บทที่ ๔
เข้าใจวิถีก็ดีกว่าอยู่แบบกลวง ๆ
ณ ตำหนักเฉียงหลง
“เป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ มีผู้ใดในพระทัยบ้างหรือไม่”
ไท่จื่อฝูจินหลงตรัสถามเสด็จพ่อถึงพิธีการตรวจสอบพลังธาตุของเมื่อวานขณะที่เข้าเฝ้าอย่างเป็นปกติของทุกวัน
ฝูหวงตี้เงยหน้าขึ้นจากฎีกา ถามพระโอรสด้วยคำถาม คำพูดเป็นกันเองบ่งบอกระดับความสนิมสนมของทั้งสองคน
“เจ้าเห็นว่าอย่างไร”
“มีเข้าตาอยู่หลายคนพ่ะย่ะค่ะ ขันทีที่ทำหน้าที่จดรายชื่อผู้มีแววว่าจะสามารถฝึกเข้ากองทัพส่วนพระองค์ได้ เพิ่งส่งมาให้ลูก” ว่าแล้วก็ยื่นรายชื่อถวายเสด็จพ่อ
ฝูหวงตี้รับมาเปิดผ่าน ๆ แล้วยื่นกลับมาให้
“พ่อไว้ใจเจ้า จัดการตามที่เห็นสมควรเถิด”
“ขอบพระทัยเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ”
ไท่จื่อคุกเข่าขอบพระทัยด้วยความนอบน้อมแล้ว กลับมานั่งที่เดิมเมื่อเสด็จพ่อโบกมือเบา ๆ
ในตอนนั้นเองที่ขันทีขานการมาของผู้เข้าเฝ้า
“ฝ่าบาท องค์ชายรองขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
“เชิญ”
สุรเสียงทรงอำนาจกล่าวอนุญาตการเข้าเฝ้าของพระโอรสคนรอง
“ถวายพระพรเสด็จพ่อ ขอทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี”
“มากพิธีไปไยเจ้ารอง ลุกขึ้นมานั่งข้างพี่ชายเจ้า”
ฝูหวงตี้อารมณ์ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อพระโอรสมาเข้าเฝ้าตนโดยพร้อมหน้า
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” สิ้นคำก็ลุกขึ้นถวายพระพรเสด็จพี่ของตนต่อ “เสด็จพี่”
“เมื่อวานเจ้ากล่าวว่าจะกลับพรรคหยิ๋นมี่”
อิริยาบทของฝูหวงตี้ทำให้บรรยากาศภายในตำหนักที่ดูสูงค่านี้ดูผ่อนคลายและอบอุ่นขึ้น
“ขอประทานอภัยที่เปลี่ยนแผนแล้วไม่ได้กราบทูลเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ ท่านอาจารย์เพิ่งส่งจดหมายมาบอกว่าจะกลับมาเยี่ยมจวนสักสองอาทิตย์ ให้ลูกรั้งรออยู่ที่นี่ อย่าเพิ่งกลับพรรคพ่ะย่ะค่ะ”
ฝูหวงตี้มองพระโอรสที่อยู่ในวัย 8 ชันษาแต่กิริยาท่าทางมิได้ต่างจากผู้ใหญ่ ในฐานะฮ่องเต้ย่อมยินดีแต่ในฐานะบิดากลับรู้สึกว่าราชวงศ์บังคับให้เขาต้องโตเกินไป
“ดียิ่ง กุ้ยเฟยทรงบ่นคิดถึงเจ้าอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ถือโอกาสอยู่กับนางให้คลายความคิดถึงบ้างก็ดี”
“พ่ะย่ะค่ะเสด็จพี่”
ฝูเฮยหลงตอบรับด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทำเอาไท่จื่อที่ไม่ได้หน้านิ่งเหมือนน้องชายถอนหายใจแผ่วเบา
