บทที่ ๓
เศษแก้วก็ดีเศษหน้าก็ดี
ณ ดินแดนบุปผาสวรรค์ตำหนักที่โอ่อ่าที่สุดมีร่างอรชรของสตรีนางหนึ่งกำลังใช้ดวงตาคู่งามจับจ้องไปที่ภาพของหนึ่งเทพวัยกลางคนเด็กสาวตัวน้อย
สายตาของนางนั้นไม่ได้ห่างไปจากเด็กสาวแม้แต่เพียงลมหายใจเดียว สายตาที่รักใคร่โอนโยนยิ่งกว่าบุปผาชนิดใดในดินแดนนี้ของนาง
ราวกับดอกไม้ทั้งดินแดนจะตอบรับไอละอองแห่งความสุขที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวนางได้ เห็นได้จากที่องครักษ์หญิงหน้าตำหนักสัมผัสกับกลีบดอกไม้ที่ร่วงโรยมาจากฟากฟ้า แผ่กลิ่นหอมกำจายทั่วดินแดนบุปผา
องครักษ์หญิงทั้งสองหันหน้ามาสบตากัน กล่าวเสียงกระซิบ ใบหน้าติดรอยยิ้มยินดี
“ท่านเทพบุปผากำลังมีความสุข”
“นานแล้วที่ไม่เห็นท่านเทพมีความสุขเช่นนี้”
“นั่นสิ! เรื่องดีอันใดกัน”
การสนทนาของทั้งคู่หยุดอยู่เพียงเท่านี้เมื่อเห็นแสงสว่างจากฟากฟ้ากำลังเคลื่อนตัวมาที่ตำหนักใหญ่
“คารวะท่านเทพแห่งดวงชะตา”
พวกนางทำความเคารพผู้มาใหม่โดยพร้อมเพรียงกัน ผู้มาเยือนเองก็เข้าเรื่องทันที
“ข้ามาขอพบท่านเทพบุปผา”
ไม่รอให้องครักษ์เข้าไปรายงานก่อน เทพแห่งดวงชะตาก็ก้าวเท้าเข้าไปด้านในทันที
ที่พูดว่า ‘มาขอพบ’ ก็ทำไปตามมารยาทเท่านั้น!
เทพบุปผาได้ยินเสียงอันคุ้นเคยก็วาดมือไปยังอากาศ กลีบดอกไม้สีชมพูเคลือบละอองทองก็ทำหน้าที่ตัดภาพของเด็กสาวผู้เป็นที่มาของความสุขนางออกไป
“เป็นอย่างไรบ้างเฟยหง ข้าทำดีหรือไม่”
เจ้าของนามยิ้มบาง
“ลำบากท่านแล้ว ซือมิ่ง”
“ลำบงลำบากอันใดกัน ข้ากลับรู้สึกว่าทำเพียงเท่านี้ ยังน้อยเกินไปด้วยซ้ำ”
“ท่านก็รู้แก่ใจดีว่าไม่ใช่เพียงเท่านี้ หวังเพียงว่าจะไม่ทำให้ท่านเดือดร้อน” กล่าวจบก็หลุบตาลงต่ำ ซ่อนความหนักใจเอาไว้
เทพแห่งดวงชะตาเห็นเช่นนั้นก็ถอนหายใจ
“เจ้าควรจะวางใจได้แล้ว อีกเพียงชาติเดียวเท่านั้น แล้วทุกอย่างจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม”
“ขอบคุณท่านยิ่งนัก”
“มิใช่เรื่องที่เกินกำลังข้าหรอก เหลือเวลาพักของข้าอีกเพียงเล็กน้อย ข้าจะขอไปที่ที่หนึ่งก่อน”
“ที่ใดกัน”
เทพแห่งดวงชะตาตอบด้วยสีหน้ามุ่งมั่น
“ตำหนักเทพผู้คุมมิติ”
เห็นทีเขาจะไปสอบถามเรื่อง…ตงหัว ผอบแล้ว!
ณ จวนเสนาบดีกรมพิธีการ
ตึก! ตึก! ตึก!
