การกำราบและปราบปรามสำนักยุทธ์ฝ่ายอธรรมอันดับต้นแห่งยุทธภพอย่างค่ายโจรจันทราแดงสิ้นสุดลงในเวลาอันรวดเร็วเหนือคาดหมาย
การได้หัวของสุดยอดฝีมือสมญานามเงาดาบจันทรามาวางบนแท่นประหารย่อมหมายถึงการกำจัดค่ายโจรจันทราแดง หนึ่งในฝ่ายอธรรมที่สมควรล้มล้างอย่างที่สุดแห่งยุทธภพได้สำเร็จ
ยามนี้ค่ายโจรเถื่อนที่เป็นปัญหาใหญ่ที่สุดต่อการค้าทางเรือได้สิ้นสลายไปแล้ว ความรุ่งเรืองเหนือใครคงไม่ไกล
ความดีความชอบครั้งนี้จักรพรรดิเยี่ยนทรงพิจารณาปูนบำเหน็จให้ทุกคนที่ให้ความร่วมมืออย่างถ้วนทั่ว
งานเลี้ยงสังสรรค์เพื่อมอบรางวัลถูกจัดขึ้นภายในส่วนหน้าของพระราชวังอย่างอลังการยิ่งใหญ่ เต็มไปด้วยบรรยากาศครึกครื้นคึกคัก สุรารสเลิศอาหารรสล้ำนางรำและนักดนตรีร่วมขับกล่อมผู้คนตั้งแต่ช่วงบ่ายจวบจนมืดค่ำ
ฮ่องเต้เยี่ยนหลงเซียนทรงตรัสชื่นชมผู้สร้างความดีความชอบอยู่หลายประโยคตามด้วยพระราชทานรางวัลอย่างสมน้ำสมเนื้อแก่ข้าราชบริพาร
ขุนนางและตัวแทนจากสำนักต่างๆ ของยุทธภพที่เข้ามาสวามิภักดิ์และให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในการปราบกลุ่มโจรร้ายอันดับหนึ่งครานี้
และที่ลืมมิได้เลยก็คือแม่ทัพหยางเจี้ยน จอมทัพผู้นำกองกำลังทหารไปเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย เสี่ยงอันตรายทางเรือ ฝ่าคลื่นโต้ลมอย่างยากลำบากด้วยตนเองจนถึงหุบเขามรณะ บนเกาะลึกลับกลางทะเลแห่งนั้น
หยางเจี้ยนเป็นนักรบผู้เคร่งขรึม กร้าวแกร่งเกริกไกร คล้ายว่าเขายิ้มไม่เป็นมาแต่กำเนิด ทั้งใบหน้าแข็งตึงประหนึ่งแผ่นเหล็กบึงศิลา แววตาลึกล้ำโครงหน้าชัดเจนมองอย่างไรก็มิรู้ได้ว่าเขาคิดอันใดอยู่
ท่าทางของเขาดุดันไม่เพียงดูแข็งกร้าวแต่หนักแน่น ดุจดังยอดเขาสูงชันตั้งตระหง่าน ทั้งดูเย่อหยิ่งเย็นชามาก ท่วงท่ากิริยาหรือยังน่ากลัวเป็นพิเศษ แววตาที่มองคนประหนึ่งสามารถมองทะลุถึงใจคนได้
อารมณ์บนใบหน้าของเขาเคร่งขรึมน่ายำเกรงเกินไป แววตาที่จ้องมองประดุจเป็นผู้พิพากษากำลังประเมินมองผู้ต้องหาอย่างไรอย่างนั้น บางครั้งฮ่องเต้เยี่ยนยังเผลอรู้สึกไม่มั่นคงขึ้นมา ยามสนทนาด้วยยังแอบหวั่นพระทัยบ่อยๆ
หยางเจี้ยนผู้นี้เปรียบเสมือนหัวใจของแคว้นเยี่ยน สร้างความดีความชอบมาช้านาน มีคุณนานัปการต่อแผ่นดินแห่งเยี่ยนมากมายก็จริง ทว่านั่นย่อมเป็นดาบสองคม
ทุกคืนวันหยางเจี้ยนเอาแต่กรำศึกออกรบขจัดภัย แม้ทำตัวอันตรายต่อหัวใจอิสตรีแต่กลับไม่มีนางในดวงใจ
อายุหรือก็ล่วงเข้ายี่สิบห้าเข้าไปแล้ว
บุรุษอื่นอายุเท่านี้ย่อมมีภรรยาและอนุเต็มเรือน
เขาหมกมุ่นเรื่องชาติบ้านเมืองและกลศึกทำสงครามจนหนักหนาสาหัสเกินไปหรือไม่?
