช่เซียงฮวาก็ปรากฏชายร่างสูง อยู่ห่างนางไม่กี่ก้าว

เฮือก!

“เธอคือผู้ใด~”

ความตื่นตระหนกของเซียงฮวาช่างขัดกับประโยคที่ร้องถามออกมาเป็นเพลงในชาติภพก่อน

“ข้าคือเทพแห่งดวงชะตา”

เทพที่มีรูปลักษณ์อยู่ในวัยกลางคนกล่าวอย่างสุขุม แต่สิ่งที่คิดอยู่ในใจคือ…

นางร้องเพลงอันใดกัน กลับขึ้นสวรรค์ไป ข้าต้องไปถามเทพผู้คุมมิติเสียหน่อยแล้ว

เมื่อไช่เซียงฮวาได้ยินบุคคลตรงหน้าประกาศฐานะของตนเอง จากความตื่นตระหนกสูงเฉียดหลังคา ตอนนี้ลดลงมาเหลือเพียงขื่อเพดาน

“เทพแห่งดวงชะตา ซะ ซือมิ่งหรือเจ้าคะ" 

เซียงฮวาถามด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก

“รอบรู้ไม่เบา”

“จะไม่รู้ได้อย่างไรกันเจ้าคะ คนสนิทของมหาเทพตงหัวทั้งคน”

“นี่เจ้า หรือว่าเจ้า…”

เทพแห่งดวงชะตาตื่นตะลึงจนเผลอยกนิ้วชี้หน้าไช่เซียงฮวา ในใจคิด…

หรือว่านางจะจำความได้แล้ว เป็นไปได้หรือ ว่าแต่ตงหัวนี่ใครกัน

“ข้ามีเวลาไม่มากนัก ธุระของข้าในวันนี้ก็คือตอบข้อสงสัยของเจ้า แล้วมอบหน้าที่ให้เจ้าเท่านั้น”

“หน้าที่อันใดเจ้าคะ”

ไช่เซียงฮวาถามด้วยความสงสัย ความกลัวก่อนหน้านี้หายไปจนสิ้น 

เทพแห่งดวงชะตาวาดมือไปกับอากาศพลันปรากฏหนังสือที่ภายนอกดูธรรมดาเล่มหนึ่งขึ้นมาแล้วยื่นให้กับสาวน้อยตรงหน้า

ไช่เซียงฮวาถือคติผู้ใหญ่ให้สิ่งใดก็ต้องรับรีบยื่นมือมารับแล้วตั้งคำถาม

“ไม่มีหน้าปก ตำราลับหรือเจ้าคะ” นางพลิกตำราซ้ายขวา “เปิดไม่ออกอีกต่างหาก” แล้วเงยหน้ามองผู้ให้

“เกรงว่าวันนี้เจ้าคงต้องเจ็บตัวอีกรอบหนึ่งแล้ว กรีดเลือดไปที่ตำแหน่งเดิมแล้วแนบกับตำราสิ”

พอได้ยินว่าต้องเสียเลือดอีกครั้ง ไช่เซียงฮวาพลันขนพองสยองเกล้า สมองยังจำความเจ็บปวดยามนั้นได้ เมื่อนึกถึงความรู้สึกนั้นอีกครั้งพลันเจ็บแปลบตรงข้อมือ

“กรีดก็กรีดเจ้าค่ะ มีโมเม้นท์นี้กับเขาเสียที หลังจากที่รอมา 8 ปี”

สิ้นคำนางก็เดินไปหยิบกริชที่อยู่ตรงโต๊ะหน้าคันฉ่อง โดยมีเทพแห่งดวงชะตาเดินตามมาติด ๆ

เมื่อไช่เซียงฮวากรีดเลือดตรงตำแหน่งเดิมกับเมื่อเช้านี้ก็แนบลงไปบนตำราตามที่ท่านเทพบอก

เวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจเข้าออกก็เกิดลำแสงเรืองรองขึ้นจากตำราจนคนที่ถือมันอยู่ต้องหลับตาปี๋เพราะดวงตายังปรับให้เข้ากับแสงที่มากเกินไปไม่ได้

เมื่อแสงดับลง ไช่เซียงฮวาก็ลองเปิดตำราดู 

“เปิดได้แล้วเจ้าค่ะ!”

