บทที่ ๙
เปิดไหมถามใจดู
ร่างกายที่ไม่แข็งแรงของไช่เซียงฮวาสลบไปทันทีหลังจากที่ดูดซับพลังธาตุได้ครั้งแรก ตื่นมาอีกครั้งนางก็เห็นว่าตนนอนอยู่บนเตียงในห้องนอนแล้ว
ปลุกพลังธาตุได้ครั้งแรกว่าน่าดีใจแล้ว แต่ไม่เท่ากับเมื่อคืนที่นางได้เรียนรู้เกี่ยวกับตำราสวรรค์หมื่นบุปผาเพิ่ม
ความใฝ่รู้ทำให้นางไม่สนใจความเหนื่อยล้าของร่างกาย ฝืนตัวเองหยิบตำราสวรรค์หมื่นบุปผามาจากช่องลับของเตียง
ตอนนั้นนางเผลอคิดว่าหากไม่ต้องซ่อนตำราไว้ในช่องลับก็คงดี ไม่คิดว่าจะเกิดแสงสว่างวาบขึ้นท่ามกลางความมืด ตำราที่อยู่บนตักหายวับไปทันที
นางลองเก็บสิ่งของอื่น ๆ ดูแต่ก็ไร้ผล สิ่งที่นางสามารถเก็บได้มีเพียงตำราสวรรค์หมื่นบุปผาเท่านั้น
แน่นอนว่าสามารถเรียกออกมาใช้ได้เช่นกัน
“ไก่ของพี่หญิงใหญ่น่ารักดีนะเจ้าคะ”
เสียงของไช่ปิงฮวาดึงความสนใจของไช่เซียงฮวาจากความสำเร็จเล็ก ๆ เมื่อคืน
ไช่ฮั่วฮวาหน้าตึงเมื่อโดนดูถูก แต่เมื่อเห็นถุงหอมที่อีกฝ่ายกำลังปักอยู่ก็เหยียดยิ้ม หาคำโต้ตอบกลับไปได้
“ดอกหญ้าที่น้องสามกำลังปักอยู่ ก็เหมาะกับน้องสามเช่นกัน”
“พี่หญิงใหญ่!”
ไช่ปิงฮวากดเสียงต่ำเรียกพี่สาวคนโตเสียงเขียว เนื่องจากว่าอาจารย์นั่งอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้มากนัก
ไช่เซียงฮวาไม่อยากขายหน้าต่อหน้าอาจารย์เย็บปักชื่อดังของเมืองหลวงจึงรีบเข้าแก้สถานการณ์
“พี่หญิงใหญ่! น้องสาม!! นี่มันหงส์ที่กำลังสยายปีกสู่ท้องนภากับผกาที่เป็นหนึ่งอย่างมู่ตานมิใช่หรือ ไก่อันใด ดอกหญ้าอันใด”
ไช่ฮั่วฮวาเหลือบมองอาจารย์แล้วกล่าวเสียงเบา
“หึ! ยังดีที่เจ้ามีตาแต่ไม่ไร้แวว”
“มีแววหรือไม่ย่อมดูออก แต่ออกจะไม่มีแววดูท่าจะมีมากกว่า จริงหรือไม่เจ้าคะพี่รอง”
ไช่ปิงฮวาถามความเห็นจากไช่เซียงฮวา แต่สีหน้าที่มั่นใจราวกับว่าตนชนะไปแล้วกลับหันไปทางไช่ฮั่วฮวา
“หงส์ก็ดี มู่ตานก็ดี”...ดีกับผีนะสิ
แต่พวกนางสามคนนี้แหละไม่ใช่คนดี!