ฮ่องเต้เยี่ยนจึงมอบทองคำพร้อมไข่มุกผ้าไหมสิบหีบ อัญมณีและเงินสิบหีบ เพื่อใช้เป็นเบี้ยหวัดรองรังจวนหยาง
จากนั้นก็มอบรางวัลนำทัพของหยางเจี้ยนเป็นรางวัลสูงสุดแห่งค่ำคืน สิ่งนั้นคือสมรสพระราชทานกับสตรีงดงามที่อายุพร้อมออกเรือนแล้วแต่ยังไม่ออกเรือนเสียที
เพราะเปี่ยมบารมี ฝีมือสูงส่ง เริ่มเรืองอำนาจมากเกินไป สมรสพระราชทานเพื่อลดทอนความล้ำเลิศจึงเกิดขึ้น แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่กับหญิงสาวธรรมดาไร้ยศศักดิ์ไร้อำนาจสนับสนุนจึงได้สมรสพระราชทานจากองค์จักรพรรดิ
นางคือคุณหนูใหญ่แห่งจวนขุนนางขั้นเจ็ด ไร้มารดา บิดาไม่ใส่ใจ ไป๋หมิงเยว่ นางผู้นี้ไร้คู่หมั้นคู่หมายแม้อายุล่วงเข้าสิบแปดปีแล้ว และที่สำคัญ นางมิได้มีอำนาจมากจนเกินไปนัก นิสัยใจคอหรือก็อ่อนแอชวนปวดใจ
แม่ทัพหยางย่อมต้องดูแลอย่างลำบาก เขาจะมีงานหนักรอรับทุกคราที่กลับจวน เช่นนี้ย่อมปลอดภัยต่อบัลลังก์ในความรู้สึกขององค์จักรพรรดิผู้อ่อนไหว
ผลพวงจากการพาภรรยาออกท่องหล้าเปลี่ยนบรรยากาศ หยางเจี้ยนไม่รู้เลยว่าทำให้คนสนิทของตนคล้ายเปลี่ยนไปตามบรรยากาศตามรายทางเช่นกันนับวันจิ้นเหอยิ่งมองว่าจิ่นซินแน่งน้อยในวันวานนั้น วันนี้ยิ่งน่ารักน่าชังทั้งยังงดงามมากขึ้นอีกด้วยทุกคราที่ต้องคอยดูต้นทางเฝ้าหน้าเรือนให้เจ้านาย เขามักจะต้องอยู่กับจิ่นซิน ฟังเสียงเจื้อยแจ้วมองตากลมใสให้หัวใจสั่นไหวตลอดเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาความรู้สึกยิ่งแน่ชัดในหัวใจทว่ายามเจอกัน เสน่หาที่มีนั้นกลับพังครืนลงมา เพราะคำว่าพี่ชายวันนี้ก็เช่นกัน จิ่นซินรีบวิ่งมาพร้อมกล่องไม้ใส่อาหารขึ้นเบื้องหน้า “พี่ชาย...ข้าให้ท่าน”สาวใช้ตัวน้อยแหงนหน้าบอกกล่าวมองเขาด้วยดวงตากระจ่างใส คงรอยยิ้มจริงใจ ไม่มีส่วนใดเป็นการโปรยมารยาแห่งปรารถนาใส่เขาเลยแม้แต่น้อย“ขอบคุณเจ้า รบกวนแล้ว...”จิ้นเหอรับกล่องอาหารมาถือไว้ด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง เมื่อใดที่นางจะมองเขาเป็นบุรุษคนหนึ่งมิใช่แค่พี่ชายเล่า?คล้อยหลังจิ้นเหอ จิ่นซินก็ยืนยิ้มมองตามด้วยสายตางุนงง มิค่อยเข้าใจอาการหงุดหงิดของเขาเท่าใดนักทว่านั่นไม่เคยมีปัญหาสำหรับนาง เพราะพี่เหอเป็นคนดีผิดกับแววตาคุกคามอย่างมาก หากอยากได้ข่าวสารน