เสียงจ้ำเท้าเดินของสาวน้อยสองคนเดินตัดผ่านสวนหลักของจวนเพื่อที่จะไปให้ถึงจุดหมายเร็วขึ้น
“เร็วกว่านี้อีกเถิดอาเมี่ยว สายมากแล้ว”
ไช่เซียงฮวาหยุดขาเล็กสั้นรอคนข้างหลัง กล่าวเร่งสาวใช้คนสนิทที่ขายาวกว่าแท้ ๆ แต่กลับเดินช้ากว่า
“ขออภัยเจ้าค่ะคุณหนู”
“เอาเถอะ ๆ ข้าผิดเองที่ตื่นสาย”
ด้วยกำลังเห่อกับตำราเล่มใหม่และพลังใหม่อยู่จึงมานอนเอาตอนค่อนแจ้ง เป็นเหตุให้เช้านี้ตื่นสายกว่าทุกวัน
“หวังว่าจะมีคนที่ช้ากว่าข้านะ”
สิ้นคำก็รีบจ้ำไปยังจุดหมายปลายทาง ใช้เวลาเพียงไม่ถึงครึ่งก้านธูปก็ถึงที่หมาย เห็นพี่หญิงใหญ่และน้องหญิงเล็กประจันหน้ากันอยู่ตรงทางเข้าเรือนใหญ่พอดี
“คารวะพี่หญิงใหญ่เจ้าค่ะ”
พรึบ!
เหมือนข้าจะมาไม่ถูกเวลา
ไช่เซียงฮวาคิดในใจเมื่อสาวน้อยทั้งสองหันควับมามองหน้านางเป็นตาเดียว
“เอ่อ...อรุณสวัสดิ์น้องสาม”
เป็นการยิ้มสวัสดีที่แห้งเหลือเกิน!
“อรุณสวัสดิ์เจ้าค่ะพี่รอง”
ไช่เซียงฮวายิ้มรับก่อนที่จะเดินตามหลังไช่ฮั่วฮวาที่สะบัดหน้าเข้าห้องอาหารไปก่อนใครโดยมีไช่ปิงฮวารั้งท้าย
เมื่อทั้งสามเข้ามายังห้องอาหารก็เห็นว่าผู้อาวุโสของบ้านนั่งประจำที่กันหมดแล้ว เหลือเพียงสามที่นั่งของคุณหนูประจำจวนเท่านั้นที่ยังว่างอยู่
“ชักจะเหลวไหลกันใหญ่แล้ว จะปล่อยให้ท่านปู่รอพวกเจ้าจนถึงพรุ่งนี้เลยหรือไม่”
ไช่ฝูลี่เอ่ยตำหนิบุตรสาวทั้งสามทันทีหลังจากที่พวกนางคารวะทุกคนในนี้เสร็จ ใบหน้าที่ยังคงความคมคายเรียบนิ่ง ไม่บ่งบอกอารมณ์ใด ๆ
เด็กสาวทั้งสามที่โดนตำหนิกันแต่เช้าพร้อมใจกันก้มหน้าชิดอกทันทีเมื่อท่านพ่อเริ่มดุแล้ว
“ยังไม่รีบกล่าวขออภัยอีก”
ฮูหยินใหญ่เอ่ยเร่งเร้าเสียงเข้มเพื่อที่จะได้ช่วยบุตรสาวไปในตัวด้วย
“ขออภัยเจ้าค่ะท่านปู่” สามเสียงผสาน
เสนาบดีเฒ่าไม่อยากให้เรื่องไปกันใหญ่จึงบอกปัดให้เรื่องจบ ๆ ไป
“ทานเถอะ วันนี้ยังมีสิ่งที่ต้องทำอีกมาก”
“ขอรับ/เจ้าค่ะ”