ยามอู่ถึงเวลาที่ไช่เซียงฮวาต้องไปเรียนแล้ว ซูเมี่ยวมาส่งคุณหนูที่หน้าจวนก็ได้รับการสำทับจากนางอีกครั้ง
“อาเมี่ยว อย่าลืมเก็บดอกไม้ที่สวนมาให้ข้านะ”
“เจ้าค่ะคุณหนู”
เมื่อซูเมี่ยวที่ไม่ได้เดินทางไปเรียนด้วยรับคำ ไช่เซียงฮวาก็ผละมือจากม่านหน้าต่างทางซ้าย ยื่นหน้าไปทางหน้าต่างด้านขวา ส่งสัญญาณให้คนที่ควบม้าอยู่หน้ารถม้าออกเดินทางได้
ชั่วโมงปักเย็บเป็นไปอย่างที่เซียงฮวาคาด ไช่ปิงฮวาที่ปักมู่ตานไม่คล้ายมู่ตานนัก แต่ก็ยังดีกว่าหงส์ของไช่ฮั่วฮวาที่บิด ๆ เบี้ยว ๆ
ท่านอาจารย์ชมตามผลงาน ออกปากชมไช่ปิงฮวาว่ามีพัฒนาการแต่ไม่ชมไช่ฮั่วฮวา ใครแพ้หรือชนะ…
ผลอยู่ที่การชมของอาจารย์แล้ว!
วันนี้ไช่เฟิงหยูไม่ได้เดินทางไปฐานลับด้วยเพราะมีธุระที่ต้องไปทำกับประมุขพรรคหยิ๋นมี่
แต่ฝูเฮยหลงนั้นยังมารับนางไปเรียนด้วยกันเหมือนเมื่อวาน ยามนี้กำลังควบม้าอยู่ข้าง ๆ อาจารย์หวาง มีองครักษ์ของวังหลวงติดตามมาด้วยสองสามคน
กล่าวถึงอาจารย์ของไช่ฮั่วฮวาที่ไช่เฟิงหยูเชิญมาสอนพลังธาตุสายฟ้า เซียงฮวาจำได้ว่าเขาคือคนสนิทของประมุขพรรคหยิ๋นมี่
ท่านประมุขคนนี้นางได้มีโอกาสพบปะอยู่บ่อยครั้ง ยามไปเที่ยวเล่นที่พรรค เขาค่อนข้างเอ็นดูนางมากทีเดียว
เมื่อนั่งรถม้ามาถึงที่หมายแล้ว คนที่ทำหน้าที่อุ้มนางลงจากรถม้าก็คืออาจารย์หวาง แต่อาจารย์หวางไม่ได้อุ้มนางเดินเข้าป่าเหมือนที่ท่านอาอุ้มเมื่อวาน
พอมาวันนี้ต้องเดินด้วยลำแข้งตัวเองแล้ว สัมผัสได้ถึงความเหนื่อยจนต้องยื่นมือไปจับข้อมือฝูเฮยหลงที่เดินอย่างช้า ๆ เพราะกลัวนางเดินตามไม่ทัน
“พอไม่ได้เดินเองแล้วไกลมาก”
สาวน้อยในดวงใจมอบโอกาสให้แล้ว หากไม่คว้าโอกาสนี้ไว้ สถานการณ์อื่นก็ไม่เหมาะแล้ว ฝูเฮยหลงถือโอกาสจูงมือนาง เสนอตัวราวกับว่าตนตัวใหญ่กว่าเซียงฮวามากนัก
“แม้รูปร่างข้าจะยังเติบโตไม่เต็มที่ แต่ข้าสามารถอุ้มเจ้าพาดบ่าได้…โอ๊ย~”
โดนฝ่ามือเซียงฮวาเข้าแล้ว!
“บ้า พูดเอาซะข้าคิดว่าตัวเองเป็นกระสอบ”
“คิดมากไปแล้ว ตัวก็เท่านี้”
ไช่เซียงฮวาไม่ได้โต้ตอบกลับไปเพราะเดินมาถึงจุดที่ชาวบ้านเดินผ่านไปเมื่อวานพอดี จุดนี้เองที่เป็นทางผ่านเข้าฐานทัพลับ
อาจารย์หวางหยุดเดินแล้วหันมาหาศิษย์ทั้งสอง
“วันนี้อาจารย์จะสอนพวกเจ้าเรื่องวิธีเปิดม่านและเปิดห้องในภูเขา”
สิ้นคำอาจารย์หวางก็ส่งพลังธาตุไปที่หน้าผาข้างหน้า ทันใดนั้นม่านพลังก็ค่อย ๆ แยกออกจนกว้างพอให้ทั้งสามเดินเข้าไป ส่วนองครักษ์ของเฮยหลงนั้นได้รับคำสั่งให้เฝ้ารถม้า ไม่ได้รับอนุญาตให้ตามมาด้วย
เมื่อเซียงฮวาก้าวเข้ามาแล้วก็หันไปมองข้างหลัง ที่แท้คนภายนอกจะเห็นทางเข้านี้เป็นหน้าผาสูง แต่คนภายในจะเห็นเป็นป่าทั่วไป
ระหว่างเดินตามหลังอาจารย์หวางไปที่ฐานลับ เซียงฮวาก็กระซิบกับเฮยหลง
“เฮยหลง ดีนะที่แคว้นฝูไม่ใช่แคว้นที่มีภูเขาสูงเท่ายอดเขาเอเวอเรสต์ เพราะหากข้าจำหน้าผาผิดขึ้นมามีหวัง… โอ๊ย~ดีดหน้าผากข้าทำไม!”