“เพราะเจ้าเป็นเจ้าของสิ่งนี้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว เห็นความเปลี่ยนแปลงตรงข้อมือเจ้าหรือไม่”

เทพแห่งดวงชะตาเอามือไพล่หลัง เดินไปที่หน้าต่างของห้องแล้วเงยหน้าชมจันทร์

“ข้ารู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่างเช่นเดียวกับตอนเมื่อเช้าที่ปลุกพลังธาตุเจ้าค่ะ”

“ต่อไปพลังนี้จะเป็นของเจ้า”

“พลังบุปผาหรือเจ้าคะ ข้าถึงได้มีปรานรูปนี้”

เทพแห่งดวงชะตาได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ขอบตาร้อนผ่าว ประหนึ่งเห็นลูกหลานประสบความสำเร็จในชีวิต ปริ่มใจยิ่งแล้ว

“ใช่! ตำราเล่มนี้ให้เจ้าได้เอาไว้ศึกษา แล้วมันจะบอกทุกอย่างแก่เจ้าเองโดยที่เจ้าไม่ต้องร้องถามสิ่งใดจากข้า”

“ของฟรีไม่มีในโลก ข้าต้องจ่ายด้วยสิ่งใดเจ้าคะ”

“ใช่แล้ว! ไม่มีสิ่งใดได้มาโดยง่าย”

สิ้นคำเขาก็วาดฝ่ามือข้างหนึ่งไปที่อากาศอีกครั้ง ไม่นานก็ปรากฏตำราสีดำสนิทบนฝ่ามืออีกข้าง

“ให้เจ้าทำความคุ้นเคยและดูดซับกลิ่นอายจากมัน” 

มือหนายื่นตำราให้ไช่เซียงฮวาที่รับมาด้วยสีหน้าหวาดหวั่น

“ตำราลับอีกเล่มหรือเจ้าคะ ข้าต้องกรีดเลือดเป็นครั้งที่สามของวันหรือไม่”

“ไม่ต้องหรอก เก็บเลือดของเจ้าเอาไว้อีกสองปีข้างหน้าเถิด เมื่อเจ้าสิบหนาวข้าจะกลับมาหาเจ้าใหม่ พร้อมทั้งแนะนำวิธีการใช้”

“เจ้าค่ะ” 

ไช่เซียงฮวาพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน แม้ไม่ทราบว่าเป็นตำราใด แต่นางรู้สึกว่าตำราเล่มนี้จะเป็นประโยชน์แก่ตนในอนาคต

“เวลาไม่เช้าแล้ว ข้าคงต้องขอตัวก่อน ขอย้ำว่าอย่าเพิ่งทำสัญญาเลือดก่อนถึงเวลาอันควรโดยเด็ดขาด”

“ท่านเทพหายห่วงได้เลยเจ้าค่ะ หากท่านเทพบอกว่าห้ามเปิดผอบ(ผะ-อบ) ผอบก็ไม่มีทางที่จะถูกเปิดออกแน่นอนเจ้าค่ะ”

เธอคือผู้ใด ตงหัว ผอบ

เห็นทีต้องไปเยือนตำหนักเทพผู้คุมมิติภายในสองวันนี้เสียแล้ว มิเช่นนั้นเราคงคุยกับนางหนูนี่ไม่รู้เรื่อง

“ตัวเราคือผู้ที่รักษาความลับให้เป็นความลับได้ดีที่สุด หากตัวเองยังทำไม่ได้ ก็อย่าหวังว่าคนอื่นจะทำได้ หวังว่าเจ้าจะเข้าใจคำพูดนี้…ขอลา!”