ทุกคนในตระกูลไช่ตอบรับ เริ่มลงมือรับมื้อเช้าที่พิเศษกว่าทุกวัน
มีไม่บ่อยนักที่ตระกูลไช่จะรับอาหารพร้อม ๆ กัน หากไม่มีเรื่องพิเศษก็จะทานที่เรือนส่วนตัว
วันนี้ที่รับประทานอาหารร่วมกัน ก็คงไม่พ้นเรื่องการตรวจสอบพลังธาตุของเมื่อวาน
บรรยากาศในห้องอาหารเงียบสงบ ทุกคนไม่สนทนาในเวลาอาหาร นี่คือกฎข้อหนึ่งที่ทุกคนต้องทำให้เป็นนิสัย ให้สมกับเป็นจวนของเจ้ากรมพิธีการ
ไช่ฮั่วฮวากับไช่ปิงฮวาจะทะเลาะกันหนัก ๆ ได้ก็ต่อเมื่อเสนาบดีและรองเสนาบดีไม่อยู่จวน
จานนี้ฮูหยินสาม จานนี้ก็ใช่
ไช่เซียงฮวาทานอาหารไปวิเคราะห์รสมือไป ในระหว่างที่ทานก็เหลือบไปมองคนที่ทำอาหาร สายตาของตงเฟยเฟยแทบจะไม่ละไปจากสามี
ไช่เซียงฮวาเห็นเช่นนั้นก็คิดในใจว่า…ฮูหยินสามคิดจะมัดกระเพาะท่านพ่อด้วยรสมือแล้ว
ไช่เซียงฮวาเลิกให้ความสนใจอาหารที่ทำขึ้นเพื่อเอาใจคนอื่น นางยื่นตะเกียบไปคีบอาหารอีกจาน รสชาติคุ้นเคยทำให้นางดวงตาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย
พอเงยหน้ามองคนที่ทำอาหารจานนี้ก็เห็นว่านางยกยิ้มรอตนก่อนอยู่แล้ว
ไช่เซียงฮวาอาศัยจังหวะที่ตนหยิบผ้ามาซับมุมปากยกนิ้วโป้งให้จางซิ่วลี่
จางซิ่วลี่ที่เห็นบุตรสาวเลือกคีบแต่กับข้าวที่ตนเป็นคนทำก็ให้รู้สึกสุขใจแต่เช้า คีบอาหารเข้าปากด้วยใบหน้าสดชื่นแจ่มใส เจริญอาหารยิ่งนัก
ปฏิกิริยาที่ปฏิบัติต่อกันของสองแม่ลูกสร้างความเอ็นดูในใจไช่ฝูลี่ยิ่งนัก แม้ใบหน้าคมคายจะไม่แสดงอาการใด ๆ ออกมาก็ตาม
แต่ใช่ว่าในใจจะไม่รู้สึก!
หลังจบมื้ออาหารยามเช้า เด็กสาวทั้งสามก็ถูกเรียกให้ไปพบกับนายท่านใหญ่ของตระกูลที่ห้องหนังสือ
“นี่คือตำราฝึกพลังธาตุพื้นฐาน ตระกูลเราสามารถรวบรวมเก็บไว้ในห้องหนังสือนี้ได้เท่านี้”
ไช่ซิ๋งช่านหยิบตำราฝึกพลังธาตุดิน น้ำและไฟให้หลานสาวเกือบคนละสิบเล่ม
ไช่เซียงฮวาหยิบของตนเองขึ้นมาเปิดดูทีละเล่ม ทำทีเป็นสนใจแต่แท้จริงแล้วกำลังโอดครวญ
เตรียมกระโถนไว้ให้ข้าที…อ้วกแน่!