“แคว้นฝูไม่ได้เหน็บหนาวเพียงนั้น”
ไช่เซียงฮวาลูบหน้าผากตัวเองป้อย ๆ ย้อนความทรงจำว่าเฮยหลงทราบได้อย่างไรว่าเอเวอเรสต์คือเทือกเขาน้ำแข็ง ในตอนนั้นเองที่ความทรงจำเมื่อหลายปีก่อนแวบเข้ามาในหัว...
‘เฮยหลง รู้หรือไม่ว่ายอดเขาอะไรสูงที่สุดในโลก เอ่อ…ยุทธภพแล้วกัน เจ้าคงไม่รู้เรื่องทฤษฎีการกำเนิดโลก’
ฝูเฮยหลงตอบคำถามตามภูมิความรู้ที่มี
‘ยอดเขาของแคว้นจินหรือ’
‘ผิด จ่ายมา’
ฝูเฮยหลงหยิบถุงเงินที่เย็บปักจากผ้าเนื้อดีในวังยื่นให้เซียงฮวาที่แบมือรออยู่แล้ว
‘เช่นนั้นคือยอดเขาอะไรกัน’
เฮยหลงเอ่ยถามพร้อมกับก้าวเดินตามหลังเซียงฮวาที่ถือถุงเงินของเขาซื้อถังหู่ลู่
‘เอเวอเรสต์ไง หนาวมากจนแทบจะแข็งตาย’
กลับมาที่ปัจจุบัน…
“ความจำดีสมเป็นองค์ชาย” ว่าแล้วนางก็ปรบมือให้เฮยหลง เอ่ยชมจากใจจริง
ฝูเฮยหลงยิ้มบาง ในใจคิด…
เจ้าก็จำได้มิใช่หรือ ใช่ข้าจำได้คนเดียวเสียเมื่อไร
ยามอิ๋น
ด้วยความเหนื่อยล้าจากการฝึกใช้พลังธาตุ เมื่อถึงจวน เซียงฮวาก็อาบน้ำแล้วเข้านอนโดยไม่สนใจอาหารเย็นตื่นมาอีกทีก็เป็นยามอิ๋น…
และเป็นเช่นนี้มาสองวันแล้ว!