ย้อนกลับไปสามเดือน ก่อนมีบุตรชายคนแรก ครั้งนั้นต้องอดทนอดกลั้นทำได้เพียงส่งกลอนบอกรักกันซึ่งผิดกับสามเดือนยามนี้มาก เนื่องจากสามีภรรยาเอาแต่บอกรักอย่างดุดันใส่กัน แม้จะเลือกสถานที่ทว่ากลับไม่เลือกยามเวลา เรื่องบทกลอนอันใดเหล่านั้นไม่มีทั้งสิ้น เพราะผนังเรือนไม่มีพื้นที่เหลือให้ติดผืนผ้าแล้วในม่านน้ำเย็นจัดสองร่างกระหวัดกอดเกี่ยวสร้างความร้อนเร่าไม่เข้ากับกระแสธารหลังโขดหิน“อืม...เยว่เอ๋อร์” เจ้าของเสียงทุ้มพร่ากระซิบกระซาบยามจูบซับแนบริมฝีปากคนเป็นภรรยาเพื่อกลืนกินเสียงครวญหวานแผ่วที่ดังเล็ดลอดอย่างต่อเนื่องร่วมชั่วยาม“อื้อ อาเจี้ยน”หมิงเยว่หลับตาแหงนหน้าครางเสียงหวิวปลดปล่อยกายใจของตนให้พร่างพราวราวดวงดาวหล่นใส่ เมื่อไต่ระดับถึงแดนสวรรค์เป็นครั้งที่เท่าใดมิอาจนับในขณะที่หยางเจี้ยนยังคงควบคุมจังหวะรัญจวนเอาไว้ได้เป็นอย่างดีไม่มีตกหล่น แม้จะมอบความสุขสมให้ภรรยาไปแล้วหลายครั้งหลายครา“เปลี่ยนท่าดีหรือไม่?”เขาถามเสียงทุ้มเบา มือขวาเลื่อนไล้จากหน้าท้องแบนราบมากระชับสะโพกผายแล้วจับคนตัวนุ่มให้หันหน้ากลับมา กดจูบหนักหน่วงที่กลับปากแดงเรื่อจนช้ำเพิ่มจังหวะเร่งเร้าเคล้าเสียงน้ำตกอย่างห
ทั้งๆ ที่มองก็รู้ว่าเป็นแผนการตื้นๆ ที่ใช้เรียกร้องความสนใจของสตรีหลังเรือนแต่นางยังอนุญาตให้เขาไปค้างที่เรือนสตรีอื่นด้วยรอยยิ้มซึ่งเมื่อคืนคือวันที่เขาควรจะได้อยู่กับนางทั้งคืน...เด็กชายทั้งสามฉลาดปราดเปรื่องและรู้ความเกินวัย ยามกลางวันปรนนิบัติชงชาบีบนวดไม่ห่างไปไหน กลางคืนยังดูแลท่านปู่ท่านย่าเข้านอนด้วยกันหยางจงแอบยกยิ้มไม่ให้ใครเห็น“ห้ามขัดใจหลาน” เขาหันไปบอกคนเป็นภรรยาที่มองมาทางเขาคล้ายงุนงง ว่าเหตุใดไม่ไปเรือนอนุฟางเหนียงพยักหน้ายิ้มหวานไม่เผยอารมณ์ออกมา นางเองไม่คิดขัดใจหลานอยู่แล้วและทุกวันก็เป็นเช่นนั้น ท่านปู่กับท่านย่าได้อยู่ด้วยกันทุกวันนอนด้วยกันทุกคืน