ตั้งแต่ฝากตัวเป็นศิษย์กับรองประมุขพรรคหยิ๋นมี่ตอน 5 ชันษา ฝูเฮยหลงก็กลายเป็นคนไม่ยิ้ม ไม่ร่าเริง ผลจากการโดนท่านอาจารย์ขัดเกลาทั้งด้านวรยุทธ์และจิตใจ
“เจ้ารอง ท่านอาจารย์มีความเห็นอย่างไรกับพลังธาตุของเจ้า”
“ธาตุดินไม่มีปัญหาพ่ะย่ะค่ะ ส่วนธาตุมืดท่านอาจารย์กล่าวว่าจะจัดการให้”
“การข่าวของท่านอาจารย์เจ้าช่างรวดเร็ว”
“ไม่เพียงการข่าวของท่านอาจารย์เท่านั้น ยามนี้เรื่องที่น้องรองมีพลังธาตุมืดคงปากต่อปากจนเผยแพร่ไปทั้งแคว้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ไท่จื่อพูดด้วยสีหน้าท่าทางยินดีเป็นอย่างยิ่ง ตัวเขามีพลังธาตุมิติหายาก น้องชายยังมีพลังธาตุมืดที่น่ายำเกรงอีก
“ว่าที่ฮ่องเต้มีพลังธาตุมิติ ว่าที่แม่ทัพใหญ่มีพลังธาตุมืด อนาคตของแคว้นฝู พ่อต้องฝากไว้ที่เจ้าสองคนแล้ว”
“พ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ”
ฝูจินหลงและฝูเฮยหลงตอบรับพร้อมกัน บ่าน้อย ๆ ที่ต้องแบกรับความเป็นราชวงศ์ มีหน้าที่อันยิ่งใหญ่หนักอึ้งสร้างความกดดันให้ทั้งสองจนบรรยากาศรอบกายเปลี่ยนไป
ผู้เป็นเสด็จพ่อย่อมเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงนี้ แต่โอรสของกษัตริย์ย่อมเป็นเช่นนี้…
จะเลี้ยงแบบตามใจหาได้ไม่!
ณ จวนเสนาบดีกรมพิธีการ
“เจ็บนิ้วไปหมดเลยอาเมี่ยว เตรียมยามาประคบให้ข้าด้วยนะ”
ไช่เซียงฮวาสั่งสาวใช้คนสนิทด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า ขณะที่กำลังเดินกลับเรือนหลังจากเรียนพิณร่วมกับพี่สาวน้องสาว
“ทำไมสตรียุคนี้ไม่นิยมเป่าขลุ่ยกันนะ”
เดินไปบ่นไปเสียงเบา แต่ท่วงท่ายังคงความเรียบร้อยตามแบบฉบับคุณหนูทองพันชั่ง
“ตอนไฮสกูลอุตส่าห์พ้นจากคลาสเรียนกีตาร์ได้แล้วแท้ ๆ มานี่ยังหนีไม่พ้นพวกสาย ๆ เป็นเส้น ๆ”
เมื่อเดินมาถึงเรือนส่วนตัว ซูเมี่ยวก็ประคบมือให้คุณหนู ยามเห็นนิ้วมือเล็กแดงก่ำก็รู้สึกปวดใจไม่น้อย
“แดงหมดเลยเจ้าค่ะคุณหนู อดทนอีกนิดนะเจ้าคะ บ่าวได้ยินมาว่าธาตุดินขึ้นชื่อในเรื่องความแข็งแกร่ง หากคุณหนูโคจรพลังธาตุได้แล้วจะช่วยได้มากเจ้าค่ะ”
“ขอบคุณสำหรับกำลังใจและคำแนะนำนะอาเมี่ยว เดี๋ยวพรุ่งนี้ท่านอาจารย์ก็คงเดินทางมาถึง เจ้าไปเตรียมขนมกับน้ำชาให้ข้าที เสร็จแล้วเจ้าก็ไปพักได้เลย ข้าจะอ่านตำราพลังธาตุดินเสียหน่อย”
“เจ้าค่ะคุณหนู”
เมื่อสาวใช้เดินออกไปแล้ว ไช่เซียงฮวาก็เดินไปหยิบตำราพลังธาตุดินทั้งกองที่ได้มาเมื่อวานนี้ มาไว้ที่โต๊ะหนังสือข้างริมหน้าต่าง
เรือนของนางติดกับสวนดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุดในจวน
ฮูหยินใหญ่และคุณหนูใหญ่แพ้เกสรดอกไม้ คนที่ไม่แพ้อะไรเลยอย่างเซียงฮวาจึงได้เรือนนี้มาครอบครอง
ตำราธาตุดินกองหนาไม่ได้ดึงดูดความสนใจของเซียงฮวาเท่าตำราสวรรค์หมื่นบุปผาเล่มบาง
วันแรกที่ได้รับตำรามายังไม่รู้วิธีใช้ ไม่มีเนื้อหาในตำราสักตัวจนนางต้องทดลองหลายวิธี
วิธีแรกนางลองใช้พู่กันแต้มกับมะนาวแล้วอังไฟเผื่อจะปรากฏตัวอักษร ผลคือไม่มีสิ่งใดปรากฏขึ้น
พอลองใช้พู่กันจุ่มหมึกเขียนดู เผื่อหนังสือจะโต้ตอบกลับมาอย่างในแฮร์รี่พอร์ตเตอร์บ้าง ก็กลายเป็นว่าเขียนไม่ติด ตอนนั้นนางคิดอย่างขำ ๆ ว่าต้องใช้ปากกาขนนกหรือไม่ถึงจะได้ผล
ลองมาหลายวิธีแล้วก็ยังไม่ได้ผล จนนางเผลอคิดนอกเรื่อง อยากทราบว่าดอกไม้ชนิดใดที่สามารถนำมาคลุกกับแป้งแล้วทอดได้บ้าง
ปรากฏว่า…
ตำราที่นางเปิดค้างไว้จากที่ไม่มีอักษรเลยสักตัวกลับค่อย ๆ ปรากฏตัวอักษรเรียงร้อยเป็นข้อความ
จากตำราที่บางมากกลายเป็นหนาเตอะ หน้าใดอ่านผ่านตาแล้วจำได้ขึ้นใจจะหายไปทันที
นางได้ลองตั้งคำถามเพื่อให้ตำราเป็นผู้ตอบ ทำให้นางได้รู้จักดอกไม้พร้อมทั้งสรรพคุณทางยามากมาย
ที่นางสงสัยคือ ความรู้เหล่านี้จะเอื้อประโยชน์ด้านการใช้พลังบุปผาของนางอย่างไร
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจ ประจวบกับเป็นจังหวะเดียวกับที่ซูเมี่ยวยกขนมและน้ำชามาให้พอดี
“หนักอกหนักใจอันใดหรือเจ้าคะคุณหนู”
ซูเมี่ยวถามคุณหนูด้วยความเป็นห่วง ไช่เซียงฮวา มองหน้าคนถามก่อนจะส่ายหน้าเบา ๆ แล้วบอกให้สาวใช้ออกไปพัก
หลังจากทานขนมเพิ่มระดับน้ำตาลให้ร่างกายแล้ว เซียงฮวาก็ค่อยมีอารมณ์หยิบตำราธาตุดินขึ้นมาอ่าน
“ธาตุดินเพื่อการดำรงชีวิตเช่นนั้นหรือ เช่นว่าปลูกผัก บำรุงหน้าดินแบบนี้หรือไม่”
มือเล็กหยิบขนมทานไปด้วยพร้อมกับไล่อ่านหน้าปกของตำราที่ตนควรจะเรียนเป็นเล่มแรก
“เล่มนี้วิถีแห่งพลังดิน เหตุใดจึงฟังดูกำลังเข้าลัทธิอันใดสักอย่าง”
เมื่อไล่ดูทีละเล่มก็เจอแต่ตำราที่เขียนไว้เพื่อให้เข้าใจถึงพลังธาตุนี้ แต่ยังไม่เจอเล่มใดที่เป็นการฝึกเพื่อเอาพลังออกมาจากร่างกายได้เลย
“ถึงว่า ทำไมต้องมีอาจารย์มาสอน แต่ก็เอาเถอะ เข้าใจวิถีก็ดีกว่าอยู่แบบสมองกลวง ๆ”
แล้ววันนั้นตั้งแต่ยามอู่ถึงยามไฮ่ เซียงฮวาก็จมอยู่กับการอ่านตำราธาตุดินทั้งวัน
