บทที่ ๘
ไม่กล้ารับปากเจ้าค่ะไม่กล้า
ไช่เซียงฮวารู้จักพรรคหยิ๋นมี่เท่าอายุของตน ไม่มีครั้งใดที่นางไม่รู้สึกตะลึงในศักยภาพของคนในพรรค
ครั้งนี้เองก็เช่นกัน ถึงขนาดครอบครองพื้นที่ลับแห่งนี้ได้โดยที่ไม่มีใครเห็น แข็งแกร่งจนคนนึกตั้งคำถาม
“เจ้าทั้งสองทำความเข้าใจตำราที่ข้ามอบให้แล้วหรือไม่” อาจารย์หวางถามลูกศิษย์ทั้งสองโดยใช้ถ้อยคำธรรมดา
ไม่ว่าจะใหญ่มาจากไหน หากอยู่ที่นี่เป็นได้สองสถานะเท่านั้นคือศิษย์และอาจารย์
“ขอรับ/เจ้าค่ะ”
“สำหรับสายวรยุทธ์แล้ว การมีกำลังภายในที่แข็งแกร่งคือการวัดความสูงต่ำของความสามารถที่มี กำลังภายใน วิชายุทธ์ พลังธาตุ หากนำมาผนวกกันได้จะส่งผลดีต่อตัวเราจนยากจะมีใครต่อกรได้
ไช่เฟิงหยูกล่าวกับลูกศิษย์และหลานสาวเพียงเท่านี้ก็เงียบไป ปล่อยให้อาจารย์หวางเป็นผู้ดำเนินการสอนต่อ
“ส่วนพลังธาตุนั้นคือการดึงเอาพลังของธรรมชาติมาเก็บไว้กับตัวให้ได้มากที่สุด ระดับหนึ่งถึงสิบเป็นตัวบอกระดับอย่างชัดเจนแล้วว่าร่างกายมีจุดกักเก็บพลังที่สามารถบรรจุพลังไว้ได้มากน้อยเพียงใด”
ไช่เซียงฮวาพยักหน้ารับแล้วยกมือขึ้น ไช่เฟิงหยูที่รู้ว่าเป็นเครื่องหมายของการขออนุญาตถามจึงใช้พลังบอกสหายในใจ
นางมีคำถาม
อาจารย์หวางได้ยินเช่นนั้นก็ผายมืออนุญาต
“เชิญถาม”
“มี How to ทำอย่างไรให้ฝึกได้ก้าวหน้ากว่าคนทั่วไปหรือไม่เจ้าคะ”
นางหมายถึงวิธีการที่จะฝึกพลังให้ก้าวหน้า
อ้อ
อาจารย์หวางไม่ได้มองไช่เซียงฮวาผิดแผก เพราะก่อนที่เขาจะรับหน้าที่มาเป็นอาจารย์ของนางนั้น สหายได้เตือนล่วงหน้าซึ่งเขาก็ทำใจมาบ้างแล้ว
“การก้าวให้เร็วกว่าคนอื่นคือการฝึกให้มากกว่าคนอื่นเสมอ ทุกคนมีต้นทุนที่ไม่เท่ากัน ในเมื่อเจ้ามีพร้อมเช่นนี้แล้ว ก็จงฝึกให้หนัก เพื่อเป็นการตอบแทนเบื้องบนที่ได้ให้เจ้ามาอย่างไม่คิดว่ามันจะลำเอียง”
“เจ้าค่ะ/ขอรับ”
เมื่อเห็นเด็กน้อยทั้งสองพยักหน้ารับ ไช่เฟิงหยูก็หยิบหยกดูดซับพลังธาตุขึ้นมาให้ฝูเฮยหลง
“เอาหยกสีนิลขึ้นมาสิเซียงฮวา”
ไช่เฟิงหยูถามหาหยกสีนิลที่มีคุณสมบัติช่วยดูดซับพลังธาตุได้เร็ว
น้อยคนนักที่จะรู้ว่าหยกชิ้นที่เซียงฮวาถือครองอยู่สามารถปกปิดพลังเร้นลับในร่างกายต่อผู้เยี่ยมยุทธ์ได้
“ในระหว่างที่กำลังดูดซับพลังปราณ ควรนำมาวางไว้ในตำแหน่งชีพจรด้านที่เจ้าได้กรีดเลือดนาบไปกับศิลาปลุกพลัง”