นับแต่หลานชายทั้งสามย้ายตัวเองมาพำนักที่เรือนนายท่านใหญ่เป็นการชั่วคราว เพื่อที่บิดามารดาจะได้ออกตามหาน้องสี่โดยสะดวกกลางวันเด็กชายทั้งสามทำกิจกรรมสร้างรอยยิ้มร่วมกับผู้อาวุโสอย่างไม่มีเหน็ดเหนื่อย บรรยากาศรอบกายคล้ายสายลมวสันต์โชยกลิ่นเปี่ยมสุขก่อเกิดความอบอุ่นในแบบที่ไม่เคยมี กลางคืนยังจับมือพาประคองทั้งสองเข้านอนแล้วปรนนิบัติห่มผ้าให้ท่านปู่ท่านย่าได้อยู่ใต้ผ้าผืนเดียวกันอย่างเอาใจใส่กระทั่งคืนหนึ่ง มีสาวใช้ต้
เนื่องจากในเรือนจวนหยางมีบ่าวไพร่มากมายเกินไป จึงส่งผลให้ทำอะไรตามใจตนเองมิได้มากเท่าใดสามีภรรยาคู่หนึ่งซึ่งต่อให้หน้าหนาแค่ไหนก็ยังรู้สึกไม่ปลอดภัยต่อแรงอารมณ์ยามปลดปล่อยใส่กันและกันด้วยความรักเปี่ยมล้นแม่ทัพหนุ่มจึงพาฮูหยินของตนท่องหล้าเพียงลำพัง มิให้บ่าวรับใช้ติดตามเอิกเกริก เพียงคนสนิทอย่างจิ้นเหอและจิ่นซินเท่านั้นที่ได้รับสิทธิ์ให้อยู่ข้างกายจิ้นเหอและจิ่นซินจึงมีหน้าที่คือช่วยกันเป็นหูเป็นตาให้เจ้านายได้มีเวลาอยู่ด้วยกันมิให้ใครรบกวนเพราะต้องการเอาอกเอาใจภรรยา หยางเจี้ยนจึงพาหมิงเยว่ปลอมตัวเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา เพื่อพากันไปหาสถานที่บอกรักแบบส่วนตัว เป้าหมายคือทายาทคนที่สี่ โดยได้รับคำอนุญาตอย่างเป็นทางการจากบิดาและมารดาเช่นนั้นยามนี้บุตรชายทั้งสามคนของหยางเจี้ยนและหมิงเยว่จึงกำลังวิ่งเล่นซุกซนยกยิ้มร่าเริงอยู่รอบกายของฟางเหนียงความน่ารักน่าชังของหลานชายตัวน้อยทำเอาความเงียบเหงาจนความรู้สึกเกิดเป็นหลุมเว้าแหว่งที่ถูกซุกซ่อนในส่วนลึกของจิตใจของผู้เป็นย่าได้รับการเติมเต็มจนล้นปรี่“ท่านย่า...”เส้นเสียงเจื้อยแจ้วของหลานชายทั้งสามแข่งขันกันส่งมาให้ไม่ขาดสาย“ข้าจะร่ายรำกระบี
หมิงเยว่ไม่มีโอกาสได้ตอบว่าไหวหรือไม่ เนื่องจากถูกหยางเจี้ยนเคี่ยวกรำตั้งแต่คืนแรกแบบนับรอบไม่ถ้วน ทุกคืนหลังจากนั้นยังต้องนอนระทดระทวยสิ้นไร้เรี่ยวแรงแทบสลบไสลคาอกแกร่งคืนนี้ก็เช่นกัน สองกายเปล่าเปลือยซ้อนทับในท่วงท่าคล้ายคลึงงูเลื้อยพันกันอยู่บนเตียงนอนเสียงพร่ากระซิบชิดริมหู “ต่อเลยได้หรือไม่? หืม”หยางเจี้ยนถามไปเช่นนั้นเอง