บทที่ ๒๐ต้องทำถึงเพียงนี้เชียวหรือณ โรงเตี๊ยมซงชู่หนึ่งในสถานที่ยอดนิยมของเมืองหลวงแคว้นเหลียง“เจ้าว่าสองแสบจะทำสำเร็จหรือไม่”จื่อหลีเฮยที่ตอนนี้นั่งอยู่ชั้นบนสุดของโรงเตี๊ยมเอ่ยถามคนสนิท สายตาสอดส่องลงไปยังชั้นล่างสุดเพื่อมองหาคนที่ตนกำลังรออยู่“ไม่เกินความสามารถของคุณหนูกับท่านประมุขน้อยแน่นอนขอรับ”คนสนิทจื่อหลีเฮยตอบกลับด้วยความหวังที่คิดว่าต้องใช่ สืบเนื่องจากว่าก่อนหน้านี้มีคำสั่งจากท่านประมุขให้ออกตามหาคน เบาะแสมีอยู่แค่ว่าใช้พลังที่เกี่ยวกับบุปผาได้ เป็นเด็กสาวชุดขาว มีหมวกปิดบังใบหน้าไว้และอายุไม่เกิน 12 หนาวประทานโทษเถิด! เบาะแสเพียงเท่านี้ต่อให้พวกเขาจะมีความสามารถมากกว่านี้อีกกี่เท่า ก็ต้องขอกล่าวว่าแทบไม่มีทางเป็นไปได้เลยเพราะสิ่งเดียวที่ยังพอใช้การได้อย่างพลังบุปผา ซึ่งหากว่าเป็นพลังที่แปลกกว่าผู้อื่นจริง ๆ แล้วผู้ใดจะใช้ออกมาให้เห็นกันพร่ำเพรื่อดังนั้นแม้ก่อนหน้านี้เขาและท่านประมุขจะไม่เชื่อคำกล่าวที่ออกมาจากปากของคุณหนูตัวแสบนัก แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าพวกเขาก็ขอให้เป็นนางจริง ๆ ทางด้านเซียงฮวา…“โรงเตี๊ยมซงชู่มีทั้งหมดสี่ชั้น แอบกระซิบบอกเจ้าก็ได้ว่าที่นี่เป็นขอ
บทที่ ๑๙มันถ่ายทอดผ่านดีเอ็นเอได้ณ พรรคมารจื่อถาน“หนีผู้อารักขาไปเล่นซนที่ใดกันมาเจ้าตัวแสบ!”เสียงกัมปนาททำแฝดชายหญิงที่กำลังเดินย่องเข้าเขตรั้วพรรคมารจื่อถานชะงักกึก ประมุขพรรคยังไม่ได้ไต่สวน โจรย่องเบาทั้งสองก็รับสารภาพเสียแล้ว“เสี่ยวเฉิงสำนึกผิดแล้วขอรับท่านพ่อ/เสี่ยวเหมยสำนึกผิดแล้วเจ้าค่ะท่านพ่อ” จื่อเจี่ยนเฉิงและจื่อเหมยฮวาเป็นความผิดพลาดของจื่อหลีเฮยเมื่อสิบปีก่อนโดยความตั้งใจของจื่อหลีป๋าย มารดาของทั้งคู่ลาลับโลกนี้ไปแล้ว เด็กแฝดถูกเลี้ยงดูสั่งสอนโดยแม่นม จื่อหลีเฮยไม่มีเวลาดูแลทั้งสองมากนักจึงประเคนทุกสิ่งที่เด็กแฝดต้องการ หวังว่าการตามใจเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ จะเติมเต็มสิ่งที่เขาบกพร่องไป และเพราะการตามใจที่ไร้ขีดจำกัดนี้ ทั้งสองจึงมักก่อเรื่องเป็นประจำ อย่างเช่นเรื่องในวันนี้ในระหว่างที่เขาเพิ่งกลับมาจากการทำธุระก็ได้รับรายงานมาจากผู้อารักขาประจำตัวของเด็กแฝดว่าออกไปเล่นซุกซนกันที่อื่นแต่ไปเล่นที่ใดไม่เล่น กลับไปเล่นในพื้นที่ใกล้เขตของพรรคหยิ๋นมี่ จากบิดาที่ไม่ดุด่าว่าบุตร วันนี้กลับทำเสียงแข็งใส่ทั้งสองถึงขั้นเป็นตวาด“เข้าไปคุยกันในเรือน”“ขอรับ/เจ้าค่ะท่านพ่อ”ใน