ไช่เซียงฮวาเอาหยกสีนิลแนบไว้กับข้อมือตามคำบอกของอาจารย์ ฝูเฮยหลงเองก็เช่นกัน
“บทเรียนของวันนี้คือดูดซับพลังธาตุ นั่นคือที่นั่งของพวกเจ้า”
ศิษย์ทั้งสองเดินไปยังประจำที่ของตน นั่งลงขัดสมาธิตามคำชี้แนะของอาจารย์
“เดี๋ยววันนี้ข้าจะเป็นอาจารย์ให้เซียงฮวาเอง เจ้าไปเป็นอาจารย์ให้เฮยหลงเถอะ”
อาจารย์หวางพยักหน้ารับแล้วเดินไปนั่งข้าง ๆ ฝูเฮยหลง เพราะหากมีข้อผิดพลาดอันใดเกิดขึ้นระหว่างการดูดซับพลังธาตุครั้งแรกจะได้ช่วยเหลือได้ทัน
“หลับตาลง ทำใจให้สงบแล้วกำหนดจิตให้เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ”
ไช่เซียงฮวาพยักหน้าแล้วหลับตาลง พยายามทำใจให้สงบ นึกถึงความทรงจำตอนที่ได้ไปร่วมปฏิบัติธรรมกับสมาคมคุณนายของคุณหญิงแม่
ในใจนางคิด…
นอกจากยุบหนอพองหนอ ตอนนั้นพระอาจารย์บอกว่าอย่างไรนะ
อ้อ! ว่างเปล่า ไม่ยึดติด
คิดได้เช่นนั้นนางก็ไม่คิดสิ่งใดอีกเลยนอกจากปล่อยสมองให้มีแต่ความว่างเปล่าจนค่อย ๆ จมดิ่งลงสู่ห้วงสมาธิ
อาจารย์ทั้งสองเฝ้ามองลูกศิษย์เงียบ ๆ จิบชาไปเฝ้าระวังไป น้ำชาหมดไปเพียงสองจอกเท่านั้นก็เริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงของพวกเขา
ไช่เซียงฮวาถอดจิตไปในสถานที่ที่ตนมิเคยเห็น มองไปทางข้างหน้าก็เห็นเพียงความว่างเปล่าไม่มีที่สิ้นสุด
‘ข้าอยู่ที่ใดกัน’
ไช่เซียงฮวาร่างจิตลุกขึ้นยืมเต็มความสูง
ในตอนนั้นเองนางถึงเห็นความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย มือใหญ่ขึ้น ไม่ต้องพูดถึงหน้าอกที่เป็นตัวบ่งบอกวัยได้ดีที่สุุด
ดวงตาคู่งามสำรวจไปโดยรอบก่อนที่จะเบิกโพลงเมื่อเห็นว่ามีร่่างเด็กนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงจุดเดิมก่อนที่นางจะเดินมายืนตรงนี้
‘ร่างเด็กของข้า’
ไช่เซียงฮวาเดินเข้าไปใกล้ร่างเด็ก ยื่นมือไปหมายจะเขย่าตัวให้หลุดจากสมาธิ ทว่ามือนางกลับทะลุผ่าน ไม่สามารถสัมผัสร่างตรงหน้าได้
‘หรือข้าต้องกลับไปนั่งที่เดิม’
ไม่รอช้าไช่เซียงฮวาร่างสาวงามก็เดินกลับมาที่ร่างเด็ก หลับตาทำสมาธิอีกครั้ง
ผ่านไปไม่นานก็รู้สึกราวกับถูกดึงสู่ห้วงลึกที่ไม่อาจอธิบายเป็นคำพูดได้
ในขณะที่นางกำลังคิดจะออกจากสมาธิก็ได้ยินเสียงของสตรีนางหนึ่งที่ราวกับอยู่ในที่ไกลแสนไกล ฟังดูเลื่อนลอย ไม่ใช่จังหวะการพูดทั่วไปของมนุษย์
‘เห็นหรือไม่ แม้แต่จิตและร่างกายของเจ้ายังไม่อาจรวมเป็นหนึ่งได้’
ตึง!