ตอนนี้พลังของนางอยู่ในระดับแรกเริ่มของขั้นที่หนึ่ง ท่านอาจารย์บอกว่าคนทั่วไปจะใช้เวลาฝึกให้ผ่านไปได้แต่ละขั้นนั้นยากเย็นแสนเข็ญ การฝึกวรยุทธ์ให้สูงขึ้นไปจึงดูมีแววว่าจะสำเร็จได้มากกว่า
แม้แต่ท่านอาของนางเองที่กว่าจะมาระดับแปดนี้ได้ ก็ยังใช้เวลาถึง 20 ปี
ยิ่งระดับห้าขึ้นไป กว่าจะผ่านไปแต่ละขั้นจะต้องสูญเสียทรัพยากรไปไม่น้อย ดังนั้นการจะพ้นระดับสิบเพื่อเลื่อนขั้นไปเป็นเซียนฝึกหัดจึงไม่ใช่เรื่องง่าย
ตอนนี้นางกับพี่สาวน้องสาวเหลือเวลาอีก 4 ปีในการฝึกฝนพลังธาตุเพื่อให้อยู่ในระดับสาม ตามกำหนดกฎเกณฑ์การเข้าสำนักศึกษากลาง มิเช่นนั้นจะไม่มีสิทธ์ได้เข้าเรียนเด็ดขาด
“ได้ที่หรือยังนะ”
ไช่เซียงฮวาหยิบดอกไม้ในโถขึ้นมาดูว่าโดนเผาไหม้พอหรือยัง การกระทำนี้เป็นผลมาจากความร้อนวิชา เรียนมาแล้วก็ต้องใช้เลย
ว่าด้วยธาตุดินนั้นรับน้ำได้ รับลมได้ รับไฟได้ ทุกที่มีพื้นดิน ต่อให้จะไม่ได้มีความบริสุทธ์นักแต่ก็ดีกว่าไม่ดูดซับพลังจากธรรมชาติเลย
วันนี้ร้อนมากนางจึงดูดซับความร้อนจากแสงของดวงอาทิตย์ที่ส่งความร้อนมายังผืนดินบนภูเขาอันเป็นฐานลับของนางมากักเก็บไว้
“อยู่ ๆ ก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นแผงโซล่าเซลล์”
ไช่เซียงฮวาใช้พลังของตัวเองอบแห้งดอกไม้ที่ฝากสาวใช้เก็บช่วงเที่ยง นางอยากทราบว่าแห้งจากแสงอาทิตย์กับแห้งโดยพลังของนางต่างกันหรือไม่
“เหมือนจะได้อยู่นะ แต่ไม่ออแกนิค!”
เซียงฮวาทิ้งดอกไม้ที่อบแห้งโดยพลังของนางแล้วหยิบดอกไม้ที่ซูเมี่ยวอบร่ำมาให้แล้วใส่ในถุงหอมแทน
“ครั้งที่แล้วปักผ้าเช็ดหน้าให้ท่านแม่ ฉะนั้นถุงหอมอันนี้จะต้องเป็นของท่านอา”
หลังจากเอาดอกไม้ใส่ถุงหอมแล้ว นางก็หยิบก้อนกลม ๆ สีน้ำตาลที่ได้มาหลังจากดูดซับพลังธาตุของเมื่อวานและวันนี้ขึ้นมาเพื่อจะเอามาร้อยเป็นพู่ประดับถุงหอม
“ดีนะที่ให้ท่านอาจารย์เจาะรูให้ ฝีมือดี ๆ”
ถุงหอมพร้อมใช้แล้ว แต่เซียงฮวารู้สึกว่ายังไม่คลาสสิกพอจึงเขียนข้อความใส่ลงไปในถุงหอมด้วย
เขียนเสร็จแล้วก็พับให้เป็นกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ยัดใส่รูของไม้ไผ่อันเล็กที่เอาไว้ใช้สำหรับส่งสารแล้วเอาไม้ไผ่นั้นใส่เข้าไปในถุงหอมอีกที
“จะเปิดไม่เปิด ก็แล้วแต่ชะตาฟ้าลิขิตแล้วกัน”
เซียงฮวาปลงตกแล้วถอนหายใจ
“หวังว่าตัวหนังสือจะไม่เลือนหายไปหรือผิดเพี้ยนจากฝีเป็นผี จากข้าเป็นบ้าหรอกนะ ฉากเด็ดจากหนังพี่มากพระโขนงแบบนี้ ขออย่าเกิดแต่กับข้า”
สาธุ!