บทที่ ๑๘เอามากำไว้ดั่งเป็นลูกไก่“I love the way you make me feel, I love it, l love it, I love the way you make me feel, I love it , l love it”เซียงฮวาร้องเพลงบนหลังม้า มือข้างซ้ายยกขึ้นทำมินิฮาร์ทตรงคำว่า ‘love’ ให้เฮยหลงแม้เฮยหลงจะไม่เข้าใจท่าทางนี้ แต่บรรยากาศรอบกายนางทำให้เขาหน้าเห่อร้อนขึ้นจนเผลอยกมือแตะใบหน้า ไม่ไหวจริง ๆ ก็เบือนหน้าไปทางอื่นเพราะไม่อยากให้นางเห็นว่าตนเสียอาการ‘เซียงฮวา…’เจ้าของนามหยุดร้องเพลงเมื่อได้ยินเสียงเฮยหลิง‘พบเป้าหมายอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ทางทิศตะวันตก’เซียงฮวาลอบถอนหายใจเบา ๆ ดีว่ากล่อมตัวเองเก่งถึงได้เข้าโหมดทำงานได้อย่างรวดเร็ว‘ทางทิศตะวันตกคือนอกเขตแดนของพรรคหยิ๋นมี่มิใช่หรือ’‘ใช่ เจ้ารีบไปช่วยเถิด!’‘แล้วเฮยหลงเล่า ข้าไม่มีทางทิ้งบุรุษของข้าให้ต้องอยู่คนเดียวเปล่าเปลี่ยวกายาแน่…เอาแบบนี้แล้วกัน!’“เฮยหลง ทางทิศตะวันตกคือจุดสิ้นสุดของเขตแดนใช่หรือไม่” เซียงฮวาแสร้งถามเหมือนไม่รู้“ใช่ เมื่อออกจากเขตแดนทางทิศตะวันตกแล้ว มีเส้นทางหนึ่งที่ผู้คนไม่ค่อยใช้กันนัก แต่สามารถเข้าตลาดได้”เซียงฮวาได้ยินเช่นนั้นก็ตาลุกวาว…เข้าทางแล้ว!“อยู่ ๆ ข้าก็อย
บทที่ ๑๗เอาไว้สร้างรังรักของเราพรรคหยิ๋นมี่ขึ้นชื่อเรื่องการฝึกหนัก สมาชิกส่วนมากเข้าพรรคตั้งแต่อายุยังน้อย อย่างเฮยหลงก็ฝากตัวเป็นศิษย์กับไช่เฟิงหยูตั้งแต่อายุ 4 หนาวการเป็นศิษย์ของผู้ที่มีพรสวรรค์อย่างไช่เฟิงหยูไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากจะต้องตั้งใจฝึกซ้อมเพื่อไม่ให้เสียหน้าอาจารย์แล้วยังต้องรักษาหน้าองค์ชายรองแคว้นฝู การฝึกของคนในพรรคที่ว่าหนักแล้ว ยังเทียบไม่ได้กับเขาตั้งแต่เช้ายันบ่าย เขาจะฝึกยุทธ์ร่วมกับสมาชิกพรรครุ่นเยาว์ทั้งหลาย หรือบางทีหากท่านอาจารย์อยากจะถ่ายทอดเคล็ดวิชาใหม่ ๆ ให้เขาก็ต้องแยกไปเรียนเดี่ยวตกดึกก็จะเรียนการใช้พลังธาตุกับท่านประมุขพรรค สลับกับเรียนคาถาลับของพรรคที่ท่านอาจารย์เป็นผู้ที่ถ่ายทอดให้โดยตรงพอจะเข้านอนแล้วก็ควรเป็นเวลาพักผ่อนร่างกาย แต่เขาก็ยังอ่านตำรา ฝึกคัดอักษร เวลานอนในแต่ละวันไม่ถึงสองชั่วยาม แต่เจ้าตัวก็คงคิดว่ายังยุ่งไม่พอ เพราะยังหาเวลาว่างเข้าครัวทำอาหารพิชิตใจสาวน้อยวัยเดียวกันพูดถึงเรื่องเข้าครัวก็ต้องพูดถึงอาหารมื้อเย็น เขาทำอาหารให้เซียงฮวาแล้วให้สาวใช้ในพรรคนำมาส่งให้ถึงเรือน แอบกังวลไม่น้อยว่าจะไม่ถูกปากนางตับ!ฝูเฮยหลงพับตำราเก็