“แต่เสียดายยิ่งที่ธาตุสายฟ้าของฮั่วเอ๋อร์หามาได้เพียงเท่านี้จริง ๆ”
“เท่านี้ก็เป็นพระคุณมากแล้วเจ้าค่ะท่านปู่”
กล่าวจบไช่ฮั่วฮวาก็ลงไปคุกเข่าขอบคุณท่านปู่เต็มพิธีการ ทำหลานสาวอีกสองคนคุกเข่ากันแทบไม่ทัน
ไช่เซียงฮวาคิดในใจ…
ข้าไม่อยากเป็นน้องแล้ว พี่ทำอะไรก็ต้องทำตาม เหตุใดข้าไม่เกิดเป็นคุณหนูใหญ่
“ตอนนี้พวกเจ้า 8 หนาวอีกเพียง 4 หนาวก็ต้องเข้าสำนักศึกษาแล้ว ปู่หวังว่าตำราพวกนี้จะช่วยเตรียมพื้นฐานให้พวกเจ้าไม่มากก็น้อย”
“เจ้าค่ะท่านปู่” ตอบรับเสียงผสาน
เมื่อเห็นว่าหลาน ๆ มีแววตาแห่งความมุ่งมั่น คนเป็นปู่ก็พยักหน้าให้อย่างพอใจ
“ส่วนอาจารย์สอนพลังธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ปู่ได้เชิญมาไว้ให้แล้ว ขาดแต่เพียงธาตุสายฟ้าเช่นเดิมที่ยังค่อนข้างหายาก แต่ปู่จะลองถามท่านอาของพวกเจ้าให้ พอจะมีผู้เยี่ยมยุทธ์คนใดมีพลังธาตุสายฟ้าหรือไม่”
“อีกไม่กี่วันท่านอาก็จะกลับมาเยี่ยมจวนแล้ว”
“เป็นเช่นนั้น แต่พวกเจ้าอย่าลืมว่าตนเป็นคุณหนูทองพันชั่ง แม้ต้องฝึกพลังธาตุด้วย แต่ศาสตร์ทั้งสี่ของสตรีก็ไม่ควรพร่อง”
“พวกเราจะไม่ทำให้ท่านปู่ผิดหวังเจ้าค่ะ"
และยังคงเป็นไช่ฮั่วฮวาคนเดิมที่ตอบรับท่านปู่
“ถึงพวกเจ้าจะเป็นสตรี แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่าปู่ค่อนข้างหวังกับพวกเจ้าไว้มาก”
ไช่เซียงฮวาไม่กล่าวสิ่งใดนอกจากยิ้ม หลุบตาลงต่ำเพราะไม่อยากให้ท่านปู่เห็นแววตา ในใจนางคิด…
ไม่คาดหวังเท่ากับไม่ผิดหวังนะเจ้าคะท่านปู่
ณ เรือนฮูหยินสาม
“ฮึก! ฮือ~”
“เจ้าจะโศกเศร้าเสียใจไปไย”
ตงเฟยเฟยเริ่มหงุดหงิดที่บุตรสาวร้องไห้อีกแล้ว เมื่อวานกว่านางจะปลอบใจได้ก็ใช้เวลาค่อนคืน วันนี้หลังจากกลับมาจากห้องหนังสือก็ยังร้องไห้อีก
เพราะเช่นนี้จึงถามอย่างใส่อารมณ์ไปนิดหนึ่ง!
“ฮึก! ก็ลูก ก็ลูก ฮือ~ลูกอิจฉานางจนคับอกไปหมดแล้วเจ้าค่ะ เหตุใดนางต้องได้ดีกว่าลูกไปทุกอย่าง”
ตงเฟยเฟยถอนหายใจ พยายามเอ่ยอย่างใจเย็น
“มีสองธาตุแล้วอย่างไร ท่านปู่เจ้าพูดเองมิใช่หรือว่าตำรานั้นหายาก แต่อาจารย์หายากยิ่งกว่า ใช่ว่ามีแล้วจะประสบความสำเร็จกันทุกคน แต่แย่กว่านั้นคือฝึกไม่สำเร็จเลยสักวิชา”