ไช่เซียงฮวาสะดุ้งเพราะได้ยินเสียงระฆังดัง
‘ท่านคือผู้ใดกัน มีตัวตนจริงหรือไม่’
‘มีแล้วอย่างไร ไม่มีแล้วอย่างไร หากมีแล้วจะทำสิ่งใด ไม่ทำสิ่งใด หากไม่มีเล่า จะทำสิ่งใด ไม่ทำสิ่งใด’
ตึง!
‘ต้องใช้ความคิดอีกแล้ว คนยิ่งตกใจเสียงระฆัง’
แม้จะบ่นแต่เซียงฮวาก็พยายามหาคำตอบ
‘ไม่มีสิ่งใด ไม่ยึดติด มันคือความว่างเปล่า’
‘แน่ใจได้อย่างไรว่าคือความว่างเปล่า ไม่เห็นสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัวเจ้าหรือว่าคือสิ่งใด’
ตึง!
พื้นที่ที่เซียงฮวาคิดว่าคือความว่างเปล่าได้เปลี่ยนจากสีขาวกลายเป็นสีน้ำตาลของพื้นดิน กว้างไม่มีที่สิ้นสุด
แต่สิ่งที่ไช่เฟิงหยูเห็นนั้นคือรอบตัวเซียงฮวากำลังดูดมวลสีน้ำตาลคล้ายฝุ่นให้ลอยล่องไปมารอบตัวโดยมีร่างเล็กเป็นจุดศูนย์กลางของวงกลม
‘หรือที่นี่คือโลกแห่งดิน’
‘หากคิดว่าดิน สัมผัสได้ถึงไอร้อนจากผืนดินหรือไม่”
ตึง!
เมื่อคิดว่าอาจจะเป็นจริง ๆ และมันคงร้อน อยู่ ๆ เซียงฮวาก็สัมผัสได้ถึงความร้อนและเหงื่อ
‘ความชื้นที่อาจซ่อนไว้อยู่เล่า มีหรือไม่’
ตึง!
เมื่อพูดถึงความชื้น เหงื่อที่หลั่งไหลอยู่ก็กลายเป็นของเย็นเสียดกระดูก
‘หากนี่เป็นความจริง เป็นเพราะมีจริง ๆ หรือเป็นเพราะจินตนาการของเจ้า’
ตึง!
‘ทั้งร้อนทั้งหนาวเช่นนี้เป็นของจริงแล้ว’
‘แน่ใจแล้วหรือว่านี่คือความจริง’
ตึง!
‘สรุปว่าจริงหรือข้ามโนกันแน่เจ้าคะ’
‘หากเจ้าว่าสิ่งนี้คือมโนภาพ แล้วเจ้าเห็นสิ่งใดที่อยู่รอบ ๆ ตัวเจ้าหรือไม่’
‘หากข้าเป็นธาตุดินก็ต้องเป็นฝุ่น เป็นความร้อนเมื่อยามอาทิตย์แผดเผา เป็นความชื้นเมื่อเม็ดฝนร่วงใส่ เป็นทุกอย่างให้เธอแล้ว’
‘หากเจ้าคิดว่ามันเป็นความร้อน ดึงมาเก็บไว้หรือปล่อยมันดี’
ตึง!
‘มาขนาดนี้แล้ว ก็ต้องลองดูดมันแล้วแหละ!’
สิ้นคำเซียงฮวาก็ตั้งสมาธิ กำหนดจุดชีพจรตรงข้อมือให้ตื่นตัวพร้อมรับ ไม่นานร่างกายก็รู้สึกร้อนขึ้นมา
‘ความร้อนคือสิ่งเดียวที่เจ้าต้องการจริงหรือ ถ้าใช่จะพอแค่นี้หรือไม่ ถ้าไม่ใช่จะหยุดหรือไม่’
ตึง!
‘เรามันคนมักน้อยไม่เป็นเสียด้วยสิ ดูดมาเลยทั้งความร้อนทั้งความชื้น’
สิ้นความคิดนี้ เซียงฮวาก็รู้สึกเหมือนคนธาตุไฟเข้าแทรกทั้ง ๆ ที่ไม่เคยฝึกวิชาจนธาตุไฟเข้าแทรกเลยสักครั้ง หยินและหยางปั่นป่วนไปหมด
“เกิดอะไรขึ้น!”