บทที่ ๒๐ต้องทำถึงเพียงนี้เชียวหรือณ โรงเตี๊ยมซงชู่หนึ่งในสถานที่ยอดนิยมของเมืองหลวงแคว้นเหลียง“เจ้าว่าสองแสบจะทำสำเร็จหรือไม่”จื่อหลีเฮยที่ตอนนี้นั่งอยู่ชั้นบนสุดของโรงเตี๊ยมเอ่ยถามคนสนิท สายตาสอดส่องลงไปยังชั้นล่างสุดเพื่อมองหาคนที่ตนกำลังรออยู่“ไม่เกินความสามารถของคุณหนูกับท่านประมุขน้อยแน่นอนขอรับ”คนสนิทจื่อหลีเฮยตอบกลับด้วยความหวังที่คิดว่าต้องใช่ สืบเนื่องจากว่าก่อนหน้านี้มีคำสั่งจากท่านประมุขให้ออกตามหาคน เบาะแสมีอยู่แค่ว่าใช้พลังที่เกี่ยวกับบุปผาได้ เป็นเด็กสาวชุดขาว มีหมวกปิดบังใบหน้าไว้และอายุไม่เกิน 12 หนาวประทานโทษเถิด! เบาะแสเพียงเท่านี้ต่อให้พวกเขาจะมีความสามารถมากกว่านี้อีกกี่เท่า ก็ต้องขอกล่าวว่าแทบไม่มีทางเป็นไปได้เลยเพราะสิ่งเดียวที่ยังพอใช้การได้อย่างพลังบุปผา ซึ่งหากว่าเป็นพลังที่แปลกกว่าผู้อื่นจริง ๆ แล้วผู้ใดจะใช้ออกมาให้เห็นกันพร่ำเพรื่อดังนั้นแม้ก่อนหน้านี้เขาและท่านประมุขจะไม่เชื่อคำกล่าวที่ออกมาจากปากของคุณหนูตัวแสบนัก แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าพวกเขาก็ขอให้เป็นนางจริง ๆ ทางด้านเซียงฮวา…“โรงเตี๊ยมซงชู่มีทั้งหมดสี่ชั้น แอบกระซิบบอกเจ้าก็ได้ว่าที่นี่เป็นขอ
บทที่ ๑๙มันถ่ายทอดผ่านดีเอ็นเอได้ณ พรรคมารจื่อถาน“หนีผู้อารักขาไปเล่นซนที่ใดกันมาเจ้าตัวแสบ!”เสียงกัมปนาททำแฝดชายหญิงที่กำลังเดินย่องเข้าเขตรั้วพรรคมารจื่อถานชะงักกึก ประมุขพรรคยังไม่ได้ไต่สวน โจรย่องเบาทั้งสองก็รับสารภาพเสียแล้ว“เสี่ยวเฉิงสำนึกผิดแล้วขอรับท่านพ่อ/เสี่ยวเหมยสำนึกผิดแล้วเจ้าค่ะท่านพ่อ” จื่อเจี่ยนเฉิงและจื่อเหมยฮวาเป็นความผิดพลาดของจื่อหลีเฮยเมื่อสิบปีก่อนโดยความตั้งใจของจื่อหลีป๋าย มารดาของทั้งคู่ลาลับโลกนี้ไปแล้ว เด็กแฝดถูกเลี้ยงดูสั่งสอนโดยแม่นม จื่อหลีเฮยไม่มีเวลาดูแลทั้งสองมากนักจึงประเคนทุกสิ่งที่เด็กแฝดต้องการ หวังว่าการตามใจเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ จะเติมเต็มสิ่งที่เขาบกพร่องไป และเพราะการตามใจที่ไร้ขีดจำกัดนี้ ทั้งสองจึงมักก่อเรื่องเป็นประจำ อย่างเช่นเรื่องในวันนี้ในระหว่างที่เขาเพิ่งกลับมาจากการทำธุระก็ได้รับรายงานมาจากผู้อารักขาประจำตัวของเด็กแฝดว่าออกไปเล่นซุกซนกันที่อื่นแต่ไปเล่นที่ใดไม่เล่น กลับไปเล่นในพื้นที่ใกล้เขตของพรรคหยิ๋นมี่ จากบิดาที่ไม่ดุด่าว่าบุตร วันนี้กลับทำเสียงแข็งใส่ทั้งสองถึงขั้นเป็นตวาด“เข้าไปคุยกันในเรือน”“ขอรับ/เจ้าค่ะท่านพ่อ”ใน