ไช่ปิงฮวาหยุดร้องไห้จนเหลือเพียงอาการสะอื้น
“จริงหรือเจ้าคะท่านแม่”
เห็นบุตรสาวพยายามสงบสติอารมณ์แล้วนางก็เอาน้ำเย็นเข้าลูบ ซับน้ำตาให้ปิงฮวาแผ่วเบา
“มีเพียงธาตุเดียวทุ่มเทแรงใจ ฝึกให้ได้ระดับสูง ๆ ไม่ดีกว่าหรือลูก แม่ก็มีธาตุเดียว พี่รองเจ้าก็มีธาตุเดียว”
“พี่รองผู้เอื่อยเฉื่อยนับเป็นอันใดได้เจ้าคะ แข่งกับนางไม่สนุกเลยสักนิด”
“เช่นนั้นแม่เขียนจดหมายให้ท่านตาของเจ้า ส่งคนตามหาตำราธาตุน้ำและอาจารย์มีชื่อเสียงเลื่องลือดีหรือไม่”
พูดถึงท่านตาพ่อค้าเกลือแล้วไช่ปิงฮวาพลันหงุดหงิด เพราะมีตาเป็นพ่อค้า นางถึงโดนไช่ฮั่วฮวากดให้ต่ำอยู่เช้าค่ำ
แต่เมื่อนึกถึงผลประโยชน์ นางก็กดความน้อยเนื้อต่ำใจเอาไว้ พยักหน้าตอบรับมารดา
“เจ้าค่ะท่านแม่”
“เด็กดี”
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
เสียงเคาะประตูดังขึ้นอย่างรู้จังหวะ
“บ่าวเองเจ้าค่ะ นายหญิง”เสียงบ่าวคนสนิทของฮูหยินสามดังขึ้นที่หน้าห้อง
“เข้ามาได้”
ตงเฟยเฟยเร่งให้สาวใช้เข้ามาเพราะก่อนหน้านี้ได้สั่งงานนางไป ยามนี้ร้อนใจอยากทราบผลแล้ว
“เอ่อ นายท่านรองส่งคนมาบอกว่าคืนนี้นายท่านจะค้างกับ…”
“ข้าใช่หรือไม่!”
เพราะนางลงทุนทำอาหาร ตงเฟยเฟยจึงคิดว่าสามีต้องมาค้างกับตนแน่
ด้วยความที่ว่างานพิธีตรวจสอบพลังธาตุเป็นงานใหญ่ ท่านพี่ของนางที่เป็นรองเสนาบดีกรมพิธีการจึงยุ่งมาก และไม่ได้ค้างคืนกับฮูหยินคนใดมาเป็นเดือนแล้ว
งานพิธีผ่านพ้น นางเข้าครัวทำอาหารมัดใจสามีและคอยส่งสายตาให้ตอนทานอาหารตลอด
หากไม่ใช่กับข้าแล้วจะเป็นกับใคร
“เอ่อ…ฮูหยินรองเจ้าค่ะ”
ตงเฟยเฟยหน้าชา หากเปรียบใบหน้าเป็นชามกระเบื้อง ยามนี้คงร้าวและแตกดังเพล้งเป็นเศษ ๆ
“ไยจึงไม่ใช่ข้า!”
สาวใช้รีบก้มหน้าไม่กล้าสบตา
“บ่าวไม่ทราบเจ้าค่ะ”
“ข้าไม่ได้อยากได้คำตอบจากเจ้า…ไสหัวไป!”
สาวใช้กุลีกุจอออกจากเรือน แม้แต่ไช่ปิงฮวาก็ยังกลัวมารดาจนเสียงสะอื้นหาย สตรีออกเรือนแล้วน่ากลัวที่สุดก็เรื่องนี้…ทนไม่ได้เมื่อสามีไปอยู่กับสตรีอื่น!