เพราะยังไม่ทันได้รับคำตอบซึ่งเป็นสุ้มเสียงอันแหบแห้งจากหมิงเยว่ ริมฝีปากร้อนๆ ก็แนบหน้าผากชื้นเหงื่อของนาง ขบเม้มเบาๆ ลงมาที่ข้างแก้มก่อนจะจรดริมฝีปากอิ่มแล้วจุมพิตลึกซึ้งเนิ่นนานปลายลิ้นร้อนชื้นที่สอดแทรกเข้ามาไล้เลียชิมความหวานในโพรงปากอิ่มถูกกระทำพร้อมฝ่ามือซุกซนที่ลูบไล้เคล้นคลึง ตามด้วยร่างหนาที่พลิกคร่อมทับเป็นรอบที่เท่าใดมิอาจนับ“หยางเจี้ยน...”“หืม...”หมิงเยว่เรียกนามสามีทันทีเมื่อริมฝีปากได้รับอิสระ “ใกล้สว่างแล้วกระมัง”“ใครสนเล่า?”ชายหนุ่มเอ่ยเสียงทุ้มพร่าอย่างเอาแต่ใจพลางเคลื่อนใบหน้าลงต่ำ พ่นลมหายใจกระเส่าที่เริ่มร้อนเร่าตามระดับแรงอารมณ์รอบใหม่ ริมฝีปากขบเม้มลำคอระหงเรื่อยลงไปอย่างที่ชอบทำทุกครั้งเนิ่นนาน หมิงเยว่ได้แต่เสียวซ่านจนต้องส่งเสี
หลังจากคลอดบุตรชายคนที่สามได้สองปีกว่าสตรีที่ประกาศก้องว่าจะไม่ยอมให้สามีรังแกอีก กำลังนั่งเท้าคางมองบุรุษสี่คนที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายกันอย่างเบื่อหน่าย ในขณะที่แม่ทัพหนุ่มยามนี้กำลังสอนบุตรชายทั้งสามคนฝึกร่ายรำกระบี่ด้วยท่าทีเคร่งครัด ทว่าแววตากลับเปี่ยมสุขอย่างยิ่ง แขนขาเล็กๆ ของเด็กๆ น่ารักน่าชังทรงพลังอย่างมากหยางจวิน หยางจินอวี่ และน้องเล็กหยางจื่อถง เด็กชายทั้งสามคนเหมือนหยางเจี้ยนเกินไปแล้วมิใช่เหมือนแค่หน้าตาแต่ยังเหมือนไปหมดทั้งท่วงท่ากิริยาและนิสัยใจคอ โดยเฉพาะแววตาสุขุมลึกล้ำคู่นั้นหมิงเยว่ให้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเหลือเกินดังนั้น ยามค่ำคืนในวันที่สามีสะสางงานจากค่ายทหารเสร็จสิ้นแล้วได้กลับจวน นางจึงบรรจงแต่งกายประณีตด้วยเสื้อผ้าบางเบาโปร่งใส เผยเนินเนื้ออวบอิ่มรำไร ชวนหวามไหวเต็มขั้น ส่วนเว้าส่วนโค้งดุจดั่งลายเส้นของภาพวาดปานนั้นหญิงสาวนั่งเหยียดขาแอ่นกายด้วยท่วงท่ากรีดกรายคล้ายนางสวรรค์อยู่บนเตียงนอน“หยางเจี้ยน”“หืม...”เจ้าของนามครางรับในลำคอโดยไม่หันมอง เขานั่งอยู่ที่โต๊ะอีกฝั่งจิบชาอึกหนึ่งเอ่ยเสียงทุ้ม “เจ้าควรปักผ้า มิใช่เอาแต่นั่งมองบุรุษ”หมิงเยว่แค่นเสียงฮึ “