บทที่ ๑๘เอามากำไว้ดั่งเป็นลูกไก่“I love the way you make me feel, I love it, l love it, I love the way you make me feel, I love it , l love it”เซียงฮวาร้องเพลงบนหลังม้า มือข้างซ้ายยกขึ้นทำมินิฮาร์ทตรงคำว่า ‘love’ ให้เฮยหลงแม้เฮยหลงจะไม่เข้าใจท่าทางนี้ แต่บรรยากาศรอบกายนางทำให้เขาหน้าเห่อร้อนขึ้นจนเผลอยกมือแตะใบหน้า ไม่ไหวจริง ๆ ก็เบือนหน้าไปทางอื่นเพราะไม่อยากให้นางเห็นว่าตนเสียอาการ‘เซียงฮวา…’เจ้าของนามหยุดร้องเพลงเมื่อได้ยินเสียงเฮยหลิง‘พบเป้าหมายอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ทางทิศตะวันตก’เซียงฮวาลอบถอนหายใจเบา ๆ ดีว่ากล่อมตัวเองเก่งถึงได้เข้าโหมดทำงานได้อย่างรวดเร็ว‘ทางทิศตะวันตกคือนอกเขตแดนของพรรคหยิ๋นมี่มิใช่หรือ’‘ใช่ เจ้ารีบไปช่วยเถิด!’‘แล้วเฮยหลงเล่า ข้าไม่มีทางทิ้งบุรุษของข้าให้ต้องอยู่คนเดียวเปล่าเปลี่ยวกายาแน่…เอาแบบนี้แล้วกัน!’“เฮยหลง ทางทิศตะวันตกคือจุดสิ้นสุดของเขตแดนใช่หรือไม่” เซียงฮวาแสร้งถามเหมือนไม่รู้“ใช่ เมื่อออกจากเขตแดนทางทิศตะวันตกแล้ว มีเส้นทางหนึ่งที่ผู้คนไม่ค่อยใช้กันนัก แต่สามารถเข้าตลาดได้”เซียงฮวาได้ยินเช่นนั้นก็ตาลุกวาว…เข้าทางแล้ว!“อยู่ ๆ ข้าก็อย
บทที่ ๑๗เอาไว้สร้างรังรักของเราพรรคหยิ๋นมี่ขึ้นชื่อเรื่องการฝึกหนัก สมาชิกส่วนมากเข้าพรรคตั้งแต่อายุยังน้อย อย่างเฮยหลงก็ฝากตัวเป็นศิษย์กับไช่เฟิงหยูตั้งแต่อายุ 4 หนาวการเป็นศิษย์ของผู้ที่มีพรสวรรค์อย่างไช่เฟิงหยูไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากจะต้องตั้งใจฝึกซ้อมเพื่อไม่ให้เสียหน้าอาจารย์แล้วยังต้องรักษาหน้าองค์ชายรองแคว้นฝู การฝึกของคนในพรรคที่ว่าหนักแล้ว ยังเทียบไม่ได้กับเขาตั้งแต่เช้ายันบ่าย เขาจะฝึกยุทธ์ร่วมกับสมาชิกพรรครุ่นเยาว์ทั้งหลาย หรือบางทีหากท่านอาจารย์อยากจะถ่ายทอดเคล็ดวิชาใหม่ ๆ ให้เขาก็ต้องแยกไปเรียนเดี่ยวตกดึกก็จะเรียนการใช้พลังธาตุกับท่านประมุขพรรค สลับกับเรียนคาถาลับของพรรคที่ท่านอาจารย์เป็นผู้ที่ถ่ายทอดให้โดยตรงพอจะเข้านอนแล้วก็ควรเป็นเวลาพักผ่อนร่างกาย แต่เขาก็ยังอ่านตำรา ฝึกคัดอักษร เวลานอนในแต่ละวันไม่ถึงสองชั่วยาม แต่เจ้าตัวก็คงคิดว่ายังยุ่งไม่พอ เพราะยังหาเวลาว่างเข้าครัวทำอาหารพิชิตใจสาวน้อยวัยเดียวกันพูดถึงเรื่องเข้าครัวก็ต้องพูดถึงอาหารมื้อเย็น เขาทำอาหารให้เซียงฮวาแล้วให้สาวใช้ในพรรคนำมาส่งให้ถึงเรือน แอบกังวลไม่น้อยว่าจะไม่ถูกปากนางตับ!ฝูเฮยหลงพับตำราเก็