บทที่ ๒๐ต้องทำถึงเพียงนี้เชียวหรือณ โรงเตี๊ยมซงชู่หนึ่งในสถานที่ยอดนิยมของเมืองหลวงแคว้นเหลียง“เจ้าว่าสองแสบจะทำสำเร็จหรือไม่”จื่อหลีเฮยที่ตอนนี้นั่งอยู่ชั้นบนสุดของโรงเตี๊ยมเอ่ยถามคนสนิท สายตาสอดส่องลงไปยังชั้นล่างสุดเพื่อมองหาคนที่ตนกำลังรออยู่“ไม่เกินความสามารถของคุณหนูกับท่านประมุขน้อยแน่นอนขอรับ”คนสนิทจื่อหลีเฮยตอบกลับด้วยความหวังที่คิดว่าต้องใช่ สืบเนื่องจากว่าก่อนหน้านี้มีคำสั่งจากท่านประมุขให้ออกตามหาคน เบาะแสมีอยู่แค่ว่าใช้พลังที่เกี่ยวกับบุปผาได้ เป็นเด็กสาวชุดขาว มีหมวกปิดบังใบหน้าไว้และอายุไม่เกิน 12 หนาวประทานโทษเถิด! เบาะแสเพียงเท่านี้ต่อให้พวกเขาจะมีความสามารถมากกว่านี้อีกกี่เท่า ก็ต้องขอกล่าวว่าแทบไม่มีทางเป็นไปได้เลยเพราะสิ่งเดียวที่ยังพอใช้การได้อย่างพลังบุปผา ซึ่งหากว่าเป็นพลังที่แปลกกว่าผู้อื่นจริง ๆ แล้วผู้ใดจะใช้ออกมาให้เห็นกันพร่ำเพรื่อดังนั้นแม้ก่อนหน้านี้เขาและท่านประมุขจะไม่เชื่อคำกล่าวที่ออกมาจากปากของคุณหนูตัวแสบนัก แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าพวกเขาก็ขอให้เป็นนางจริง ๆ ทางด้านเซียงฮวา…“โรงเตี๊ยมซงชู่มีทั้งหมดสี่ชั้น แอบกระซิบบอกเจ้าก็ได้ว่าที่นี่เป็นขอ
บทที่ ๑๙มันถ่ายทอดผ่านดีเอ็นเอได้ณ พรรคมารจื่อถาน“หนีผู้อารักขาไปเล่นซนที่ใดกันมาเจ้าตัวแสบ!”เสียงกัมปนาททำแฝดชายหญิงที่กำลังเดินย่องเข้าเขตรั้วพรรคมารจื่อถานชะงักกึก ประมุขพรรคยังไม่ได้ไต่สวน โจรย่องเบาทั้งสองก็รับสารภาพเสียแล้ว“เสี่ยวเฉิงสำนึกผิดแล้วขอรับท่านพ่อ/เสี่ยวเหมยสำนึกผิดแล้วเจ้าค่ะท่านพ่อ” จื่อเจี่ยนเฉิงและจื่อเหมยฮวาเป็นความผิดพลาดของจื่อหลีเฮยเมื่อสิบปีก่อนโดยความตั้งใจของจื่อหลีป๋าย มารดาของทั้งคู่ลาลับโลกนี้ไปแล้ว เด็กแฝดถูกเลี้ยงดูสั่งสอนโดยแม่นม จื่อหลีเฮยไม่มีเวลาดูแลทั้งสองมากนักจึงประเคนทุกสิ่งที่เด็กแฝดต้องการ หวังว่าการตามใจเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ จะเติมเต็มสิ่งที่เขาบกพร่องไป และเพราะการตามใจที่ไร้ขีดจำกัดนี้ ทั้งสองจึงมักก่อเรื่องเป็นประจำ อย่างเช่นเรื่องในวันนี้ในระหว่างที่เขาเพิ่งกลับมาจากการทำธุระก็ได้รับรายงานมาจากผู้อารักขาประจำตัวของเด็กแฝดว่าออกไปเล่นซุกซนกันที่อื่นแต่ไปเล่นที่ใดไม่เล่น กลับไปเล่นในพื้นที่ใกล้เขตของพรรคหยิ๋นมี่ จากบิดาที่ไม่ดุด่าว่าบุตร วันนี้กลับทำเสียงแข็งใส่ทั้งสองถึงขั้นเป็นตวาด“เข้าไปคุยกันในเรือน”“ขอรับ/เจ้าค่ะท่านพ่อ”ใน