ไช่เฟิงหยูเห็นเซียงฮวากระสับกระส่ายก็นำหยกมาวางไว้ที่ชีพจรตรงข้อมือเล็ก
ทางด้านเซียงฮวา นางยังคงต่อสู้กับเสียงที่ได้ยินและสู้กับตัวเองไม่หยุด
‘รับรู้แล้วหรือไม่ ร้อนคือสิ่งใด เย็นคือสิ่งใด’
ตึง!
‘รู้แล้ว ๆ เข้าใจมาก ๆ แล้วด้วย’
‘หากรู้แล้ว พร้อมจะเผชิญกับความจริงนี้หรือไม่หรือเต็มใจที่จะอยู่ในโลกของการลวงหลอกตัวเอง’
ตึง!
‘ข้าพร้อมมาก ๆ’
‘เป็นความร้อนเมื่อยามอาทิตย์แผดเผา เป็นความชื้นเมื่อเม็ดฝนร่วงใส่ จำคำพูดนี้ของเจ้าเอาไว้ให้ขึ้นใจ หากมีวาสนาอาจพบพานกันอีก หากไร้แล้วไซร้ พันปีไม่พบ หมื่นปีไม่บรรจบคบหา’
ตึง!
เสียงระมังครั้งสุดท้ายได้ล่องลอยหายไปที่แสนไกล ในตอนนั้นเองที่เซียงฮวาค่อย ๆ กะพริบตาจนลืมขึ้นมาในที่สุด สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าตนนั้นคือเม็ดกลมสีน้ำตาลขนาดเท่าไข่มุกกำลังหมุนวนรอบตัวเองช้า ๆ
เมื่อหันไปมองข้าง ๆ ว่าเฮยหลงเป็นเช่นไรบ้างก็เห็นว่าเขากำลังหลับตาอยู่
ไข่มุกก้อนเท่ากันแต่สีดำจนเห็นเป็นเงา ชัดเจนว่าธาตุมืดผสมธาตุดิน
ในที่สุดฝูเฮยหลงก็ลืมตาขึ้น สิ่งที่เขามองหาเป็นอย่างแรกคือเซียงฮวา
เมื่อเห็นว่านางกำลังมองมาด้วยดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ เขาก็อดที่จะส่งยิ้มให้นางไม่ได้
แปะ! แปะ! แปะ!
เสียงปรบมือทำให้ทั้งสองละสายตาออกจากกันแล้วมองไปยังต้นเสียง ไช่เฟิงหยูและอาจารย์หวางกำลังปรบมือให้พวกเขา
“เก่งมาก เพียงไม่ถึงชั่วยามก็สามารถดึงเอาพลังจากธาตุดินเข้าสู่ร่างกายได้แล้ว ยอดเยี่ยมยิ่งนัก”
สีหน้าของคนพูดแสดงออกชัดว่าเด็กทั้งสองมีพรสวรรค์ เซียงฮวาเกิดอยากถ่อมตัวจึงพูดว่า
“ไม่กล้ารับเจ้าค่ะไม่กล้า”
ปากบอกว่าไม่กล้ารับคำชม แต่กลับยกมือปิดปากหัวเราะคิกคักเพราะในใจก็คิดชื่นชมตัวเองเช่นกัน
ฝูเฮยหลงเห็นเช่นนั้นก็ส่ายหน้าให้นางเหมือนระอาใจ สวนทางกับดวงตาที่ระยิบระยับดั่งดวงดารา
ไช่เซียงฮวาถูกหนุ่มน้อยเอ็นดูแล้ว!