ไช่เซียงฮวาย่อกายทำความเคารพ เมื่อแสงจากตัวท่านเทพหายไปก็หยิบตำราทั้งสองเล่มขึ้นมาดูแล้วเดินไปที่เตียงนอน 

มือเล็กเปิดช่องลับใต้เตียงออกมา ยัดตำราที่ยังไม่อนุญาตให้เปิดไว้ที่ช่องลับแล้วปิดไว้เหมือนเดิม

“ไม่ใช่จันทโครพ ไม่เปิดผอบหรอกเจ้าค่ะ ใครจะอยากเห็นนางโมรากัน”

กล่าวจบก็นั่งลงบนเตียง ลูบไล้ตำราที่ตนเพิ่งเสียเลือดไปเพราะมันแผ่วเบา 

ราวกับตำราเล่มนี้มีชีวิตและจิตใจ เพราะเพียงแค่นายของมันลูบไล้ก็เกิดลำแสงขึ้น

“ชอบก็ตรงที่ไม่ได้เป็นตำราไม้ไผ่นี่แหละ” 

ไช่เซียงฮวาหัวเราะในลำคอ แต่แล้วก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นชื่อตำราปรากฏขึ้น

“ตำราสวรรค์หมื่นบุปผางั้นเหรอ เป็นหมื่นแบบนี้ สองปีจะอ่านจบไหม!”

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • บุปผาเยียวยาใจ   บทที่ ๒๐ ต้องทำถึงเพียงนี้เชียวหรือ

    บทที่ ๒๐ต้องทำถึงเพียงนี้เชียวหรือณ โรงเตี๊ยมซงชู่หนึ่งในสถานที่ยอดนิยมของเมืองหลวงแคว้นเหลียง“เจ้าว่าสองแสบจะทำสำเร็จหรือไม่”จื่อหลีเฮยที่ตอนนี้นั่งอยู่ชั้นบนสุดของโรงเตี๊ยมเอ่ยถามคนสนิท สายตาสอดส่องลงไปยังชั้นล่างสุดเพื่อมองหาคนที่ตนกำลังรออยู่“ไม่เกินความสามารถของคุณหนูกับท่านประมุขน้อยแน่นอนขอรับ”คนสนิทจื่อหลีเฮยตอบกลับด้วยความหวังที่คิดว่าต้องใช่ สืบเนื่องจากว่าก่อนหน้านี้มีคำสั่งจากท่านประมุขให้ออกตามหาคน เบาะแสมีอยู่แค่ว่าใช้พลังที่เกี่ยวกับบุปผาได้ เป็นเด็กสาวชุดขาว มีหมวกปิดบังใบหน้าไว้และอายุไม่เกิน 12 หนาวประทานโทษเถิด! เบาะแสเพียงเท่านี้ต่อให้พวกเขาจะมีความสามารถมากกว่านี้อีกกี่เท่า ก็ต้องขอกล่าวว่าแทบไม่มีทางเป็นไปได้เลยเพราะสิ่งเดียวที่ยังพอใช้การได้อย่างพลังบุปผา ซึ่งหากว่าเป็นพลังที่แปลกกว่าผู้อื่นจริง ๆ แล้วผู้ใดจะใช้ออกมาให้เห็นกันพร่ำเพรื่อดังนั้นแม้ก่อนหน้านี้เขาและท่านประมุขจะไม่เชื่อคำกล่าวที่ออกมาจากปากของคุณหนูตัวแสบนัก แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าพวกเขาก็ขอให้เป็นนางจริง ๆ ทางด้านเซียงฮวา…“โรงเตี๊ยมซงชู่มีทั้งหมดสี่ชั้น แอบกระซิบบอกเจ้าก็ได้ว่าที่นี่เป็นขอ