บทที่ ๑๖อาอยากจะบอกว่า…หลังได้รับการช่วยเหลือจากเซียงฮวา เมื่อกลับถึงพรรค จื่อหลีเฮยก็สั่งลูกน้องให้ออกตามหาเด็กสาวชุดขาวอายุไม่เกินสิบสองหนาว ตามหาเอิกเกริกจนรู้ถึงหูไช่เฟิงหยูและพรรคข้างเคียงไช่เฟิงหยูเดินเข้ามาในห้องทำงานชิวเฉินยี่โดยไม่ต้องให้ใครรายงานก่อน ซึ่งเจ้าของห้องเองก็ชินแล้วเช่นกัน“เจ้าได้ยินข่าวที่หลีเฮยให้คนออกตามหาเด็กสาวคนหนึ่งแล้วหรือไม่ ตามหาคนก็ยากอยู่แล้ว ข้อมูลที่ให้มายังมีเพียงสองข้อ ชุดขาวกับอายุ ต่อให้เป็นข้าก็หาไม่เจอ”ไช่เฟิงหยูขบขัน ชิวเฉินยี่เองก็ไม่แพ้กัน แต่เขาเพียงเหยียดยิ้มเท่านั้นไม่ได้กล่าวเสียดสีเช่นทุกที“รายงานผลรายได้จากหอขายข่าว หอสุราและร้านค้าปลีกย่อยในเดือนนี้”ชิวเฉินยี่ยื่นมือมารับสมุดแต่ไม่ได้เปิดอ่านในตอนนั้น ไช่เฟิงหยูจึงกล่าวถามสิ่งที่สงสัย“ว่าแต่เจ้ายังให้คนออกตามหาผู้มีปานดอกไม้อยู่ที่ข้อมืออยู่อีกไม่”ชิวเฉินยี่พยักหน้ารับ ไม่ได้เก็บงำเป็นความลับ แต่ก็ไม่ได้เปิดเผยเบื้องลึกให้ใครทราบเช่นกัน “เจ้าตามหาทำไม บอกจุดประสงค์ได้หรือไม่”ชิวเฉินยี่ยังคงเงียบ ในหัวเริ่มคิดถึงภาพความจำอันเลือนรางในหลาย ๆ สถานที่หลาย ๆ อิริยาบถระหว่างเขาก
บทที่ ๑๕เขาบอกข้าว่าควรกลับบ้านไปนอนกอดแม่เช้าวันต่อมา…“ขอบตาดำเชียว ตื่นเต้นที่จะได้ออกเดินทางจนนอนไม่หลับเลยหรือ!”จางซิ่วลี่เอ่ยกับบุตรสาวด้วยน้ำเสียงเข้มงวด ทว่าไม่อาจปิดความห่วงใยในแววตาได้“ไม่ดึกมากเจ้าค่ะท่านแม่ แต่ร่างกายของคนเราตื่นรู้นัก เมื่อจะเจอเรื่องที่ต่างจากทุกวันจะหลั่งสารอะดรีนาลีนจนตื่นตัว อยากนอนเร็วเหมือนกันเจ้าค่ะ แต่จนใจที่ทำเช่นนั้นมิได้”เซียงฮวาโกหกคำโต ทั้งยังเอาชื่อสารที่หลั่งมาจากต่อมหมวกไตเบี่ยงเบนความสนใจของมารดา “มีสารที่ชื่อนี้ด้วยหรือ ไยฟังดูไม่ใช่ภาษาบ้านเรา” แล้วก็ได้ผล! จางซิ่วลี่ไม่รู้ตัวเลยว่าถูกบุตรสาวเบี่ยงเบนความสนใจ อาจารย์หวางที่จะเดินทางกลับพร้อมกันก็มีความสงสัยเช่นกัน แต่ไม่แสดงออกมากนัก “ได้เวลาต้องออกเดินทางแล้ว”อาจารย์หวางให้โอกาสแม่ลูกได้ร่ำลากันครู่หนึ่ง เมื่อสมควรแก่เวลาแล้วก็เอ่ยชวนเซียงฮวาออกเดินทางไปพรรคหยิ๋นมี่ ทุกสามเดือนไช่เฟิงหยูจะมารับนางไปเที่ยวเล่น แต่หากครั้งใดไม่ได้มารับด้วยตนเองจะส่งองครักษ์ชุดใหญ่ทั้งที่ลับและที่แจ้งมาคุ้มครองระหว่างการเดินทาง ครั้งนี้อาจารย์หวางเดินทางมาด้วย มียอดฝีมืออยู่ในขบวนเช่นนี้ไช่เฟิ