บทที่ ๒๐ต้องทำถึงเพียงนี้เชียวหรือณ โรงเตี๊ยมซงชู่หนึ่งในสถานที่ยอดนิยมของเมืองหลวงแคว้นเหลียง“เจ้าว่าสองแสบจะทำสำเร็จหรือไม่”จื่อหลีเฮยที่ตอนนี้นั่งอยู่ชั้นบนสุดของโรงเตี๊ยมเอ่ยถามคนสนิท สายตาสอดส่องลงไปยังชั้นล่างสุดเพื่อมองหาคนที่ตนกำลังรออยู่“ไม่เกินความสามารถของคุณหนูกับท่านประมุขน้อยแน่นอนขอรับ”คนสนิทจื่อหลีเฮยตอบกลับด้วยความหวังที่คิดว่าต้องใช่ สืบเนื่องจากว่าก่อนหน้านี้มีคำสั่งจากท่านประมุขให้ออกตามหาคน เบาะแสมีอยู่แค่ว่าใช้พลังที่เกี่ยวกับบุปผาได้ เป็นเด็กสาวชุดขาว มีหมวกปิดบังใบหน้าไว้และอายุไม่เกิน 12 หนาวประทานโทษเถิด! เบาะแสเพียงเท่านี้ต่อให้พวกเขาจะมีความสามารถมากกว่านี้อีกกี่เท่า ก็ต้องขอกล่าวว่าแทบไม่มีทางเป็นไปได้เลยเพราะสิ่งเดียวที่ยังพอใช้การได้อย่างพลังบุปผา ซึ่งหากว่าเป็นพลังที่แปลกกว่าผู้อื่นจริง ๆ แล้วผู้ใดจะใช้ออกมาให้เห็นกันพร่ำเพรื่อดังนั้นแม้ก่อนหน้านี้เขาและท่านประมุขจะไม่เชื่อคำกล่าวที่ออกมาจากปากของคุณหนูตัวแสบนัก แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าพวกเขาก็ขอให้เป็นนางจริง ๆ ทางด้านเซียงฮวา…“โรงเตี๊ยมซงชู่มีทั้งหมดสี่ชั้น แอบกระซิบบอกเจ้าก็ได้ว่าที่นี่เป็นขอ
บทที่ ๑๙มันถ่ายทอดผ่านดีเอ็นเอได้ณ พรรคมารจื่อถาน“หนีผู้อารักขาไปเล่นซนที่ใดกันมาเจ้าตัวแสบ!”เสียงกัมปนาททำแฝดชายหญิงที่กำลังเดินย่องเข้าเขตรั้วพรรคมารจื่อถานชะงักกึก ประมุขพรรคยังไม่ได้ไต่สวน โจรย่องเบาทั้งสองก็รับสารภาพเสียแล้ว“เสี่ยวเฉิงสำนึกผิดแล้วขอรับท่านพ่อ/เสี่ยวเหมยสำนึกผิดแล้วเจ้าค่ะท่านพ่อ” จื่อเจี่ยนเฉิงและจื่อเหมยฮวาเป็นความผิดพลาดของจื่อหลีเฮยเมื่อสิบปีก่อนโดยความตั้งใจของจื่อหลีป๋าย มารดาของทั้งคู่ลาลับโลกนี้ไปแล้ว เด็กแฝดถูกเลี้ยงดูสั่งสอนโดยแม่นม จื่อหลีเฮยไม่มีเวลาดูแลทั้งสองมากนักจึงประเคนทุกสิ่งที่เด็กแฝดต้องการ หวังว่าการตามใจเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ จะเติมเต็มสิ่งที่เขาบกพร่องไป และเพราะการตามใจที่ไร้ขีดจำกัดนี้ ทั้งสองจึงมักก่อเรื่องเป็นประจำ อย่างเช่นเรื่องในวันนี้ในระหว่างที่เขาเพิ่งกลับมาจากการทำธุระก็ได้รับรายงานมาจากผู้อารักขาประจำตัวของเด็กแฝดว่าออกไปเล่นซุกซนกันที่อื่นแต่ไปเล่นที่ใดไม่เล่น กลับไปเล่นในพื้นที่ใกล้เขตของพรรคหยิ๋นมี่ จากบิดาที่ไม่ดุด่าว่าบุตร วันนี้กลับทำเสียงแข็งใส่ทั้งสองถึงขั้นเป็นตวาด“เข้าไปคุยกันในเรือน”“ขอรับ/เจ้าค่ะท่านพ่อ”ใน