  • บุปผาเยียวยาใจ   บทที่ ๑๙ มันถ่ายทอดผ่านดีเอ็นเอได้

    บทที่ ๑๙มันถ่ายทอดผ่านดีเอ็นเอได้ณ พรรคมารจื่อถาน“หนีผู้อารักขาไปเล่นซนที่ใดกันมาเจ้าตัวแสบ!”เสียงกัมปนาททำแฝดชายหญิงที่กำลังเดินย่องเข้าเขตรั้วพรรคมารจื่อถานชะงักกึก ประมุขพรรคยังไม่ได้ไต่สวน โจรย่องเบาทั้งสองก็รับสารภาพเสียแล้ว“เสี่ยวเฉิงสำนึกผิดแล้วขอรับท่านพ่อ/เสี่ยวเหมยสำนึกผิดแล้วเจ้าค่ะท่านพ่อ” จื่อเจี่ยนเฉิงและจื่อเหมยฮวาเป็นความผิดพลาดของจื่อหลีเฮยเมื่อสิบปีก่อนโดยความตั้งใจของจื่อหลีป๋าย มารดาของทั้งคู่ลาลับโลกนี้ไปแล้ว เด็กแฝดถูกเลี้ยงดูสั่งสอนโดยแม่นม จื่อหลีเฮยไม่มีเวลาดูแลทั้งสองมากนักจึงประเคนทุกสิ่งที่เด็กแฝดต้องการ หวังว่าการตามใจเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ จะเติมเต็มสิ่งที่เขาบกพร่องไป และเพราะการตามใจที่ไร้ขีดจำกัดนี้ ทั้งสองจึงมักก่อเรื่องเป็นประจำ อย่างเช่นเรื่องในวันนี้ในระหว่างที่เขาเพิ่งกลับมาจากการทำธุระก็ได้รับรายงานมาจากผู้อารักขาประจำตัวของเด็กแฝดว่าออกไปเล่นซุกซนกันที่อื่นแต่ไปเล่นที่ใดไม่เล่น กลับไปเล่นในพื้นที่ใกล้เขตของพรรคหยิ๋นมี่ จากบิดาที่ไม่ดุด่าว่าบุตร วันนี้กลับทำเสียงแข็งใส่ทั้งสองถึงขั้นเป็นตวาด“เข้าไปคุยกันในเรือน”“ขอรับ/เจ้าค่ะท่านพ่อ”ใน

  • บุปผาเยียวยาใจ   บทที่ ๑๘ เอามากำไว้ดั่งเป็นลูกไก่

    บทที่ ๑๘เอามากำไว้ดั่งเป็นลูกไก่“I love the way you make me feel, I love it, l love it, I love the way you make me feel, I love it , l love it”เซียงฮวาร้องเพลงบนหลังม้า มือข้างซ้ายยกขึ้นทำมินิฮาร์ทตรงคำว่า ‘love’ ให้เฮยหลงแม้เฮยหลงจะไม่เข้าใจท่าทางนี้ แต่บรรยากาศรอบกายนางทำให้เขาหน้าเห่อร้อนขึ้นจนเผลอยกมือแตะใบหน้า ไม่ไหวจริง ๆ ก็เบือนหน้าไปทางอื่นเพราะไม่อยากให้นางเห็นว่าตนเสียอาการ‘เซียงฮวา…’เจ้าของนามหยุดร้องเพลงเมื่อได้ยินเสียงเฮยหลิง‘พบเป้าหมายอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ทางทิศตะวันตก’เซียงฮวาลอบถอนหายใจเบา ๆ ดีว่ากล่อมตัวเองเก่งถึงได้เข้าโหมดทำงานได้อย่างรวดเร็ว‘ทางทิศตะวันตกคือนอกเขตแดนของพรรคหยิ๋นมี่มิใช่หรือ’‘ใช่ เจ้ารีบไปช่วยเถิด!’‘แล้วเฮยหลงเล่า ข้าไม่มีทางทิ้งบุรุษของข้าให้ต้องอยู่คนเดียวเปล่าเปลี่ยวกายาแน่…เอาแบบนี้แล้วกัน!’“เฮยหลง ทางทิศตะวันตกคือจุดสิ้นสุดของเขตแดนใช่หรือไม่” เซียงฮวาแสร้งถามเหมือนไม่รู้“ใช่ เมื่อออกจากเขตแดนทางทิศตะวันตกแล้ว มีเส้นทางหนึ่งที่ผู้คนไม่ค่อยใช้กันนัก แต่สามารถเข้าตลาดได้”เซียงฮวาได้ยินเช่นนั้นก็ตาลุกวาว…เข้าทางแล้ว!“อยู่ ๆ ข้าก็อย