บทที่ ๑๖อาอยากจะบอกว่า…หลังได้รับการช่วยเหลือจากเซียงฮวา เมื่อกลับถึงพรรค จื่อหลีเฮยก็สั่งลูกน้องให้ออกตามหาเด็กสาวชุดขาวอายุไม่เกินสิบสองหนาว ตามหาเอิกเกริกจนรู้ถึงหูไช่เฟิงหยูและพรรคข้างเคียงไช่เฟิงหยูเดินเข้ามาในห้องทำงานชิวเฉินยี่โดยไม่ต้องให้ใครรายงานก่อน ซึ่งเจ้าของห้องเองก็ชินแล้วเช่นกัน“เจ้าได้ยินข่าวที่หลีเฮยให้คนออกตามหาเด็กสาวคนหนึ่งแล้วหรือไม่ ตามหาคนก็ยากอยู่แล้ว ข้อมูลที่ให้มายังมีเพียงสองข้อ ชุดขาวกับอายุ ต่อให้เป็นข้าก็หาไม่เจอ”ไช่เฟิงหยูขบขัน ชิวเฉินยี่เองก็ไม่แพ้กัน แต่เขาเพียงเหยียดยิ้มเท่านั้นไม่ได้กล่าวเสียดสีเช่นทุกที“รายงานผลรายได้จากหอขายข่าว หอสุราและร้านค้าปลีกย่อยในเดือนนี้”ชิวเฉินยี่ยื่นมือมารับสมุดแต่ไม่ได้เปิดอ่านในตอนนั้น ไช่เฟิงหยูจึงกล่าวถามสิ่งที่สงสัย“ว่าแต่เจ้ายังให้คนออกตามหาผู้มีปานดอกไม้อยู่ที่ข้อมืออยู่อีกไม่”ชิวเฉินยี่พยักหน้ารับ ไม่ได้เก็บงำเป็นความลับ แต่ก็ไม่ได้เปิดเผยเบื้องลึกให้ใครทราบเช่นกัน “เจ้าตามหาทำไม บอกจุดประสงค์ได้หรือไม่”ชิวเฉินยี่ยังคงเงียบ ในหัวเริ่มคิดถึงภาพความจำอันเลือนรางในหลาย ๆ สถานที่หลาย ๆ อิริยาบถระหว่างเขาก
บทที่ ๑๕เขาบอกข้าว่าควรกลับบ้านไปนอนกอดแม่เช้าวันต่อมา…“ขอบตาดำเชียว ตื่นเต้นที่จะได้ออกเดินทางจนนอนไม่หลับเลยหรือ!”จางซิ่วลี่เอ่ยกับบุตรสาวด้วยน้ำเสียงเข้มงวด ทว่าไม่อาจปิดความห่วงใยในแววตาได้“ไม่ดึกมากเจ้าค่ะท่านแม่ แต่ร่างกายของคนเราตื่นรู้นัก เมื่อจะเจอเรื่องที่ต่างจากทุกวันจะหลั่งสารอะดรีนาลีนจนตื่นตัว อยากนอนเร็วเหมือนกันเจ้าค่ะ แต่จนใจที่ทำเช่นนั้นมิได้”เซียงฮวาโกหกคำโต ทั้งยังเอาชื่อสารที่หลั่งมาจากต่อมหมวกไตเบี่ยงเบนความสนใจของมารดา “มีสารที่ชื่อนี้ด้วยหรือ ไยฟังดูไม่ใช่ภาษาบ้านเรา” แล้วก็ได้ผล! จางซิ่วลี่ไม่รู้ตัวเลยว่าถูกบุตรสาวเบี่ยงเบนความสนใจ อาจารย์หวางที่จะเดินทางกลับพร้อมกันก็มีความสงสัยเช่นกัน แต่ไม่แสดงออกมากนัก “ได้เวลาต้องออกเดินทางแล้ว”อาจารย์หวางให้โอกาสแม่ลูกได้ร่ำลากันครู่หนึ่ง เมื่อสมควรแก่เวลาแล้วก็เอ่ยชวนเซียงฮวาออกเดินทางไปพรรคหยิ๋นมี่ ทุกสามเดือนไช่เฟิงหยูจะมารับนางไปเที่ยวเล่น แต่หากครั้งใดไม่ได้มารับด้วยตนเองจะส่งองครักษ์ชุดใหญ่ทั้งที่ลับและที่แจ้งมาคุ้มครองระหว่างการเดินทาง ครั้งนี้อาจารย์หวางเดินทางมาด้วย มียอดฝีมืออยู่ในขบวนเช่นนี้ไช่เฟิ