บทที่ ๑๘เอามากำไว้ดั่งเป็นลูกไก่“I love the way you make me feel, I love it, l love it, I love the way you make me feel, I love it , l love it”เซียงฮวาร้องเพลงบนหลังม้า มือข้างซ้ายยกขึ้นทำมินิฮาร์ทตรงคำว่า ‘love’ ให้เฮยหลงแม้เฮยหลงจะไม่เข้าใจท่าทางนี้ แต่บรรยากาศรอบกายนางทำให้เขาหน้าเห่อร้อนขึ้นจนเผลอยกมือแตะใบหน้า ไม่ไหวจริง ๆ ก็เบือนหน้าไปทางอื่นเพราะไม่อยากให้นางเห็นว่าตนเสียอาการ‘เซียงฮวา…’เจ้าของนามหยุดร้องเพลงเมื่อได้ยินเสียงเฮยหลิง‘พบเป้าหมายอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ทางทิศตะวันตก’เซียงฮวาลอบถอนหายใจเบา ๆ ดีว่ากล่อมตัวเองเก่งถึงได้เข้าโหมดทำงานได้อย่างรวดเร็ว‘ทางทิศตะวันตกคือนอกเขตแดนของพรรคหยิ๋นมี่มิใช่หรือ’‘ใช่ เจ้ารีบไปช่วยเถิด!’‘แล้วเฮยหลงเล่า ข้าไม่มีทางทิ้งบุรุษของข้าให้ต้องอยู่คนเดียวเปล่าเปลี่ยวกายาแน่…เอาแบบนี้แล้วกัน!’“เฮยหลง ทางทิศตะวันตกคือจุดสิ้นสุดของเขตแดนใช่หรือไม่” เซียงฮวาแสร้งถามเหมือนไม่รู้“ใช่ เมื่อออกจากเขตแดนทางทิศตะวันตกแล้ว มีเส้นทางหนึ่งที่ผู้คนไม่ค่อยใช้กันนัก แต่สามารถเข้าตลาดได้”เซียงฮวาได้ยินเช่นนั้นก็ตาลุกวาว…เข้าทางแล้ว!“อยู่ ๆ ข้าก็อย
บทที่ ๑๗เอาไว้สร้างรังรักของเราพรรคหยิ๋นมี่ขึ้นชื่อเรื่องการฝึกหนัก สมาชิกส่วนมากเข้าพรรคตั้งแต่อายุยังน้อย อย่างเฮยหลงก็ฝากตัวเป็นศิษย์กับไช่เฟิงหยูตั้งแต่อายุ 4 หนาวการเป็นศิษย์ของผู้ที่มีพรสวรรค์อย่างไช่เฟิงหยูไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากจะต้องตั้งใจฝึกซ้อมเพื่อไม่ให้เสียหน้าอาจารย์แล้วยังต้องรักษาหน้าองค์ชายรองแคว้นฝู การฝึกของคนในพรรคที่ว่าหนักแล้ว ยังเทียบไม่ได้กับเขาตั้งแต่เช้ายันบ่าย เขาจะฝึกยุทธ์ร่วมกับสมาชิกพรรครุ่นเยาว์ทั้งหลาย หรือบางทีหากท่านอาจารย์อยากจะถ่ายทอดเคล็ดวิชาใหม่ ๆ ให้เขาก็ต้องแยกไปเรียนเดี่ยวตกดึกก็จะเรียนการใช้พลังธาตุกับท่านประมุขพรรค สลับกับเรียนคาถาลับของพรรคที่ท่านอาจารย์เป็นผู้ที่ถ่ายทอดให้โดยตรงพอจะเข้านอนแล้วก็ควรเป็นเวลาพักผ่อนร่างกาย แต่เขาก็ยังอ่านตำรา ฝึกคัดอักษร เวลานอนในแต่ละวันไม่ถึงสองชั่วยาม แต่เจ้าตัวก็คงคิดว่ายังยุ่งไม่พอ เพราะยังหาเวลาว่างเข้าครัวทำอาหารพิชิตใจสาวน้อยวัยเดียวกันพูดถึงเรื่องเข้าครัวก็ต้องพูดถึงอาหารมื้อเย็น เขาทำอาหารให้เซียงฮวาแล้วให้สาวใช้ในพรรคนำมาส่งให้ถึงเรือน แอบกังวลไม่น้อยว่าจะไม่ถูกปากนางตับ!ฝูเฮยหลงพับตำราเก็