  • บุปผาเยียวยาใจ   บทที่ ๑๗ เอาไว้สร้างรังรักของเรา

    บทที่ ๑๗เอาไว้สร้างรังรักของเราพรรคหยิ๋นมี่ขึ้นชื่อเรื่องการฝึกหนัก สมาชิกส่วนมากเข้าพรรคตั้งแต่อายุยังน้อย อย่างเฮยหลงก็ฝากตัวเป็นศิษย์กับไช่เฟิงหยูตั้งแต่อายุ 4 หนาวการเป็นศิษย์ของผู้ที่มีพรสวรรค์อย่างไช่เฟิงหยูไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากจะต้องตั้งใจฝึกซ้อมเพื่อไม่ให้เสียหน้าอาจารย์แล้วยังต้องรักษาหน้าองค์ชายรองแคว้นฝู การฝึกของคนในพรรคที่ว่าหนักแล้ว ยังเทียบไม่ได้กับเขาตั้งแต่เช้ายันบ่าย เขาจะฝึกยุทธ์ร่วมกับสมาชิกพรรครุ่นเยาว์ทั้งหลาย หรือบางทีหากท่านอาจารย์อยากจะถ่ายทอดเคล็ดวิชาใหม่ ๆ ให้เขาก็ต้องแยกไปเรียนเดี่ยวตกดึกก็จะเรียนการใช้พลังธาตุกับท่านประมุขพรรค สลับกับเรียนคาถาลับของพรรคที่ท่านอาจารย์เป็นผู้ที่ถ่ายทอดให้โดยตรงพอจะเข้านอนแล้วก็ควรเป็นเวลาพักผ่อนร่างกาย แต่เขาก็ยังอ่านตำรา ฝึกคัดอักษร เวลานอนในแต่ละวันไม่ถึงสองชั่วยาม แต่เจ้าตัวก็คงคิดว่ายังยุ่งไม่พอ เพราะยังหาเวลาว่างเข้าครัวทำอาหารพิชิตใจสาวน้อยวัยเดียวกันพูดถึงเรื่องเข้าครัวก็ต้องพูดถึงอาหารมื้อเย็น เขาทำอาหารให้เซียงฮวาแล้วให้สาวใช้ในพรรคนำมาส่งให้ถึงเรือน แอบกังวลไม่น้อยว่าจะไม่ถูกปากนางตับ!ฝูเฮยหลงพับตำราเก็