บทที่ ๑๘เอามากำไว้ดั่งเป็นลูกไก่“I love the way you make me feel, I love it, l love it, I love the way you make me feel, I love it , l love it”เซียงฮวาร้องเพลงบนหลังม้า มือข้างซ้ายยกขึ้นทำมินิฮาร์ทตรงคำว่า ‘love’ ให้เฮยหลงแม้เฮยหลงจะไม่เข้าใจท่าทางนี้ แต่บรรยากาศรอบกายนางทำให้เขาหน้าเห่อร้อนขึ้นจนเผลอยกมือแตะใบหน้า ไม่ไหวจริง ๆ ก็เบือนหน้าไปทางอื่นเพราะไม่อยากให้นางเห็นว่าตนเสียอาการ‘เซียงฮวา…’เจ้าของนามหยุดร้องเพลงเมื่อได้ยินเสียงเฮยหลิง‘พบเป้าหมายอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ทางทิศตะวันตก’เซียงฮวาลอบถอนหายใจเบา ๆ ดีว่ากล่อมตัวเองเก่งถึงได้เข้าโหมดทำงานได้อย่างรวดเร็ว‘ทางทิศตะวันตกคือนอกเขตแดนของพรรคหยิ๋นมี่มิใช่หรือ’‘ใช่ เจ้ารีบไปช่วยเถิด!’‘แล้วเฮยหลงเล่า ข้าไม่มีทางทิ้งบุรุษของข้าให้ต้องอยู่คนเดียวเปล่าเปลี่ยวกายาแน่…เอาแบบนี้แล้วกัน!’“เฮยหลง ทางทิศตะวันตกคือจุดสิ้นสุดของเขตแดนใช่หรือไม่” เซียงฮวาแสร้งถามเหมือนไม่รู้“ใช่ เมื่อออกจากเขตแดนทางทิศตะวันตกแล้ว มีเส้นทางหนึ่งที่ผู้คนไม่ค่อยใช้กันนัก แต่สามารถเข้าตลาดได้”เซียงฮวาได้ยินเช่นนั้นก็ตาลุกวาว…เข้าทางแล้ว!“อยู่ ๆ ข้าก็อย
บทที่ ๑๗เอาไว้สร้างรังรักของเราพรรคหยิ๋นมี่ขึ้นชื่อเรื่องการฝึกหนัก สมาชิกส่วนมากเข้าพรรคตั้งแต่อายุยังน้อย อย่างเฮยหลงก็ฝากตัวเป็นศิษย์กับไช่เฟิงหยูตั้งแต่อายุ 4 หนาวการเป็นศิษย์ของผู้ที่มีพรสวรรค์อย่างไช่เฟิงหยูไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากจะต้องตั้งใจฝึกซ้อมเพื่อไม่ให้เสียหน้าอาจารย์แล้วยังต้องรักษาหน้าองค์ชายรองแคว้นฝู การฝึกของคนในพรรคที่ว่าหนักแล้ว ยังเทียบไม่ได้กับเขาตั้งแต่เช้ายันบ่าย เขาจะฝึกยุทธ์ร่วมกับสมาชิกพรรครุ่นเยาว์ทั้งหลาย หรือบางทีหากท่านอาจารย์อยากจะถ่ายทอดเคล็ดวิชาใหม่ ๆ ให้เขาก็ต้องแยกไปเรียนเดี่ยวตกดึกก็จะเรียนการใช้พลังธาตุกับท่านประมุขพรรค สลับกับเรียนคาถาลับของพรรคที่ท่านอาจารย์เป็นผู้ที่ถ่ายทอดให้โดยตรงพอจะเข้านอนแล้วก็ควรเป็นเวลาพักผ่อนร่างกาย แต่เขาก็ยังอ่านตำรา ฝึกคัดอักษร เวลานอนในแต่ละวันไม่ถึงสองชั่วยาม แต่เจ้าตัวก็คงคิดว่ายังยุ่งไม่พอ เพราะยังหาเวลาว่างเข้าครัวทำอาหารพิชิตใจสาวน้อยวัยเดียวกันพูดถึงเรื่องเข้าครัวก็ต้องพูดถึงอาหารมื้อเย็น เขาทำอาหารให้เซียงฮวาแล้วให้สาวใช้ในพรรคนำมาส่งให้ถึงเรือน แอบกังวลไม่น้อยว่าจะไม่ถูกปากนางตับ!ฝูเฮยหลงพับตำราเก็