บทที่ ๑๖อาอยากจะบอกว่า…หลังได้รับการช่วยเหลือจากเซียงฮวา เมื่อกลับถึงพรรค จื่อหลีเฮยก็สั่งลูกน้องให้ออกตามหาเด็กสาวชุดขาวอายุไม่เกินสิบสองหนาว ตามหาเอิกเกริกจนรู้ถึงหูไช่เฟิงหยูและพรรคข้างเคียงไช่เฟิงหยูเดินเข้ามาในห้องทำงานชิวเฉินยี่โดยไม่ต้องให้ใครรายงานก่อน ซึ่งเจ้าของห้องเองก็ชินแล้วเช่นกัน“เจ้าได้ยินข่าวที่หลีเฮยให้คนออกตามหาเด็กสาวคนหนึ่งแล้วหรือไม่ ตามหาคนก็ยากอยู่แล้ว ข้อมูลที่ให้มายังมีเพียงสองข้อ ชุดขาวกับอายุ ต่อให้เป็นข้าก็หาไม่เจอ”ไช่เฟิงหยูขบขัน ชิวเฉินยี่เองก็ไม่แพ้กัน แต่เขาเพียงเหยียดยิ้มเท่านั้นไม่ได้กล่าวเสียดสีเช่นทุกที“รายงานผลรายได้จากหอขายข่าว หอสุราและร้านค้าปลีกย่อยในเดือนนี้”ชิวเฉินยี่ยื่นมือมารับสมุดแต่ไม่ได้เปิดอ่านในตอนนั้น ไช่เฟิงหยูจึงกล่าวถามสิ่งที่สงสัย“ว่าแต่เจ้ายังให้คนออกตามหาผู้มีปานดอกไม้อยู่ที่ข้อมืออยู่อีกไม่”ชิวเฉินยี่พยักหน้ารับ ไม่ได้เก็บงำเป็นความลับ แต่ก็ไม่ได้เปิดเผยเบื้องลึกให้ใครทราบเช่นกัน “เจ้าตามหาทำไม บอกจุดประสงค์ได้หรือไม่”ชิวเฉินยี่ยังคงเงียบ ในหัวเริ่มคิดถึงภาพความจำอันเลือนรางในหลาย ๆ สถานที่หลาย ๆ อิริยาบถระหว่างเขาก
บทที่ ๑๕เขาบอกข้าว่าควรกลับบ้านไปนอนกอดแม่เช้าวันต่อมา…“ขอบตาดำเชียว ตื่นเต้นที่จะได้ออกเดินทางจนนอนไม่หลับเลยหรือ!”จางซิ่วลี่เอ่ยกับบุตรสาวด้วยน้ำเสียงเข้มงวด ทว่าไม่อาจปิดความห่วงใยในแววตาได้“ไม่ดึกมากเจ้าค่ะท่านแม่ แต่ร่างกายของคนเราตื่นรู้นัก เมื่อจะเจอเรื่องที่ต่างจากทุกวันจะหลั่งสารอะดรีนาลีนจนตื่นตัว อยากนอนเร็วเหมือนกันเจ้าค่ะ แต่จนใจที่ทำเช่นนั้นมิได้”เซียงฮวาโกหกคำโต ทั้งยังเอาชื่อสารที่หลั่งมาจากต่อมหมวกไตเบี่ยงเบนความสนใจของมารดา “มีสารที่ชื่อนี้ด้วยหรือ ไยฟังดูไม่ใช่ภาษาบ้านเรา” แล้วก็ได้ผล! จางซิ่วลี่ไม่รู้ตัวเลยว่าถูกบุตรสาวเบี่ยงเบนความสนใจ อาจารย์หวางที่จะเดินทางกลับพร้อมกันก็มีความสงสัยเช่นกัน แต่ไม่แสดงออกมากนัก “ได้เวลาต้องออกเดินทางแล้ว”อาจารย์หวางให้โอกาสแม่ลูกได้ร่ำลากันครู่หนึ่ง เมื่อสมควรแก่เวลาแล้วก็เอ่ยชวนเซียงฮวาออกเดินทางไปพรรคหยิ๋นมี่ ทุกสามเดือนไช่เฟิงหยูจะมารับนางไปเที่ยวเล่น แต่หากครั้งใดไม่ได้มารับด้วยตนเองจะส่งองครักษ์ชุดใหญ่ทั้งที่ลับและที่แจ้งมาคุ้มครองระหว่างการเดินทาง ครั้งนี้อาจารย์หวางเดินทางมาด้วย มียอดฝีมืออยู่ในขบวนเช่นนี้ไช่เฟิ