  • บุปผาเยียวยาใจ   บทที่ ๑๖ อาอยากจะบอกว่า…

    บทที่ ๑๖อาอยากจะบอกว่า…หลังได้รับการช่วยเหลือจากเซียงฮวา เมื่อกลับถึงพรรค จื่อหลีเฮยก็สั่งลูกน้องให้ออกตามหาเด็กสาวชุดขาวอายุไม่เกินสิบสองหนาว ตามหาเอิกเกริกจนรู้ถึงหูไช่เฟิงหยูและพรรคข้างเคียงไช่เฟิงหยูเดินเข้ามาในห้องทำงานชิวเฉินยี่โดยไม่ต้องให้ใครรายงานก่อน ซึ่งเจ้าของห้องเองก็ชินแล้วเช่นกัน“เจ้าได้ยินข่าวที่หลีเฮยให้คนออกตามหาเด็กสาวคนหนึ่งแล้วหรือไม่ ตามหาคนก็ยากอยู่แล้ว ข้อมูลที่ให้มายังมีเพียงสองข้อ ชุดขาวกับอายุ ต่อให้เป็นข้าก็หาไม่เจอ”ไช่เฟิงหยูขบขัน ชิวเฉินยี่เองก็ไม่แพ้กัน แต่เขาเพียงเหยียดยิ้มเท่านั้นไม่ได้กล่าวเสียดสีเช่นทุกที“รายงานผลรายได้จากหอขายข่าว หอสุราและร้านค้าปลีกย่อยในเดือนนี้”ชิวเฉินยี่ยื่นมือมารับสมุดแต่ไม่ได้เปิดอ่านในตอนนั้น ไช่เฟิงหยูจึงกล่าวถามสิ่งที่สงสัย“ว่าแต่เจ้ายังให้คนออกตามหาผู้มีปานดอกไม้อยู่ที่ข้อมืออยู่อีกไม่”ชิวเฉินยี่พยักหน้ารับ ไม่ได้เก็บงำเป็นความลับ แต่ก็ไม่ได้เปิดเผยเบื้องลึกให้ใครทราบเช่นกัน “เจ้าตามหาทำไม บอกจุดประสงค์ได้หรือไม่”ชิวเฉินยี่ยังคงเงียบ ในหัวเริ่มคิดถึงภาพความจำอันเลือนรางในหลาย ๆ สถานที่หลาย ๆ อิริยาบถระหว่างเขาก

  • บุปผาเยียวยาใจ   บทที่ ๑๕ เขาบอกข้าว่าควรกลับบ้านไปนอนกอดแม่

    บทที่ ๑๕เขาบอกข้าว่าควรกลับบ้านไปนอนกอดแม่เช้าวันต่อมา…“ขอบตาดำเชียว ตื่นเต้นที่จะได้ออกเดินทางจนนอนไม่หลับเลยหรือ!”จางซิ่วลี่เอ่ยกับบุตรสาวด้วยน้ำเสียงเข้มงวด ทว่าไม่อาจปิดความห่วงใยในแววตาได้“ไม่ดึกมากเจ้าค่ะท่านแม่ แต่ร่างกายของคนเราตื่นรู้นัก เมื่อจะเจอเรื่องที่ต่างจากทุกวันจะหลั่งสารอะดรีนาลีนจนตื่นตัว อยากนอนเร็วเหมือนกันเจ้าค่ะ แต่จนใจที่ทำเช่นนั้นมิได้”เซียงฮวาโกหกคำโต ทั้งยังเอาชื่อสารที่หลั่งมาจากต่อมหมวกไตเบี่ยงเบนความสนใจของมารดา “มีสารที่ชื่อนี้ด้วยหรือ ไยฟังดูไม่ใช่ภาษาบ้านเรา” แล้วก็ได้ผล! จางซิ่วลี่ไม่รู้ตัวเลยว่าถูกบุตรสาวเบี่ยงเบนความสนใจ อาจารย์หวางที่จะเดินทางกลับพร้อมกันก็มีความสงสัยเช่นกัน แต่ไม่แสดงออกมากนัก “ได้เวลาต้องออกเดินทางแล้ว”อาจารย์หวางให้โอกาสแม่ลูกได้ร่ำลากันครู่หนึ่ง เมื่อสมควรแก่เวลาแล้วก็เอ่ยชวนเซียงฮวาออกเดินทางไปพรรคหยิ๋นมี่ ทุกสามเดือนไช่เฟิงหยูจะมารับนางไปเที่ยวเล่น แต่หากครั้งใดไม่ได้มารับด้วยตนเองจะส่งองครักษ์ชุดใหญ่ทั้งที่ลับและที่แจ้งมาคุ้มครองระหว่างการเดินทาง ครั้งนี้อาจารย์หวางเดินทางมาด้วย มียอดฝีมืออยู่ในขบวนเช่นนี้ไช่เฟิ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status