บทที่ ๑๖อาอยากจะบอกว่า…หลังได้รับการช่วยเหลือจากเซียงฮวา เมื่อกลับถึงพรรค จื่อหลีเฮยก็สั่งลูกน้องให้ออกตามหาเด็กสาวชุดขาวอายุไม่เกินสิบสองหนาว ตามหาเอิกเกริกจนรู้ถึงหูไช่เฟิงหยูและพรรคข้างเคียงไช่เฟิงหยูเดินเข้ามาในห้องทำงานชิวเฉินยี่โดยไม่ต้องให้ใครรายงานก่อน ซึ่งเจ้าของห้องเองก็ชินแล้วเช่นกัน“เจ้าได้ยินข่าวที่หลีเฮยให้คนออกตามหาเด็กสาวคนหนึ่งแล้วหรือไม่ ตามหาคนก็ยากอยู่แล้ว ข้อมูลที่ให้มายังมีเพียงสองข้อ ชุดขาวกับอายุ ต่อให้เป็นข้าก็หาไม่เจอ”ไช่เฟิงหยูขบขัน ชิวเฉินยี่เองก็ไม่แพ้กัน แต่เขาเพียงเหยียดยิ้มเท่านั้นไม่ได้กล่าวเสียดสีเช่นทุกที“รายงานผลรายได้จากหอขายข่าว หอสุราและร้านค้าปลีกย่อยในเดือนนี้”ชิวเฉินยี่ยื่นมือมารับสมุดแต่ไม่ได้เปิดอ่านในตอนนั้น ไช่เฟิงหยูจึงกล่าวถามสิ่งที่สงสัย“ว่าแต่เจ้ายังให้คนออกตามหาผู้มีปานดอกไม้อยู่ที่ข้อมืออยู่อีกไม่”ชิวเฉินยี่พยักหน้ารับ ไม่ได้เก็บงำเป็นความลับ แต่ก็ไม่ได้เปิดเผยเบื้องลึกให้ใครทราบเช่นกัน “เจ้าตามหาทำไม บอกจุดประสงค์ได้หรือไม่”ชิวเฉินยี่ยังคงเงียบ ในหัวเริ่มคิดถึงภาพความจำอันเลือนรางในหลาย ๆ สถานที่หลาย ๆ อิริยาบถระหว่างเขาก
บทที่ ๑๕เขาบอกข้าว่าควรกลับบ้านไปนอนกอดแม่เช้าวันต่อมา…“ขอบตาดำเชียว ตื่นเต้นที่จะได้ออกเดินทางจนนอนไม่หลับเลยหรือ!”จางซิ่วลี่เอ่ยกับบุตรสาวด้วยน้ำเสียงเข้มงวด ทว่าไม่อาจปิดความห่วงใยในแววตาได้“ไม่ดึกมากเจ้าค่ะท่านแม่ แต่ร่างกายของคนเราตื่นรู้นัก เมื่อจะเจอเรื่องที่ต่างจากทุกวันจะหลั่งสารอะดรีนาลีนจนตื่นตัว อยากนอนเร็วเหมือนกันเจ้าค่ะ แต่จนใจที่ทำเช่นนั้นมิได้”เซียงฮวาโกหกคำโต ทั้งยังเอาชื่อสารที่หลั่งมาจากต่อมหมวกไตเบี่ยงเบนความสนใจของมารดา “มีสารที่ชื่อนี้ด้วยหรือ ไยฟังดูไม่ใช่ภาษาบ้านเรา” แล้วก็ได้ผล! จางซิ่วลี่ไม่รู้ตัวเลยว่าถูกบุตรสาวเบี่ยงเบนความสนใจ อาจารย์หวางที่จะเดินทางกลับพร้อมกันก็มีความสงสัยเช่นกัน แต่ไม่แสดงออกมากนัก “ได้เวลาต้องออกเดินทางแล้ว”อาจารย์หวางให้โอกาสแม่ลูกได้ร่ำลากันครู่หนึ่ง เมื่อสมควรแก่เวลาแล้วก็เอ่ยชวนเซียงฮวาออกเดินทางไปพรรคหยิ๋นมี่ ทุกสามเดือนไช่เฟิงหยูจะมารับนางไปเที่ยวเล่น แต่หากครั้งใดไม่ได้มารับด้วยตนเองจะส่งองครักษ์ชุดใหญ่ทั้งที่ลับและที่แจ้งมาคุ้มครองระหว่างการเดินทาง ครั้งนี้อาจารย์หวางเดินทางมาด้วย มียอดฝีมืออยู่ในขบวนเช่นนี้ไช่เฟิ